Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

เปิดกลยุทธ์ การเชื่อมเมืองหลัก เมืองรอง ให้กลายเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ 4 พันล้าน

CEA ขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์ 2568 ดันเมืองรองใช้ทุนวัฒนธรรมสร้างโอกาสใหม่ คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 4,382 ล้านบาท และพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ 17 จังหวัดทั่วประเทศ เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคที่ “ความคิดสร้างสรรค์” และ “ทุนวัฒนธรรม” กลายเป็นทรัพยากรสำคัญ          ทางเศรษฐกิจ ทำให้เมืองต่าง ๆ หันมาใช้จุดแข็งทางด้านวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ท้องถิ่น เป็นเครื่องมือสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทั้งอาชีพ รายได้ และยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์เมืองให้มีความสามารถทางการแข่งขัน              ในระดับโลก ด้วยความสำคัญนี้ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ได้ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร เดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่อย่างเข้มข้น ผ่านการจัดเทศกาลสร้างสรรค์และการขับเคลื่อนเครือข่ายย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ประเทศไทย หรือ Thailand Creative District Network (TCDN) พร้อมพัฒนา “คน” ให้เป็นกลไกสำคัญของการเปลี่ยนแปลง ผ่านการบ่มเพาะหลักสูตรพัฒนาเมืองและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผสานทุนวัฒนธรรมเข้ากับนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับพลังสร้างสรรค์ระดับท้องถิ่นให้เป็นพลังทางเศรษฐกิจทั้งในมิติของผู้คน ธุรกิจ และพื้นที่ ผลักดันให้ทุกเมืองมีโอกาสเติบโต และทุกชุมชนสามารถเป็นเจ้าของ “แบรนด์เมือง” ได้จากรากฐานของตนเอง CEA คาดว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการจัดเทศกาลสร้างสรรค์ในปี 2568 มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 4,382 ล้านบาท และพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ไม่น้อยกว่า 17 จังหวัดทั่วประเทศ 6 จังหวัด สนับสนุน เทศกาลเมืองสร้างสรรค์ทั้งจาก CEA และ TCEB ศรีสะเกษ งานซาวสีเกด 2567 (Sound of Sisaket 2024) เทศกาลศิลปะและดนตรี จากนั้นยังชนะเลิศอันดับ 2 โครงการประกวดอวดเมือง จาก TCEB รับทุนต่อเนื่อง 3 ปี รวม 45 ล้าน นครราชสีมา งาน K- Battle งานประกวดการแข่งขัน Battle นานาชาติ จากนั้นยังชนะเลิศอันดับ 1 โครงการประกวดอวดเมือง จาก TCEB รับทุนต่อเนื่อง 3 ปี รวม 45 ล้าน อุบลราชธานี คัมโฮม งานศิลปะ+งานแห่เทียนพรรษาประจำปี ขอนแก่น Columbo Creative Community Festival ISAN Creative Festival  เลย เทศกาลเลยอาร์ตเฟส  อุดรธานี เทศกาล Udon […]

เปิดกลยุทธ์ การเชื่อมเมืองหลัก เมืองรอง ให้กลายเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ 4 พันล้าน อ่านเพิ่มเติม »

Soft-Power Heritage อันดับ 8 ของโลก ไทยจะเปลี่ยน “มรดกทางวัฒนธรรม” ให้เป็น “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ” ได้อย่างไร?

Soft Power ไทยสุดปัง! รั้งอันดับ 1 ประเทศรวยวัฒนธรรมที่สุดในเอเชีย และ อันดับ 8 ของโลกจาก U.S.News & World Report 🇹🇭Soft Power ไทยสุดปัง! ครองแชมป์ประเทศ “รวยวัฒนธรรมที่สุดในเอเชีย” เมื่อวัฒนธรรมกลายเป็นพลังทางเศรษฐกิจที่สามารถจับต้องได้ ไทยกำลังก้าวสู่บทบาทผู้นำแห่งเอเชียด้วยเสน่ห์ที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้ . ในโลกยุคใหม่ที่พลังอ่อน (Soft Power) มีน้ำหนักไม่น้อยไปกว่าพลังแข็ง (Hard Power) ชื่อเสียงของประเทศไม่ได้วัดกันแค่จำนวนฐานทัพหรือเทคโนโลยีล้ำหน้าอีกต่อไป แต่กลับวัดกันที่ “เสน่ห์” ที่ประเทศนั้นๆ สามารถส่งออกไปยังใจคนทั่วโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ อาหาร ดนตรี หรือไลฟ์สไตล์ . และล่าสุด ประเทศไทย ก็สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งชาติ ด้วยการถูกจัดอันดับให้เป็น ประเทศที่ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในเอเชีย และติดอันดับ 8 ของโลก จากการจัดอันดับโดย U.S. News & World Report ปี 2024 จากทั้งหมด 89 ประเทศทั่วโลก . โดยใช้เกณฑ์การประเมินที่เข้มข้น ครอบคลุม 5 มิติหลัก ได้แก่ การเข้าถึงวัฒนธรรม (Cultural Accessibility) ประวัติศาสตร์อันรุ่งเรือง (Rich History) สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม (Cultural Attractions) ความน่าดึงดูดทางภูมิศาสตร์ (Geographical Appeal) ซึ่งประเทศไทยโดดเด่นในทุกมิติ โดยเฉพาะในเรื่องของ อาหาร การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และโบราณสถาน ที่กลายเป็นเอกลักษณ์ตราตรึงใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก . ไม่เพียงเท่านั้น ไทยยังได้รับคำชมว่าเป็น “ประเทศที่มีสมดุลระหว่างความร่วมสมัยกับมรดกดั้งเดิม” บ้านเมืองทันสมัยที่ตั้งอยู่เคียงข้างวัดวาอารามเก่าแก่ได้อย่างกลมกลืน . ไทย = ผู้นำวัฒนธรรมแห่งเอเชีย เมื่อดูเฉพาะในระดับทวีปเอเชีย ไทยก็ ครองอันดับ 1 ทิ้งห่างประเทศที่มีวัฒนธรรมแข็งแกร่งเช่นกันอย่างอินเดีย ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งติดตามมาในอันดับ 2-4 ตามลำดับ ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างก็ติดอันดับเช่นกัน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของภูมิภาคนี้ในด้านวัฒนธรรมนั่นเอง . อันดับประเทศในเอเชีย จากการจัดอันดับ 89 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ 1. ไทย #8 ของโลก 2. อินเดีย #10 ของโลก 3. ญี่ปุ่น #11 ของโลก 4. จีน #13 ของโลก 5. อินโดนีเซีย

