จากกรณีข่าวร้อน ไทย-กัมพูชา ชาวเน็ตในสุรินทร์โพสต์พบโดรนปริศนาไม่ทราบฝ่าย ก่อนที่เช้าเวลา 07.30 น. วันที่ 4 สิงหาคม 2568 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า โดรนดังกล่าวเป็นของฝ่ายเรา ขึ้นบินตรวจการณ์ และทดสอบระบบ บริเวณอ.เมือง จ.สุรินทร์ แต่ต้องลงเร่งด่วน เนื่องจากสภาพอากาศ

ภาพเจ้าหน้าที่ลงจอดโดรนฉุกเฉิน เมื่อคืนวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ที่จังหวัดสุรินทร์
ด้านสื่อกัมพูชาอย่าง Khmer Times ก็ปล่อยข่าวกล่าวหาว่าไทยใช้โดรนสำรวจพื้นที่กัมพูชา ในขณะเดียวกันทางกัมพูชาก็เคยจัดซื้อโดรนสำรวจทางอากาศเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 กองทัพกัมพูชาได้เยี่ยมชมเทคโนโลยีการปล่อยโดรน CW-15 และ CW-40 ที่บริษัท CATIC ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันที่ไทยใช้ในการสำรวจภารกิจทางอากาศทั้งทางทหาร และทางวิชาการ


รีวิวจากช่องไทย โดรน CW ช่องพี่ใหญ่ SnapTech Zone ที่กรมทรัพยากรชายฝั่งของไทยใช้โดรนสำรวจทางทะเล และสำรวจสัตว์ทะเลหายาก
โดรน CW-15 ในมือ🇹🇭ไทยและ🇰🇭กัมพูชา ภาพสะท้อนความมั่นคงและโอกาสทางเศรษฐกิจ ที่ไทยต้องลงทุนเทคโนโลยีเป็นของตนเอง
เมื่อน่านฟ้าชายแดนไม่ได้ถูกจับตามองด้วยสายตาของมนุษย์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป การปรากฏขึ้นของอากาศยานไร้คนขับ (UAV) หรือโดรน รุ่น CW-15 ที่ผลิตโดยบริษัทจากจีน ในภารกิจของทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา ได้จุดประกายบทสนทนาที่ไปไกลกว่าเรื่องเทคโนโลยี แต่ล้วงลึกถึงแก่นของความมั่นคงและอนาคตทางเศรษฐกิจของชาติ การที่ไทยและเพื่อนบ้านใช้ “ดวงตา” คู่เดียวกันในการสอดส่องดูแลอธิปไตย กลายเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงสภาวะการพึ่งพิงทางเทคโนโลยี และเป็นบททดสอบสำคัญว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนความท้าทายนี้ให้เป็นโอกาสในการสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้ทัดเทียมนานาชาติได้อย่างไร
ดาบสองคมของการพึ่งพิงเทคโนโลยีต่างชาติ
การจัดหายุทโธปกรณ์จากต่างประเทศเป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไปของกองทัพทั่วโลกเพื่อความทันสมัย แต่ในยุคที่สงครามไซเบอร์และความมั่นคงทางข้อมูลมีความสำคัญสูงสุด การพึ่งพิงเทคโนโลยีจากแหล่งเดียว โดยเฉพาะเมื่อเป็นแหล่งเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน ย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงที่ซับซ้อน
- ความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ (Cybersecurity Risk): โดรนลาดตระเวนไม่ได้เป็นเพียงกล้องที่บินได้ แต่เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนซึ่งส่งผ่านข้อมูลสำคัญมหาศาล หน่วยงานความมั่นคงทางไซเบอร์ของสหรัฐอเมริกา (CISA) ได้ออกคำเตือนถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลละเอียดอ่อนจากโดรนที่ผลิตในบางประเทศอาจถูกส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทผู้ผลิตหรือรัฐบาลของประเทศนั้นๆ [1] ซึ่งหมายความว่าข้อมูลการลาดตระเวน, พิกัด, และรายละเอียดภารกิจของไทยอาจตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกเข้าถึงโดยบุคคลภายนอกได้
- การเสียเปรียบทางยุทธวิธี: เมื่อกัมพูชามีการพิจารณาจัดหาโดรนรุ่นเดียวกันจาก China National Aero-Technology Import & Export Corporation (CATIC) [2] ย่อมหมายความว่าทั้งสองฝ่ายต่างรับรู้ถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของกันและกันอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้การวางแผนรับมือหรือต่อกรทำได้ง่ายขึ้น ความได้เปรียบที่เคยมีจากการใช้เทคโนโลยีที่เหนือกว่าจึงหมดไป
