Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

‘สามเหลี่ยมมรกต อุบลราชธานี’ ชายแดนสามเส้า ไทย – ลาว – กัมพูชา กับแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่บรรลุผล

หลังเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาในช่วงวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ณ บริเวณพื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทำให้ประเด็นข้อพิพาทเรื่องดินแดนของทั้ง 2 ประเทศได้รับการพูดถึงมากขึ้นในช่วงนี้ โดยพื้นที่ช่องบกนี้ เป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ “สามเหลี่ยมมรกรต” รอยต่อระหว่างประเทศไทย – ลาว – กัมพูชา โดยบทความนี้ อีสาน อินไซต์ จะพามาสำรวจเรื่องราวของพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งเต็มไปด้วยนัยยะทางประวัติศาสตร์ การเมือง และเศรษฐกิจที่หลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อน    สามเหลี่ยมมรกตคืออะไร? หลายคนคงรู้จัก ‘สามเหลี่ยมทองคำ’ ซึ่งเป็นพื้นที่บรรจบกันระหว่างชายแดนไทย – ลาว – เมียนมา แต่ก็ยังมีอีกพื้นที่ชายแดนสามเส้า ที่กำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในช่วงนี้อย่าง ‘สามเหลี่ยมมรกต’  (Emerald Triangle) หรือ ช่องบก ครอบคุลมพื้นที่ประมาณ 12 ตร.กม.  เป็นจุดบรรจบของสามประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย: อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี สปป.ลาว: เมืองมูนปะโมก แขวงจำปาสัก กัมพูชา: อำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหาร ในอดีตประมาณ 40 ปีก่อนนั้น พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นความขัดแย้งทางอุดมการณ์และการสู้รบอย่างดุเดือดช่วงสงครามเย็น โดยเฉพาะ สมรภูมิช่องบก ภาพ สามเหลี่ยมมรกต – อุทยานแห่งชาติภูจองนายอย จากชายแดนเงียบสงบ สู่สมรภูมิร้อนของสงครามอินโดจีนครั้งที่สาม ในช่วงสงครามเย็น ช่องบกไม่ได้เป็นเพียงเส้นเขตแดนทางภูมิศาสตร์ แต่กลายเป็นแนวหน้าในสงครามอุดมการณ์ระหว่างโลกทุนนิยมกับสังคมนิยม พื้นที่นี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่กองทัพเวียดนามใช้เป็นทางผ่านในการไล่ล่ากลุ่มเขมรแดงที่ถอยร่นมาจากกัมพูชาเข้าเขตไทย โดยกองทัพเวียดนามได้ก้าวล่วงเข้ามายังเขตแดนอธิปไตยของไทยเป็นระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร ตามรายงาน เป้าหมายคือ ตีโอบวงกว้าง เพื่อตัดการลำเลียงยุทธปัจจัยและป้องกันไม่ให้เขมรแดงวิ่งกลับเข้าไทยแล้วย้อนกลับกัมพูชา ซึ่งในขณะนั้นกองทัพของเวียดนามมีความเชี่ยวชาญในยุทธวิธีเป็นอย่างมาก ประกอบกับมีระบบโลจิสติกส์และเส้นทางลำเลียงที่เชื่อมโยงกับ สปป.ลาว ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิด และอาวุธที่สหรัฐอเมริกาเหลือทิ้งไว้ก็ทำให้เวียดนามมีความได้เปรียบเป็นอย่างมาก  ทหารไทย ภายใต้การบัญชาการของกองกำลังสุรนารี (กองทัพภาคที่ 2) เข้าต่อต้านการรุกล้ำของเวียดนาม ซึ่ง เกิดการสู้รบอย่างหนักบริเวณ ช่องบก – เนิน 500 – แนวชายแดนไทย-กัมพูชา จ.อุบลราชธานีการปะทะกันระหว่างทหารเวียดนามและกองทัพไทยในพื้นที่ช่องบกเกิดขึ้นอย่างดุเดือดในช่วงปี พ.ศ. 2528 – 2530  แม้ไทยจะประสบความสำเร็จในการขับไล่กองทัพเวียดนาม และทางเวียดนามได้ถอนกองกำลังออกจากกำพูชาอย่างเป็นทางการในปี 2530 แต่การประทะกันในครั้งนั้นก็ส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก (รายงานอย่างไม่เป็นทางการรายงานว่าทหารไทยเสียชีวิต 109 – 200 นาย บาดเจ็บ 600 กว่านาย) และรัฐไทยในเวลานั้น หลีกเลี่ยงการเปิดเผยรายละเอียด เนื่องจากผลลัพธ์ไม่ใช่ชัยชนะเด็ดขาด และอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ   ความพยายามพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตที่ไม่บรรลุผล หลังสงครามอินโดจีนสิ้นสุดลง ปี พ.ศ. 2532 พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้น ได้ประกาศคำขวัญ  “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ซึ่งสะท้อนการปรับยุทธศาสตร์ระดับชาติจากการป้องกันภัยสงคราม […]

