ส่องซอด🧐กลยุทธ์ “สุกี้ตี๋น้อย” สเกลธุรกิจยังไง แต่กำไรยังโต

ชื่อของ สุกี้ตี๋น้อย กลายเป็นเคสการตลาดร้านอาหารที่น่าสนใจ ด้วยภาพจำ “บุฟเฟต์ราคามหาชน” ถูกใจคนไทย จนทำให้ขยายสาขาได้ไว ตอนนี้มีแล้ว 86 สาขา (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย. 2568)

ล่าสุด แบรนด์ทำให้ตลาดหันมาสนใจอีกครั้ง เมื่อประกาศ หาพื้นที่โชว์รูมรถยนต์เก่า-ใหม่ทั่วประเทศ เพื่อเปิดสาขาเพิ่ม โดยนำร่องเริ่มทำในโชว์รูมที่ปราจีนบุรีแล้ว (ตรงข้ามโรบินสัน) เตรียมเปิดปลายปี 2568 นี้

คำถาม คือ ทำไมต้องเป็นโชว์รูมรถ?

3 เหตุผลที่สุกี้ตี๋น้อยมองเห็นโอกาส

1. พื้นที่ใหญ่ โปร่ง จอดรถสะดวก

  • บุฟเฟต์ตี๋น้อยเน้นกลุ่มลูกค้าเป็นครอบครัวหรือแก๊งเพื่อนที่มากันเยอะ
  • โชว์รูมรถมีพื้นที่กว้าง เพดานสูง และที่จอดรถพร้อม รองรับการทำสาขาแบบ Stand Alone หรือแม้แต่แฟล็กชิปสโตร์ได้ทันที

2. ทำเลติดถนนใหญ่ เห็นชัดเจน

  • โชว์รูมส่วนใหญ่อยู่บนถนนสายหลัก เหมาะจะเป็น Landmark ร้านใหญ่
  • ช่วยเลี่ยงการแข่งขันกับพื้นที่ห้างหรือคอมมูนิตี้มอลล์

3. ต้นทุนเช่าต่ำกว่าห้างมาก

  • หลังโควิด หลายโชว์รูมปิดกิจการหรือย้าย ทำให้เกิดช่องว่างด้านอสังหาฯ
  • สุกี้ตี๋น้อยเจาะเข้าไปด้วยค่าเช่าที่คุ้มกว่ามาก

ค่าเช่าโชว์รูมรถถูกกว่าห้างหลายเท่า

  • ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ราคาเช่า 3,000 – 5,500 บาท/ตร.ม./เดือน
  • คอมมูนิตี้มอลล์ ราคาเช่าต่ำกว่า 1,000 – 3,000 บาท/ตร.ม./เดือน

*อ้างอิงข้อมูล สถานการณ์และแนวโน้มพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า ปี 2568-2570 ของวิจัยกรุงศรี*

แต่ถ้าเป็น โชว์รูมรถ (พื้นที่ 600–700 ตร.ม. ขึ้นไป) พบว่า มีค่าเช่าเฉลี่ยเพียง 240 – 500 บาท/ตร.ม./เดือน (**ผลสำรวจเบื้องต้นจากเว็บไซต์ livinginsider)

ยกตัวอย่าง

  • โชว์รูมรถ ติดถนนราชพฤกษ์ นนทบุรี พื้นที่ 750 ตร.ม. ค่าเช่า 180,000 บาท/เดือน เฉลี่ย 240 บาท/ตร.ม./เดือน
  • โชว์รูมรถ ติดถนนพหลโยธิน นวนคร พื้นที่ 1,320 ตร.ม. ค่าเช่า 350,000 บาท/เดือน เฉลี่ย 265 บาท/ตร.ม./เดือน

จะพบว่า ค่าเช่าโชว์รูมรถถูกกว่าการเช่าพื้นที่ค้าปลีกทั่วไปหลายเท่า และยังได้พื้นที่กว้างพร้อมที่จอดรถครบ ถือเป็นจังหวะที่สุกี้ตี๋น้อยใช้ “อสังหาฯ กลุ่มโชว์รูมรถที่ซบเซาลง” มาต่อยอดธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด

พามาฮู้จัก “สุกี้ตี๋น้อย” ร้านสุกี้เจ้าดังในดวงใจของชาวบุฟเฟ่ต์ เตรียมเปิดสาขาแรกของอีสาน

Project Finance 101 #HowtoScale

โชว์รูมรถยนต์เก่าที่สุกี้ตี๋น้อยเตรียมไปเปิดสาขาในปลายปี 2568

เห็นข่าวการสเกลของสุกี้ตี๋น้อยผ่านโชว์รูมรถเเล้ว ชวนมาลองเล่นกับตัวเลขด้วยกัน

  • ปี 2562: รายได้ 499 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 15 ล้านบาท
  • ปี 2563: รายได้ 1,223 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 140 ล้านบาท
  • ปี 2564: รายได้ 1,572 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 147 ล้านบาท
  • ปี 2565: รายได้ 3,976 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 591 ล้านบาท
  • ปี 2566: รายได้ 5,262 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 913 ล้านบาท
  • ปี 2567: รายได้ 7,075 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 1,169 ล้านบาท

เอาเเค่นี้ก่อน จะเห็นว่าเป็นกิจการที่ Operating Leverage สูงพอสมควร เพราะ CAGR การเติบโตของรายได้อยู่ที่ 69.95% ส่วน CAGR การเติบโตของกำไรสุทธิอยู่ที่ 138.97%

.