- การพึ่งพิงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Dependency): ความพร้อมรบของยุทโธปกรณ์ขึ้นอยู่กับการซ่อมบำรุง, อะไหล่, และการอัปเกรด ซึ่งทั้งหมดนี้ผูกติดอยู่กับประเทศผู้ผลิต หากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลง หรือเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง อาจส่งผลให้การสนับสนุนเหล่านี้หยุดชะงักได้ ดังที่เห็นจากกรณีศึกษาในหลายประเทศที่การพึ่งพาซัพพลายเออร์รายเดียวสร้างความเปราะบางให้กับกองทัพ [3]
สร้างอนาคต: โอกาสมหาศาลของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศไทย
ท่ามกลางความท้าทาย คือโอกาสครั้งสำคัญของประเทศไทยในการผลักดัน “อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ” ให้เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-Curve) อย่างจริงจัง ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายลำดับที่ 11 [4] โดยมีข้อดีที่ประเมินค่าได้ทั้งในมิติความมั่นคงและเศรษฐกิจ
- ด้านความมั่นคง: การพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองไม่เพียงลดการพึ่งพาจากภายนอก แต่ยังช่วยให้สามารถสร้างยุทโธปกรณ์ที่ปรับให้เข้ากับภูมิประเทศและภัยคุกคามเฉพาะของไทย (Customization) พร้อมควบคุมความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้ 100% สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป. หรือ DTI) ของไทย กำลังดำเนินงานวิจัยและพัฒนาใน 5 แพลตฟอร์มเทคโนโลยีสำคัญ ซึ่งรวมถึงระบบอากาศยานไร้คนขับ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายนี้ [5]
- ด้านเศรษฐกิจ: ตลาดป้องกันประเทศของไทยมีขนาดใหญ่ โดยงบประมาณกระทรวงกลาโหมในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 5.89 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.9 แสนล้านบาท) [6] ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงเป็นการนำเข้า หากสามารถเปลี่ยนงบประมาณส่วนนี้มาเป็นการจัดซื้อจัดจ้างจากผู้ผลิตในประเทศ จะเกิดผลกระทบเชิงบวกมหาศาล
กรณีศึกษาจากเกาหลีใต้: ต้นแบบการสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศสู่ระดับโลก
หากมองหาต้นแบบความสำเร็จ ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมองไปไกล “เกาหลีใต้” คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนประเทศผู้นำเข้าอาวุธมาเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกได้ภายในเวลาไม่กี่ทศวรรษ
จากประเทศที่พึ่งพาเทคโนโลยีทางทหารจากสหรัฐฯ เป็นหลัก เกาหลีใต้ได้ทะยานขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกอาวุธอันดับต้นๆ ของโลก โดยยอดการส่งออกพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากระดับ 2-3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีในช่วงก่อนปี 2020 มาเป็น 17.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 และ 14 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 [9] ข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ เช่น การขายรถถัง K2 และปืนใหญ่อัตตาจร K9 ให้กับโปแลนด์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ [10] รวมถึงการส่งออกระบบจรวดและเครื่องบินขับไล่ T-50 ไปยังตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซึ่งรวมถึงประเทศไทย) เป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จ
ปัจจัยสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จของ “K-Defense” ประกอบด้วย:
- การสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง: รัฐบาลเกาหลีใต้มองว่าอุตสาหกรรมป้องกันประเทศคือ “เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่” (New Economic Growth Engine) และตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการเป็นผู้ส่งออกอาวุธ 4 อันดับแรกของโลกภายในปี 2027 พร้อมอัดฉีดงบประมาณสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา [9]
