Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

ส่องซอด “3 สิทธิรักษาพยาบาล” สำหรับคนต่างด้าว (ถูกกฎหมาย)

“ต่างด้าว” เข้ารักษามีค่าใช้จ่าย ยกเว้น 3 กลุ่ม “รอสัญชาติไทย-อยู่ในประกันสังคม-ซื้อประกันสุขภาพ” มีกองทุนดูแล หลังมีประเด็นข้อพิพาทระหว่างไทย กับ กัมพูชาล่าสุด จึงมีคลิปเล่าเหตุการณ์จาก นพ.พจน์ ปทุมนากุล แพทย์ประจำบ้าน อายุรศาสตร์ มาเล่าประสบการณ์ เมื่อ 3 ปีก่อนว่า ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ รพ.แห่งหนึ่งที่จังหวัดอุบลราชธานี หลังพบชาวกัมพูชา ใช้บัตรประชาชนคนไทย มาใช้สิทธิ์ 30 บาท 10 มิ.ย. 68 – นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สาธารณสุข) ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่แพทย์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ออกมาเปิดเผยว่า มีการสวมสิทธิ์บัตร 30 บาทรักษาทุกที่ของคนไทยโดยชาวกัมพูชา ยืนยันเตรียมดันมาตรการใช้ “ไบโอเมตริกซ์” (Biometric) มาตรวจสอบตัวตนเพื่อสกัดการสวมสิทธิ์ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ตนได้นำเรื่องปัญหาแรงงานผิดกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว เพื่อให้กระทรวงสาธารณสุขสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบและป้องกันโรคระบาดที่อาจเข้ามาในประเทศได้อย่างเต็มที่ โดยระบุว่าในอดีตมีหลาย พ.ร.บ. ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ซึ่งกำลังพิจารณาปรับแก้ เมื่อสอบถามว่าได้ตรวจสอบการสวมสิทธิ์ของชาวกัมพูชาแล้วหรือไม่ รมว.สาธารณสุข ชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวเป็นรายละเอียดในระดับเจ้าหน้าที่ ไม่ได้ส่งมาถึงตนโดยตรง เช่นเดียวกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ที่ตนได้ปรับแก้ปัญหาในภาพรวมไปแล้ว นายสมศักดิ์ ย้ำชัดเจนว่าผู้ที่มีสิทธิ์ใช้บัตร 30 บาทรักษาทุกที่นั้น จะต้องเป็นประชาชนชาวไทยเท่านั้น พร้อมกล่าวถึงประเด็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ว่า “ตามที่ได้มีคลิปออกมาว่าตนได้ขอกรรมการควบคุมโรคติดต่อให้มี Biometric ตนก็ยังตกใจเพราะคิดว่าคนคงจะเห็นว่าแพงมาก เครื่องนึงแค่ 15,000 บาท ถ้า 30 โรงพยาบาลที่ชายแดน ซื้อเครื่องนี้ ก็เป็นเงินเพียง 400,000 กว่าบาทเท่านั้นเอง เรื่องนี้สำหรับตรวจม่านตา เพราะเราไม่สามารถออกรหัสให้คนต่างด้าวได้” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการลงทุนเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ในพื้นที่ชายแดน   ISAN Insight พามาฮู้จัก “3 สิทธิรักษาพยาบาล” สำหรับคนต่างด้าว (ถูกกฎหมาย) ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ระบบสาธารณสุขของไทยมุ่งเน้นการปฏิบัติตามกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เพื่อดูแลผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยโดยไม่เลือกเชื้อชาติหรือศาสนา ปัจจุบันมีการแบ่งสิทธิการรักษาสำหรับคนต่างด้าวออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.บุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิหรือบุคคลไร้รัฐ (กลุ่ม ท.99) บุคคลในกลุ่มนี้กำลังอยู่ในกระบวนการพิสูจน์สัญชาติไทย ได้รับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก และมีรายชื่อในฐานข้อมูลกระทรวงมหาดไทย ใช้สิทธิรักษาผ่านกองทุนประกันสุขภาพบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ (กองทุน ท.99) ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล ปัจจุบันมีผู้ขึ้นทะเบียนกับกองทุนกว่า 723,603 คน 2.แรงงานต่างด้าวที่ลงทะเบียนถูกต้อง แรงงานกลุ่มนี้อยู่ภายใต้ระบบประกันสังคม นายจ้างจะต้องส่งเงินสมทบให้ตามกฎหมาย ได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินชดเชยรายได้เมื่อเจ็บป่วย สิทธิคลอดบุตร ชราภาพ และกรณีว่างงาน 3.กองทุนประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว แรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม หรือกำลังรอสิทธิ จะต้องซื้อประกันสุขภาพจากกระทรวงสาธารณสุข สิทธินี้ครอบคลุมการตรวจสุขภาพ การรักษา การส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค   […]

ส่องซอด “3 สิทธิรักษาพยาบาล” สำหรับคนต่างด้าว (ถูกกฎหมาย) อ่านเพิ่มเติม »

ทำไม อิสราเอล จึงเป็นหมุดหมายสำคัญของแรงงานอีสาน?