Soft-Power Heritage อันดับ 8 ของโลก ไทยจะเปลี่ยน “มรดกทางวัฒนธรรม” ให้เป็น “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ” ได้อย่างไร? อ่านเพิ่มเติม »

ทรัมป์เปิดเกมภูมิรัฐศาสตร์ในอาเซียน 🇹🇭ไทยในสมรภูมิอำนาจโลก 🇺🇸สหรัฐ-จีน🇨🇳 ชิงอำนาจเหนือกัมพูชา🇰🇭

ทรัมป์ฉวยโอกาส?🤝จากขอพิพาทชายแดน ไทย-กัมพูชา เปิดเกมภูมิรัฐศาสตร์สหรัฐฯ-จีน ที่ไทยจำใจต้องเข้าร่วม ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลกที่ดึงดูดความสนใจจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งขู่จะระงับการเจรจาทางการค้าหากการต่อสู้ไม่ยุติลง ความขัดแย้งนี้มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องเขตแดนและคำตัดสินของศาลโลกเกี่ยวกับ ‘ปราสาทพระวิหาร’ การเข้าแทรกแซงของทรัมป์ถูกมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวตามหลัก “การทูตเชิงธุรกรรม (Transaction Diplomacy)” ที่มุ่งเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มากกว่าการแสวงหาสันติภาพที่แท้จริง ซึ่งเป็นผลมาจาก ‘จุดอ่อนของอาเซียน’ ที่ไม่สามารถจัดการความขัดแย้งภายในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะบทบาทของ 🇨🇳จีนในกัมพูชา🇰🇭 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนและการพัฒนา ⚓ฐานทัพเรือเรียม ซึ่งเป็นการขยายอิทธิพลเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาค ทำให้ความขัดแย้งนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “สงครามเย็นยุคใหม่” ระหว่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากจีนและสหรัฐฯ กำลังขยายอิทธิพลในเส้นทางการเดินเรือ อินโดจีน โดยเฉพาะท่าทีของสหรัฐฯ ต่อเส้นเดินเรือช่องแคบ มะละกา จากท่าทีของ ฮุนเซน ที่โพสต์ภาพถ่ายคู่กับ ทรัมป์ และการมีแหล่งข่าวว่า ฮุนเซน บินเข้าจีนแต่ถูกปฏิเสธลงจอด ก็พอจะเห็นได้ว่า ฮุนเซน กำลังคลายมือจากจีน ไปหาสหรัฐฯ ผ่านการ #ดีล ผลประโยชน์ สหรัฐฯ จึงอาจฉวยโอกาสนี้ ในการดึงกัมพูชากลับเข้าสู่อิทธิพลของสหรัฐฯ และดึงกัมพูชาออกจากจีน ทำให้สถานการณ์ตอนนี้ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะ #รัฐกันชน ท่ามกลางมหาอำนาจสองฝ่าย จากเรื่อง “การปักปันเขตแดน” ที่คุยกันระหว่างประเทศ เจรจาในทวิภาคีอาเซียนได้ สู่การเปิดที่ประชุมฉุกเฉินของ UNSC ก็ได้เปลี่ยนสมรภูมิที่แท้จริงจาก ชายแดน สู่ โต๊ะการฑูตสากล 🇨🇳จีน-กัมพูชา จีนมีหนี้และอิทธิพลเป็นข้อต่อรอง 🇺🇸สหรัฐฯ-กัมพูชา มีการค้าและภาษี รวมถึงการทหารเป็นข้อต่อรอง . ท่ามกลางสถานการณ์ที่นี้ ไทย จะต้องเผชิญกับศึกหลายด้าน ทั้งตลาดหุ้นที่ผันผวนจาก การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ขีดเส้นตาย 1 ส.ค.นี้, การท่องเที่ยวที่หดตัว และนักท่องเที่ยวต่างชาติยกเลิกเที่ยวบิน จากสถานการณ์การปะทะชายแดน สำหรับบุคคลทั่วไปและนักลงทุนในการรับมือกับความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ด้วยการ กระจายความเสี่ยง และ ลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น ทองคำ เป็นต้น   https://youtu.be/F9eRul5cElg   สรุปผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ และนัยต่อเศรษฐกิจไทย ต้องแลกด้วยอะไร ใครได้ใครเสีย?

