Siree Jamsuwan

เทื่อแรก ! ในอาเซียน นักวิจัย มข. ผลิตแบตเตอรี่โซเดียมไอออนจากแร่เกลือหิน ต่อยอดอุตสาหกรรม

เทื่อแรก ! ในอาเซียน  นักวิจัย มข. ผลิตแบตเตอรี่โซเดียมไอออนจากแร่เกลือหิน ต่อยอดอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า     มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ร่วมกับ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม (กพร.) จัดงานแถลงข่าวโครงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่ชนิดโซเดียมไอออนจากแหล่งแร่เกลือหินเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมศักยภาพ   รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า  ปัจจุบันการประชุมทั่วโลกได้กล่าวถึงการใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานทางเลือก โครงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่ชนิดโซเดียมไอออนจากแหล่งแร่เกลือหินเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมศักยภาพ นับเป็นความสำเร็จของทีมวิจัยมหาวิทยาลัยขอนแก่น นำทีมโดย รศ.ดร.นงลักษณ์ มีทอง   โดยแบตเตอรี่ตัวนี้ สามารถกักเก็บพลังงานทั้งจากแสงอาทิตย์ หรือจากกังหันลม แปลงมาเป็นกระแสไฟฟ้า แล้วเก็บในรูปแบบแบตเตอรี่ สิ่งนี้จะมาช่วยในชีวิตประจำวัน ซึ่งในอนาคตพลังงานแบตเตอรี่เหล่านี้จะถูกลง จะช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชน   ดร. ธีรวุธ  ตันนุกิจ ผู้แทนอธิบดี กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม  กล่าวว่า าประเทศไทยมีแหล่งแร่โปแตช หรือกลุ่มแร่ชนิดโซเดียมมักเกิดคู่กัน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีปริมาณมากที่สุด และมีปริมาณสำรองแหล่งแร่เกลือหินในประเทศไทยมี 18 ล้านล้านตัน ซึ่งแร่ชนิดดังกล่าวเป็นสารตั้งต้นในการผลิตแบตเตอรี่ชนิดโซเดียมไอออนจากแหล่งแร่เกลือหิน   โครงการนี้ถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกในอาเซียน กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ส่งเสริมเป้าหมายต่อไปคือ สร้างอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ครบวงจร  นำเกลือหินมาทำเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตแบตเตอรี่ อาจจะไปใช้ในยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ใช้เป็นตัวพลังงานเพื่อทำสมาร์ทฟาร์มให้กับอุตสาหกรรมเกษตรต่อไป   เป้าหมายของกระทรวงคือผลักดันอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ครบวงจร สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้ประเทศ ความสำเร็จเหล่านี้ส่งผลให้อุตสาหกรรมไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายหลักคืออุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่แห่งอนาคต   เมื่อนำไปใช้กับ E – Bike หรือจักรยานยนต์ต้นแบบที่ใช้พลังงานจากโซเดียมไอออน ซึ่งเป็นความสำเร็จจากโครงการครั้งนี้ ในส่วนตัวเกลือหินหรือเกลือสินเธาว์กิโลกรัมละไม่กี่บาท แต่พอมาทำเป็นตัววัตถุดิบตั้งต้นแบตเตอรี่โซเดียมไอออนตัวนี้จะยกระดับมูลค่าทางเศรษฐกิจแร่ตัวนี้อย่างมากในอนาคต และจะทำการต่อยอดให้เป็นอุตสาหกรรมต่อไป   อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์ มติชน มหาวิทยาลัยขอนแก่น   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #มข #มหาวิทยาลัยขอนแก่น #ขอนแก่น #แบตเตอรี่โซเดียมไอออนจากแร่เกลือหิน

