SHARP ADMIN

พามาเบิ่ง ตัวอย่าง พระพุทธรูปไม้ ทั้ง 7 ปางในอีสาน

พามาเบิ่งตัวอย่าง พระพุทธรูปไม้ ทั้ง 7 ปางในอีสาน . พระพุทธรูปไม้ในภาคอีสานเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงความศรัทธาและฝีมือของบรรพบุรุษไทย การแกะสลักพระพุทธรูปจากไม้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความเคารพต่อพระพุทธเจ้า แต่ยังเป็นการสืบสานศิลปะและวัฒนธรรมที่มีมาแต่โบราณ ในบทความนี้ เราจะพาท่านไปทำความรู้จักกับพระพุทธรูปไม้ทั้ง 7 ปางที่พบในภาคอีสาน ซึ่งแต่ละปางมีความหมายและประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ   ปางพิศดารปาง: เป็นอิริยาบถที่พระพุทธองค์เสด็จไปยังสำนักงานชฏิล บริวารริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา พระพุทธองค์สามารถเสด็จจงกรมอยู่ได้ในกลางแจ้งท่ามกลางสายฝนโดยไม่เปียก ทำให้คนทั้งหลายยอมอ่อนน้อมต่อพระองค์ ปางนี้สะท้อนถึงพลังอำนาจและความเมตตาของพระพุทธเจ้าในการโปรดสัตว์   ปางห้ามญาติ: แสดงถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปห้ามสงครามการแย่งน้ำระหว่างพระญาติฝ่ายพระบิดา (กษัตริย์ชาวศากยะ) กับพระญาติฝ่ายพระมารดา (กษัตริย์ชาวโกลิยะ) พระพุทธรูปไม้ปางห้ามญาติพบในภาคอีสานจำนวนเพียง 5 องค์เท่านั้น สะท้อนถึงความหายากและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของปางนี้   ปางประทับยืน:เป็นอิริยาบถที่พระพุทธองค์เสด็จออกโปรดสัตว์ ณ หน้ามุขพระคันธกุฏิ หรือบางครั้งอาจเป็นปางประทับยืนบำเพ็ญสมาธิ ปางนี้แสดงถึงความพร้อมในการเผยแผ่ธรรมและความสงบในจิตใจของพระพุทธเจ้า   ปางพิจารณาชราธรรม: แสดงถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์ประทับจำพรรษา ณ บ้านเวฬุวคาม ในพรรษานั้นพระองค์ทรงประชวรหนัก แต่สามารถขับไล่พยาธิทุกข์ให้ระงับลงด้วยอิทธิบาทภาวนา ปางนี้สอนให้เราตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิตและการพิจารณาธรรมเพื่อความหลุดพ้น   ปางสมาธิราบ (ปางตรัสรู้): เป็นอิริยาบถนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบนพระเพลา โดยพระหัตถ์ขวาจะวางทับพระหัตถ์ซ้าย ปางนี้พบมากเป็นอันดับสองรองจากปางมารวิชัย โดยพบถึง 180 องค์ในภาคอีสาน แสดงถึงความสำคัญของการบำเพ็ญสมาธิและการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า   ปางมารวิชัย: เหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะมารผจญ โดยประทับนั่งขัดสมาธิบนบัลลังก์ นิ้วชี้พระแม่ธรณีเป็นพยานในการเอาชนะมาร บางครั้งเรียกว่าปางสะดุ้งมาร ปางนี้นิยมทำเป็นพระประธานในโบสถ์ และพบมากที่สุดในภาคอีสานถึง 1,243 องค์ จากพระไม้ทั้งหมด 1,669 องค์   ปางนาคปรก: พระพุทธจริยาที่เสด็จประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขภายในวงขนดของพญานาคที่ขนดแวดล้อมพระกาย ปางนี้สะท้อนถึงการปกป้องและความสงบสุขที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม   พระพุทธรูปไม้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธา แต่ยังเป็นผลงานศิลปะที่สะท้อนถึงฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ของช่างไม้ในอดีต ในปัจจุบันมีการรวบรวมและจัดแสดงพระพุทธรูปไม้ในพิพิธภัณฑ์และวัดต่างๆ ในภาคอีสาน เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมนี้สืบไป . ที่มา: ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #วิถีไทบ้าน #ISANCulture #พระพุทธรูปไม้  #พระพุทธรูปในภาคอีสาน #พระพุทธรูปไม้ในภาคอีสาน #พระพุทธรูป #พระพุทธรูปไม้ #ศาสนาพุทธ #องค์พระปฎิมา

พามาเบิ่ง ตัวอย่าง พระพุทธรูปไม้ ทั้ง 7 ปางในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ทำไมโคราช ถึงถูกเสนอให้เป็น เมืองหลวงแห่งที่ 2 ในวันที่ กรุงเทพฯ อาจจมบาดาล