‘สามเหลี่ยมมรกต อุบลราชธานี’ ชายแดนสามเส้า ไทย – ลาว – กัมพูชา กับแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่บรรลุผล อ่านเพิ่มเติม »

ไฟใต้เถ้าแห่งพรมแดน กรณีปะทะไทย–กัมพูชา “ช่องบก” พาย้อนรอยร้าวประวัติศาสตร์ข้อพิพาทชายแดน

ISAN Insight สิพามาเบิ่ง กรณีปะทะไทย–กัมพูชาที่ช่องบก และรอยร้าวประวัติศาสตร์ข้อพิพาทชายแดน สมรภูมิเดือด! เขตแดนทับซ้อน เปิดตำนาน “ช่องบก” หรือ สามเหลี่ยมมรกต จุดชนวนไทย-กัมพูชา พร้อมข้อตกลงล่าสุด   เหตุปะทะล่าสุดในพื้นที่ช่องบก เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 กองทัพบกไทยรายงานเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาในพื้นที่ชายแดนช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี หลังตรวจพบว่าทหารกัมพูชาเข้ามาขุด “ช่องคูเลต” หรือร่องสนามเพาะ เพื่อเตรียมตั้งแนวรบในพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาต่างอ้างกรรมสิทธิ์ โดยมีระยะทางกว่า 650 เมตร การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดข้อตกลงที่ห้ามมีการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศในพื้นที่พิพาท จนนำไปสู่การปะทะซึ่งกินเวลาประมาณ 10–25 นาทีในช่วงเช้ามืด ซึ่งจากการรายงานข่าวของกัมพูชา ระบุว่ามีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย และทางกัมพูชาอ้างว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน ทั้งนี้ แถลงการจากกองทัพบกไทยได้ระบุว่าสาเหตุการปะทะระหว่างทหารสองประเทศว่า หลังจากมีรายงานการรุกล้ำพื้นที่ดังกล่าว ไทยได้พยายามมีการเข้าไปเจรจา แต่เกิดการสื่อสารคลาดเคลื่อน และทางทหารกัมพูชาเข้าใจผิดและเปิดฉากยิงก่อน ทำให้จำเป็นต้องตอบโต้ด้วยกำลัง ทางฝั่งกัมพูชาได้มีการเคลื่อนไหวโดย  “Samdech Hun Sen of Cambodia” ของ จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา บิดาของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน มีการโพสต์ข้อความประณามผ่านโซเชียลมีเดีย และมีการหยิบยกกรณีพิพาทพระวิหาร อีกทั้งภายในที่ประชุมรัฐสภากัมพูชายังได้มีการหยิบยก แนวทางการยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อหาทางยุติข้อพิพาทเขตแดนกับไทย หลัง กัมพูชาปิดกั้นบล็อกเฟสบุ๊ค IP คนไทย ส่วน ไทย(มีแผนเตรียม)สั่งปิดด่านชายแดนเขมร 6 แห่ง และจุดผ่อนปรน 10 แห่ง ก่อนจะได้ข้อสรุปยังไม่ผิดด่าน เพื่อหาทางเจรจาต่อไป   ไทยยืนยันสถานการณ์โดยรวมยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีลักษณะใดที่นำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยกำลังแต่อย่างใด พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบันว่า สถานการณ์โดยรวมยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีลักษณะใดที่นำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยกำลังแต่อย่างใด   เมื่อวันที่ 30 พฤภาคม 68 กองทัพบกออกหนังสือแถลงการณ์ผลการเจรจาระหว่าง ผบ.ทบ.ไทย – ผบ.ทบ.กัมพูชา ในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ 1. ผบ.ทบ.ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียกำลังพลจากเหตุการณ์ปะทะ และเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญต่อเจตนารมณ์ของ รมว.กลาโหม ของทั้งสองประเทศ ที่ต้องการให้มีการเจรจา เพื่อยุติความขัดแย้ง พร้อมแสดงจุดยืนสนับสนุนการพูดคุยเจรจาด้วยสันติวิธีในการหาข้อตกลงร่วมกัน และขอยืนยันว่าจะไม่มีการรุกรานอธิปไตย หรือการหยิบยกประเด็นข้อขัดแย้งในอธิปไตยของกัมพูชาโดยเด็ดขาด การเจรจาครั้งนี้จะส่งผลดีต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ 2. กรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก กองทัพบกไทยและกัมพูชา มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ Joint Boundary Committee (JBC) ซึ่งเป็นกลไกในระดับรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งผลการประชุม JBC คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในอีก 2 สัปดาห์ โดยปัจจุบันกำลังทั้งสองฝ่ายที่เคยปะทะได้ตกลงที่จะเคลื่อนออกจากพื้นที่ ถือเป็นการคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นพ้องในการใช้กลไกคณะกรรมการร่วมมือรักษาความ

ไฟใต้เถ้าแห่งพรมแดน กรณีปะทะไทย–กัมพูชา “ช่องบก” พาย้อนรอยร้าวประวัติศาสตร์ข้อพิพาทชายแดน อ่านเพิ่มเติม »