อาคารของสถานีโทรทัศน์อิหร่านในกรุงเตหะราน ถูกโจมตีโดยอิสราเอลเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 เสียงระเบิดดังสนั่นเกิดขึ้นก่อนที่ผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐอิหร่าน (State TV) ซึ่งกำลังออกอากาศสดต้องลุกหนี ท่ามกลางเศษซากและฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย และเสียงตื่นตระหนกของคนในสถานี ก่อนหน้านี้มีเสียงระเบิดดังขึ้นแล้วหลายครั้ง แต่ผู้ประกาศยังคงรายงานสถานการณ์ โดยระบุว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือการที่ระบอบไซออนิสต์รุกรานอิหร่านและสื่อของรัฐ แต่สุดท้ายก็ต้องลุกหนีไป กลุ่มควันพวยพุ่งจากเหตุระเบิดทางตะวันตกเฉียงใต้ของเตหะรานเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2025 สถานีโทรทัศน์แห่งรัฐของอิหร่านถูกโจมตีโดยอิสราเอลจนไม่สามารถออกอากาศได้ชั่วคราว ถ่ามกลางข่าวการปะทะ อิหร่าน – อิสราเอล นั้น แรงงานไทยที่ไปขายแรงที่ต่างแดนก็ต้องตกอยู่ในสภาวะทางสงคราม ทำไม อิสราเอล จึงเป็นหมุดหมายสำคัญของแรงงานอีสาน? เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า ภาคอีสาน เป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนการส่งออกแรงงานไปยังต่างประเทศสูงที่สุดของไทย ปัจจัยสำคัญมาจากข้อจำกัดด้านรายได้ เนื่องจากเศรษฐกิจในภาคอีสานยังคงพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งขึ้นอยู่กับฤดูกาลที่ควบคุมไม่ได้ และราคาผลผลิตที่มีแนวโน้มผันผวนและไม่สูงมากนัก ทำให้ครัวเรือนจำนวนมากมีรายได้ไม่มั่นคง และมักประสบปัญหาหนี้สินเรื้อรัง ขณะเดียวกัน ภูมิภาคอีสานยังเผชิญข้อจำกัดด้านโอกาสในการจ้างงาน จากโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศที่เน้นการรวมศูนย์ ส่งผลให้งานส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวงและนิคมอุตสาหกรรม แม้งานบางประเภทจะมีในภูมิภาค แต่ค่าแรงก็ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยของจังหวัดในภาคอีสานอยู่ที่ 350.5 บาทต่อวัน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศที่ 355 บาทต่อวัน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านค่านิยมที่ส่งเสริมให้การไปทำงานต่างประเทศของคนอีสานได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีต ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ เมื่อมีคนในหมู่บ้านหนึ่งเดินทางไปทำงานต่างประเทศและสามารถส่งเงินกลับมาช่วยเหลือครอบครัว จนฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก็ทำให้คนอื่นๆ ในชุมชนมองเห็นโอกาสว่าการไปทำงานต่างแดนนั้นคือ ‘ความหวัง’ และต้องการเดินรอยตาม เกิดเป็นค่านิยมในสังคมอีสานที่มองว่าการไปทำงานต่างประเทศคือหนทางหนึ่งในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัว จากปัจจัยเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่แรงงานจากภาคอีสานจำนวนมากเลือกย้ายถิ่นฐานไปหางานในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ เพื่อแสวงหารายได้ที่มั่นคงกว่าและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2568 มีแรงงานจากภาคอีสานเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกกฎหมายจำนวนทั้งสิ้น 14,206 คน โดยจังหวัดที่มีจำนวนแรงงานไปทำงานต่างแดนมากที่สุดคือ อุดรธานี ซึ่งมีประวัติการส่งออกแรงงานไปต่างประเทศมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในอดีตที่ ซาอุดีอาระเบีย เคยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของแรงงานจากจังหวัดนี้   แล้วทำไมต้องเป็นอิสราเอล? นอกจาก ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ที่เป็นประเทศยอดนิยมสำหรับแรงงานในภาคอีสานแล้วนั้น อีกประเทศที่นิยมไปกันคือ ‘อิสราเอล’ รัฐของชาวยิวที่เต็มไปด้วยสถานการณ์ความขัดแย้งกับชาวปาเลสไตน์ รวมไปถึงชาวอาหรับโดยรอบตลอดเวลาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  โดยล่าสุดวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 รัฐอิสราเอล ได้มีการปะทะกับอิหร่าน ส่งผลให้มีผู้เสียบาดเจ็บและชีวิตจำนวนมากในทั้ง 2 ประเทศ แต่แม้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองของประเทศนี้จะไม่เคยสงบ แต่ทำไม แรงงานชาวไทย โดยเฉพาะภาคอีสาน จึงเดินทางไปทำงานที่นั่นอย่างไม่ขาดสาย? รัฐอิสราเอลนั้นตั้งอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยความแห้งแล้งและทะเลทราย ไม่ได้มีทรัพยากรธรรมชาติมากนัก แต่ถึงอย่างนั้น อิสราเอลก็ได้ทำการพัฒนาพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านเกษตรกรรมจนกลายเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญของโลก ทั้ง พืชสวน เช่น ส้ม, อะโวคาโด, มะเขือเทศ และธัญพืช เช่น ข้าวสาลี, ข้าวบาร์เลย์, ข้าวโพด จนไปถึงการเลี้ยงปศุสัตว์อย่าง โคนม, ไก่ไข่, ไก่เนื้อ เป็นต้น แต่ภาคเกษตรกรรมของอิสราเอลก็ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างมาก เหตุผลนั้นเริ่มมาจากประวัติศาสตร์และสังคมของอิสราเอล อิสราเอลมีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งกับปาเลสไตน์และกลุ่มฮามาสมายาวนาน ส่งผลให้แรงงานท้องถิ่นโดยเฉพาะชาวปาเลสไตน์ไม่สามารถทำงานในหลายพื้นที่ได้ ทำให้เกิดช่องว่างแรงงานในภาคเกษตรและภาคบริการ  ดร.เมเอียร์ ชโลโม (เอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย) ด้วยเหตุนี้

ทำไม อิสราเอล จึงเป็นหมุดหมายสำคัญของแรงงานอีสาน? อ่านเพิ่มเติม »

จาก ผู้ป่วยอนาถา สู่ บัตรทอง คนป่วยล้มละลาย vs โรงพยาบาลขาดทุน จะเกิดอะไรถ้าคนไทยไม่มีบัตรทอง 30 บาท

ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิทธิ์รักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานของคนไทย หรือที่รู้จักกันในนาม 30 บาทรักษาทุกโรค หรือสิทธิ์บัตรทอง ซึ่งปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ คือสิทธิ์ที่คนไทยคุ้นเคยกันมาอย่างยาวนาน ผู้ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งผู้หนึ่งในการริเริ่มผลักดันโครงการนี้คือ นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ที่ได้เรียนรู้ ทดลองปฎิบัติและต่อสู้กับอุปสรรค จนสามารถผลักดันเป็นนโยบายที่สำคัญของประเทศและใช้จริงมาจนถึงปัจจุบัน รูปที่ 1 นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ที่มา: วิสาโล “คุณหมอสงวน (นิตยารัมภ์พงศ์) เอาแนวคิดนี้ไปเสนอมาหมดทุกพรรคแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจ แต่ถ้าทุกคนรู้อนาคตได้ เขาคงอยากเป็นเจ้าของนโยบายนี้ เพราะนี่คือ legacy เป็นตำนานทางการเมือง” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ทาง The MATTER จากประโยคข้างต้น สามารถอนุมานได้ว่า แนวคิดเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอาจเคยถูกเสนอให้กับรัฐบาลชุดก่อน หรือพรรคการเมืองต่างๆ ก่อนหรือระหว่างการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2544 ทั้งนี้ โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้ถูกผลักดันอย่างเป็นรูปธรรมในรัฐบาลที่มี ดร.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในปีดังกล่าว ก่อนการเลือกตั้ง พรรคไทยรักไทย เล็งเห็นถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินนโยบายดังกล่าว จึงนำเสนอเป็นนโยบายหาเสียง และภายหลังได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชน จึงได้นำมาใช้จริงในช่วงต้นของรัฐบาล โดยประกาศเป็นนโยบาย “30 บาท รักษาทุกโรค” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เพื่อรองรับนโยบายนี้อย่างเป็นทางการ ซึ่งสอดคล้องกับ มาตรา 52 และ มาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ก่อนที่ประเทศไทยจะมีโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คนไทยมีระบบรัฐสวัสดิการอยู่ 4 ระบบ ได้แก่ ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ ระบบประกันสังคม ระบบประกันสุขภาพโดยสมัครใจ (โครงการบัตรสุขภาพ เสียเงินรายเดือนหรือรายปี) โครงการสวัสดิการประชาชนด้านการรักษาพยาบาล (สปร.) (บัตรอนาถา) โดยทั้ง 4 ระบบนี้ไม่สามารถให้การครอบคลุมประชากรทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในขณะนั้นยังไม่มีระบบใดที่ดีกว่านี้ นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ได้เห็นถึงความทุกข์ยากของประชาชน โดยเฉพาะคนจนผู้ยากไร้ในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ขณะปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชน ด้วยความเข้าใจในปัญหาที่เกิดจากการที่ประชาชนจำนวนมากไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล ท่านจึงมีความตั้งใจในการผลักดันระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้เกิดขึ้นในประเทศไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 นายแพทย์สงวนได้เริ่มดำเนินงานวิจัยและศึกษาเชิงลึกถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งระบบดังกล่าว โดยมีการรวบรวมข้อมูลและพัฒนาแนวคิดอย่างต่อเนื่อง กระทั่งในช่วงรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย ได้มีการยกร่างพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติขึ้น ซึ่งนายแพทย์สงวนก็ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะทำงานจัดทำร่างกฎหมายดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นรัฐสภายังไม่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวมากเพียงพอ ส่งผลให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้รับการพิจารณาและตกไปในที่สุด 30 บาทรักษาทุกโรค สุขภาพของคนไทย กระเป๋าตังค์ของรัฐ คนไทยดูแลสุขภาพของตัวเองน้อยลง เพราะสามารถไปหาหมอเมื่อไหร่ก็ได้ ทุกข้อดีย่อมมีข้อเสีย แม้โครงการจะดีมากแค่ไหนก็ตาม แต่ในทุกข้อดีล้วนมีข้อเสียที่จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่เสมอหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าก็เช่นเดียวกัน ประชาชนบางส่วนมองว่าการที่มีสิทธิ์นี้ทำให้ประชาชนมีการดูแลสุขภาพหรือใส่ใจน้อยลง เนื่องจากมองว่าตนเองสามารถไปหาหมอเทื่อไหร่ก็ได้ และทุกครั้งที่ไปหาก็จ่ายต่ารักษาที่ไม่แพงเพียงแค่ 30 บาทเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้น โดยแพทย์มองว่า กรณี 30 บาทรักษาทุกโรคทำให้คนไข้ไม่ดูแลสุขภาพและมาหาหมอมากขึ้นจริงหรือไม่แพทย์บางส่วนมองว่ามีส่วน

จาก ผู้ป่วยอนาถา สู่ บัตรทอง คนป่วยล้มละลาย vs โรงพยาบาลขาดทุน จะเกิดอะไรถ้าคนไทยไม่มีบัตรทอง 30 บาท อ่านเพิ่มเติม »

หมูจีน หมูแดง หมูแพง หมูเถื่อน หมูทรัมป์ ห่วงโซ่เรื่อง หมูๆ ที่ไม่หมูของเกษตรกรไทย