โคราช ถูกเสนอเป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 หลังถูกพูดถึงอีกครั้ง ในการประชุมแก้ปัญหาวิกฤต กทม. เมืองหลวงที่กำลังจะจมน้ำจากภาวะโลกร้อน หลังจากมีข่าว กระทรวงมหาดไทย ได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และ สรุปผลการพิจารณาข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ แยกเป็นประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ในส่วนของแผนการจัดน้ำที่ดี กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการจัดหาพื้นที่รองรับน้ำและกักเก็บน้ำเพิ่มเติมสำหรับแผนการจัดการน้ำในระยะกลางแล้ว และได้ดำเนินการก่อสร้างระบบระบายน้ำ ซึ่งเป็นอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่แล้ว 4 แห่ง อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 4 แห่ง และมีแผนสร้างคันกั้นน้ำด้านตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเพื่อการจัดการน้ำในระยะยาวอีกด้วย ในส่วนของโครงสร้างการป้องกันชายฝั่งกรุงเทพมหานคร ได้จัดทำโครงสร้างแบบแข็ง (เขื่อนกันคลื่น/กำแพงกันคลื่น) และแบบอ่อน (เนินทราย/ป่าชายเลน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดสมุทรสาคร และกระทรวงคมนาคม ได้ร่วมมือกับรัฐบาลออสเตรเลียทางด้านวิชาการด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัย โดยเฉพาะระบบระบายน้ำ การย้ายเมืองหลวง จากกรุงเทพมหานครไป จังหวัดนครราชสีมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่า การการย้ายเมืองหลวงจะต้องมีการทำประชามติ และประเมินผลกระทบ ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจการของผู้ประกอบการและการจ้างงาน และกระทบต่อวิถีชีวิต และขนบธรรมเนียมประเพณีของประชาชน ดังนั้น การสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานครและปริมณฑล หรือดำเนินการเพิ่มเมืองศูนย์กลาง ระดับภาคและศูนย์กลางรองระดับภาคเพื่อสร้างสมดุลให้แก่ระบบเมืองของประเทศ น่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่า ความเหมาะสมของจังหวัดนครราชสีมา ที่จะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศไทย โดยปัจจุบันกรมโยธาธิการและผังเมือง และกระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการศึกษาและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานแล้ว เช่น โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง โครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ทั้งนี้ ควรมีการศึกษาด้านทรัพยากรน้ำในทุกมิติให้เกิดความมั่นคงและความสมดุลกับความต้องการน้ำในอนาคต และศึกษาแนวทางการย้ายเมืองหลวงของประเทศอื่นเป็นแนวทางและเทียบเคียงด้วย การศึกษาในเรื่องน้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเกิดจากภาวะโลกร้อน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการศึกษา เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น เช่น การจัดทำ Sea barrier ได้แก่ การพัฒนาเขื่อน ประตูกั้นปากแม่น้ำ ประตูระบายน้ำ คันกั้นน้ำทะเล รวมทั้งการขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการศึกษาแนวทางการป้องกันการรุกตัวของน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา และการศึกษาการคาดการณ์อนาคต ระดับน้ำที่สูงขึ้นในแต่ละช่วงปี เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาให้เกิดความครอบคลุมและควรศึกษาพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและปัญหาอย่างต่อเนื่อง การศึกษาผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่า ควรมีการจัดทำฉากทัศน์ เพื่อเปรียบเทียบ สถานการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางเลือกและผลได้ผลเสียเปรียบเทียบ และควรศึกษาผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นให้รอบคอบเพื่อกำหนดแผนป้องกัน แก้ไข และการจัดการแบบปรับตัว (Adaptive Management) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การสนับสนุนการวิจัยพัฒนาในการออกแบบอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่า ควรมีการศึกษาการออกแบบอาคารใหม่ และการปรับปรุงอาคารที่มีอยู่เดิมแบ่งตามประเภทอาคารที่ใช้งานรวมถึงขนาดและความสูงของอาคาร ควรมีการปรับปรุง Rule Curve ของแต่ละอาคารบังคับน้ำและอ่างเก็บน้ำให้สอดคล้องกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งควรเตรียมการด้านกฎหมายและการสร้างความตระหนักให้หน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนและประชาชน ควบคู่กันไป และควรมีการปรับกฎหมายสิ่งก่อสร้างให้สอดรับกับการปรับโครงสร้างอาคารสถานที่ อย่างไรก็ตามหลังจากที่ประชุมครม.ได้มีมติรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง ญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนจากนี้จะแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบตามขั้นตอนต่อไป ล่าสุด 4/2/2568 : ครม.รับฟังข้อเสนอ เมืองหลวงแห่งที่ 2 หนีวิกฤตกรุงเทพฯ จมน้ำ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รัฐบาลได้มีการพิจารณาหาทางออกอย่างเป็นรูปธรรม หนึ่งในแนวคิดที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การย้ายเมืองหลวงไปที่จังหวัดนครราชสีมา หรือที่หลายคนเรียกกันว่า “โคราช” ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหลังจากที่กระทรวงมหาดไทยรวบรวมความคิดเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ และเสนอให้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2

ทำไมโคราช ถึงถูกเสนอให้เป็น เมืองหลวงแห่งที่ 2 ในวันที่ กรุงเทพฯ อาจจมบาดาล อ่านเพิ่มเติม »