อุดรธานี ศักยภาพเกินเมืองรอง ดึงดูดผู้เยี่ยมเยือนเกือบ 5 ล้านคน พร้อมครองแชมป์รายได้จากชาวต่างชาติสูงสุดในภาคอีสาน

อุดรธานี เป็นจังหวัดที่อยู่ในกลุ่มจังหวัด ‘สบายดี’ (ประกอบไปด้วย: บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู และอุดรธานี) มีผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP) ในปี 2566 อยู่ที่ 124,478 ล้านบาท โดยอุดรธานีนั้นขึ้นชื่อเรื่องการค้า และการท่องเที่ยว มีแหล่งท่องเที่ยวหลากสายหลากสไตล์ ยกตัวอย่างเช่น:  สายธรรมชาติ: ทะเลบัวแดง บึงหนองหานกุมภวาปี  สายประวัติศาสตร์: พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติบ้านเชียง สายธรรมะและสายมู: วังนาคินทร์คำชะโนด วัดป่าภูก้อน สายเมือง: เซนทรัลพลาซ่าอุดรธานี ศูนย์การค้ายูดี ทาวน์ Agoda เผย อุดรธานีคว้าอันดับ 1 จุดหมายท่องเที่ยวสุดคุ้ม   อุดรฯ เป็นหมุดหมายแรกในการลงทุนในอีสาน อุดรธานีตั้งอยู่ในภาคอีสานตอนบน และมีเขตติดต่อกับจังหวัดชายแดนลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งถือว่าใกล้กับประเทศลาว อีกทั้งอุดรธานี ยังเป็นจังหวัดที่สามารถเดินทางได้สะดวก ทั้งทางถนน ราง และทางเครื่องบิน จึงถือว่ามีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางคมนาคมเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะการลงทุนจากภาครัฐในโครงการ “รถไฟความเร็วสูงสายแรกของไทย กรุงเทพฯ – โคราช – หนองคาย” โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ – หนองคาย ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง แบ่งออกเป็นทั้งหมด 2 ระยะด้วยกัน ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ – นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 253 กิโลเมตร วงเงิน 179,413 ล้านบาท ระยะที่ 2 นครราชสีมา – หนองคาย ระยะทางประมาณ 357.12 กิโลเมตร วงเงินรวมกว่า 341,351 ล้านบาท โดยหากโครงการนี้แล้วเสร็จในอนาคตจะย่นระยะเวลาการเดินทาง 606.17 กิโลเมตร ให้เหลือเวลาเดินทางเพียง 3 ชั่วโมง 36 นาที เท่านั้น และจะทำให้การเดินทางข้ามจังหวัด และขจัดอุปสรรคในการเดินทางข้ามจังหวัดในภาคอีสานลดลง และจะกระตุ้นการเดินทางและการท่องเที่ยวตลอดเส้นทางรถไฟความเร็วสูงนี้มากขึ้น . นอกจากนี้แล้ว อุดรธานียังมีโครงการศูนย์กลางการค้าและการขนส่งสินค้า (Logistic Park) และโครงการท่าเรือบก (Inland Container Deport) ที่จะจัดตั้งขึ้นในนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี เพื่อยกระดับการขนส่งสินค้าและพร้อมเป็นศูนย์โลจิสติกส์ประจำอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขงอีกด้วย . ส่วนในด้านเศรษฐกิจนั้น ปี 2565 อุดรธานี มีมูลค่าเศรษฐกิจ (GPP) 120,539 ล้านบาท มากเป็นอันดับ 4 ของอีสาน และมีรายได้ต่อหัว (GPP per capita) 96,546 บาท สูงเป็นอันดับ 5 ของอีสาน ซึ่งมีการเติบโตจากปีก่อนหน้าทั้งมูลค่าเศรษฐกิจและรายได้ต่อหัว . โดยเศรษฐกิจของอุดรธานีพึ่งพาภาคบริการเป็นหลัก

อุดรธานี ศักยภาพเกินเมืองรอง ดึงดูดผู้เยี่ยมเยือนเกือบ 5 ล้านคน พร้อมครองแชมป์รายได้จากชาวต่างชาติสูงสุดในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

CEA แถลงข่าวจัดเทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 ภายใต้แนวคิด “อีสานโชว์พ(ร)าว – ISAN SOUL PROUD” ผนึกกำลังพันธมิตรระดับประเทศ ปั้นอีสานสู่เวทีเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับภูมิภาคสู่สากล

