จาก Pain Point ส่วนตัวของโปรแกรมเมอร์คนหนึ่ง สู่การสร้างสรรค์แบรนด์รองเท้าแตะที่ปฏิวัติวงการวิ่ง VING (วีอิ้ง) ไม่ได้เป็นเพียงรองเท้า แต่คือผลลัพธ์ของความมุ่งมั่น นวัตกรรม และกลยุทธ์อันเฉียบคมที่สามารถเปลี่ยนรองเท้าแตะธรรมดาให้กลายเป็นสินค้าแฟชั่นและสุขภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล นี่คือเรื่องราวของคุณ วาที วิเชียรนิตย์ และแบรนด์ VING ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าธุรกิจที่เริ่มต้นจากศูนย์ก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างก้าวกระโดด
จุดเริ่มต้น: จากความเจ็บปวดสู่โอกาสทางธุรกิจ
เรื่องราวของ VING มีจุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ไม่ต่างจากชีวิตของคนทำงานส่วนใหญ่ คุณวาทีเริ่มต้นจากการเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทเอกชน และเป็นนักวิ่งมาราธอนตัวยง วันหนึ่งในงานวิ่งมาราธอนที่จังหวัดบุรีรัมย์ เขาประสบปัญหารองเท้าผ้าใบที่ใช้อยู่บีบรัดเท้าอย่างรุนแรงจนไม่สามารถวิ่งต่อได้ ด้วยความจำเป็น เขาจึงตัดสินใจซื้อรองเท้าแตะราคาถูกจากร้านสะดวกซื้อมาใส่แทน ถึงแม้จะทุลักทุเลแต่เค้าก็สามารถวิ่งมาราธอนจนจบด้วยรองเท้าแตะคู่นั้นได้
เหตุการณ์ครั้งนั้น ประกอบกับการได้เห็นนักวิ่งคนอื่นสามารถทำเวลาได้ดีด้วยรองเท้าแตะสำหรับวิ่งจากต่างประเทศ ได้จุดประกายความคิดและเปลี่ยนมุมมองของคุณวาทีไปอย่างสิ้นเชิง เขาเล็งเห็นโอกาสในตลาดที่ยังไม่มีใครสนใจอย่างจริงจัง นั่นคือการแก้ปัญหาให้กับนักวิ่งที่มีลักษณะเท้าแบบคนไทยหรือคนเอเชีย คือ หน้าเท้ากว้างและเท้าอูม ซึ่งมักจะเจ็บเท้าเมื่อใส่รองเท้าแบรนด์ต่างชาติที่ออกแบบมาเพื่อคนเท้าเรียวยาว นี่คือจุดกำเนิดของแนวคิดในการพัฒนารองเท้าแตะที่สามารถวิ่งได้ทัดเทียมกับรองเท้าวิ่งราคาสูง
นวัตกรรม: หัวใจที่สร้างความแตกต่าง
คุณวาทีใช้เวลาเกือบปีในการวิจัยและพัฒนา โดยนำทักษะจากการทำงานโปรแกรมเมอร์ที่ต้องทำตัวต้นแบบ (Prototype), ทดสอบ (Testing), และรับฟังความคิดเห็น (Feedback) มาปรับใช้ เพื่อสร้างสรรค์รองเท้าที่มีคุณสมบัติโดดเด่น แนวคิดหลักของ VING คือการพัฒนารองเท้าที่ตอบโจทย์ 3 ข้อสำคัญ คือ นุ่ม เด้ง และเบา แต่ที่สำคัญที่สุดคือต้องสามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีเยี่ยมไม่แพ้รองเท้าผ้าใบราคาแพง โดยยึดหลักการพัฒนาแบบ “fail fast, fail cheap, fail forward” คือการลงทุนให้น้อยที่สุด ทดลองให้เร็ว เรียนรู้จากความผิดพลาด และนำคำติชมจากลูกค้าตัวจริงมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
- วัสดุและการออกแบบ: รองเท้าแตะทั่วไปในท้องตลาดมักใช้โฟม EVA ซึ่งมีความนุ่มแต่ยังขาดความเด้งที่จำเป็นสำหรับการวิ่ง VING จึงเลือกใช้วัสดุเกรดพรีเมียมที่มีต้นทุนสูงกว่า เพื่อให้ได้รองเท้าที่มีคุณสมบัติครบถ้วน คือ นุ่ม เด้ง และเบา (เบากว่ารองเท้าผ้าใบถึง 200 กรัม) โดยออกแบบให้พื้นรองเท้าเป็นโฟมชั้นเดียวแต่มีความหนาเหมือนรองเท้าผ้าใบ เพื่อการรองรับแรงกระแทกที่ดีเยี่ยม ในช่วงแรก VING ใช้วัสดุ EVA และ GPE แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญคือการพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศจนได้วัสดุใหม่ที่เรียกว่า “V-Pro” หรือ “EPOS” ซึ่งมีความนุ่มและทนทานกว่าเดิมถึง 30% และมีค่าความเด้ง (Energy Return) เพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 66% ทำให้รองเท้ามีน้ำหนักเบาเพียง 1.5 ขีด แต่ยังคงคุณสมบัติการรองรับแรงกระแทกและส่งแรงคืนได้อย่างดีเยี่ยม
- แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์: เมื่อลูกค้าแสดงความกังวลว่า “ใส่รองเท้าแตะวิ่งแล้วจะหลุดหรือไม่” แทนที่จะรับฟังเพียงอย่างเดียว VING ได้แก้ปัญหานี้ด้วยการเจาะรูที่สายรองเท้าและนำเชือกมาร้อยผูกเป็นสายรัดส้น ซึ่งไม่เพียงแต่แก้ปัญหา แต่ยังกลายเป็นแฟชั่นที่ลูกค้าชื่นชอบ และขยายฐานไปยังกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการรองเท้าสุขภาพที่มีสายรัดส้น
- สรีรศาสตร์ที่เหนือกว่า: ข้อดีที่สำคัญของรองเท้าแตะ VING คือการให้อิสระกับหน้าเท้า ทำให้การวางเท้าเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บยอดฮิตของนักวิ่งอย่าง ITBS (อาการปวดเข่าด้านนอก) และโรครองช้ำได้
กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ: คิดต่างและกล้าได้กล้าเสีย
ด้วยเงินเก็บเริ่มต้นเพียงประมาณ 100,000 บาท และภาระผ่อนบ้านทำให้การกู้เงินจากธนาคารเป็นไปได้ยาก คุณวาทีจึงต้องใช้กลยุทธ์ที่สร้างสรรค์เพื่อทำให้แบรนด์เกิดขึ้นได้จริง และจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ VING เป็นที่รู้จักในวงกว้างคือการได้รับเชิญไปเปิดบูธในห้างเซ็นทรัล 25 สาขา และการตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่โดยการจ้าง “แน็ก ชาลี” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ที่สนุกและเข้าถึงง่าย ส่งผลให้ยอดขายเติบโตจาก 49 ล้านบาทเป็น 120 ล้านบาท
- ระดมทุนแบบที่ลูกค้าไม่รู้ตัว (Crowdfunding): คุณวาทีได้จัดกิจกรรม Virtual Run ซึ่งถือเป็นงานวิ่ง Virtual Run แรกของโลกที่แจกรองเท้าสำหรับวิ่ง โดยตั้งเป้าให้มีผู้สมัคร 1,000 คนในราคาคนละ 1,000 บาท ผลลัพธ์คือมีผู้สมัครเกือบ 1,000 คนภายในเวลา 2 เดือน ทำให้เขาสามารถรวบรวมเงินทุนก้อนแรกประมาณ 7-8 แสนบาท เพื่อสั่งผลิตรองเท้าล็อตแรกจำนวน 4,800 คู่ได้สำเร็จ กลยุทธ์นี้ไม่เพียงทำให้เขาได้เงินทุน แต่ยังเป็นการประชาสัมพันธ์แบรนด์และได้กลุ่มลูกค้ากลุ่มแรกมาช่วยทดสอบผลิตภัณฑ์ไปในตัว
- เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market): ในช่วงแรก VING โฟกัสไปที่กลุ่มนักวิ่งอัลตร้ามาราธอน (100 กิโลเมตรขึ้นไป) ซึ่งเป็นตลาดที่ยังไม่มีคู่แข่งและมีความต้องการรองเท้าที่รองรับการวิ่งระยะไกลเป็นพิเศษ การสร้างฐานแฟนที่แข็งแกร่งในกลุ่มนี้ทำให้เกิดการบอกต่อและเป็นที่รู้จักในวงการวิ่งอย่างรวดเร็ว
- พลิกวิกฤตโควิด-19: การระบาดของโควิด-19 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ คุณวาทีถูกเชิญออกจากงานประจำ ทำให้เขาสามารถทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับ VING ได้เต็มตัว เขารีบปรับกลยุทธ์การตลาดจาก “รองเท้าวิ่ง” สู่ “รองเท้าสำหรับคนยืนนาน” เช่น คนทำอาหาร หรือคนที่ต้อง “ยืนเยอะๆ” และกลุ่มคนที่มีปัญหาสุขภาพเท้า นอกจากนี้ยังเปิดตัวรองเท้ารุ่นใหม่สีเทาที่มีคุณสมบัติยับยั้งแบคทีเรีย ซึ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่าในช่วงล็อกดาวน์ ส่งผลให้ยอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดด
- สร้างแบรนด์ด้วยความจริงใจ: VING แทบไม่ใช้อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง แต่ใช้นักวิ่งตัวจริงมาช่วยรีวิว สร้างคอนเทนต์ที่เข้าใจง่ายเหมือนเพื่อนเล่าให้ฟัง และใช้กลยุทธ์สีรองเท้า โดยในช่วงแรกจะผลิตแต่สีที่โดดเด่นอย่างสีเขียวหรือสีแดง เพื่อให้ง่ายต่อการสังเกตและประเมินการยอมรับในตลาด
จากรองเท้าวิ่ง สู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์และแฟชั่น
เมื่อแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักวิ่ง VING ก็ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาตัวเอง คุณวาทีได้ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์สู่การเป็น รองเท้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ โดยจ้างดีไซเนอร์มืออาชีพมาช่วยออกแบบ และรับฟังความต้องการของลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ VING มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายขึ้น ทั้งรองเท้าแตะแบบสวมสำหรับคนที่ไม่ชอบแบบคีบ หรือรองเท้าสำหรับเดินป่า เพื่อเป้าหมายให้ทุกคนในครอบครัวสามารถหารองเท้าที่ใช่ได้จากร้าน VING