จีนลงทุนในไทย อุตสาหกรรมไหนกำลังมาแรง

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของจีนในไทยในหลายด้าน ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ผลกระทบเชิงบวก การย้ายฐานการผลิต: สงครามการค้าทำให้บริษัทจีนหลายแห่งตัดสินใจย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่สูงขึ้นจากสหรัฐฯ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตนี้ เนื่องจากมีปัจจัยดึงดูดหลายประการ เช่น ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบ โครงสร้างพื้นฐานที่ดี แรงงานที่มีฝีมือ และนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่น่าดึงดูด การลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่: บริษัทจีนเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ในประเทศไทย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย การขยายตลาด: บริษัทจีนใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุนให้กับประเทศไทย ผลกระทบเชิงลบ การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น: การเข้ามาลงทุนของบริษัทจีนอาจทำให้เกิดการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นกับธุรกิจไทย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: การลงทุนบางโครงการอาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยมลพิษ หรือการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน การพึ่งพาการลงทุนจากจีนมากเกินไป: ประเทศไทยอาจพึ่งพาการลงทุนจากจีนมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงในอนาคต หากความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไป ไทยอาจโดนผลพวงจากการกีดการการค้าและการขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ: โดยสหรัฐฯ จะใช้ข้ออ้างที่จีนย้ายการลงทุนมาไทยเพื่อผลิตสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ และสินค้าดั่งเดิมที่ผลิตโดยผู้ประกอบการไทยอาจได้รับผลกระทบจากการกีดกันทางการค้า แนวทางการรับมือ รัฐบาลไทยควรมีนโยบายที่รอบคอบและระมัดระวังในการรับมือกับผลกระทบจากสงครามการค้า และการลงทุนของจีน โดยมีแนวทางดังนี้: ส่งเสริมการลงทุนที่มีคุณภาพ: รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุน SMEs ไทย: รัฐบาลควรให้การสนับสนุน SMEs ไทยในการแข่งขันกับบริษัทจีน เช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การพัฒนาเทคโนโลยี และการตลาด กระจายความเสี่ยง: รัฐบาลควรส่งเสริมการลงทุนจากหลากหลายประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการลงทุนจากจีนมากเกินไป สร้างความร่วมมือ: รัฐบาลควรสร้างความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เพื่อรับมือกับความท้าทายจากสงครามการค้าและการลงทุนจากจีน สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทำให้มองเห็นช่องทางการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯและยุโรป เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการเก็บภาษีสินค้าจีนที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่สมัยที่โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีการพึ่งพาสินค้าจากจีนสูง โดยที่ผ่านมาไทยมีการนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีสัดส่วนการพึ่งพาสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนสงครามการค้า ส่งผลให้จีนมองเห็นโอกาสในการขยายฐานการผลิตออกมาในไทย เพื่อลดต้นทุนและตอบสนองความต้องการของสินค้าจีนที่มีมากในตลาด ประเทศไทยเนื้อหอม ดึงดูดนักลงทุนจีน ตั้งโรงงานผลิตในไทย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักลงทุนจากจีน ที่ต้องการขยายฐานการผลิตและกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ประเทศไทยน่าสนใจสำหรับนักลงทุนจีน ได้แก่ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบ ประเทศไทยตั้งอยู่ในใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว การลงทุนในไทยช่วยให้บริษัทจีนสามารถเข้าถึงตลาดในภูมิภาคนี้ได้ง่ายขึ้น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการพัฒนาอย่างดี เช่น ถนน ท่าเรือ สนามบิน และระบบไฟฟ้า ซึ่งเอื้อต่อการขนส่งสินค้าและการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ แรงงานที่มีฝีมือและค่าแรงที่เหมาะสม ประเทศไทยมีแรงงานที่มีฝีมือและมีทักษะหลากหลายสาขาอาชีพ นอกจากนี้ ค่าแรงในประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค นโยบายส่งเสริมการลงทุนที่น่าดึงดูด รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เช่น การลดหย่อนภาษี การยกเว้นภาษี และการอำนวยความสะดวกในการจัดตั้งธุรกิจ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับจีน ไทยและจีนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนจีนในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย . การลงทุนจากจีนในโรงงานของไทยรวมไปถึงการตั้งโรงงานของจีน มักจะกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมที่จีนได้เปรียบและไทยมีการพึ่งพาสินค้าจากจีนสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากจีนและข้อมูลการอนุมัติส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของไทย เช่น อุตสาหกรรมการผลิตพลาสติก

จีนลงทุนในไทย อุตสาหกรรมไหนกำลังมาแรง อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ปี 2568 อบจ.อีสาน ได้รับงบประมาณเท่าไร?

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไม่ว่าจะเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเทศบาล ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลในรูปแบบเงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการต่างๆ ภายในจังหวัด โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการคลังระหว่างชุมชนท้องถิ่น เสริมสร้างรายได้ให้แก่หน่วยงาน และเป็นกลไกในการกระจายอำนาจการบริหารจัดการสู่ท้องถิ่น หลังการเลือกตั้งนายกและสมาชิก อบจ. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา อีสานอินไซต์ จึงขอนำเสนอ ข้อมูลการจัดสรรงบประมาณประจำปี 2568 ของ อบจ. แต่ละจังหวัดในภาคอีสาน พร้อมชวนดูประเด็นที่น่าสนใจ อบจ.นครราชสีมา ยังคงเป็นผู้ได้รับงบประมาณสูงสุดที่ 2,417,148,800 บาท เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน โดย 68% ของงบประมาณถูกจัดสรรไปยังด้านการศึกษา ตามมาด้วย อบจ.ขอนแก่น ที่ได้รับงบประมาณ 1,498,012,800 บาท เพิ่มขึ้น 7% โดย 48% เป็นงบบริหารจัดการ ในส่วนของอันดับ 3-20 ได้แก่ อบจ.ศรีสะเกษ 1,381,533,200 บาท  เพิ่มขึ้น 5% ส่วนใหญ่เป็นด้านการศึกษา 63% อบจ.มหาสารคาม 970,081,400 บาท  เพิ่มขึ้น 15% ส่วนใหญ่เป็นด้านการศึกษา 42% อบจ.ชัยภูมิ 933,079,500 บาท  เพิ่มขึ้น 9% ส่วนใหญ่เป็นด้านการศึกษา 62% อบจ.ร้อยเอ็ด 851,729,300 บาท  เพิ่มขึ้น 2% ส่วนใหญ่เป็นด้านบริหารจัดการ 67% อบจ.อุบลราชธานี 803,190,000 บาท เพิ่มขึ้น 15% ส่วนใหญ่เป็นด้านการศึกษา 54% อบจ.สกลนคร 760,993,900 บาท  เพิ่มขึ้น 3% ส่วนใหญ่เป็นด้านบริหารจัดการ 62% อบจ.กาฬสินธุ์ 722,528,600 บาท  เพิ่มขึ้น 10% ส่วนใหญ่เป็นด้านการศึกษา 55% อบจ.มุกดาหาร 358,615,800 บาท  เพิ่มขึ้น 13% ส่วนใหญ่เป็นด้านบริหารจัดการ 77% อบจ.หนองบัวลำภู 353,781,300 บาท  เพิ่มขึ้น 8% ส่วนใหญ่เป็นด้านบริหารจัดการ 69% อบจ.อำนาจเจริญ 323,363,000 บาท  เพิ่มขึ้น 13% ส่วนใหญ่เป็นด้านบริหารจัดการ 69% อบจ.อุดรธานี 314,878,500 บาท เพิ่มขึ้น 4% ส่วนใหญ่เป็นด้านศึกษา 56% อบจ.เลย 296,701,500 บาท