ทรัมป์เปิดเกมภูมิรัฐศาสตร์ในอาเซียน 🇹🇭ไทยในสมรภูมิอำนาจโลก 🇺🇸สหรัฐ-จีน🇨🇳 ชิงอำนาจเหนือกัมพูชา🇰🇭 อ่านเพิ่มเติม »

นครพนม จากเมืองท่าริมโขง สู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งแห่งอีสานตอนบน

“นครพนม” จังหวัดริมฝั่งโขงแห่งภาคอีสานตอนบนของประเทศไทยที่มีประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน ที่เมื่อพูดถึง หลายคนจะนึกถึง “พระธาตุพนม” พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองอันเก่าแก่ตั้งแต่ต้นพุทธกาลอันเป็นที่สักการะของคนในจังหวัดและทั้งประเทศ นอกจากพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์แล้วนั้น ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายที่ที่ควรค่าแก่การไปเยือนเมื่อไปจังหวัดนครพนม ยกตัวอย่างเช่น พระธาตุเรณู อีกหนึ่งพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองที่งดงามโดดเด่น ตั้งอยู่ที่อำเภอเรณูนคร หรือจะเป็นสถานที่แลนด์มาร์ก อย่างริมฝั่งโขง ที่มีบรรยากาศและวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงและทิวเขาลักษณะลูกคลื่นของฝั่งลาวทอดยาวสุดสายตา ควรค่าแก่การมาเดินเล่นรับแดดอ่อนๆยามเช้า หรือมาถ่ายรูปชมวิวยามเย็นก็สวยงาม   ในด้านเศรษฐกิจ ปี 2566 นครพนมมีรายได้ต่อหัวประมาณ 96,731 บาท และผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP) มีมูลค่า  52,184 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2564 ประมาณ 3% โดยสัดส่วนของโครงสร้างเศรษฐกิจจะมีภาคบริการเป็นส่วนใหญ่ โดยมีโครงสร้างเป็นดังนี้ – ภาคการบริการ คิดเป็น 49%  – ภาคการเกษตร คิดเป็น 30%  – ภาคการค้า คิดเป็น 12%  – ภาคการผลิต คิดเป็น 9%    ในปี 2567 จังหวัดนครพนมมีจำนวนผู้ประกอบการ SME ทั้งสิ้น 25,000 ราย ซึ่งในปี 2566 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 35,580.83 ล้านบาท โดยตัวอย่างบริษัทใหญ่ในนครพนม เช่น บริษัท มิ่งเจียว ซึ่งอยู่ในหมวดธุรกิจการขายส่งผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น มีรายได้รวมในปี 2565 จำนวน 1,582 ล้านบาท เมืองนครพนมยังเป็นที่ตั้งของสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 โดยเชื่อมต่อกับแขวงคำม่วนของประเทศลาว มีความยาวรวม 780 เมตร มีช่องลอดกว้าง 60 เมตร สูง 10 เมตร 2 ช่วง ความกว้าง สะพาน 13 เมตร และมีการช่องจราจร 2 ช่อง ซึ่งเปิดใช้งานวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 โดยสะพานมีทิวทัศน์เป็นแนวเขาที่สวยงาม ซึ่งสะพานมิตรภาพ แห่งที่3 เป็นเส้นทางการคมนาคมด้านการท่องเที่ยวและด้านการค้าที่สำคัญ ระหว่างไทย เวียดนามและทางใต้ของจีน    โดยสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 เป็น 1 ใน 19 ด่านการค้าถาวรระหว่างไทยกับลาว และอีกด่านการค้าถาวรของนครพนมคือ ด่าน อ.เมืองนครพนม-ท่าแขก นอกจากนั้นจังหวัดยังมีจุดผ่อนปรนการค้าอีก 4 แห่ง ได้แก่ จุดผ่อนปรนบ้านหนาดท่า จุดผ่อนปรนบ้านโพธิ์ไทร จุดผ่อนปรนบ้านธาตุพนมสามัคคี และจุดผ่อนปรนบ้านท่าอุเทน ซึ่งจากการที่มีด่านการค้าหลายแห่ง ส่งผลให้การค้าระหว่างนครพนมกับลาวมีความคึกตัก โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าไปลาว อยู่ที่ 6,705

นครพนม จากเมืองท่าริมโขง สู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งแห่งอีสานตอนบน อ่านเพิ่มเติม »

โดรน CW-15: เมื่อฟ้าอีสานและเพื่อนบ้านใช้ ‘ตา’ คู่เดียวกัน สู่บททดสอบความมั่นคงและโอกาสเศรษฐกิจไทย