ซอมเบิ่ง 3 ธุรกิจบริการปี 2566 สร้างรายได้เข้าประเทศ

ซอมเบิ่ง  3 ธุรกิจบริการปี 2566  สร้างรายได้เข้าประเทศ   กระทรวงพาณิชย์ ตั้งเป้า ปี 2566 ผลักดัน 3 ธุรกิจบริการ  “ร้านอาหาร  ดูแลผู้สูงอายุ  Wellness” สร้างรายได้เข้าประเทศ พร้อมเร่งผลักดันสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ ภาครัฐพร้อมให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกเต็มที่   นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า จุดอ่อนสำคัญของธุรกิจบริการไทย คือ ขาดองค์ความรู้ที่จำเป็นในการบริหารธุรกิจ เช่น การคำนวณต้นทุน การตลาด การบริหารงานบุคคล การเงินและบัญชี ระบบภาษี ความรู้ด้านกฎหมาย การนำระบบเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการธุรกิจ รวมทั้ง ต้องเผชิญกับภาวการณ์แข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น   ดังนั้น การเพิ่มองค์ความรู้เชิงลึกแบบครบทุกมิติจะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจธุรกิจมากขึ้น มีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อความเข้มแข็งของธุรกิจระยะยาว พร้อมที่จะขยายและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้อง เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น และมีความเชื่อมโยงกับธุรกิจต่อเนื่องที่หลากหลาย   การค้าภาคบริการเป็นภาคเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้ประเทศในระดับสูง อีกทั้ง ความต้องการใช้บริการทุกภาคบริการมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยมี 3 ธุรกิจที่น่าจับตามองในปีหหน้าประกอบด้วย    – ธุรกิจร้านอาหาร  – ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ – ธุรกิจบริการความงามและสุขภาพ (Wellness)    โดยเน้นการเสริมสร้างองค์ความรู้เชิงลึกแบบครบทุกมิติ ทั้งการตลาด การบริหารจัดการธุรกิจ การเงินและบัญชี การขยายตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ กลยุทธ์การบริการเพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจและกลับมาใช้บริการซ้ำ    ทั้งนี้ ภาครัฐพร้อมให้การสนับสนุนภาคธุรกิจบริการเต็มที่ เชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจ และจะเป็นตัวกลางช่วยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ธุรกิจบริการกลุ่มเป้าหมายได้รับความสะดวกรวดเร็วในการประกอบธุรกิจ ส่งผลต่อดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวมต่อไป     อ้างอิงจาก: ฐานเศรษฐกิจ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ธุรกิจบริการ #ร้านอาหาร  #ดูแลผู้สูงอายุ  #Wellness #ผู้สูงอายุภาคอีสาน

พื้นที่สีเขียวเฉลี่ยต่อคน จังหวัดใด๋หลายกว่าหมู่?