พามาเบิ่ง ปี 2568 อบจ.อีสาน ได้รับงบประมาณเท่าไร? อ่านเพิ่มเติม »

คูน้ำโบราณบุรีรัมย์ มรดกภูมิปัญญาแห่งแดนอีสานใต้

คูน้ำ เป็นร่องที่ถูกขุดขึ้นเพื่อใช้กักเก็บน้ำไว้ใช้ โดยทำหน้าที่เป็นเส้นทางการส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกและการอุปโภคบริโภค โดยในอีสานใต้ โดยเฉพาะบุรีรัมย์ มีคูน้ำที่ล้อมรอบพื้นที่อยู่อาศัยอยู่มากมาย ซึ่งบทความนี้จะพามาดูต้นกำเนิดของคูน้ำ มีความสำคัญอย่างไร เกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องราวของเมืองโบราณแห่งอีสานอย่างบุรีรัมย์ ภายในตัวอำเภอเมืองบุรีรัมย์ บริเวณใจกลางเมืองมีคูน้ำขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นรูปวงรีล้อมรอบบริเวณพื้นที่ศาลหลักเมือง คนบุรีรัมย์เรียกคูน้ำนี้ว่า “ละลม” มีความกว้างเฉลี่ย 80 เมตร ยาวประมาณ 5,000 เมตร พื้นที่รวม 179 ไร่ 2 งาน 12 ตารางวา แต่ก่อนมีเพียงคูเดียวล้อมรอบ แต่ปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็น 6 ส่วน ซึ่งละลมแห่งนี้มีประวัติอย่างยาวนานมาตั้งแต่สมัยทวารวดี (ช่วง พ.ศ.1100 – 1500) มีอายุกว่า 1,800 ปี  ซึ่งการกร้างละลมนี้มีจุดประสงค์เป็นเพื่อการอุปโภคบริโภคของชาวเมือง และการทำอุตสาหกรรมเหล็กในสมัยก่อนเป็นหลัก โดยละลมถูกจัดตั้งเป็นโบราณสถานตามประกาศกรมศิลปากร ในวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2523 นอกจากจะเป็นสถานที่ประวัติศาตร์แล้ว ปัจจุบันละลมของเมืองบุรีรัมย์ ก็เป็นสวนสาธารณะและแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองบุรีรัมย์และนักท่องเที่ยว นอกจากละลมในตัวเมืองแล้วนั้น คูน้ำลักษณะนี้ยังกระจายอยู่หลายพื้นที่ในจังหวัด โดยขอยกตัวอย่าง “บ้านปะเคียบ” ตั้งอยู่ ตําบลปะเคียบ อําเภอคูเมือง เป็นชุมชนเมืองโบราณที่อยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำมูล หมู่บ้านมีลักษณะที่ถูกโอบล้อมด้วยคูน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งบ้านปะเคียบแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโบราณสถานโนนสำโรง ซึ่งถูกสันนิษฐานว่าชุมชนโบราณแห่งนี้มีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากโบราณวัตถุมากมายไม่ว่าจะเป็นก้อนศิลาแลง หรือชิ้นส่วนกระเบื้อง เป็นต้น โดยตัวอย่างชุมชนอื่นๆ ในจังหวัดบุรีรัมย์ที่มีคูน้ำล้อมรอบเพื่อใช้ประโยชน์ ที่หยิบยกมานำเสนอ ได้แก่ บ้านเมืองฝ้าย ตำบลเมืองฝ้าย อำเภอหนองหงส์ เป็นอีกชุมชนเมืองโบราณในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีคูน้ำล้อมรอบ 3 ชั้น ลึกประมาณ 2.50 เมตร บ้านทะเมนชัย ตำบลโคกขมิ้น อำเภอพลับพลาชัย เป็นชุมชนเมืองโบราณ มีคูน้ำล้อมรอบขอบเนินเป็นรูปวงรี ตามแนวเหนือใต้ 3 ชั้น กว้างยาวโดยประมาณ 244  ไร่ บ้านตะลุงเก่า ตำบลโคกม้า อำเภอประโคนชัย เมืองโบราณที่มีคูน้ำล้อมรอบเป็นวงรีซ้อนกันสามชั้น ปัจจุบันเหลืออยู่สองชั้น บ้านแสลงโทน ตำบลแสลงโทน อำเภอประโคนชัย กับคูน้ำโบราณตั้งแต่สมัยทวารวดี นอกจากชุมชนที่กล่าวมา ยังมีชุมชนอื่นๆ ที่มีคูเมืองล้อมรอบ เช่น บ้านพระครู บ้านเมืองดู่ และบ้านไทรโยง คูน้ำถือเป็น ‘นวัตกรรม’ การบริหารจัดการน้ำของชาวอีสานใต้ในอดีต สะท้อนถึงภูมิปัญญาในการปรับตัวของผู้คนที่อาศัยในที่ราบลุ่มแม่น้ำ ระบบคูน้ำนี้ไม่เพียงช่วยกระจายน้ำสู่พื้นที่เพาะปลูกอย่างทั่วถึง แต่ยังช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง อีกทั้งยังเป็นระบบนิเวศขนาดเล็กที่เป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์น้ำและพืชน้ำหลากหลายชนิด ซึ่งยังคงให้ประโยชน์มาจนถึงปัจจุบัน    ที่มา สิ่งแวดล้อมศิลปกรรม ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม วิกิชุมชน วารสารเมืองโบราณ มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์  