VING ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเปิดตัวรุ่น “Nirun” รองเท้าแตะระดับ “Super Shoe” ที่มีการเสริมแผ่นคาร์บอนไฟเบอร์ (Carbon Fiber Plate) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พบในรองเท้าวิ่งระดับแข่งขันราคาแพง ช่วยเพิ่มแรงส่งและความมั่นคงในการวิ่ง ทำให้ Banabas Kiplimo นักวิ่งชาวเคนย่าสามารถวิ่งแซงทุบสถิติโลกรองเท้าแตะวิ่งมาราธอนเร็วที่สุดในโลก ในงาน Khon Kaen International Marathon 2025 โดยใช้รองเท้าแบรนด์ VING รุ่น NIRUN ด้วยเวลา 2:18:55 นาที ทิ้งห่างอันดับสองถึง 2:48 นาที ข่าวนี้ได้กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก ได้รับการพูดถึงจากสื่อวิ่งยักษ์ใหญ่อย่าง Runner’s World และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่านวัตกรรมของคนไทยสามารถแข่งขันได้ในระดับโลกอย่างแท้จริง
นอกจากรองเท้าวิ่ง VING ยังพัฒนารองเท้าสำหรับใส่ฟื้นฟูหลังการออกกำลังกาย โดยผ่านงานวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่นว่าสามารถช่วยบรรเทาอาการรองช้ำและเพิ่มความยืดหยุ่นให้ฝ่าเท้าได้จริง และอีกหนึ่งจุดเด่นคือ รองเท้าส่วนใหญ่ของ VING ถูกออกแบบให้ผลิตจากโฟมชิ้นเดียว เพื่อลดขั้นตอนและพลังงานในการผลิต และที่สำคัญคือสามารถนำไปรีไซเคิลได้ 100%
รางวัลต่างๆ พิสูจน์ความสำเร็จ
VING ได้รับรางวัลระดับโลกและระดับประเทศมากมาย โดยรวมแล้วมากกว่า 7 รางวัล ตั้งแต่ปี 2022 – 2025 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพด้านดีไซน์ นวัตกรรม และการใส่ใจสุขภาพเท้า
รางวัลที่ VING ได้รับมีดังนี้
- GLOBAL FOOTWEAR AWARDS 2024
- ชนะเลิศระดับโลก สาขา FASHION SNEAKERS / SANDALS
- ได้รับจากเวทีรางวัลระดับนานาชาติ GFA
- FIT SPORT DESIGN AWARDS 2025
- สาขา SPORTSWEAR DESIGN OF THE YEAR
- ได้รับจากเวทีรางวัลระดับนานาชาติ FIT
- 7 INNOVATION AWARDS 2025
- รองชนะเลิศอันดับ 2 สาขาเศรษฐกิจ
- ได้รับจาก THAILAND SYNERGY (เครือข่ายภาครัฐ-เอกชน)
- INNOVATION AWARD 2024
- ชนะเลิศระดับประเทศ สาขานวัตกรรมธุรกิจบริการ
- ได้รับจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา
- BAIPO AWARDS 2025
- SME ธุรกิจที่สร้างความแตกต่างอย่างโดดเด่น มุ่งเน้นความยั่งยืน
- ได้รับจาก SCB THAILAND & SATIN
- YSM AWARDS 2022
- BEST OF HEALTH และ BEST OF INNOVATION
- ได้รับจากงานสุขภาพระดับชาติ
- YELG AWARD 2022
- YOUNG EXPORTER FROM LOCAL TO GLOBAL
- ได้รับจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ DITP
เป้าหมายในอนาคต: ยกระดับคุณภาพชีวิตและก้าวสู่แบรนด์ระดับโลก
VING ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นมากกว่ารองเท้าแตะ แต่เป็นแบรนด์กีฬาแฟชั่นของไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจนมีกว่า 80 สาขาและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ด้วยนวัตกรรมที่เกิดจากความเข้าใจในปัญหาอย่างลึกซึ้ง โดยมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยผ่านรองเท้าวิ่งที่เข้าถึงง่ายและทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องสนุก พร้อมตั้งเป้าหมายท้าชนแบรนด์ระดับโลกเพื่อก้าวสู่การเป็นแบรนด์รองเท้าแตะวิ่งอันดับหนึ่งของโลก
อ้างอิง
- กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, Thai.Run, เว็บไซต์ VING, Mission To The Moon, PERSPECTIVE, เพื่อนคู่คิด, The People, Brand Age Online, SME Startup