ISAN Insight And Outlook ร่วมเป็นพันธมิตรเครือข่าย เทศกาล ‘อีสานสร้างสรรค์’ จากจุดเริ่มต้นสู่ความร่วมมือทุกภาคส่วนเป็นปีที่ 5 หลายๆ ท่านอาจจะรู้จักหรือ เคยได้ยินงานเทศกาลคุ้นหูอย่างเช่น Bangkok Design Week, Chiangmai Design Week, Pakk Taii Design Week, และ นี่คืองานที่ไม่ได้จำกันที่แค่ Design Week แต่อีสานคือดินแดนแห่งความสร้างสรรค์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นงานในชื่อ ISAN Creative Festival เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ร่วมกับภาคีเครือข่ายระดับประเทศ จัดงานแถลงข่าว ประกาศความพร้อมจัด “เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568” หรือ “Isan Creative Festival 2025” (ISANCF2025) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 ภายใต้ธีม “อีสานโชว์พ(ร)าว – ISAN SOUL PROUD” ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2568 บน 4 พื้นที่สำคัญในจังหวัดขอนแก่น ได้แก่ TCDC ขอนแก่น ย่านกังสดาล, ย่านชุมชนสร้างสรรค์โคลัมโบ, โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น, ชุมชนสาวะถี และพื้นที่อื่น ๆ ในภาคอีสาน นายสักก์สีห์ พลสันติกุล ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ขอนแก่น กล่าวว่า “ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ‘เทศกาล’ ไม่ใช่แค่กิจกรรม แต่คือเวทีที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 1,590 ล้านบาท และปีนี้เทศกาลฯ พร้อมก้าวสู่ปีที่ 5 อย่างเต็มรูปแบบ โดยยกระดับเทศกาลให้กลายเป็น Creative Business Platform ที่เชื่อมโยงนักสร้างสรรค์และชุมชนกับภาคอุตสาหกรรม พัฒนาทุนวัฒนธรรมให้เกิดการลงทุน การคืนถิ่นของคนรุ่นใหม่ และสร้างการเติบโตให้เมืองในอีสานกลายเป็น Creative City ที่กระจายโอกาสอย่างยั่งยืน” “ภายใต้แนวคิด “อีสานโชว์พ(ร)าว – ISAN SOUL PROUD” ที่อยากชวนทุกคนมาต่อยอดโอกาสใหม่ของอีสาน ผ่านการใช้กระบวนการซอฟต์พาวเวอร์ทั้งในมิติของ ‘การโชว์โอกาส’ ผ่านต้นทุนวัฒนธรรมที่ต่อยอดได้ทางธุรกิจ และ ‘การโชว์ศักยภาพเชิงพื้นที่’ ที่พร้อมต้อนรับการลงทุน การท่องเที่ยวและการอยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพ โดยปีนี้มีมากกว่า 200 โปรแกรมใน 7 รูปแบบกิจกรรม ทั่ว 4 พื้นที่สำคัญของจังหวัดขอนแก่น ซึ่ง CEA

CEA แถลงข่าวจัดเทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 ภายใต้แนวคิด “อีสานโชว์พ(ร)าว – ISAN SOUL PROUD” ผนึกกำลังพันธมิตรระดับประเทศ ปั้นอีสานสู่เวทีเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับภูมิภาคสู่สากล อ่านเพิ่มเติม »

TCEB Isan Mice เผย “นครราชสีมา” และ “ขอนแก่น” ติดอันดับ✈️ ‘เมืองจัดประชุมนานาชาติของโลก’ ใน ICCA Ranking แล้วอย่างเป็นทางการ!🤝

สมาคมการจัดประชุมนานาชาติเปิดผลรายงาน ICCA Ranking Report 2024 ซึ่งจัดอันดับประเทศและเมืองเจ้าภาพการจัดประชุมนานาชาติทั่วโลก ไทยไต่ขึ้นสู่อันดับ 25 ของโลก ด้วยจำนวนงานประชุมนานาชาติรวม 158 งาน เพิ่มขึ้นจาก 143 งานในปีก่อน ส่งผลให้ไทยครอง อันดับ 5 ในเอเชีย และ ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน . ในระดับเมือง กรุงเทพมหานคร สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นสู่อันดับ 7 ของโลก และ อันดับ 3 ของเอเชีย ขณะที่ เชียงใหม่ (12 งาน), พัทยา (10 งาน) และภูเก็ต (8 งาน) ยังคงรักษาตำแหน่งเมืองเป้าหมายหลักในการจัดประชุมนานาชาติอย่างต่อเนื่อง รายงานยังเปิดเผยว่า ปีนี้มีอีก 9 เมืองในไทยที่สามารถผ่านเกณฑ์การจัดอันดับ ICCA เป็นครั้งแรกหรืออย่างต่อเนื่อง ได้แก่:  ชลบุรี (3 งาน)  เชียงราย (2 งาน)  ปทุมธานี (2 งาน)  หัวหิน (1 งาน)  ขอนแก่น (1 งาน) สมุย (1 งาน) นครราชสีมา (1 งาน) นนทบุรี (1 งาน) ปัตตานี (1 งาน) รวมแล้วในปี 2567 มีเมืองในประเทศไทยติดอันดับรวม 13 เมือง สะท้อนถึงความก้าวหน้าในการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจและศักยภาพของเมืองรองทั่วประเทศในฐานะเมืองไมซ์ .  ข่าวดีสำหรับชาวไมซ์อีสาน ‘ขอนแก่น’ และ ‘นครราชสีมา’ เป็น 2 ใน 9 เมืองในไทยที่สามารถผ่านเกณฑ์การจัดอันดับ ICCA เป็นครั้งแรกหรืออย่างต่อเนื่อง ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนที่ทำให้ขอนแก่นและนครราชสีมาก้าวขึ้นบนแผนที่โลกของเมืองไมซ์ระดับสากล ที่มา: https://www.facebook.com/share/p/1DdfsF9n4R/?mibextid=wwXIfr _____ #ICCARanking #KhonKaenOnGlobalMap #TCEBISANMICE #MICEisMore ⸻ Thailand’s “New High” in Global Convention Destination Ranking Country Bouncing to 1st in ASEAN, 5th in Asia Pacific. Bangkok Rising to World’s 7th Spot and APAC’s Top 3 Chiang