จากกรณีข่าวร้อน ไทย-กัมพูชา ชาวเน็ตในสุรินทร์โพสต์พบโดรนปริศนาไม่ทราบฝ่าย ก่อนที่เช้าเวลา 07.30 น. วันที่ 4 สิงหาคม 2568 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า โดรนดังกล่าวเป็นของฝ่ายเรา ขึ้นบินตรวจการณ์ และทดสอบระบบ บริเวณอ.เมือง จ.สุรินทร์ แต่ต้องลงเร่งด่วน เนื่องจากสภาพอากาศ ภาพเจ้าหน้าที่ลงจอดโดรนฉุกเฉิน เมื่อคืนวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ที่จังหวัดสุรินทร์ ด้านสื่อกัมพูชาอย่าง Khmer Times ก็ปล่อยข่าวกล่าวหาว่าไทยใช้โดรนสำรวจพื้นที่กัมพูชา ในขณะเดียวกันทางกัมพูชาก็เคยจัดซื้อโดรนสำรวจทางอากาศเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 กองทัพกัมพูชาได้เยี่ยมชมเทคโนโลยีการปล่อยโดรน CW-15 และ CW-40 ที่บริษัท CATIC ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันที่ไทยใช้ในการสำรวจภารกิจทางอากาศทั้งทางทหาร และทางวิชาการ รีวิวจากช่องไทย โดรน CW ช่องพี่ใหญ่ SnapTech Zone ที่กรมทรัพยากรชายฝั่งของไทยใช้โดรนสำรวจทางทะเล และสำรวจสัตว์ทะเลหายาก โดรน CW-15 ในมือ🇹🇭ไทยและ🇰🇭กัมพูชา ภาพสะท้อนความมั่นคงและโอกาสทางเศรษฐกิจ ที่ไทยต้องลงทุนเทคโนโลยีเป็นของตนเอง เมื่อน่านฟ้าชายแดนไม่ได้ถูกจับตามองด้วยสายตาของมนุษย์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป การปรากฏขึ้นของอากาศยานไร้คนขับ (UAV) หรือโดรน รุ่น CW-15 ที่ผลิตโดยบริษัทจากจีน ในภารกิจของทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา ได้จุดประกายบทสนทนาที่ไปไกลกว่าเรื่องเทคโนโลยี แต่ล้วงลึกถึงแก่นของความมั่นคงและอนาคตทางเศรษฐกิจของชาติ การที่ไทยและเพื่อนบ้านใช้ “ดวงตา” คู่เดียวกันในการสอดส่องดูแลอธิปไตย กลายเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงสภาวะการพึ่งพิงทางเทคโนโลยี และเป็นบททดสอบสำคัญว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนความท้าทายนี้ให้เป็นโอกาสในการสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้ทัดเทียมนานาชาติได้อย่างไร ดาบสองคมของการพึ่งพิงเทคโนโลยีต่างชาติ การจัดหายุทโธปกรณ์จากต่างประเทศเป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไปของกองทัพทั่วโลกเพื่อความทันสมัย แต่ในยุคที่สงครามไซเบอร์และความมั่นคงทางข้อมูลมีความสำคัญสูงสุด การพึ่งพิงเทคโนโลยีจากแหล่งเดียว โดยเฉพาะเมื่อเป็นแหล่งเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน ย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงที่ซับซ้อน ความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ (Cybersecurity Risk): โดรนลาดตระเวนไม่ได้เป็นเพียงกล้องที่บินได้ แต่เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนซึ่งส่งผ่านข้อมูลสำคัญมหาศาล หน่วยงานความมั่นคงทางไซเบอร์ของสหรัฐอเมริกา (CISA) ได้ออกคำเตือนถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลละเอียดอ่อนจากโดรนที่ผลิตในบางประเทศอาจถูกส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทผู้ผลิตหรือรัฐบาลของประเทศนั้นๆ [1] ซึ่งหมายความว่าข้อมูลการลาดตระเวน, พิกัด, และรายละเอียดภารกิจของไทยอาจตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกเข้าถึงโดยบุคคลภายนอกได้ การเสียเปรียบทางยุทธวิธี: เมื่อกัมพูชามีการพิจารณาจัดหาโดรนรุ่นเดียวกันจาก China National Aero-Technology Import & Export Corporation (CATIC) [2] ย่อมหมายความว่าทั้งสองฝ่ายต่างรับรู้ถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของกันและกันอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้การวางแผนรับมือหรือต่อกรทำได้ง่ายขึ้น ความได้เปรียบที่เคยมีจากการใช้เทคโนโลยีที่เหนือกว่าจึงหมดไป การพึ่งพิงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Dependency): ความพร้อมรบของยุทโธปกรณ์ขึ้นอยู่กับการซ่อมบำรุง, อะไหล่, และการอัปเกรด ซึ่งทั้งหมดนี้ผูกติดอยู่กับประเทศผู้ผลิต หากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลง หรือเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง อาจส่งผลให้การสนับสนุนเหล่านี้หยุดชะงักได้ ดังที่เห็นจากกรณีศึกษาในหลายประเทศที่การพึ่งพาซัพพลายเออร์รายเดียวสร้างความเปราะบางให้กับกองทัพ [3] สร้างอนาคต: โอกาสมหาศาลของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศไทย ท่ามกลางความท้าทาย คือโอกาสครั้งสำคัญของประเทศไทยในการผลักดัน “อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ” ให้เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-Curve) อย่างจริงจัง ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายลำดับที่ 11 [4] โดยมีข้อดีที่ประเมินค่าได้ทั้งในมิติความมั่นคงและเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง: การพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองไม่เพียงลดการพึ่งพาจากภายนอก

โดรน CW-15: เมื่อฟ้าอีสานและเพื่อนบ้านใช้ ‘ตา’ คู่เดียวกัน สู่บททดสอบความมั่นคงและโอกาสเศรษฐกิจไทย อ่านเพิ่มเติม »

สรุปผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ และนัยต่อเศรษฐกิจไทย ต้องแลกด้วยอะไร ใครได้ใครเสีย?

สรุปผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ และนัยต่อเศรษฐกิจไทย วันที่: 1 สิงหาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร (รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการกรรมกรข่าว  สรุปอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศในอาเซียน ตามประกาศล่าสุดของสหรัฐฯ (มีผลตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2568)  อัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากอาเซียน (ตามประกาศของสหรัฐฯ)  สิงคโปร์ : 10%  ไทย : 19% (ลดจาก 36%)  กัมพูชา : 19%  มาเลเซีย : 19%  อินโดนีเซีย : 19%  ฟิลิปปินส์ : 19%  เวียดนาม : 20%  บรูไน : 25%  เมียนมา : 40%  ลาว : 40% 1. ภาพรวมและผลการเจรจาภาษี ผลลัพธ์หลัก: สหรัฐอเมริกาได้ประกาศลดอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทยลงเหลือ 19% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 36% (BBC News, TikTok) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 (พิชัย ชุณหวชิร, The White House). การเปรียบเทียบกับประเทศอื่น: อัตรา 19% นี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่ได้รับผลกระทบจากการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เช่น อินโดนีเซีย (19%), ฟิลิปปินส์ (19%), มาเลเซีย (19%), กัมพูชา (19%) และเวียดนาม (20%) ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของไทยในภูมิภาค (พิชัย ชุณหวชิร, TikTok, หอการค้าไทย). เป้าหมายการเจรจา: นายพิชัย ชุณหวชิร ระบุว่าการเจรจามุ่งเน้นให้ไทยสามารถ “แข่งขันได้” บนเวทีโลก และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน (พิชัย ชุณหวชิร, BBC News). การลดภาษีลงนี้เป็นการผลักดันให้ประเทศคู่ค้าเกาะกลุ่มกันเพื่อความเป็นธรรมในการแข่งขัน (พิชัย ชุณหวชิร).   2. ข้อแลกเปลี่ยนสำคัญที่ไทยเสนอต่อสหรัฐฯ นายพิชัยยังอธิบายถึงผลกระทบที่จะตามมาต่อสินค้าสำคัญ ๆ เป็นรายการ ดังนี้ ข้าวโพด: ทุกวันนี้ที่ไทยใช้อยู่ 10 ล้านตัน ผู้ประกอบการโรงงานผลิตอาหารสัตว์ระบุว่าสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 13 ล้านตันได้ แต่ที่ผ่านมา มีวัตถุดิบไม่เพียงพอ โดยเกษตรไทยปลูกได้ 5 ล้านตัน ที่เหลือต้องนำเข้า สิ่งที่รัฐบาลทำคือจะใช้ระบบโควต้า เนื่องจากต้นทุนการเพาะปลูกข้าวโพดในไทยสูงกว่าสหรัฐฯ สมมติใช้ 10 ล้าน

สรุปผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ และนัยต่อเศรษฐกิจไทย ต้องแลกด้วยอะไร ใครได้ใครเสีย? อ่านเพิ่มเติม »

ยโสธร รวยกระจุก จนกระจาย กับความเหลื่อมล้ำรายได้ ที่สูงสุดในอีสาน?

จังหวัดยโสธร จังหวัดที่เมื่อพูดถึงแล้ว หลายคนต้องนึกถึงบั้งไฟเป็นอันดับแรก ซึ่งบุญบั้งไฟเมืองยโสจัดขึ้นช่วงเดือนพฤษภาคมในทุกปี ซึ่งเป็นการขอฝนช่วงก่อนการดำนาปลูกข้าว สอดคล้องกับเป้าหมายในการเป็น “เมืองเกษตรอินทรีย์ เมืองแห่งวิถีอีสาน” เป็นพื้นที่ต้นแบบการผลิตข้าวหอมมะลิอินทรีย์ สินค้าเกษตรปลอดภัย และมีนโยบายขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์อย่างจริงจังมานานกว่า 20 ปี ที่มารูปภาพ:https://yst-pao.go.th/public/list/data/showdetail/id/1672/menu/1619  มีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) ปี 2566 อยู่ที่ 34,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากปี 2565 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจไม่ใหญ่นัก โดยอยู่ในอันดับที่ 16 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรอยู่ที่ 72,523 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 6% โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจากภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ดังนี้   ภาคเกษตรกรรม: 8,864 ล้านบาท (คิดเป็น 26%) ภาคการศึกษา: 4,728 ล้านบาท (14%) ภาคอุตสาหกรรมการผลิต: 4,577 ล้านบาท (13%) การค้าส่งค้าปลีก และการซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์: 3,823 ล้านบาท (11%)   เศรษฐกิจของยโสธรมีฐานหลักอยู่ที่ภาคเกษตรกรรม โดยมีพื้นที่เกษตรรวมกว่า 1,824,765 ไร่ หรือประมาณ 70% ของพื้นที่ทั้งหมดของจังหวัด พืชเศรษฐกิจหลักคือ ข้าว ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของทั้งจังหวัด โดยในปี 2566 มีผลผลิตรวมจากข้าวนาปีและข้าวนาปรังประมาณ 622,232 ตัน นอกจากนี้ยังมีพืชเศรษฐกิจสำคัญอื่น ๆ เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง และอ้อยโรงงาน แนวโน้มความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นในจังหวัดยโสธร   จากรายงาน ‘รายได้และการกระจายรายได้ของครัวเรือน พ.ศ. 2566’ ซึ่งได้รายงานตัวเลข สัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค หรือ Gini Coefficient ซึ่งก็คือตัวชี้วัดระดับความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในสังคม โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 ซึ่งหากค่าใกล้1 แสดงว่ามีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูง โดยความเหลื่อมล้ำทางรายได้คือความแตกต่างในการกระจายรายได้ระหว่างบุคคลหรือกลุ่มประชากรในสังคม โดยแสดงให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างกลุ่มผู้มีรายได้สูงและผู้มีรายได้ต่ำ ซึ่งอาจสะท้อนถึงการเข้าถึงทรัพยากรและโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกัน   ในปี 2566 สัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคของไทยมีค่าเท่ากับ 0.382 เมื่อพิจารณาภาคอีสาน พบว่ามีค่าสัมประสิทธิ์ 0.377 ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากภาคใต้ที่เท่ากับ 0.395 โดยจังหวัดในภาคอีสานที่มีค่าสัมประสิทธิ์มากที่สุดคือ ‘ยโสธร’ ที่มีครัวเรือน 1.4 แสนครัวเรือน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคเท่ากับ 0.440 บ่งบอกถึงระดับความเหลื่อมล้ำที่สูงเป็นอันดับ 1 ของภาคอีสานและสูงเป็นอันดับ 5 ของประเทศ จากการจัดกลุ่มครัวเรือนในจังหวัดยโสธรตามระดับรายได้ออกเป็น 5 กลุ่มเท่า ๆ กัน หรือที่เรียกว่า “ควินไทล์