คูน้ำโบราณบุรีรัมย์ มรดกภูมิปัญญาแห่งแดนอีสานใต้ อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง🚜รถเเทรกเตอร์เกือบครึ่งประเทศอยู่ในเเดนอีสาน เเละหากเทียบสัดส่วนรถเเทรกเตอร์ 1 คันต่อเนื้อที่การเกษตรคิดเป็นเท่าไหร่🌾

พาส่องเบิ่ง!  รถเเทรกเตอร์เกือบครึ่งประเทศอยู่ในเเดนอีสาน เเละหากเทียบสัดส่วนรถเเทรกเตอร์ 1 คันต่อเนื้อที่การเกษตรคิดเป็นเท่าไหร่ . รถเเทรกเตอร์(Tractor) เครื่องจักรกลการเกษตรที่ใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเพื่อการเตรียมแปลงเกษตร โดยความต้องการใช้เครื่องจักรเพื่อการเกษตรของไทยมีสัดส่วนสูงที่ 71.3% ของจํานวนผู้ถือครองทําการเกษตรทั้งหมด โดยชนิดของเครื่องจักรที่มีผู้ใช้มากที่สุด คือ รถเเทรกเตอร์  (50.8% ของผู้ถือครองเนื้อที่ทําการเกษตรที่รายงานว่ามีการใ้เครื่อจักรเพื่อการเกษตร ) รองลงมาเป็นเครื่องเกี่ยวนวดข้าว(27.9%) . คํานิยามของรถเเทรกเตอร์ คือ เป็นรถที่มีล้อหรือสายพาน และมีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนในตัวเอง เป็นเครื่องจักรกลขั้นพื้นฐานในงานที่เกี่ยวกับการขุด ตัก ดัน หรือฉุดลาก เป็นต้น หรือรถยนต์สำหรับลากจูงซึ่งมิได้ใช้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกต้องมีขนาดกว้าง ไม่เกิน 4.40 เมตร ยาวไม่เกิน 16.20 เมตร . แทรกเตอร์ที่ใช้ในภาคเกษตรไทยส่วนใหญ่แบ่งเป็น (1) กลุ่มแทรกเตอร์ขับเคลื่อน 2 ล้อ และ รถไถเดินตาม (Power tiller or 2-wheel walking tractor) เหมาะกับเกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูกขนาดเล็กและอาศัยความคล่องตัว และ (2) กลุ่มแทรกเตอร์ขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือแทรกเตอร์ที่มีขนาดกำลังแรงม้าไม่น้อยกว่า 40 แรงม้า ส่วนใหญ่ถูกนำมาใช้ในการปรับพื้นที่ ไถเตรียมดิน ใช้เพื่อฉุดลากเครื่องมือหรือเครื่องทุ่นแรง หรือมีพื้นที่เพาะปลูกเป็นจำนวนมาก . หากลองเทียบสัดส่วนจํานวนรถเเทรกเตอรที่จดทะเบียนสะสมในเเต่ละจังหวัดกับเนื้อที่ถือครองทําการเกษตร จะได้อัตราส่วนรถเเทรกเตอร์ต่อพื้นที่การเกษตร( 1 คันต่อกี่ไร่) จะพบว่าที่มีอัตราส่วนนี้มากที่สุดคือ บึงกาฬ  1 คัน  : 628 ไร่ เนื่องจากมีจํานวนรถเเทรกเตอร์จดทะเบียนสะสมน้อยที่สุดในภูมิภาคอยู่ที่  2,922 คัน ในขณะที่จังหวัดนครราชสีมาที่มารถเเทกเตอร์มากที่สุดอยู่ที่ 46,595 คัน มีอัตราส่วนอยู่ที่ 1คัน  : 159 ไร่ . อัตราส่วนเฉลี่ยของภูมิภาคอยู่ที่ 1 คัน  : 246 ไร่ นอกจากนี้มีงานศึกษาจากวารสารแก่นเกษตร ระบุว่าจุดคุ้มทุนของรถแทรกเตอร์ขนาดกลาง เจ้าของรถเเทรกเตอร์ควรไถนาอย่างน้อย 260 ไร่ต่อคันต่อปีเพื่อให้คุ้มค่ากับการลงทุน เป็นข้อมูลที่น่าสนใจเเละน่าสังเกตสําหรับการตัดสินใจซื้อหรือใช้งานรถเเทรกเตอร์ เเต่อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบอย่างคร่าวๆเท่านั้น มีข้อมูลหรือเหตุปัจจัยๆอื่นที่มากกว่าที่ได้นําเสนอสําหรับการวิเคราะห์หรือตัดสินใจเกี่ยวกับรถเเทรกเตอร์เเละการเกษตร .   ที่มา : กรมการขนส่งทางบก,สํานักงานสถิติเเห่งชาติ,Krungsri Research,วารสารแก่นเกษตร . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #รถเเทรกเตอร์ #Tractor #รถไถนา #รถไถ #คูโบต้า #kubota #Yanmar #NewHolland