TCEB Isan Mice เผย “นครราชสีมา” และ “ขอนแก่น” ติดอันดับ✈️ ‘เมืองจัดประชุมนานาชาติของโลก’ ใน ICCA Ranking แล้วอย่างเป็นทางการ!🤝 อ่านเพิ่มเติม »

สุดล้ำ❗ทีมวิจัย มทส.โคราช พัฒนา CT-Scan พร้อม AI ตรวจทุเรียน อ่อน-แก่-หนอนเจาะ รู้ผลใน 3 วิ

ไทยยังครองแชมป์ “ราชาทุเรียน” ส่งออกกว่า 800,000 ตัน/ปี สร้างรายได้ 150,000 ล้าน แต่ปัญหาทุเรียนอ่อน หนอนเจาะ เนื้อตกเกรด กำลังคุกคามความเชื่อมั่นของตลาด โดยเฉพาะ “จีน” ARDA จึงสนับสนุนทีมนักวิจัย ม.เทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา พัฒนาเครื่อง CT-Scan ที่ตกรุ่นปลดระวางจากบริษัทเอกชนด้านเครื่องมือแพทย์ มาพัฒนาต่อยอดเป็นเครื่องต้นแบบ ร่วมกับ AI วิเคราะห์เนื้อทุเรียนแบบไม่ต้องผ่า… สแกนได้ 1,200 ลูก/ชม. แยกอ่อน-แก่ ตรวจหนอนได้แบบเรียลไทม์ ช่วยลดต้นทุน ลดแรงงาน และยกระดับคุณภาพผลผลิตสู่ตลาดโลก… นี่คือตัวอย่างจริงของ “เกษตรสมัยใหม่” ที่ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เกิดขึ้นแล้ว เพราะ “คุณภาพ” จะเป็นตัวชี้วัดอนาคตของเกษตรไทย. แม่นยำ 95% รู้ผลใน 3 วินาที! หรือ 1,200 ลูก/ชั่วโมงครั้งแรกในไทย! เครื่อง CT-Scan ตรวจทุเรียน อ่อน-แก่-หนอนเจาะ ใช้งานจริงแล้วในล้งทุเรียน จ.จันทบุรี   ARDA โชว์ความเป็นเจ้าแห่งบัลลังก์ราชาหนาม สร้างเครื่อง CT-Scan ทุเรียนสุดล้ำประมวลผลด้วยระบบ AI คัดทุเรียน “ไม่อ่อน-ไม่หนอน” 1 ลูกใช้เวลาสแกน 3 วินาที ประเทศไทยถูกขนานนามว่าเป็น “ราชาแห่งทุเรียน” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งออกทุเรียนไปยังตลาดโลกปีละไม่ต่ำกว่า 800,000 ตันต่อปี อยู่ในภาคตะวันออกของไทย 300,000 ตัน ภาคใต้ประมาณ 500,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 150,000 ล้านบาท โดยตลาดส่งออกหลักของไทยยังคงเป็นประเทศจีนที่มีการนำเข้าปีละไม่ต่ำกว่า 700,000 ตัน และถึงแม้ทุเรียนเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สำคัญของไทย แต่การคัดแยกระดับความอ่อน-แก่และการตรวจสอบปัญหาหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนยังคงเป็นความท้าทายสำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการไทย ซึ่งหากไทยไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ นั่นไม่เพียงแต่จะเสียแชมป์ส่งออกทุเรียนเบอร์ 1 ของโลก แต่ยังเป็นการสูญรายได้เข้าประเทศจำนวนมหาศาล ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร กล่าวว่า ทุเรียนเป็นผลไม้ที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะตลาดจีนที่มีความต้องการสูง แต่ปัญหาใหญ่ที่พบบ่อยและกระทบต่อการตลาดส่งออกทุเรียน คือ ปัญหาหนอนในผลทุเรียนและการเก็บทุเรียนอ่อนมาจำหน่าย อีกทั้งยังพบการลักลอบส่งออกทุเรียนอ่อนไปตลาดต่างประเทศ ซึ่งล้วนแต่เป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ และทำลายความเชื่อมั่นในคุณภาพทุเรียนไทยทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นหากประเทศไทยมีเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยคัดกรองทุเรียนที่แม่นยำก็จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและแก้ปัญหาดังกล่าวได้ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ ARDA จึงได้สนับสนุนทุนวิจัยแก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เพื่อดำเนินโครงการ “การออกแบบเครื่องคัดแยกความอ่อน-แก่ และหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนด้วยเทคนิค CT-Scan ร่วมกับการประมวลผลผ่านโครงข่ายประสาทเทียมเชิงลึก” เพื่อออกแบบ และพัฒนาเครื่องมือตรวจสอบความอ่อน – แก่ และหนอนในผลทุเรียนด้วยเทคนิค CT-Scan ระดับโรงคัดบรรจุ ที่มีความแม่นยำไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 “ปัจจุบันการประเมินทุเรียนอ่อนแก่จะใช้วิธีฟังเสียงเคาะ ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเกษตรกร แต่ก็ไม่สามารถยืนยันผลได้ 100% ขณะที่หนอนมีวงจรชีวิตอยู่ข้างในและเติบโตพร้อมผลทุเรียนจึงไม่รู้ว่าทุเรียนแต่ละลูกมีหนอนหรือไม่ เพราะยังไม่มีวิธีตรวจสอบ แต่การใช้เทคนิค CT-Scan