พื้นที่สีเขียวเฉลี่ยต่อคน  จังหวัดใด๋หลายกว่าหมู่?   พื้นที่สีเขียวในเขตเมืองสำคัญอย่างไร? ต้นไม้และพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดความอยู่ดีมีสุข (Well-Being) ของคนเมือง เมืองที่ดีควรมีพื้นที่สีเขียวในปริมาณที่เหมาะสม ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ยิ่งถ้าเมืองนั้นมีประชากรหนาแน่น พื้นที่สีเขียวก็จะยิ่งมีคุณค่า โดยเฉพาะต่อสุขภาวะทางกายและใจของคน รวมไปถึงคุณค่าต่อสิ่งแวดล้อมของเมืองที่ส่งผลเป็นวงกว้าง เช่น การลดอุณหภูมิความร้อน การดูดซับมลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง การเป็นพื้นที่ชะลอน้ำ ระบายน้ำ เป็นต้น   โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดมาตรฐานเพื่อส่งเสริมให้เมืองต่างๆ พัฒนาและเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับจำนวนประชากรในแต่ละเมือง โดยกำหนดเอาไว้ว่า ประชาชน 1 คนควรมีพื้นที่สีเขียว 9-15 ตารางเมตร เมืองนั้นจึงถือว่าเป็นเมืองที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี   ซึ่งประโยชน์ของพื้นที่สีเขียวมีมากมายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ด้านสุขภาพจิต ด้านสุขภาพทางร่างกาย ด้านสังคม นอกจากประโยชน์ทั้ง 3 ด้านนี้ พื้นที่สีเขียวก็ยังสร้างประโยชน์ให้แก่เมือง ทั้งการช่วยลดปัญหาฝุ่นควัน มลพิษต่างๆ ช่วยเพิ่มระดับคุณภาพทางอากาศ หรือเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวได้อีกด้วย   อีกทั้งเรายังควรอนุรักษ์รักษ์สิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น เพื่อให้มีพื้นที่สีเขียวให้คงอยู่และมีมากขึ้นต่อไปในอนาคต โดยเกิดเทรนด์ “การท่องเที่ยวสีเขียว” หนึ่งในรูปแบบการท่องเที่ยวสีเขียว คือ “การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Tourism)”   การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ หรือ Low Carbon Tourism เป็นการท่องเที่ยวที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและรบกวนสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด โดยการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำสามารถเป็นการท่องเที่ยวแบบง่ายๆ ตามความชอบของนักท่องเที่ยว เพียงแต่กิจกรรมการท่องเที่ยวนั้นต้องให้ความสำคัญรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และการลดก๊าซคาร์บอน   ยกตัวอย่างเช่น การเลือกยานพาหนะในการเดินทาง การรับประทานอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบในท้องถิ่น การทำกิจกรรมท่องเที่ยวด้านสิ่งแวดล้อม เช่น กิจกรรมปลูกป่า ปลูกปะการัง การเก็บขยะ เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากกว่าการท่องเที่ยวแบบทั่วไป อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสให้กับกิจการที่เกี่ยวข้องกับการรักษ์โลกและเพื่อเพิ่มไอเดียในการพัฒนาธุรกิจของตนเองให้เข้ากับเทรนด์ในตอนนี้อีกด้วย   อ้างอิงจาก: สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #พื้นที่สีเขียว #พื้นที่สีเขียวต่อคน #พื้นที่สีเขียวต่อประชากร #LowCarbonTourism #การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ #บึงกาฬ #นครพนม #เลย  