ยโสธร รวยกระจุก จนกระจาย กับความเหลื่อมล้ำรายได้ ที่สูงสุดในอีสาน? อ่านเพิ่มเติม »

ทำไมเศรษฐกิจ ‘บุรีรัมย์’ จึงโดดเด่น ขึ้นแท่น Big 5 แห่งอีสาน?

บุรีรัมย์ จังหวัดในโซนอีสานใต้ที่เป็นที่รู้จักดีในฐานะเมืองที่เคยเป็นอาณาจักรขอมโบราณ สะท้อนผ่านสถานที่โบราณมากมายที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งโรจน์ของอารยธรรมขอม เช่น ปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ คูน้ำโบราณโบราณหรือละลมที่กระทายอยู่ทั่วพื้นที่   ด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็ถือได้ว่าโดดเด่น จากการที่บุรีรัมย์มีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) เป็นอันดับ 5 ของภาคอีสานมาโดยตลอด โดยในปี 2566 มีมูลค่าเศรษฐกิจราว 108,467ล้านบาท บุรีรัมย์จึงติดอันดับ “Big 5 of ISAN” รองจากนครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี และอุดรธานี    โดยบทความนี้จะพามาสำรวจว่า อะไรเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดบุรีรัมย์ รวมไปถึงสำรวจถึงความท้าทายเรื่องเรื่องโครงสร้างทางการเงินของคนในจังหวัด   จำนวนประชากรขนาดใหญ่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากข้อมูลปี 2567 จังหวัดบุรีรัมย์มีประชากรราว 1.57 ล้านคน มากเป็นอันดับ 5 ของภาคอีสาน ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะ การมีคนมาก เท่ากับมีแรงงานรองรับภาคการผลิต เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการ ซึ่งเป็นฐานสำคัญของ GPP โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและท่องเที่ยวอย่างบุรีรัมย์  นอกจากนั้น คน ก็คือผู้บริโภคในฝั่งอุปสงค์ ส่งผลต่อความต้องการที่อยู่อาศัย สินค้าอุปโภคบริโภค บริการด้านสุขภาพ การศึกษา ซึ่งล้วนเอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจในท้องถิ่น พาส่องเบิ่ง GPP อีสานปีล่าสุด 2566 จังหวัด Big 5 of ISAN มีมูลค่ามากกว่า 50% ของขนาดเศรษฐกิจทั้งภาคอีสาน ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่า จำนวนประชากรของจังหวัดในภูมิภาคอีสานมีความสัมพันธ์กับขนาดเศรษฐกิจ (GPP) สูงถึง 96% สะท้อนว่าจำนวนประชากรเป็นตัวแปรสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจระดับจังหวัดอย่างมีนัยสำคัญ   พื้นฐานเศรษฐกิจการเกษตรแข็งแรง บุรีรัมย์มีขนาดพื้นที่ 10,322.89 ตารางกิโลเมตร หรือ 6.5 ล้านไร่ ใหญ่เป็นอันดับที่ 7 ของภาคอีสาน และพื้นที่กว่า 70.76% เป็นพื้นที่ทำการเกษตร พืชเกษตรหลักๆ ได้แก่ ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และยางพารา  โดยในปีเพาะปลูก 2566/67 บุรีรัมย์มีผลผลิตข้าวนาปีกว่า 1.06 ตัน สูงเป็นอันดับที 5 ของภาคอีสาน    นอกจากนั้นภาคเกาตรกรรมของบุรีรัมย์ยังมีความโดดเด่นเรื่องการเลี้ยงปศุสัตว์ โดยเฉพาะ โคเนื้อ มีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อถึง 86,618 ราย มีโคเนื้อสะสมราว 563,668 ตัว มากเป็นอันดับ 5 ของประเทศในแง่จำนวนเกษตรกร และอันดับ 4 ของประเทศในจำนวนโคเนื้อ มีการเน้นพัฒนาสายพันธุ์ลูกผสม เช่น ชาโรเล่ส์และแองกัส เพื่อให้เนื้อมีโครงสร้างใหญ่และรสชาติดี เป็นที่ต้องการตลาด   เศรษฐกิจบุรีรัมย์มีสัดส่วนภาคการเกษตร 24.6% ในปี

ทำไมเศรษฐกิจ ‘บุรีรัมย์’ จึงโดดเด่น ขึ้นแท่น Big 5 แห่งอีสาน? อ่านเพิ่มเติม »

ทำไม สกลนคร คือศูนย์กลางของสมุนไพร และการแพทย์แผนไทยแห่งอนาคต ?