- คุณภาพ ราคา และความเร็ว: ยุทโธปกรณ์ของเกาหลีใต้ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพสูงใกล้เคียงมาตรฐานตะวันตก แต่มีราคาที่แข่งขันได้ และที่สำคัญคือมีกระบวนการผลิตที่รวดเร็ว สามารถส่งมอบได้ทันต่อความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่งในสถานการณ์โลกปัจจุบัน [11]
- การถ่ายทอดเทคโนโลยีและความร่วมมือ: เกาหลีใต้ไม่ได้มุ่งขายแค่ผลิตภัณฑ์ แต่ยังเสนอข้อตกลงด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการผลิตร่วมกับประเทศผู้ซื้อ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ดึงดูดใจประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการสร้างฐานอุตสาหกรรมของตนเอง
- ระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง: การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ, บริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ (Chaebols) เช่น Hanwha, Hyundai Rotem และสถาบันวิจัย ได้สร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง [12]
บทเรียนจากเกาหลีใต้แสดงให้เห็นว่า การลงทุนในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศไม่ใช่แค่เรื่องความมั่นคง แต่เป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมหาศาล สร้างงานคุณภาพสูง และยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลก
บทสรุป
ภาพของโดรน CW-15 ที่บินอยู่บนน่านฟ้าของไทยและเพื่อนบ้าน เป็นทั้งสัญญาณเตือนและสัญญาณแห่งโอกาส มันเตือนให้ไทยตระหนักถึงความเปราะบางของการพึ่งพิงเทคโนโลยีจากภายนอก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวเร่งให้ทุกภาคส่วนต้องหันมามองการสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของตนเองอย่างจริงจัง โดยมีบทเรียนความสำเร็จจากเกาหลีใต้เป็นแผนที่นำทาง การเดินทางสู่การพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลา แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือความมั่นคงที่ยั่งยืน, เศรษฐกิจที่เติบโตบนฐานของนวัตกรรม และอธิปไตยของชาติที่ไม่ได้อยู่ในมือของใครนอกจากคนไทยเอง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- [1] Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA). (2024). Cybersecurity Guidance: Chinese-Manufactured UAS. Retrieved from CISA official publications. (อ้างอิงจากเนื้อหาการเตือนความเสี่ยงของหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์สหรัฐฯ)
- [2] Soth, K. (2024, February 2). Defence Ministry looking into buying drones to safeguard nation’s security. Khmer Times.
- [3] The Irrawaddy. (2025, May 30). The Hidden Costs of Relying on Chinese Military Hardware. The Irrawaddy Guest Column.
- [4] สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.). อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ. สืบค้นเมื่อ 4 สิงหาคม 2568, จาก https://www.eeco.or.th/th/defense
- [5] Asia Centre. (2021, November 26). Thailand’s Defence Technology Institute: A Peek Behind the [Not-So-Metaphorical] Iron Curtain.
- [6] International Trade Administration. (2024, January 8). Thailand – Defense and Security. U.S. Department of Commerce.
- [7] ThaiPublica. (2015, April 21). สำรวจการนำเข้าอาวุธของไทย 8 ปี เกือบ 7 หมื่นล้าน. (แม้ข้อมูลจะเก่า แต่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มมูลค่าการนำเข้าในอดีต)
- [8] CSIS. (2022, September 22). Arms and Influence in Southeast Asia: The Link between Arms Procurement and Strategic Relations.
- [9] Defense.info. (2025, July 7). Divergent Paths: A Decade of South and North Korean Arms Exports.
- [10] Anadolu Ajansı. (2025, August 1). South Korea signs $6.5B arms export deal with Poland.
- [11] กรุงเทพธุรกิจ. (2025). เปิดจุดแข็งอาวุธเกาหลีใต้เขย่าตลาดโลก.
- [12] Park, S. (2018). The South Korean Defence Industry. Canadian Forces College.