ฮ่วมมือ ! อุบลฯ ลาว-กัมพูชา จัดอบรม ปลุกเศรษฐกิจอีสานใต้

ฮ่วมมือ ! อุบลฯ ลาว-กัมพูชา  จัดอบรม ปลุกเศรษฐกิจอีสานใต้   ม.อุบลราชธานี นำทีมวิทยากรจัดอบรมหลักสูตรระยะสั้นที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติพระตะบอง ต่อจากการไปอบรมหลักสูตรการประมงพื้นที่ดินเค็มที่แขวงคำม่วน สปป.ลาว ขับเคลื่อนฟื้นเศรษฐกิจอีสานใต้ต่อประเทศเพื่อนบ้าน   โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา พยุหะ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ พร้อมทีมวิทยากร ไปจัดอบรมหลัก สูตรระยะสั้น ด้าน “Food Technology, Animal Science and Aquaculture” ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติพระตะบอง ประเทศกัมพูชา   ภายใต้โครงการ “Higher Education Improvement Project-HEIP กับ Faculty of Agriculture and Food Processing Technology” ผศ.ดร.กาญจนา กล่าวว่า  ความร่วมมือทางวิชาการโครงการนี้ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินงานจากธนาคารโลก ตั้งแต่ พ.ศ. 2562 ได้ให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอก สำหรับอาจารย์และนักวิชาการมหาวิทยาลัยแห่งชาติพระตะบอง ประเทศกัมพูชา เพื่อศึกษาต่อ ณ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปัจจุบันมีนักศึกษาระดับปริญญาเอก จำนวน 3 คน และระดับปริญญาโท จำนวน 6 คน   ในปีงบประมาณ 2565 ทางคณะเกษตรศาสตร์ได้จัดอบรมระยะสั้นนานาชาติ จำนวน 6 หลักสูตร ได้แก่ Animal Science, Food Processing Technology, Aquaculture, Animal Nutrition, Post Harvest Technology and Agribusiness ในช่วงเดือนพ.ค. และส.ค. 2565 ที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว และผลการตอบรับจากผู้เข้าร่วมการอบรมดีมาก เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างมหาวิทยาลัยและประเทศในกลุ่มอาเซียนร่วมกันต่อไป   นอกจากนี้ที่วิทยาลัยเทคนิคการอาชีพ แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ “เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์นํ้าในพื้นที่ดินเค็ม” อีกด้วย โดยมีพันธกิจพัฒนาพื้นที่และชุมชนเพื่อยกระดับเศรษฐกิจ ประกอบด้วย วิทยาลัยเทคนิคการวิชาชีพ ศูนย์ผลิตกสิกรรม เมืองเซบั้งไฟ แขนงการศึกษานอกระบบ   เพื่อตอบสนองทางเศรษฐกิจร่วมกัน ในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานทรัพยากรชีวภาพสัตว์นํ้าให้เข้มแข็งและยั่งยืน บริเวณพื้นที่ราบลุ่มที่มีชั้นของเกลือหินและนํ้าเค็มใต้ดิน สร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งยั่งยืนของพื้นที่เศรษฐกิจอนุภูมิภาค ลุ่มนํ้าโขง   ทั้งนี้ อุบลราชธานี มีพรมแดนติดต่อทั้งกับสปป.ลาว และกัมพูชา จึงใช้เป็นจุดแข็งผนึกความร่วมมือกับเพื่อนบ้าน เพื่อขับเคลื่อนการฟื้นเศรษฐกิจร่วมกันหลังโควิด-19 คลี่ คลาย ทั้งฟื้นความร่วมมือทางวิชาการระหว่างสถาบันการศึกษา ความร่วมมือของภาคเอกชน และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงระหว่างกัน เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วการค้าการลงทุนในอนาคต     อ้างอิงจาก: https://www.thansettakij.com/business/546697    #ISANInsightAndOutlook …

ฮ่วมมือ ! อุบลฯ ลาว-กัมพูชา จัดอบรม ปลุกเศรษฐกิจอีสานใต้ อ่านเพิ่มเติม »