สมุนไพร เป็นพืชที่อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างช้านาน ได้สั่งสมความรู้เรื่องการใช้พืชสมุนไพรในการรักษาโรค ดูแลสุขภาพ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ด้วยภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น สมุนไพรจึงกลายเป็นมากกว่าเพียงแค่ยารักษาโรค แต่เป็นวัฒนธรรมทางการแพทย์ที่สะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ สมุนไพรนั้นพบได้ทั่วภูมิภาคในประเทศ เช่นเดียวกันกับภาคอีสาน ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพที่ทำให้พบสมุนไพรได้หลายชนิดในธรรมชาติ มีการปลูกและนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย โครงการเมืองสมุนไพรจังหวัดสกลนคร   สกลนคร จังหวัดในภาคอีสานตอนบนที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำ หรือเทือกเขาภูพาน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พบสมุนไพรธรรมชาติหลายชนิด เช่น ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน คราม เป็นต้น ซึ่งนอกจากสมุนไพรธรรมชาติแล้ว เกษตรกรในจังหวัดก็มีการปลูกสมุนไพรกันมาช้านาน และมีการแปรรูปสู่ผลิตภัณฑ์ โดยในช่วงปี 2557 – 2565 มีผลิตภัณฑ์ OTOP ประเภทสมุนไพร ทั้งสิ้น 257 ผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น สบู่สมุนไพรไทบรู เป็นผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาของชาติพันธุ์ไทบรูใน อ.พรรณานิคม ชาย่านาง และผลิตภัณฑ์เพื่อการผ่อนคลาย เช่นลูกประคบ หรือน้ำมันนวด เป็นต้น   อีกศักยภาพสมุนไพรของสกลนคร มีสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเป็นศูนย์ฝึกอบรมผู้ช่วยแพทย์แผนไทยที่ได้รับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นแหล่งผลิตยาสมุนไพร โดยมีเครือข่ายอินแปงและกลุ่มผู้ปลูกสมุนไพรรวมตัวเป็นสหกรณ์สมุนไพรสกลนครเพื่อจัดหาวัตถุดิบ นอกจากนี้ยังมีศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่มีสวนสาธิตสมุนไพร อาคารแปรรูป และเครือข่ายผู้ปลูกสมุนไพร   โดยการปลูกพืชสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยของสกลนคร ได้ถูกผลักดันอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2559 จากนโยบายในการส่งเสริมการพัฒนาพืชสมุนไพร เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้กับประชาชน จากศักยภาพของสกลนคร ส่งผลให้จังหวัด ได้ถูกคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดปราจีนบุรี เชียงราย สกลนคร และสุราษฏร์ธานี ให้เป็น ‘เมืองแห่งสมุนไพร’    โครงการเมืองสมุนไพรสกลนครขับเคลื่อนผ่านยุทธศาสตร์หลัก 4 ด้าน คือ 1) การส่งเสริมวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพ 2) การพัฒนาอุตสาหกรรมและการตลาด 3) การส่งเสริมการใช้สมุนไพรในระบบสุขภาพ และ 4) การสร้างความเข้มแข็งด้านนโยบายและการบริหารจัดการ โดยมีความคืบหน้าเด่นชัดในด้านต่างๆ ดังนี้   ต้นน้ำ (การเพาะปลูก): มีการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชสมุนไพรที่มีศักยภาพ เช่น ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร ไพล และพืชสมุนไพรที่เป็นอัตลักษณ์ท้องถิ่น โดยเน้นการพัฒนาสู่มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP) เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่สะอาด ปลอดภัย และมีสารสำคัญในปริมาณที่เหมาะสม ดังตัวอย่างความสำเร็จในการพัฒนา “ฟ้าทะลายโจร” ภายใต้แบรนด์ “ภูพานไพล” โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร ที่สามารถเพิ่มสารแอนโดรกราโฟไลด์ให้สูงขึ้น สร้างรายได้ให้กับครัวเรือนเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม   กลางน้ำ (การแปรรูป): โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ถือเป็นหน่วยงานสำคัญในการรับวัตถุดิบสมุนไพรจากเกษตรกรมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชนพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรในรูปแบบที่หลากหลาย

ทำไม สกลนคร คือศูนย์กลางของสมุนไพร และการแพทย์แผนไทยแห่งอนาคต ? อ่านเพิ่มเติม »

อุบลราชธานี เศรษฐกิจเงินสะพัดพันล้าน สู่ อวดเมือง “ฅน เมือง เทียน”