ฮู้บ่ว่าไทยห้ามนำเข้าเนื้อหมู หมูลักลอบเข้า = หมูเถื่อน ภาคอีสานเป็นแหล่งผลิตอันดับ 2 ของไทย เพราะปัจจุบันการบริโภคหมูในไทยโตแค่ปีละ 0.5% ซึ่งหมายความว่า การผลิต(Supply) เพียงพอต่อ การบริโภคในประเทศ(Demand) ห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่คุณค่าของตลาดสุกรในประเทศไทย มีความซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีผู้เล่นหลายรายและปัจจัยต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง: ภาพรวมการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน การผลิตสุกรในประเทศไทย: การผลิตสุกรของไทยส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยงในพื้นที่บ้านเพื่อการบริโภคและสร้างรายได้เสริมสำหรับชาวนา โดยใช้ผลผลิตเหลือใช้ทางการเกษตร อย่างไรก็ตาม มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจากฟาร์มในหมู่บ้านไปสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ การเพิ่มขึ้นของประชากร การท่องเที่ยว และระดับรายได้ ทำให้ความต้องการเนื้อหมูเพิ่มสูงขึ้น การเลี้ยงสุกรขนาดใหญ่หรือเชิงอุตสาหกรรมได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคตะวันออกและภาคกลาง (ประมาณ 36-40% ของการผลิตทั้งหมดของประเทศไทย) ประเทศไทยมีปริมาณการผลิตหมูต่อปีอยู่ที่ 890,736 ตัน จุดแข็งของการมีฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่คือการควบคุมโรคทำได้ดีกว่า และฟาร์มเหล่านี้ต้องทำมาตรฐานฟาร์ม GAP ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการส่งออกสุกรมีชีวิต ผู้เล่นในห่วงโซ่: ห่วงโซ่อุตสาหกรรมสุกรไทยประกอบด้วยผู้เล่นหลายราย ตั้งแต่เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู (รายย่อย รายกลาง รายใหญ่/กลุ่มทุนใหญ่) โบรกเกอร์หรือพ่อค้าคนกลาง โรงชำแหละ แผงขายหมู/ร้านค้า ไปจนถึงผู้บริโภค การขนส่งและการกระจายสินค้า: สมบัติ เจ้าของฟาร์มขนาดกลาง ได้ฉายภาพกระบวนการซื้อขายหมูขุน โดยโบรกเกอร์จะส่งรถมารับหมูที่หน้าฟาร์ม ชั่งน้ำหนัก แล้วนำไปขายต่อ โบรกเกอร์หรือพ่อค้าคนกลางนี้จะเป็นผู้ดำเนินการในแต่ละช่วงตั้งแต่ฟาร์มไปจนถึงช่องทางจำหน่าย หมูที่ผ่านโรงชำแหละจะถูกแปรรูปเป็นซาก (Carcass) ที่แยกชิ้นส่วนแล้ว ก่อนจะส่งไปที่เขียงเพื่อตัดแบ่งเป็นชิ้นส่วนย่อยตามความต้องการของผู้บริโภค ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่ โรคระบาด (ASF): การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ทำให้หมูล้มตายจำนวนมากและผลิตลูกหมูได้น้อยลง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาหมูสูงขึ้น รัฐบาลไทยมีการประกาศโรคระบาดล่าช้า ซึ่งมีส่วนให้ปัญหาบานปลาย ความไม่แน่นอนเรื่องโรคระบาดทำให้เกษตรกรไม่กล้าลงทุนเพิ่ม หมูเถื่อน: การลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อนเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่บ่อนทำลายเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไทย หมูเถื่อนคือหมูราคาถูกจากต่างประเทศที่นำเข้าโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ผ่านการตรวจโรค ไม่เสียภาษีศุลกากร ปัญหาหมูเถื่อนเกี่ยวข้องกับการปั่นราคาและเป็นภัยต่อความมั่นคงทางอาหาร (ไม่รู้คุณภาพและความปลอดภัย) เชื่อว่ากระบวนการนำเข้าหมูเถื่อนเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจและเป็นขบวนการขนาดใหญ่ สถานการณ์วัตถุดิบอาหารสัตว์: สงครามรัสเซีย-ยูเครนและปัญหาการผลิตในประเทศผู้ผลิตสำคัญ (สหรัฐฯ อาร์เจนตินา บราซิล) เนื่องจากต้นทุนน้ำมันและปุ๋ยแพง ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การแทรกแซงของรัฐและข้อเสนอแนะ มาตรการของรัฐ: รัฐบาลได้มีมาตรการต่างๆ เช่น ห้ามส่งออกหมูมีชีวิตชั่วคราว ช่วยเหลือด้านราคาอาหารสัตว์ และเพิ่มกำลังผลิตโดยกระจายลูกสุกรให้เกษตรกรรายย่อย และมีการขอความร่วมมือตรึงราคาจำหน่ายหมูเนื้อแดง อย่างไรก็ตาม การตรึงราคาเป็นการทำลายแรงจูงใจของเกษตรกรที่จะลงทุนเพิ่มและอาจทำให้ปัญหายืดเยื้อ รัฐไม่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาต้นทางเรื่องการจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้ ข้อเสนอแนะจากสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.): เสนอ 5 แนวทาง ได้แก่: นำเข้าเนื้อหมูแช่แข็งชั่วคราวแบบมีเงื่อนไข (ปลอดสารเร่งเนื้อแดง) ปรับโครงสร้างคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig Board) ผลักดันท้องถิ่นสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยเลี้ยงหมูเพิ่มขึ้นอย่างเป็นระบบ ผู้บริโภคร่วมมีบทบาทสนับสนุนการเลี้ยงหมูแบบธรรมชาติ/หมูหลุม เพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะ สนับสนุนการวิจัยลดการบริโภคเนื้อสัตว์และเพิ่มการผลิตโปรตีนจากพืช โดยสรุป ห่วงโซ่อุปทานของสุกรไทยมีการเปลี่ยนผ่านจากการผลิตรายย่อยไปสู่เชิงพาณิชย์มากขึ้น ต้นทุนการผลิตที่สูง โรคระบาด และหมูเถื่อน เป็นปัจจัยกดดันสำคัญ ขณะที่กลไกการกำหนดราคาถูกอิทธิพลโดยกลุ่มทุนใหญ่ผ่านระบบโบรกเกอร์ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างราคาหน้าฟาร์มและหน้าเขียง และส่งผลให้เกษตรกรรายย่อย/กลางจำนวนมากอยู่รอดได้ยาก ฮู้บ่ว่าฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม ปัจจุบันราคาเนื้อหมูในประเทศแพงกว่าไทย(โดยเฉลี่ย) เหตุเพราะ การระบาด ของโรคอหิวาแอฟริกาในสุกร(ASF) ทำให้ประเทศเปิดรับนำเข้าหมูจากต่างประเทศ โดยเฉพาะนำเข้าจากจีน ซึ่งมีราคาเนื้อหมูที่ถูกกว่าผลิตเองภายในประเทศ เป็นผลดีต่อผู้บริโภค

หมูจีน หมูแดง หมูแพง หมูเถื่อน หมูทรัมป์ ห่วงโซ่เรื่อง หมูๆ ที่ไม่หมูของเกษตรกรไทย อ่านเพิ่มเติม »

จากวิกฤตเด็กเกิดต่ำ สู่นักเรียนน้อยลง🏫 พ่อแม่มีฐานะส่งลูกเรียนอินเตอร์ ดัน ร.ร.เอกชน โตพุ่ง📈 ในขณะ ร.ร.รัฐหลายแห่งปิดตัว🚸ผลวิจัยเผย เด็กไทย 15-24 ปี 1.4 ล้านคน ไม่เรียนต่อ

จากวิกฤตเด็กเกิดต่ำ สู่นักเรียนน้อยลง🏫 พ่อแม่มีฐานะส่งลูกเรียนอินเตอร์ ดัน ร.ร.เอกชน โตพุ่ง📈 ในขณะ ร.ร.รัฐหลายแห่งปิดตัว🚸ผลวิจัยเผย เด็กไทย 15-24 ปี 1.4 ล้านคน ไม่เรียนต่อ จบมาไม่มีงาน ค่าเล่าเรียนแพง . เอกชน โตสวน สังคมสูงวัยที่เด็กเกิดต่ำ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ให้เห็นว่า จำนวนโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรไทย มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากจำนวนนักเรียนไทยที่ลดลง ทำให้ระหว่างปีการศึกษา 2555-2567 เกิดการทยอยปิดตัวของโรงเรียนรัฐบาล และโรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทย ไปมากกว่า 2,000 แห่ง จากโรงเรียนประมาณ 35,000 แห่ง เหลือ 33,000 แห่ง ในทางกลับกัน โรงเรียนนานาชาติกลับเติบโตอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี จาก 138 แห่งเป็น 249 แห่ง เฉพาะปีการศึกษา 2567 ปีเดียว จำนวนโรงเรียนนานาชาติเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10 สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของกิจการโรงเรียน สู่หลักสูตรต่างประเทศมากขึ้น ในปีการศึกษา 2567 นักเรียนไทยในโรงเรียนไทยอยู่ที่ 8.8 ล้านคน ลดลงจากปีก่อนหน้าที่ 8.9 ล้านคน แต่นักเรียนไทยในโรงเรียนนานาชาติ เพิ่มขึ้นจาก 70,000 คน เป็น 77,000 คน งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า นอกจากในกรุงเทพฯโรงเรียนนานาชาติมีแนวโน้มขยายตัวออกสู่หัวเมืองต่างจังหวัดมากขึ้น ประมาณการว่าในปี 2567 มูลค่าตลาดโรงเรียนนานาชาติในไทยอยู่ที่ 87,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 13 และยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยังมีโรงเรียนที่อยู่ระหว่างการขออนุญาตเปิดเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก รายงานการสำรวจของ Deloitte ดังกล่าว ได้สำรวจความคิดเห็นคนรุ่นใหม่ทั่วโลกกว่า 23,500 คน ใน 44 ประเทศ🌏 ซึ่งรวมถึงกลุ่มตัวอย่างคนไทย 330 คน🇹🇭 (แบ่งเป็น Gen Z 209 คน และ Gen Y 121 คน) พบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับมุมมองต่อการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา หรือที่เฉพาะเจาะจงว่าเป็น บัณฑิตศึกษา (Post-Bachelor’s Degree) ในหลากหลายมิติ เริ่มจากแง่มุมของการเลือกเรียนต่อ-ไม่เรียนต่อระดับปริญญา พบว่าเริ่มมีบางส่วนที่ขอไม่เรียนต่อดีกว่า?! 🇹🇭แม้ว่าโดยภาพรวมแล้ว คนไทยทั้ง Gen Z และ Gen Y จะให้ความสำคัญกับการเรียนต่อในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรีมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังมีชาว Gen Z ในประเทศไทยถึง 16% และ Gen Y 17% ที่ระบุว่าพวกเขา “ตัดสินใจไม่เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา”