พาส่องเบิ่ง🚜รถเเทรกเตอร์เกือบครึ่งประเทศอยู่ในเเดนอีสาน เเละหากเทียบสัดส่วนรถเเทรกเตอร์ 1 คันต่อเนื้อที่การเกษตรคิดเป็นเท่าไหร่🌾 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐โฉนดที่ดินในอําเมืองคิดเป็นร้อยละเท่าไหร่ของทั้งจังหวัดในอีสาน⛳️

โฉนดที่ดิน ถือเป็นเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินประเภทหนึ่ง ที่ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน จะใช้เอกสารดังกล่าว ในการแสดงความเป็นเจ้าของ และใช้ในการประกอบธุรกรรมด้านต่างๆ เช่น ซื้อ ขาย จำนอง เป็นต้น  . ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานจากข้อมูลของกรมที่ดินพบว่า จังหวัดนครราชสีมาเเละขอนเเก่นเป็นจังหวัดที่มีโฉนดที่ดินมากที่สุดในประเทศเป็นอันดับที่ 2  เเละ  3 เป็นรองเพียงกรุงเทพมหานคร โดยมีปริมาณเอกสารสิทธิประเภทโฉนดที่ดินอยู่ที่1,566,201 เเปลงเเละ 1,166,513  เเปลง ตามลําดับ ส่วนกรุงเทพมหานครมากสุดในประเทศอยู่ที่ 2,182,095 เเปลง จากทั้งหมด 37,272,607 เเปลง  . หากมองไปที่ปริมาณเอกสารสิทธิรายสํานักงาน เเสดงรายอําเภอ การจดทะเบียนสิทธิเเละนิติกรรมที่สํานักงานที่ดินซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ จะพบว่าในภาคอีสานหากคิดเป็นร้อยละของอําเภอเมืองเทียบกับทั้งตัวจังหวัด อําเภอเมืองมุกดาหารมีปริมาณเอกสารสิทธิประเภทโฉนดที่ดินคิดเป็นถึงร้อยละ  40.54 ของทั้งจังหวัด อาจเป็นสิ่งที่เป็นนัยได้ว่าที่ดินที่ประชาชนถือครองใช้ประโยชน์อยู่นั้นกรรมสิทธ์ความเป็นเจ้าของในที่ดินเกือบครึ่งหนึ่งยังอยู่เเค่ตัวอําเภอเมือง รองลงมาคือหนองบัวลําภูเเละหนองคายที่ 38.99 เเละ 36.28  ตามลําดับ หากคิดรวมทั้งภูมิภาคโฉนดที่ดินในอําเภอเมืองคิดเป็นร้อยละ 21.52 จากทังหมด . การเปลี่ยนแปลงในด้านการถือครองและการจัดการโฉนดที่ดินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยได้เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการพัฒนาของโครงสร้างพื้นฐาน การขยายตัวของเขตเมือง และการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชน ความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การสิ่งเเวดล้อม การสํารวจดูการเปลี่ยนเเปลงเอกสารสิทธิในที่ดิน โดยเฉพาะโฉนดที่ดินจึงมีประโยชน์เเก่ผู้ที่สนใจเเละสามารถนําข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการวิเคราะห์วางเเผนด้านต่างๆ . ที่มา : กรมที่ดิน . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #ที่ดิน#โฉนด#โฉนดที่ดิน

พามาเบิ่ง🧐โฉนดที่ดินในอําเมืองคิดเป็นร้อยละเท่าไหร่ของทั้งจังหวัดในอีสาน⛳️ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง👨‍👩‍👧‍👦กราฟพีระมิด ‘ประชากรอีสาน’ ต้อนรับ Gen BETA👶

เกิดใหม่น้อย! อีสานเตรียมรับมือโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่อาจจะเปลี่ยนไป . ฮู้บ่ว่า❓Gen Alpha ไม่ใช่คำใหม่อีกต่อไป เมื่อเด็กที่เกิดปี 2568 – 2582 จะกลายเป็น Gen Beta ยุคที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ผสมผสานเข้ากับชีวิตโดยสมบูรณ์ ขณะที่เด็กในอีสานเกิดน้อยลงในทุกๆ ปี หน้าตาของโครงสร้างของประชากรจะเปลี่ยนไปอย่างไร และผลกระทบจะมากแค่ไหน . ISAN Insight & Outlook พามาเบิ่ง👨‍👩‍👧‍👦กราฟพีระมิด ‘ประชากรอีสาน’ ต้อนรับ Gen BETA👶 ▶️อายุ 0 – 4 ปี ♂️417,495♀️394,812 รวม 812,307 คน ▶️อายุ 5 – 9 ปี ♂️548,243♀️519,923 รวม 1,068,166 คน ▶️อายุ 10 – 14 ปี ♂️655,239♀️620,054 รวม 1,275,293 คน ▶️อายุ 15 -19 ปี ♂️679,876♀️642,546 รวม 1,322,422 คน ▶️อายุ 20 – 24 ปี ♂️671,492♀️661,126 รวม 1,332,618 คน ▶️อายุ 25 – 29 ปี ♂️802,509♀️760,277 รวม 1,562,786 คน ▶️อายุ 30 – 34 ปี ♂️805,263♀️758,027 รวม 1,563,290 คน ▶️อายุ 35 – 39 ปี ♂️746,860♀️711,132 รวม 1,457,992 คน ▶️อายุ 40 – 44 ปี ♂️822,741♀️805,643 รวม 1,628,384 คน ▶️อายุ 45 – 49 ปี ♂️862,275♀️872,900 รวม 1,735,175 คน ▶️อายุ 50 – 54 ปี ♂️884,798♀️933,547 รวม 1,818,345 คน ▶️อายุ 55 – 59