อุบลราชธานี เมืองแห่งปราชญ์-ปรัชญา-ภูมิปัญญาริมฝั่งโขง จังหวัดอุบลราชธานี หนึ่งใน จังหวัดที่ถูกเรียกว่า Big 4 ของอีสาน และ หนึ่งในเมืองรองของการท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคอีสานซึ่งในตอนนี้เป็นจังหวัดที่ทำรายได้จากธุรกิจสร้างสรรค์สูงสุดทะลุ 6 พันล้านขึ้นแซง โคราช ขอนแก่น อะไรทำให้เมืองชายแดนที่ดูเหมือนจะอยู่นอกสายตาอย่าง “อุบลราชธานี” กลายมาเป็นจังหวัดที่สร้างรายได้จากธุรกิจสร้างสรรค์ได้สูงที่สุดในภาคอีสาน? ทำไมเมืองที่ไม่ได้อยู่กลางแผนที่เศรษฐกิจอย่างกลุ่ม Big 4 ถึงสามารถแซงหน้าเมืองใหญ่อย่างขอนแก่นและโคราชได้ในมิติของเศรษฐกิจสร้างสรรค์? อีสานอินไซต์สิพามาเบิ่ง . 1.อุบลหนึ่งในเมืองรองที่สำคัญของภาคอีสาน ด้วยความที่เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวในภาคอีสานไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ หรือ การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ถึงแม้อุบลจะเป็นจังหวัดที่อยู่ติดกับชายแดนแต่ก็ยังมีผู้เยี่ยมเยือนผ่านเข้าออกอยู่เป็นประจำในแต่ละปี ซึ่งมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนในปี 2567 อยู่ที่ 3,763,066 คน ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 5 ของภาคอีสาน สามารถทำรายไดไปปมากถึง 9126.57 ล้านบาท ถือว่าสูงเป็นอันดับ 6 ของภาคอีสานในด้านรายได้จากการท่องเที่ยว และมีอีกสิ่งที่น่าตกใจอย่างมากในปีนี้ก็คือ เป็นจังหวัดที่ทำรายได้จากธุรกิจสร้างสรรค์สูงสุดทะลุ 6 พันล้าน โดยภาคอีสานสามารถสร้างรายได้รวมกว่า 38,778 ล้านบาท เฉพาะงานอีสานสร้างสรรค์ปี 67 ก็สร้างมูลค่ากว่า 6 ร้อยล้านบาท แม้จะไม่ได้อยู่ในสถานะเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจอย่าง “กลุ่ม Big 4 ของอีสาน” ที่ประกอบด้วย นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และอุบลราชธานี แต่ในช่วงหลัง อุบลฯ กลับเป็นจังหวัดเดียวในกลุ่มนี้ที่ “แซงหน้า” เมืองใหญ่ในมิติของธุรกิจสร้างสรรค์ได้อย่างชัดเจน โดยในปี 2567 อุบลราชธานีสร้างรายได้จากเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้สูงสุดของภาคอีสาน มูลค่ากว่า 6,400 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าขอนแก่นและโคราชที่เคยเป็นผู้นำในด้านนี้ นี่ไม่ใช่เพียงตัวเลขที่น่าประทับใจ แต่สะท้อนปรากฏการณ์ใหม่ของเมืองชายแดนที่สามารถเติบโตจาก “ทุนวัฒนธรรม” อย่างยั่งยืนหัวใจของความสำเร็จอยู่ที่การรู้จักใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ให้เกิดมูลค่าอย่างมีกลยุทธ์ อุบลราชธานีไม่ได้เริ่มต้นจากความว่างเปล่า แต่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นจำนวนมากที่รอการต่อยอด ไม่ว่าจะเป็นงานเทียนพรรษา ผ้าทอ เครื่องจักสาน ผ้าย้อมคราม หัตถกรรมพื้นบ้าน ไปจนถึงศิลปะการแสดงแบบอีสาน ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังกลายเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตสินค้า บริการ และประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ตลาดร่วมสมัย พาเปิดเบิ่ง ขุมทรัพย์เศรษฐกิจ จาก “ประเพณีแห่เทียนพรรษา” ทั่วอีสาน ที่สร้างรายได้มหาศาล❗กระตุ้นเศรษฐกิจพุ่ง❗ สิ่งที่ทำให้อุบลฯ เดินได้เร็วกว่าเมืองอื่น คือการมีคนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด และกล้าลงมือสร้างธุรกิจจากวัฒนธรรมดั้งเดิม นักออกแบบรุ่นใหม่ ศิลปินพื้นถิ่น และผู้ประกอบการจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและวิทยาลัยในพื้นที่ต่างผนึกกำลังกันสร้างแบรนด์ที่มีตัวตนชัดเจน เช่น แบรนด์เสื้อผ้าที่นำผ้าทอมาดีไซน์ร่วมสมัย คาเฟ่และโฮมสเตย์ที่ใช้แนวคิดภูมิสถาปัตย์ ในขณะเดียวกัน ภาครัฐก็ไม่ได้ยืนดูเฉย ๆ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ได้ร่วมมือกับจังหวัดและองค์กรภาคีต่าง ๆ สร้างโครงการอย่าง “Ubon Creative City Fair”, “ตลาดนัดคนสร้างสรรค์”, และเทศกาล “Isan Creative Festival” ซึ่งมีนักสร้างสรรค์เข้าร่วมกว่า 900 ราย

อุบลราชธานี เศรษฐกิจเงินสะพัดพันล้าน สู่ อวดเมือง “ฅน เมือง เทียน” อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top