จากวิกฤตเด็กเกิดต่ำ สู่นักเรียนน้อยลง🏫 พ่อแม่มีฐานะส่งลูกเรียนอินเตอร์ ดัน ร.ร.เอกชน โตพุ่ง📈 ในขณะ ร.ร.รัฐหลายแห่งปิดตัว🚸ผลวิจัยเผย เด็กไทย 15-24 ปี 1.4 ล้านคน ไม่เรียนต่อ อ่านเพิ่มเติม »

‘สามเหลี่ยมมรกต อุบลราชธานี’ ชายแดนสามเส้า ไทย – ลาว – กัมพูชา กับแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่บรรลุผล

หลังเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาในช่วงวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ณ บริเวณพื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทำให้ประเด็นข้อพิพาทเรื่องดินแดนของทั้ง 2 ประเทศได้รับการพูดถึงมากขึ้นในช่วงนี้ โดยพื้นที่ช่องบกนี้ เป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ “สามเหลี่ยมมรกรต” รอยต่อระหว่างประเทศไทย – ลาว – กัมพูชา โดยบทความนี้ อีสาน อินไซต์ จะพามาสำรวจเรื่องราวของพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งเต็มไปด้วยนัยยะทางประวัติศาสตร์ การเมือง และเศรษฐกิจที่หลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อน    สามเหลี่ยมมรกตคืออะไร? หลายคนคงรู้จัก ‘สามเหลี่ยมทองคำ’ ซึ่งเป็นพื้นที่บรรจบกันระหว่างชายแดนไทย – ลาว – เมียนมา แต่ก็ยังมีอีกพื้นที่ชายแดนสามเส้า ที่กำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในช่วงนี้อย่าง ‘สามเหลี่ยมมรกต’  (Emerald Triangle) หรือ ช่องบก ครอบคุลมพื้นที่ประมาณ 12 ตร.กม.  เป็นจุดบรรจบของสามประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย: อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี สปป.ลาว: เมืองมูนปะโมก แขวงจำปาสัก กัมพูชา: อำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหาร ในอดีตประมาณ 40 ปีก่อนนั้น พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นความขัดแย้งทางอุดมการณ์และการสู้รบอย่างดุเดือดช่วงสงครามเย็น โดยเฉพาะ สมรภูมิช่องบก ภาพ สามเหลี่ยมมรกต – อุทยานแห่งชาติภูจองนายอย จากชายแดนเงียบสงบ สู่สมรภูมิร้อนของสงครามอินโดจีนครั้งที่สาม ในช่วงสงครามเย็น ช่องบกไม่ได้เป็นเพียงเส้นเขตแดนทางภูมิศาสตร์ แต่กลายเป็นแนวหน้าในสงครามอุดมการณ์ระหว่างโลกทุนนิยมกับสังคมนิยม พื้นที่นี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่กองทัพเวียดนามใช้เป็นทางผ่านในการไล่ล่ากลุ่มเขมรแดงที่ถอยร่นมาจากกัมพูชาเข้าเขตไทย โดยกองทัพเวียดนามได้ก้าวล่วงเข้ามายังเขตแดนอธิปไตยของไทยเป็นระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร ตามรายงาน เป้าหมายคือ ตีโอบวงกว้าง เพื่อตัดการลำเลียงยุทธปัจจัยและป้องกันไม่ให้เขมรแดงวิ่งกลับเข้าไทยแล้วย้อนกลับกัมพูชา ซึ่งในขณะนั้นกองทัพของเวียดนามมีความเชี่ยวชาญในยุทธวิธีเป็นอย่างมาก ประกอบกับมีระบบโลจิสติกส์และเส้นทางลำเลียงที่เชื่อมโยงกับ สปป.ลาว ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิด และอาวุธที่สหรัฐอเมริกาเหลือทิ้งไว้ก็ทำให้เวียดนามมีความได้เปรียบเป็นอย่างมาก  ทหารไทย ภายใต้การบัญชาการของกองกำลังสุรนารี (กองทัพภาคที่ 2) เข้าต่อต้านการรุกล้ำของเวียดนาม ซึ่ง เกิดการสู้รบอย่างหนักบริเวณ ช่องบก – เนิน 500 – แนวชายแดนไทย-กัมพูชา จ.อุบลราชธานีการปะทะกันระหว่างทหารเวียดนามและกองทัพไทยในพื้นที่ช่องบกเกิดขึ้นอย่างดุเดือดในช่วงปี พ.ศ. 2528 – 2530  แม้ไทยจะประสบความสำเร็จในการขับไล่กองทัพเวียดนาม และทางเวียดนามได้ถอนกองกำลังออกจากกำพูชาอย่างเป็นทางการในปี 2530 แต่การประทะกันในครั้งนั้นก็ส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก (รายงานอย่างไม่เป็นทางการรายงานว่าทหารไทยเสียชีวิต 109 – 200 นาย บาดเจ็บ 600 กว่านาย) และรัฐไทยในเวลานั้น หลีกเลี่ยงการเปิดเผยรายละเอียด เนื่องจากผลลัพธ์ไม่ใช่ชัยชนะเด็ดขาด และอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ   ความพยายามพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตที่ไม่บรรลุผล หลังสงครามอินโดจีนสิ้นสุดลง ปี พ.ศ. 2532 พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้น ได้ประกาศคำขวัญ  “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ซึ่งสะท้อนการปรับยุทธศาสตร์ระดับชาติจากการป้องกันภัยสงคราม

‘สามเหลี่ยมมรกต อุบลราชธานี’ ชายแดนสามเส้า ไทย – ลาว – กัมพูชา กับแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่บรรลุผล อ่านเพิ่มเติม »

ไฟใต้เถ้าแห่งพรมแดน กรณีปะทะไทย–กัมพูชา “ช่องบก” พาย้อนรอยร้าวประวัติศาสตร์ข้อพิพาทชายแดน