พามาเบิ่ง👨‍👩‍👧‍👦กราฟพีระมิด ‘ประชากรอีสาน’ ต้อนรับ Gen BETA👶 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐 “แรงงานต่างด้าวในอีสาน มีมากแค่ไหน”👨‍🎓

พามาเบิ่ง “แรงงานต่างด้าวในอีสาน มีมากแค่ไหน” ฟิลิปปินส์ ชาติที่มีแรงงานต่างด้าวในไทย อันดับ 5 . จากกระแสข่าวดังในโลกโซเชียล ที่ขึ้น แฮชแท็ก #สุขุมวิท11 และ #กะเทยไทย ที่ขึ้นเทรด X มากกว่า 3 ล้านโพสต์ จากต้นเรื่องเหตุเกิดที่ สุขุมวิท11 จนกลายเป็นประวัติศาสตร์ กะเทย ไทย-ปินส์ . เมื่อกะเทยฟิลิปปินส์เริ่มมาทำมาหากินในไทยโดยอาศัยช่องว่างที่คนฟิลิปปินส์สามารถท่องเที่ยวในไทยโดยไม่ต้องขอวีซ่าและพำนักได้ 30 วัน และ นักท่องเที่ยวฟิลิปปินส์หลายคนแอบเข้ามาลักลอบทำงานเป็น sex worker ในย่านสุขุมวิท จนเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกับคนไทยดังข่าวที่ปรากฏ . วันนี้อีสานอินไซด์จึงจะมาเปิดข้อมูลสถิติ ว่านอกจากนักท่องเที่ยวฟิลิปปินส์หรือนักท่องเที่ยวต่างชาติอื่นๆที่มาในฐานะวีซ่าของนักท่องเที่ยวแล้ว จำนวนแรงงานต่างด้าวที่มาอย่างถูกกฎหมายที่พำนักอยู่ในไทยสะสมถึงปัจจุบันมีจำนวนอยู่เท่าใด และจำนวนของแรงงานต่างด้าวในแต่ละจังหวัดของอีสานมีจำนวนอยู่มากไหร่ . โดยหากดูจากข้อมูลสถิติแล้วจะพบว่าจำนวนแรงงานต่างด้าวที่มาอย่างถูกกฎหมายในไทยมีมากถึง 3,415,774 คน โดยกระจายตัวตามแต่ละภูมิภาค ดังนี้ กรุงเทพฯ และปริมณฑล 1,784,479 หรือคิดเป็น 52% ของจำนวนแรงงานต่างด้าวทั้งหมด ภาคกลางและภาคตะวันออก 799,963 หรือคิดเป็น 23% ของจำนวนแรงงานต่างด้าวทั้งหมด ภาคเหนือ 308,604 หรือคิดเป็น 9% ของจำนวนแรงงานต่างด้าวทั้งหมด ภาคอีสาน 71,655 หรือคิดเป็น 2% ของจำนวนแรงงานต่างด้าวทั้งหมด ภาคใต้ 451,073 หรือคิดเป็น 13% ของจำนวนแรงงานต่างด้าวทั้งหมด โดย 5 สัญชาติของแรงงานต่างด้าวที่มีมากที่สุดในไทย ได้แก่ เมียนมา, กัมพูชา, ลาว, จีน, และฟิลิปปินส์ . โดยจำนวนแรงงานต่างด้าวเหล่านี้ถือเป็นแรงงานหลักสำคัญในภาคอุตสาหกรรมการผลิต การบริการ เนื่องด้วยแรงงานมีราคาค่าจ้างที่ถูกกว่าแรงงานไทย ทำให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของผู้ประกอบการ . ทั้งนี้อีสานอินไซด์ตั้งข้อสังเกตจากกรณีข่าวดังกล่าวว่ากฎหมายยังมีช่องว่างก่อให้เกิดการละเมิดและการแย่งงานของคนในพื้นที่รวมไปถึงงานบางประเภทที่ไม่ได้ระบุหรือถูกบัญญัติให้ถูกกฎหมาย อาจจะทำให้ไทยสูญเสียโอกาสและรายได้ทางเศรษฐกิจที่แม้แต่ทางอีสานอินไซด์ก็ไม่สามารถประเมินได้ จึงอยากให้กรณีข่าวนี้ถูกผลักดันและดำเนินการแก้ไข ป้องกัน ด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป . ที่มา สำนักงานบริหารแรงงานต่างด้าว (จำนวนแรงงานต่างด้าวที่พำนักอยู่ไทย สะสมถึง ม.ค.2567) . พามาสำรวจ ผ่านมา 10 ปี ชนกลุ่มน้อยที่ได้รับใบอนุญาตทำงานในอีสานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว . สิทธิของลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าว แรงงานต่างด้าวในประเทศไทยได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายเช่นเดียวกับแรงงานไทย โดยมีกฎหมายและมาตรการเฉพาะที่มุ่งดูแลสิทธิและความปลอดภัยของแรงงานต่างด้าว เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจ้างแรงงานต่างด้าว ต่อไปนี้คือสิทธิที่แรงงานต่างด้าวพึงได้รับ: 1. สิทธิในการได้รับค่าจ้าง แรงงานต่างด้าวมีสิทธิได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด เช่นเดียวกับแรงงานไทย นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างตรงเวลาและครบถ้วน 2. สิทธิในเวลาทำงานและเวลาพัก ชั่วโมงการทำงาน: ไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เวลาพัก: ต้องมีเวลาพักอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หากทำงานเกิน

พามาเบิ่ง🧐 “แรงงานต่างด้าวในอีสาน มีมากแค่ไหน”👨‍🎓 อ่านเพิ่มเติม »