สุดล้ำ❗ทีมวิจัย มทส.โคราช พัฒนา CT-Scan พร้อม AI ตรวจทุเรียน อ่อน-แก่-หนอนเจาะ รู้ผลใน 3 วิ อ่านเพิ่มเติม »

“บั้งไฟลายศรีภูมิ” ลวดลายแห่งฟ้า ศิลป์แห่งแผ่นดิน ถิ่นร้อยเอ็ดต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ผลักดัน เศรษฐกิจชุมชน

“บุญบั้งไฟ ถือเป็นหนึ่งในประเพณีที่สำคัญของภาคอีสานที่จะขาดไปไม่ได้เลย ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ชาวอีสานมีความเชื่อว่า ถ้าปีใดไม่จัดงานบุญบั้งไฟ ฟ้าฝนก็จะไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกิดความแห้งแล้ง ไม่มีน้ำทำนา แต่ถ้าปีใดจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ฟ้าฝนก็จะตกต้องตามฤดูกาล เกิดความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัย งานบุญบั้งไฟจึงถือเป็นงานประเพณีประจำปีที่สำคัญของชาวอีสาน พอใกล้ถึงวันงานชาวอีสานไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะกลับบ้านไปร่วมงานบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นงานที่สร้างความรักความสามัคคีของคนท้องถิ่นเป็นอย่างดี  ภาพโดย คุณครูประภากร กลางคาร เผยแพร่โดย เพจ สุวรรณภูมิ .   ณ จังหวัดร้อยเอ็ด อำเภอ สุวรรณภูมิ ที่กำเนิดหนึ่งใน บั้งไฟที่มีการเอ้บั้งไฟที่งดงามมากที่สุดได้มีการจัดงานบุญบั้งไฟลายศรีภูมิ  โดยในปีนี้ ประเพณีบุญบังไฟลายศรีภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จะถูกจัดขึ้น วันที่ 4-8 เดือน มิถุนายน ปี 2568 ในงานประเพณีในปีนี้ ก็จะมีกิจกรรมตลอดทั้งงาน ไม่ว่าจะเป็น ขบวนมเหศักดิ์ สักการะและอัญเชิญถ้วยรางวัลพระราชทาน, ขบวนฟ้อน วัฒนธรรมเมืองศรีภูมิ, การแสดงวัฒนธรรม, ประกวดขบวนฟ้อนสวยงาม, ประกวด บั้งไฟเอ้สวยงาม, และ จุดบั้งไฟถวยตามประเพณี และ ยังมีกิจกรรมอื่นๆอีกมากมายภายในงาน ภาพจาก: Sriphume  ในงานนี้ยังเป็นหนึ่งในงานที่ได้รับ โปรดเกล้าฯ พระราชทาน ถ้วยรางวัล การแข่งขันประเภท บั้งไฟเอ้สวยงาม และนอกจากนี้ ยังมีการประกวด “ขบวนฟ้อนสวยงาม” ขิงถ้วยรางวัลพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกด้วย ส่งผลให้ งานประเพณีบุญบั้งไฟลายศรีภูมิ อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เป็น งานเดียวในประเทศไทย ที่มี การประกวดชิงถ้วยรางวัลพระราชทาน ของทั้งสองพระองค์   ทำไมถึงว่าบั้งไฟลายศรีภูมิเป็นหนึ่งในบั้งไฟที่มีการเอ้บั้งไฟสวยมากที่สุด จากการศึกษาวิจัย ของ ดร.อำคา แสงงาม ปราชญ์แห่งท้องทุ่งกุลา เรื่องการตกแต่งบั้งไฟของชาวอำเภอสุวรรณภูมิ ในปี 2535 นั้น ได้ให้ข้อสังเกตในเบื้องต้นว่า การ “เอ้บั้งไฟ”หรือ การประดับตกแต่งบั้งไฟ  ของชาวสุวรรณภูมิ มีลักษณะที่เป็นแบบแผนเฉพาะถิ่น ในด้านการใช้วัสดุ วิธีการสร้าง รูปทรงวิธีการการเอ้ การใช้สีจากกระดาษ เอ้ตัวบั้งไฟ ประการที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้ “การเอ้บั้งไฟ” ของสุวรรณภูมิ แตกต่างจากที่อื่นโดยชัดเจน คือ ลวดลายที่นำไปใช้ประดับตกแต่งนั้น จะเป็น ลวดลายที่เกิดจากการใช้ เทคนิคการตัดกรรไกรด้วยกระดาษ เท่านั้น ซึ่ง แตกต่างจากที่อื่นโดยสิ้นเชิง โดยลวดลาย มีพัฒนาการ โดยช่างในท้องถิ่น และมีการพัฒนาลวดลาย ไม่น้อยกว่า 100 ปี ในอีกประการหนึ่ง ของเอกลักษณ์การตกแต่งเอ้บั้งไฟ ของชาวสุวรรณภูมิ คือ รูปเศียรนาค ที่ใช้เอ้ ส่วนหัวบั้งไฟ โดย เสมือนเป็นการระลึกถึง ท้าวสุวรรณภังคี ซึ่งเป็นพยานาค