ISAN Insight สิพามาเบิ่ง กรณีปะทะไทย–กัมพูชาที่ช่องบก และรอยร้าวประวัติศาสตร์ข้อพิพาทชายแดน สมรภูมิเดือด! เขตแดนทับซ้อน เปิดตำนาน “ช่องบก” หรือ สามเหลี่ยมมรกต จุดชนวนไทย-กัมพูชา พร้อมข้อตกลงล่าสุด   เหตุปะทะล่าสุดในพื้นที่ช่องบก เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 กองทัพบกไทยรายงานเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาในพื้นที่ชายแดนช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี หลังตรวจพบว่าทหารกัมพูชาเข้ามาขุด “ช่องคูเลต” หรือร่องสนามเพาะ เพื่อเตรียมตั้งแนวรบในพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาต่างอ้างกรรมสิทธิ์ โดยมีระยะทางกว่า 650 เมตร การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดข้อตกลงที่ห้ามมีการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศในพื้นที่พิพาท จนนำไปสู่การปะทะซึ่งกินเวลาประมาณ 10–25 นาทีในช่วงเช้ามืด ซึ่งจากการรายงานข่าวของกัมพูชา ระบุว่ามีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย และทางกัมพูชาอ้างว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน ทั้งนี้ แถลงการจากกองทัพบกไทยได้ระบุว่าสาเหตุการปะทะระหว่างทหารสองประเทศว่า หลังจากมีรายงานการรุกล้ำพื้นที่ดังกล่าว ไทยได้พยายามมีการเข้าไปเจรจา แต่เกิดการสื่อสารคลาดเคลื่อน และทางทหารกัมพูชาเข้าใจผิดและเปิดฉากยิงก่อน ทำให้จำเป็นต้องตอบโต้ด้วยกำลัง ทางฝั่งกัมพูชาได้มีการเคลื่อนไหวโดย  “Samdech Hun Sen of Cambodia” ของ จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา บิดาของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน มีการโพสต์ข้อความประณามผ่านโซเชียลมีเดีย และมีการหยิบยกกรณีพิพาทพระวิหาร อีกทั้งภายในที่ประชุมรัฐสภากัมพูชายังได้มีการหยิบยก แนวทางการยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อหาทางยุติข้อพิพาทเขตแดนกับไทย หลัง กัมพูชาปิดกั้นบล็อกเฟสบุ๊ค IP คนไทย ส่วน ไทย(มีแผนเตรียม)สั่งปิดด่านชายแดนเขมร 6 แห่ง และจุดผ่อนปรน 10 แห่ง ก่อนจะได้ข้อสรุปยังไม่ผิดด่าน เพื่อหาทางเจรจาต่อไป   ไทยยืนยันสถานการณ์โดยรวมยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีลักษณะใดที่นำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยกำลังแต่อย่างใด พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบันว่า สถานการณ์โดยรวมยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีลักษณะใดที่นำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยกำลังแต่อย่างใด   เมื่อวันที่ 30 พฤภาคม 68 กองทัพบกออกหนังสือแถลงการณ์ผลการเจรจาระหว่าง ผบ.ทบ.ไทย – ผบ.ทบ.กัมพูชา ในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ 1. ผบ.ทบ.ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียกำลังพลจากเหตุการณ์ปะทะ และเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญต่อเจตนารมณ์ของ รมว.กลาโหม ของทั้งสองประเทศ ที่ต้องการให้มีการเจรจา เพื่อยุติความขัดแย้ง พร้อมแสดงจุดยืนสนับสนุนการพูดคุยเจรจาด้วยสันติวิธีในการหาข้อตกลงร่วมกัน และขอยืนยันว่าจะไม่มีการรุกรานอธิปไตย หรือการหยิบยกประเด็นข้อขัดแย้งในอธิปไตยของกัมพูชาโดยเด็ดขาด การเจรจาครั้งนี้จะส่งผลดีต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ 2. กรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก กองทัพบกไทยและกัมพูชา มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ Joint Boundary Committee (JBC) ซึ่งเป็นกลไกในระดับรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งผลการประชุม JBC คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในอีก 2 สัปดาห์ โดยปัจจุบันกำลังทั้งสองฝ่ายที่เคยปะทะได้ตกลงที่จะเคลื่อนออกจากพื้นที่ ถือเป็นการคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นพ้องในการใช้กลไกคณะกรรมการร่วมมือรักษาความ

ไฟใต้เถ้าแห่งพรมแดน กรณีปะทะไทย–กัมพูชา “ช่องบก” พาย้อนรอยร้าวประวัติศาสตร์ข้อพิพาทชายแดน อ่านเพิ่มเติม »

อุดรธานี ศักยภาพเกินเมืองรอง ดึงดูดผู้เยี่ยมเยือนเกือบ 5 ล้านคน พร้อมครองแชมป์รายได้จากชาวต่างชาติสูงสุดในภาคอีสาน

อุดรธานี เป็นจังหวัดที่อยู่ในกลุ่มจังหวัด ‘สบายดี’ (ประกอบไปด้วย: บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู และอุดรธานี) มีผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP) ในปี 2566 อยู่ที่ 124,478 ล้านบาท โดยอุดรธานีนั้นขึ้นชื่อเรื่องการค้า และการท่องเที่ยว มีแหล่งท่องเที่ยวหลากสายหลากสไตล์ ยกตัวอย่างเช่น:  สายธรรมชาติ: ทะเลบัวแดง บึงหนองหานกุมภวาปี  สายประวัติศาสตร์: พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติบ้านเชียง สายธรรมะและสายมู: วังนาคินทร์คำชะโนด วัดป่าภูก้อน สายเมือง: เซนทรัลพลาซ่าอุดรธานี ศูนย์การค้ายูดี ทาวน์ Agoda เผย อุดรธานีคว้าอันดับ 1 จุดหมายท่องเที่ยวสุดคุ้ม   อุดรฯ เป็นหมุดหมายแรกในการลงทุนในอีสาน อุดรธานีตั้งอยู่ในภาคอีสานตอนบน และมีเขตติดต่อกับจังหวัดชายแดนลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งถือว่าใกล้กับประเทศลาว อีกทั้งอุดรธานี ยังเป็นจังหวัดที่สามารถเดินทางได้สะดวก ทั้งทางถนน ราง และทางเครื่องบิน จึงถือว่ามีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางคมนาคมเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะการลงทุนจากภาครัฐในโครงการ “รถไฟความเร็วสูงสายแรกของไทย กรุงเทพฯ – โคราช – หนองคาย” โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ – หนองคาย ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง แบ่งออกเป็นทั้งหมด 2 ระยะด้วยกัน ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ – นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 253 กิโลเมตร วงเงิน 179,413 ล้านบาท ระยะที่ 2 นครราชสีมา – หนองคาย ระยะทางประมาณ 357.12 กิโลเมตร วงเงินรวมกว่า 341,351 ล้านบาท โดยหากโครงการนี้แล้วเสร็จในอนาคตจะย่นระยะเวลาการเดินทาง 606.17 กิโลเมตร ให้เหลือเวลาเดินทางเพียง 3 ชั่วโมง 36 นาที เท่านั้น และจะทำให้การเดินทางข้ามจังหวัด และขจัดอุปสรรคในการเดินทางข้ามจังหวัดในภาคอีสานลดลง และจะกระตุ้นการเดินทางและการท่องเที่ยวตลอดเส้นทางรถไฟความเร็วสูงนี้มากขึ้น . นอกจากนี้แล้ว อุดรธานียังมีโครงการศูนย์กลางการค้าและการขนส่งสินค้า (Logistic Park) และโครงการท่าเรือบก (Inland Container Deport) ที่จะจัดตั้งขึ้นในนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี เพื่อยกระดับการขนส่งสินค้าและพร้อมเป็นศูนย์โลจิสติกส์ประจำอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขงอีกด้วย . ส่วนในด้านเศรษฐกิจนั้น ปี 2565 อุดรธานี มีมูลค่าเศรษฐกิจ (GPP) 120,539 ล้านบาท มากเป็นอันดับ 4 ของอีสาน และมีรายได้ต่อหัว (GPP per capita) 96,546 บาท สูงเป็นอันดับ 5 ของอีสาน ซึ่งมีการเติบโตจากปีก่อนหน้าทั้งมูลค่าเศรษฐกิจและรายได้ต่อหัว . โดยเศรษฐกิจของอุดรธานีพึ่งพาภาคบริการเป็นหลัก

