พาส่องเบิ่ง ระดับความรุนแรงในไทย จากเหตุแผ่นดินไหว 28 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา

แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ 28 มีนาคม 2568 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและธุรกิจ

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13.20 น. เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ที่ประเทศเมียนมา บริเวณรอยเลื่อนสะกาย ที่เมืองมัณฑะเลย์ ส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงหลายพื้นที่ในประเทศไทย ระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวในบางจังหวัดของไทยวัดได้ตั้งแต่ 3.0 – 5.7 โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคกลางที่ได้รับแรงสั่นสะเทือนชัดเจน เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคเศรษฐกิจและธุรกิจในประเทศไทย

 

ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์

แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนต่ออาคารสูงในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียง แม้ว่าจะไม่มีการพังถล่มรุนแรงในหลายพื้นที่ แต่ก็มีรายงานความเสียหายต่อโครงสร้างบางส่วนของอาคารสำนักงาน โรงแรม และคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะในเขตที่มีอาคารเก่าซึ่งไม่ได้ออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหว

 

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับมาตรฐานการก่อสร้างที่สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนได้ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จึงอาจต้องปรับแผนการออกแบบและการตลาดเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป

 

ผลกระทบต่อธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม

– การชะลอตัวของการลงทุน
นักลงทุนบางส่วนอาจมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น ศูนย์การค้า โรงแรม และโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

– ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวบางส่วน โดยเฉพาะชาวต่างชาติ อาจมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย ส่งผลให้มีการยกเลิกหรือเลื่อนการเดินทางมายังประเทศไทย โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ที่ได้รับแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน

– การประกันภัยและมาตรการความปลอดภัยทางธุรกิจ
เหตุการณ์แผ่นดินไหวทำให้หลายธุรกิจเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับ กรมธรรม์ประกันภัยแผ่นดินไหว มากขึ้น บริษัทประกันภัยอาจต้องปรับอัตราเบี้ยประกันหรือขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต

 

ทำไมแผ่นดินไหวในพม่าเมื่อ 28 มีนาคม 2568 ถึงส่งแรงสั่นสะเทือนถึงไทย?

เหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนมาถึงประเทศไทยได้ เนื่องจากปัจจัยทางธรณีวิทยาหลายประการ ดังนี้:

  • รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault):
    • จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งนี้อยู่บริเวณรอยเลื่อนสะกาย ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่มีพลังและมีการเคลื่อนที่ในแนวระนาบ
    • การเคลื่อนที่ของรอยเลื่อนนี้ทำให้เกิดการปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปแบบคลื่นแผ่นดินไหว ซึ่งสามารถเดินทางไปได้ในระยะทางไกล
  • ขนาดและความลึกของแผ่นดินไหว:
    • แผ่นดินไหวครั้งนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ (7.7 แมกนิจูด) และมีจุดศูนย์กลางค่อนข้างตื้น (10 กิโลเมตร)
    • แผ่นดินไหวขนาดใหญ่และตื้นจะทำให้เกิดคลื่นแผ่นดินไหวที่ทรงพลัง ซึ่งสามารถเดินทางไปได้ไกลและส่งผลกระทบในพื้นที่ห่างไกลได้
  • ลักษณะทางธรณีวิทยาของประเทศไทย:
    • บางพื้นที่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและกรุงเทพมหานคร มีลักษณะทางธรณีวิทยาที่สามารถขยายคลื่นแผ่นดินไหวได้
    • โดยธรณีสัณฐานที่ตื้นของกรุงเทพมหานครยังเสี่ยงต่อคลื่นสั่นสะเทือนจากระยะไกล และแผ่นดินที่เป็นพื้นดินอ่อนจากอดีตที่เคยอยู่ใต้ทะเลก่อนจะกลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ และกลายเป็นแผ่นดินเกิดใหม่ในไม่กี่พันปีที่ผ่านมา
  • ระยะทาง:
    • ถึงแม้ว่าจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวจะอยู่ในเมียนมา แต่ก็อยู่ไม่ไกลจากประเทศไทยมากนัก ทำให้คลื่นแผ่นดินไหวสามารถเดินทางมาถึงประเทศไทยได้

แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมียนมานี้ เป็นอีกเหตุการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต แม้ว่าผลกระทบในระยะสั้นจะทำให้เศรษฐกิจบางภาคส่วนได้รับความเสียหาย แต่หากมองในระยะยาว นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ประเทศไทยพัฒนามาตรฐานโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายด้านความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน และเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในอนาคต

แม้ภาคอีสานจะมีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบต่ำจากรอยเลื่อนในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านแต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหว

โดยรอยเลื่อนในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคตะวันเฉียงเหนือ มีดังต่อไปนี้

  • รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) ประเทศเมียนมา:
    • เป็นรอยเลื่อนที่มีพลังและมีความยาวมาก การเคลื่อนที่ของรอยเลื่อนนี้สามารถส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง แม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะอยู่ห่างไกล แต่แผ่นดินไหวขนาดใหญ่จากรอยเลื่อนนี้ก็สามารถส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงได้
  • กลุ่มรอยเลื่อนเมืองหงสา สปป.ลาว:
    • รอยเลื่อนนี้วางตัวในแนวตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ การเคลื่อนไหวของรอยเลื่อนนี้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดน่าน และพื้นที่ภาคเหนือ และอาจมีผลกระทบถึงภาคอีสานได้
  • รอยเลื่อนบ้านศาลา สปป.ลาว:
    • รอยเลื่อนนี้วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ และขนานกับรอยเลื่อนปัวของไทย แผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนนี้เคยส่งผลกระทบต่อหลายจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
  • รอยเลื่อนเดียนเบียนฟู (Dian Bien Phu Fault) ประเทศเวียดนาม:
    • รอยเลื่อนนี้พาดผ่านภาคเหนือของเวียดนาม และอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ใกล้เคียงในลาวและไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคอีสานได้

จากรอยเลื่อนที่กล่าวมาทั้งหมดนี้แม้อาจจะมีแรงสั่นสะเทือนถึงภาคอีสานได้ แต่ก็อยู่ในระดับต่ำ และสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานและอาคาร บ้านเรือน ได้เพียงเล็กน้อย หากการก่อสร้างเป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายควบคุม

ผลกระทบต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือ:

  • แม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะอยู่ห่างจากรอยเลื่อนเหล่านี้ แต่แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ก็สามารถส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงได้
  • ลักษณะทางธรณีวิทยาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เป็นหินแข็งช่วยลดทอนแรงสั่นสะเทือนได้
  • อย่างไรก็ตาม อาคารและโครงสร้างที่ไม่แข็งแรงในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออาจได้รับความเสียหายจากแรงสั่นสะเทือนได้

ดังนั้น ถึงแม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าภาคอื่น ๆ แต่ก็ไม่ควรประมาท และควรเตรียมพร้อมรับมือกับแผ่นดินไหว

 

อ้างอิงจาก:

– BIOTHAI

– มิตรเอิร์ธ – mitrearth

พามาฮู้จัก รอยเลื่อนสะกาย ยักษ์หลับกลางเมืองพม่า ต้นเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ สะเทือนแรงถึงไทย

ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่

https://linktr.ee/isan.insight

 

#ISANInsightAndOutlook #อีสานอินไซต์ #แผ่นดินไหว #แผ่นดินไหมพม่า #รอยเลื่อนสะกาย #แผ่นดินไหวเมียนมา #เมืองมัณฑะเลย์

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top