“บั้งไฟลายศรีภูมิ” ลวดลายแห่งฟ้า ศิลป์แห่งแผ่นดิน ถิ่นร้อยเอ็ดต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ผลักดัน เศรษฐกิจชุมชน อ่านเพิ่มเติม »

ทรู สัญญาณมือถือ และ เน็ตบ้านล่ม ใช้งานไม่ได้ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ

“ทรู” เน็ตดับ โทรไม่ได้เนื่องจากสัญญาณมือถือ และ เน็ตบ้าน “ล่ม” ในพื้นที่หลายจุดในอีสาน และ ทั่วไทย ผู้ใช้งานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ภาคอีสาน และ ทีมงาน ISAN Insight พบว่าเวลาช่วงสายวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ประมาณ 9 โมงเป็นต้นไป ผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ค่าย “ทรู” ไม่สามารถใช้งานได้เนื่องจากสัญญาณมือถือ และ เน็ตบ้าน “ล่ม” ในพื้นที่หลายจุด ปัญหาสัญญาณ “ล่ม” ขึ้นอันดับ 1 ในเทรนด์ X ในขณะที่📶เว็บไซต์ Downdetector รายงานเหตุ “True” ล่มทั้งเน็ต – สัญญาณมือถือ ไม่สามารถใช้งานได้ในหลายพื้นที่ 22 พฤษภาคม 2568 เว็บไซต์ Downdetector แพลตฟอร์มระบุข้อมูลสถานะบริการออนไลน์ รายงานเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ว่า เกิดเหตุสัญญาณอินเทอร์เน็ตของ True ล่มในหลายพื้นที่ ทำให้พื้นที่ที่พบการล่มนั้นไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งบนพีซีและสมาร์ตโฟนได้ และยังพบการล่มใน DNS และ เซิร์ฟเวอร์ด้วย โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมถึงมีผู้ใช้งานหลายรายเปิดเผยบนโซเชียลมีเดียด้วยว่า สัญญาณโทรศัพท์ของ True ก็ไม่สามารถใช้งานโทรเข้า-ออกได้เช่นกัน . ทรู ชี้แจง ตอนนี้ทีมงานกำลังเร่งแก้ไขเหตุสัญญาณมือถือขัดข้องอย่างเร่งด่วน ส่วนผู้ใช้งานดีแทคนั้นจะไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว . #True #ทรู #ทรูล่ม #เน็ตทรูล่ม #สัญญาณล่ม ส่วนค่าย True แนะนำให้ รีสตาร์ทเครื่อง 1 ครั้ง เพื่อแก้ไขให้กลับมา โทรได้ 

ทรู สัญญาณมือถือ และ เน็ตบ้านล่ม ใช้งานไม่ได้ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

🗨️Typhoon; โมเดล AI สัญชาติไทย รองรับ ‘เลขไทย’ เอกสาร ‘ราชการ’ ก็ไม่กลัว ดึงข้อมูลจาก-PDF OCR โปรเจคภายใต้ยานแม่ SCB-X