อุดรธานี ศักยภาพเกินเมืองรอง ดึงดูดผู้เยี่ยมเยือนเกือบ 5 ล้านคน พร้อมครองแชมป์รายได้จากชาวต่างชาติสูงสุดในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

“บั้งไฟลายศรีภูมิ” ลวดลายแห่งฟ้า ศิลป์แห่งแผ่นดิน ถิ่นร้อยเอ็ดต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ผลักดัน เศรษฐกิจชุมชน

“บุญบั้งไฟ ถือเป็นหนึ่งในประเพณีที่สำคัญของภาคอีสานที่จะขาดไปไม่ได้เลย ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ชาวอีสานมีความเชื่อว่า ถ้าปีใดไม่จัดงานบุญบั้งไฟ ฟ้าฝนก็จะไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกิดความแห้งแล้ง ไม่มีน้ำทำนา แต่ถ้าปีใดจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ฟ้าฝนก็จะตกต้องตามฤดูกาล เกิดความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัย งานบุญบั้งไฟจึงถือเป็นงานประเพณีประจำปีที่สำคัญของชาวอีสาน พอใกล้ถึงวันงานชาวอีสานไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะกลับบ้านไปร่วมงานบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นงานที่สร้างความรักความสามัคคีของคนท้องถิ่นเป็นอย่างดี  ภาพโดย คุณครูประภากร กลางคาร เผยแพร่โดย เพจ สุวรรณภูมิ .   ณ จังหวัดร้อยเอ็ด อำเภอ สุวรรณภูมิ ที่กำเนิดหนึ่งใน บั้งไฟที่มีการเอ้บั้งไฟที่งดงามมากที่สุดได้มีการจัดงานบุญบั้งไฟลายศรีภูมิ  โดยในปีนี้ ประเพณีบุญบังไฟลายศรีภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จะถูกจัดขึ้น วันที่ 4-8 เดือน มิถุนายน ปี 2568 ในงานประเพณีในปีนี้ ก็จะมีกิจกรรมตลอดทั้งงาน ไม่ว่าจะเป็น ขบวนมเหศักดิ์ สักการะและอัญเชิญถ้วยรางวัลพระราชทาน, ขบวนฟ้อน วัฒนธรรมเมืองศรีภูมิ, การแสดงวัฒนธรรม, ประกวดขบวนฟ้อนสวยงาม, ประกวด บั้งไฟเอ้สวยงาม, และ จุดบั้งไฟถวยตามประเพณี และ ยังมีกิจกรรมอื่นๆอีกมากมายภายในงาน ภาพจาก: Sriphume  ในงานนี้ยังเป็นหนึ่งในงานที่ได้รับ โปรดเกล้าฯ พระราชทาน ถ้วยรางวัล การแข่งขันประเภท บั้งไฟเอ้สวยงาม และนอกจากนี้ ยังมีการประกวด “ขบวนฟ้อนสวยงาม” ขิงถ้วยรางวัลพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกด้วย ส่งผลให้ งานประเพณีบุญบั้งไฟลายศรีภูมิ อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เป็น งานเดียวในประเทศไทย ที่มี การประกวดชิงถ้วยรางวัลพระราชทาน ของทั้งสองพระองค์   ทำไมถึงว่าบั้งไฟลายศรีภูมิเป็นหนึ่งในบั้งไฟที่มีการเอ้บั้งไฟสวยมากที่สุด จากการศึกษาวิจัย ของ ดร.อำคา แสงงาม ปราชญ์แห่งท้องทุ่งกุลา เรื่องการตกแต่งบั้งไฟของชาวอำเภอสุวรรณภูมิ ในปี 2535 นั้น ได้ให้ข้อสังเกตในเบื้องต้นว่า การ “เอ้บั้งไฟ”หรือ การประดับตกแต่งบั้งไฟ  ของชาวสุวรรณภูมิ มีลักษณะที่เป็นแบบแผนเฉพาะถิ่น ในด้านการใช้วัสดุ วิธีการสร้าง รูปทรงวิธีการการเอ้ การใช้สีจากกระดาษ เอ้ตัวบั้งไฟ ประการที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้ “การเอ้บั้งไฟ” ของสุวรรณภูมิ แตกต่างจากที่อื่นโดยชัดเจน คือ ลวดลายที่นำไปใช้ประดับตกแต่งนั้น จะเป็น ลวดลายที่เกิดจากการใช้ เทคนิคการตัดกรรไกรด้วยกระดาษ เท่านั้น ซึ่ง แตกต่างจากที่อื่นโดยสิ้นเชิง โดยลวดลาย มีพัฒนาการ โดยช่างในท้องถิ่น และมีการพัฒนาลวดลาย ไม่น้อยกว่า 100 ปี ในอีกประการหนึ่ง ของเอกลักษณ์การตกแต่งเอ้บั้งไฟ ของชาวสุวรรณภูมิ คือ รูปเศียรนาค ที่ใช้เอ้ ส่วนหัวบั้งไฟ โดย เสมือนเป็นการระลึกถึง ท้าวสุวรรณภังคี ซึ่งเป็นพยานาค