พามาสำรวจ ผ่านมา 10 ปี ชนกลุ่มน้อยที่ได้รับใบอนุญาตทำงานในอีสานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

การเปลี่ยนแปลงของชนกลุ่มน้อยในภาคอีสาน ความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงภาคเศรษฐกิจ . ภาคอีสาน กำลังเดินหน้าเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงทุนและการพัฒนาทางโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการเพิ่มขึ้นของแรงงานชนกลุ่มน้อยที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจของภูมิภาค ตัวเลขล่าสุดเผยว่า จำนวนชนกลุ่มน้อยที่ได้รับใบอนุญาตทำงานทั่วประเทศเพิ่มขึ้นจากเพียง 10,882 คนในปี พ.ศ. 2558 เป็น 32,608 คนในปี พ.ศ. 2567 เพิ่มขึ้น 3 เท่า เฉพาะอีสานเพิ่มจาก 343 คน ในปี พ.ศ. 2588 มาเป็น 837 คน ในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในระยะเวลาเพียง 10 ปี    ชนกลุ่มน้อยในบริบทนี้ หมายถึงกลุ่มประชากรที่มีลักษณะทางชาติพันธุ์ ภาษา วัฒนธรรม หรือวิถีชีวิตที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ และผู้ที่ไม่มีสัญชาติ พวกเขามักทำงานในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้น เช่น ภาคเกษตร อุตสาหกรรมการผลิต และบริการ ซึ่งล้วนเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจในภูมิภาคอีสาน   เมื่อพิจารณาตัวเลขสถิติ พบว่าในจังหวัดนครราชสีมา จำนวนชนกลุ่มน้อยที่ได้รับใบอนุญาตทำงานเพิ่มขึ้นจาก 252 คนในปี พ.ศ. 2558 เป็น 490 คนในปี พ.ศ. 2567 ส่วนจังหวัดขอนแก่นที่เคยมีเพียง 7 คนในปี พ.ศ. 2558 ก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 107 คนในปี พ.ศ. 2567 ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงสร้างเศรษฐกิจของอีสาน ที่ได้รับแรงผลักจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ เช่น โครงการรถไฟ การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม และการเติบโตของเมืองขนาดใหญ่ ทำให้แรงงานชนกลุ่มน้อยได้กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ขับเคลื่อนการขยายตัวนี้    ข้อสังเกตุในการเพิ่มขึ้นของแรงงานชนลุ่มน้อยนอกจากจะสะท้อนถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจของการจ้างงานในภาคอีสานแล้ว อาจตั้งข้อสังเกตุได้ว่าภาคอีสานของอาจกำลังขาดการพัฒนาในอุตสาหกรรมหนัก หรืออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงอยู่หรือไม่ นี่เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจที่ควรถามกับภูมิภาคของเรา การตั้งคำถามในมุมต่างๆเช่นนี้จะช่วยให้นำไปสู่การพัฒนาที่ดีขึ้นได้   แต่อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของชนกลุ่มน้อยในตลาดแรงงานไม่ได้ปราศจากความท้าทาย การสร้างระบบที่สามารถตรวจสอบสถานะและคุ้มครองสิทธิแรงงานได้อย่างเหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้แรงงานผิดกฎหมาย รวมถึงส่งเสริมให้แรงงานเหล่านี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย     ในอนาคตภาคอีสานจะยังคงเผชิญกับความต้องการแรงงานที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ รัฐบาลกับภาคเอกชนต้องร่วมมือกันวางแผนและดำเนินนโยบายที่ส่งเสริมความเท่าเทียมและการพัฒนาความสามารถของชนกลุ่มน้อยและแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบจะสามารถทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเราเติบโตได้อย่างยั่งยืน   เมื่องานที่ใช้แรงงานคนไทยไม่ทำหรือมีแรงงานไม่เพียงพอ ในสถานการณ์ปัจจุบันไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และอัตราการเกิดต่ำ และอาจขาดแรงงานในอนาคต การที่ประเทศไทยรับแรงงานต่างด้าวและแรงงานชนกลุ่มน้อยเข้ามาทำงานมีทั้งผลดีและผลเสีย ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้: ผลดี: ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน: ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ทำให้อัตราการเกิดลดลงและขาดแคลนแรงงานในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ทักษะต่ำและงานหนัก การรับแรงงานต่างด้าวและชนกลุ่มน้อยเข้ามาทำงานจะช่วยเติมเต็มช่องว่างนี้ได้ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ: แรงงานต่างด้าวและชนกลุ่มน้อยมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง การเกษตร และการบริการ พวกเขาช่วยให้ภาคธุรกิจเหล่านี้ดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ เพิ่มความหลากหลายทางวัฒนธรรม: การมีแรงงานต่างด้าวและชนกลุ่มน้อยเข้ามาทำงานในประเทศไทย ทำให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งอาจนำไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่เป็นประโยชน์ ผลเสีย: ผลกระทบต่อตลาดแรงงาน: การเข้ามาของแรงงานต่างด้าวและชนกลุ่มน้อยจำนวนมาก อาจส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานของคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานที่มีทักษะต่ำ อาจมีการแข่งขันด้านค่าจ้างที่สูงขึ้น หรืออาจถูกแย่งงาน ปัญหาทางสังคม: การเข้ามาของแรงงานต่างด้าวและชนกลุ่มน้อยอาจนำไปสู่ปัญหาทางสังคม เช่น ปัญหาการหลบหนีเข้าเมือง ปัญหาการค้ามนุษย์

พามาสำรวจ ผ่านมา 10 ปี ชนกลุ่มน้อยที่ได้รับใบอนุญาตทำงานในอีสานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top