[เปิดให้นักพัฒนา AI ทั่วโลกสามารถใช้งานได้แล้ววันนี้ “ไต้ฝุ่น” โมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่บน Samba-1]   กลุ่ม SCBX นำโดย เอสซีบี เอกซ์ (SCBX) และเอสซีบี เท็นเอกซ์ (SCB 10X) เดินหน้าผลักดันระบบนิเวศและคอมมูนิตี้ AI ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นของกลุ่ม SCBX ในการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI หรือ AI-First Organization ล่าสุด ผนึกกำลัง SambaNova Systems บริษัทผู้ให้บริการโซลูชันด้าน Generative AI ที่รวบรวมโมเดลที่เร็วที่สุด และ Chips ที่ทันสมัยที่สุด นำ “ไต้ฝุ่น” (Typhoon) โมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่ (Thai Large Language Model) เปิดให้บริการบนแพลตฟอร์ม Samba-1 Composition of Experts (CoE) เพื่อให้นักพัฒนา AI ทั่วโลกสามารถใช้ต่อยอดและพัฒนาแอปพลิเคชันด้าน AI บนแพลตฟอร์ม Samba-1 ได้แล้ววันนี้ “ไต้ฝุ่น” (Typhoon) โมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่พัฒนาขึ้นสำหรับภาษาไทยโดยเฉพาะ (Large Language Model optimized for Thai) ซึ่งนับเป็นโมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่ที่ดีที่สุดในปัจจุบันและมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ GPT-3.5 และ GPT-4 ในภาษาไทย โดยวัดจาก Benchmark ที่รวบรวมและจัดเตรียมมาจากข้อสอบภาษาไทยความยากเทียบเท่าข้อสอบมัธยมปลายและข้อสอบมาตรฐานอื่นๆ ในประเทศไทย โดย “ไต้ฝุ่น” (Typhoon) ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาช่องว่างทางภาษาที่โมเดลส่วนใหญ่ในปัจจุบันถูกฝึกฝนเป็นภาษาอังกฤษเป็นหลัก รวมถึงข้อจำกัดด้านทรัพยากรของภาษาไทยที่ไม่มีข้อมูลมากเพียงพอ (Low Resource Language) ผู้สนใจและนักพัฒนาทดลองสามารถดาวน์โหลด Typhoon Model เพื่อต่อยอดในการพัฒนาแอปพลิเคชันและนวัตกรรมด้าน AI ได้ฟรีตั้งแต่วันนี้ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ https://opentyphoon.ai/ [ทำไมไทยต้องมี AI ที่มี LLM เป็นของตนเอง?] . ประหยัดต้นทุนต่อ Token: ในเชิงเทคนิค หากใครจ่ายเงินใช้ AI อย่าง ChatGPT, Gemini หรือ แบรนด์ใดๆ อยู่จะทราบว่าการใช้งานของคุณ จำกัด token ตามแพ็คเกจที่จ่ายเงิน สมมติเช่น Hi = 1 คำ 2 token, แต่พอเป็น สวัสดี อาจจะใช้มากถึง 4-5 token เพื่อให้ Ai เข้าใจคำที่มีความหมายเดียวกันในต่างภาษา เพราะ LM หรือ

🗨️Typhoon; โมเดล AI สัญชาติไทย รองรับ ‘เลขไทย’ เอกสาร ‘ราชการ’ ก็ไม่กลัว ดึงข้อมูลจาก-PDF OCR โปรเจคภายใต้ยานแม่ SCB-X อ่านเพิ่มเติม »

สำนักเลขาพระสังฆราช แถลงปม เพจเผยแพร่❌ข้อมูลเท็จ ‘แอบอ้าง’ พระดำรัส สั่งงดถวายเงินพระ

จากกรณี การเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จโดยแอบอ้างว่าเป็นพระดำรัส โดยเนื้อหาที่เผยแพร่และถูกแชร์อย่างแพร่หลายใน social media ระบุว่า “สมเด็จพระสังฆราชรับสั่งให้ประชาชนงดเอาเงินถวายพระโดยเด็ดขาดแม้กระทั่งงานศพงดใส่ซองขาวถวายพระ สาธุ🙏” หรือมีการก็อปวางแพร่ข่าว อื่น ๆ   สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช แถลงแจงว่าเป็นข่าวเท็จ ข้อมูลเท็จ ‘แอบอ้าง’ พระดำรัส สั่งงดถวายเงินพระ โดยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 เพจเฟสบุ๊คของ สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง การเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จโดยแอบอ้างว่าเป็นพระดำรัส โดยมีเนื้อหา ดังต่อไปนี้ “ด้วย ปรากฏว่ามีการนำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์และเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ โดยแอบอ้างว่าเป็นพระดำรัส สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว จึงขอแจ้งให้ทราบดังนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ไม่เคยมีพระดำรัสด้วยถ้อยคำในลักษณะบริภาษตามที่ปรากฏในสื่อ แต่โปรดมีรับสั่งกำชับเนือง ๆ ในเรื่องการบริจาคทาน การถวายจตุปัจจัยอันควรแก่สมณบริโภค และการปวารณาเป็นอุปัฏฐากพระภิกษุจำเพาะรายด้วยปัจจัยสี่ ให้กระทำตามหลักพระธรรมวินัย ด้วยการปวารณา และการมีไวยาวัจกร จึงขอสาธารณชนอย่าหลงเชื่อถ้อยคำอันถูกแต่งเติม และขออย่าได้ส่งต่อ อันเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกตำหนิโทษกันในหมู่พุทธบริษัท อนึ่ง เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช โปรดมีพระลิขิตที่ สร. ๑๕/๒๕๖๘ ลงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ประทานพระปรารภไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้กราบทูลเสนอหลักการและแนวนโยบายสำหรับการจัดการศาสนสมบัติวัด อย่างสมสมัยและสถานการณ์ ตามหลักพระธรรมวินัยและกฎหมายคณะสงฆ์ เพื่อนำเสนอมหาเถรสมาคมพิจารณากำหนดนโยบายคณะสงฆ์ และวางมาตรการปฏิบัติ ทั้งนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ดำเนินการสนองพระปรารภแล้ว และจะได้มอบถวายมหาเถรสมาคมพิจารณาโดยถี่ถ้วนต่อไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๘”

สำนักเลขาพระสังฆราช แถลงปม เพจเผยแพร่❌ข้อมูลเท็จ ‘แอบอ้าง’ พระดำรัส สั่งงดถวายเงินพระ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top