“บั้งไฟลายศรีภูมิ” ลวดลายแห่งฟ้า ศิลป์แห่งแผ่นดิน ถิ่นร้อยเอ็ดต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ผลักดัน เศรษฐกิจชุมชน อ่านเพิ่มเติม »

จากกาแฟแพง สู่ทุเรียนถูก บทเรียนเกษตรกร เมื่อเวียดนามหันมาปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้น ท่ามกลางการหดตัวลงของการปลูกกาแฟ

จากกาแฟแพง สู่ ทุเรียนถูกเวียดนามล้มกาแฟโรบัสต้า ปลูกทุเรียนหวังส่งออก กลับต้องเผชิญกับทุเรียนล้นตลาดราคาถูก เวียดนาม กาแฟแพง ทุเรียนถูก ทั้ง 2 เหตุการณ์นี้อาจมีความเกี่ยวข้องกัน และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ เหตุการณ์ทั้งสองมีนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากเป็นผลพวงที่ต่อเนื่องกัน เนื่องจากแรงจูงใจในการปลูกทุเรียนที่เพิ่มขึ้น โดยได้อานิสงค์จากความนิยมอย่างมากในตลาดส่งออก โดยเฉพาะตลาดจีน ทำให้ทุเรียนเป็นที่ต้องการในตลาดส่งออก และการได้รับการยอมรับในตลาดจีนผลักดันให้ราคาทุเรียนเวียดนามอยู่คงในระดับสูงพอสมควรและมีแนวโน้มทำกำไรได้ดีกว่าการปลูกพืชอื่นๆ รวมถึงกาแฟโรบัสต้าที่ราคาอาจไม่จูงใจเท่า . จากข้อมูลของ กรมการผลิตพืช สังกัดกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท ของเวียดนามพบว่า ในปี 2023 เวียดนามมีพื้นที่ปลูกทุเรียนรวมประมาณ 131,000 เฮกตาร์ โดยเพิ่มขึ้นกว่า 20% ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี สะท้อนถึงแนวโน้มการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกหรือแม้กระทั้งการลดการปลูกกาแฟ เพื่อหันไปปลูกทุเรียนมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ในภูมิภาค Central Highlands ที่เป็นพื้นที่หลักที่เป็นแหล่งเพาะปลุกกาแฟของเวียดนาม แต่ปัจจุบันมีการปลุกทุเรียนมากขึ้น และกลายเป็นพื้นที่หลักที่เป็นแหล่งปลูกทุเรียน ด้วยสัดส่วน 40.4% ของพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนทั้งหมดในประเทศ และการปลูกทุเรียนยังเป็นที่นิยมในพื้นที่อื่นๆ พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong River Delta) 36.4% ภาคตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast) 19.4% และชายฝั่งตอนใต้ตอนกลาง (South Central Coast) 5.6% การที่เวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ลดปริมาณการผลิตลง ส่งผลให้ปริมาณกาแฟโรบัสต้าในตลาดโลกลดน้อยลง และเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ราคากาแฟมีการปรับตัวขึ้น ผลกระทบต่อตลาดทุเรียน: การที่เกษตรกรจำนวนมากพร้อมใจกันเปลี่ยนมาปลูกทุเรียนในช่วงเวลาใกล้เคียงกันทั่วประเทศเวียดนาม (และใช้เวลาหลายปีกว่าต้นทุเรียนจะให้ผลผลิตเต็มที่) ทำให้ในที่สุด ปริมาณผลผลิตทุเรียนในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว ผลผลิตที่ล้นตลาดนี้มีปริมาณมากกว่าความต้องการของตลาดส่งออก (โดยเฉพาะตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดหลัก) และตลาดภายในประเทศ * ภาวะทุเรียนล้นตลาดและราคาตก: เมื่ออุปทานทุเรียนมีมากกว่าอุปสงค์อย่างมาก ผู้ขายจึงต้องแข่งขันกันระบายสินค้าที่เน่าเสียง่ายออกไป ทำให้ต้องลดราคาลงอย่างหนัก จนเกิดภาวะ “ทุเรียนล้นตลาดราคาถูก” อย่างที่พบเห็นในปัจจุบัน ✅สรุปคือ: การที่เกษตรกรเวียดนามจำนวนมากตัดสินใจทิ้งการปลูกกาแฟโรบัสต้าที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าในขณะนั้น เพื่อไปปลูกทุเรียนตามกระแสราคาดี คือ สาเหตุ ที่นำไปสู่ ผลลัพธ์ สองประการพร้อมๆ กันในช่วงเวลาที่ต่างกัน คือ ราคาโรบัสต้าในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น (จากอุปทานที่ลดลง) หลังจากผ่านไปหลายปี ทุเรียนที่ปลูกใหม่จำนวนมหาศาลก็ออกสู่ตลาดพร้อมกัน ทำให้อุปทานล้นเกินและราคาทุเรียนตกต่ำลงอย่างมาก มันคือวัฏจักรของพืชผลทางการเกษตรที่มักเกิดขึ้น เมื่อราคาสินค้าเกษตรชนิดใดดี เกษตรกรจำนวนมากจะหันไปปลูก ทำให้ในอีกไม่กี่ปีต่อมาผลผลิตล้นตลาดและราคาตก จากนั้นเกษตรกรอาจจะหันไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ราคากำลังดีแทน วนเวียนไปเช่นนี้       ผลจากกาแฟโรบัสต้าที่ผลิตลดลง กลับส่งผลดีต่อเกษตรกรที่เพาะปลูกกาแฟในไทย   การที่เวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ลดปริมาณการผลิตลง ส่งผลให้ปริมาณกาแฟโรบัสต้าในตลาดโลกลดน้อยลง และเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ราคากาแฟมีการปรับตัวขึ้น ประกอบกับการส่งออกของกาแฟบราซิลที่ลดลง และความต้องการในตลาดที่สูง ทำให้ราคากาแฟในช่วงต้นปี 2025 มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในช่วงต้นปี แต่เริ่มปรับตัวลงเล็กน้อยในเดือนเมษายนเนื่องจากการเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวของทั้งเวียดนามและบราซิล ผลจาก กาแฟโรบัสต้า ส่งผลดีต่อเกษตรกรชาวไทยที่เพาะปลูกกาแฟเป็นอย่างมาก เพราะ ในขณะที่ผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ราคาตกต่ำ แต่กาแฟโดยเฉพาะโรบัสต้ากับมีราคาพุ่งสูงขึ้นเกือบเทียบเท่ากับสายพันธุ์อาราบิก้า ที่ก่อนหน้านี้มีราคามากกว่า

จากกาแฟแพง สู่ทุเรียนถูก บทเรียนเกษตรกร เมื่อเวียดนามหันมาปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้น ท่ามกลางการหดตัวลงของการปลูกกาแฟ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top