ทีนี้ลองเอาตัวเลขล่าสุดมาลองทำ Project Finance 101 สนุกๆด้วยกัน

  • รายได้ 7,075 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 1,169 ล้านบาท
  • รายได้เฉลี่ย 88 ล้านต่อสาขาต่อปี
  • กำไรเฉลี่ย 14 ล้านต่อสาขาต่อปี
  • สมมติ Net Cash Flow เป็น 75% ของ Net Profit ตีกลมๆสาขาละ 10 ล้าน
  • ใช้ Discount Rate ที่ 10%

สมมติตัวเลข #เปิดสาขาเอง ใช้เงิน 70 ล้านบาทต่อสาขา ได้กระเเสเงินสดสุทธิปีละ 10 ล้านคิดเป็น ROIC 14% ( ใกล้เคียงกับ IRR ) โดยมี Payback Period 7 ปี

กลับกันถ้าเลือกใช้การ #รีโนเวท อาจใช้เงินเเค่ 20 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งถ้าทำสัญญาเเบบ Leasehold 9 ปีไว้ล๊อคต้นทุนค่าเช่า (3+3+3) อาจจะเร่งผลตอบเเทน IRR ได้มากกว่า 30% ( ต่อให้กระเเสเงินสดสุทธิพลาดเป้าไป 20%) ยิ่งถ้ายอดขายจุดติดเหมือนเดิมเผลอๆ จะคืนทุนภายใน 3 ปี

Shark Tank มาเห็น IRR นี่ยิ้มเลย เเต่ JMART มองไกลกว่าเลยดักไว้ก่อนเเล้ว

.

ดูรวมๆเเล้วการที่ตี๋น้อยเลือกกลยุทธ์เปิดสาขาเองอาจจะได้ Strategic Asset ได้ Landbank เอามาทำ Leverage จากเเบงค์เพิ่ม เเถมได้ราคาซากตอนขายทิ้ง ( Residual Value )

เเต่ในจังหวะนี้เข้าใจว่าตี๋น้อยน่าจะใช้กลยุทธ์ Speed of Market เพื่อครองพื้นที่เเละทำให้เกิด Economy of Scale มากกว่าเลยเลือกที่จะเช่ารีโนเวทโชวร์รูมรถเเทน

เท่ากับว่าตี๋น้อยเลือกที่จะเล่นการสร้าง Growth Engine > การสะสม Asset Banking ชัดเจน

ถามต่อว่าทำไม?..

ลองมองตัวเลขย้อนหลังเเล้วอ่านระหว่างบรรทัดอีกที..

เราจะเห็นว่าปี 2562 สุกี้ตี๋น้อยมีกำไรสุทธิเเค่ 3% เเต่ในปี 2567 กำไรสุทธิเพิ่มมาเป็น 16%

ถ้าต้นทุนลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญเเปลว่าหนึ่งใน ‘ท่าไม้ตาย’ ของสุกี้ตี๋น้อย คือ Economies of Scale เเน่นอน

เพราะการที่บริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้นจะเจรจาต่อรองราคากับซัพพลายเออร์ได้มากขึ้น ยิ่งบริหารจัดการระบบครัวกลางได้ดีเเละใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นต้นทุนยิ่งลดเข้าไปอีกสเตป

เเทบไม่ต้องเเปลกใจว่าทำไมคุณเฟิร์นถึงเลือกทุ่มงบเป็นพันล้านสร้างครัวกลางเอาไว้รองรับการขยายสาขา เพราะสะท้อนความต้องการลดต้นทุนให้ต่ำที่สุดโดยไม่ลดคุณภาพเพื่อให้คู่เเข่งตามมาไม่ทัน ซึ่งเป็น Playbook หลักที่ตี๋น้อยทำมาตลอด

ยิ่งการสเกลรอบนี้ไปครองพื้นที่หัวเมืองรองได้
รายได้น่าจะไปเเตะหมื่นล้านได้ไม่ยาก

สมมติถ้าทำกำไรได้ซักปีละ 1,500 ล้านจริงๆ เอาเเค่ PE 15 เท่าได้มูลค่าตลาดทะลุสองหมื่นล้าน เอาหุ้นมาขาย IPO 25% น่าจะได้เงินเข้าบริษัทอีกซัก 5,000 ล้าน ได้กระสุนมาเเข่งอีกเพียบ

.

ตรงนี้ผมว่าเป็น Lesson Learn สำหรับเจ้าของกิจการอื่นๆครับว่าเราควรเลือกใช้กลยุทธ์ไหน ตอนไหน เพราะอะไร เเละใช้หลักเกณฑ์อะไรให้เหมาะกับสเตจของธุรกิจของเรามากที่สุด

เอาโมเดลธุรกิจมาก่อนเเล้วค่อยเสริมด้วยกลยุทธ์ทางการเงิน ยังไงติดปีกเเน่นอน

Move นี้ของสุกี้ตี๋น้อยเลยถือเป็นอีกหนึ่ง Business Case ที่น่าสนใจครับ

บทความโดย Punyawe Chantarakajorn

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top