คักหลาย ! ” MEGA HOME ” รุกหนักทุ่ม 400 ล้านบาท เปิดสาขาขอนแก่น

คักหลาย !  ” MEGA HOME ” รุกหนักทุ่ม 400 ล้านบาท เปิดสาขาขอนแก่น   ร่วมกับโฮมโปร ตอบโจทย์ครบที่เดียว เรื่องบ้าน และงานช่าง รับตลาดสินค้าบ้านในภาคอีสาน โดย นายวิเชียร เจียมวิจิตรกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ  บริษัท เมกา โฮม เซ็นเตอร์ จำกัด  เปิดเผยว่า เมกาโฮม เปิดสาขาใหม่ “เมกาโฮม ขอนแก่น” เป็นอีกจุดหมายใหม่ที่เข้ามารองรับกับการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์    โดยเฉพาะกับความต้องการด้านที่อยู่อาศัย และสินค้าวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะหัวเมืองภาคอีสาน ทั้งกลุ่มหมู่บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม รวมไปถึงโครงการพัฒนาพื้นที่โรงแรม ร้านค้า อาคารสำนักงาน หรือโครงการของหน่วยงานราชการ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว    อีกทั้ง เมกาโฮมสาขานี้ เป็นสาขาแรกที่ เมกาโฮม และ โฮมโปร ผนึกกำลังตอบโจทย์ให้กับลูกค้า ครบครัน ทั้งวัสดุก่อสร้าง และสินค้าเรื่องบ้านที่มีคุณภาพ สร้างความสะดวกสบายในการเลือกซื้อสินค้า และบริการๆ มอบประสบการณ์ที่ดีในการช้อปได้อย่างสะดวกสบายพร้อมช่วยขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของจังหวัดขอนแก่น และภาคอีสาน ด้วยงบลงทุนกว่า 400 ล้านบาท บนพื้นที่ขาย 5,880 ตารางเมตร    โดยมีกลยุทธ์การบริการครอบคลุมพื้นที่รัศมี 30 กิโลเมตร ในอำเภอพระยืน เวียงเก่า บ้านฝาง หนองหาน และอำเภอเมืองขอนแก่น รวมถึง 6 จังหวัดภาคอีสาน ทั้งชัยภูมิ หนองบัวลำพู มหาสารคาม นครราชสีมา อุดรธานี และกาฬสินธุ์ เข้าถึงทุกความต้องการวัสดุก่อสร้าง      อ้างอิงจาก: https://www.thaipost.net/economy-news/256293/  https://www.ryt9.com/s/prg/3371530  https://www.khaosod.co.th/economics/house-condo/news_7350043    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #MEGAHOME #เมกาโฮม #โฮมโปร #ขอนแก่น

คนอีสาน ดื่มแอลกอฮอล์ หลายปานใด๋?

คนอีสาน ดื่มแอลกอฮอล์ หลายปานใด๋?   จากการสำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพของประชากร โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ในปี พ.ศ. 2564 ประชากรไทยอายุตั้งแต่ 15 ปี ขึ้นไป มีอัตราการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ จำนวน 15.96 ล้านคน หรือคิดเป็น 28%    พบว่า ผู้หญิงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 10.6% ในปี 2560 เป็น 10.8% ในปี 2564  ในขณะที่ผู้ชายมีอัตราการดื่มฯ ลดลงจาก 47.5% ในปี 2560 เป็น 46.4% ในปี 2564   เมื่อสำรวจปัจจัยการเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศพบว่า มีผู้ผลิตรายใหญ่เข้าครอบครองส่วนแบ่งในตลาด เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงและเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย อีกทั้งกฎระเบียบและมาตรฐานโรงงานผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงเป็นอุปสรรคในการเข้าสู่อุตสาหกรรมของผู้ประกอบการ SME    โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ปัจจัยส่วนบุคคล ด้านครอบครัว และด้านสภาพแวดล้อม อีกทั้งยังมีวัตถุประสงค์ในการดื่มเกี่ยวข้องด้วย มักเกิดจากการดื่มเพื่อลดความเครียดหรือเพื่อหลีกหนีจากปัญหา หรือเพื่อเข้าสังคม   ภาคอีสานอยู่ที่ 32% ถือว่ามีสัดส่วนนักดื่มอยู่ที่อันดับที่ 2 ของประเทศเลยทีเดียว คาดว่า ส่วนหนึ่งเกิดมาจากสภาพสังคมส่วนใหญ่ในภาคอีสานมีจำนวนผู้ใช้แรงงานสูง ซึ่งมีอาจส่งผลให้ดื่มเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าหรือเพื่อสังสรรค์หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาการทำงาน อีกทั้งยังมีการจัดงานรื่นเริงและสังสรรค์บ่อยครั้ง   อ้างอิงจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ดื่มแอลกอฮอล์ #สถิติการดื่มแอลกอฮอล์ #อัตราการดื่มแอลกอฮอลล์ 

เป็นจั่งใด๋ ? ค่าใช้จ่ายครัวเรือน เดือนตุลาคม 2565

เป็นจั่งใด๋ ? ค่าใช้จ่ายครัวเรือน เดือนตุลาคม 2565    อ้างอิงจาก: สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) https://www.price.moc.go.th/price/fileuploader/file_cpi/Cpi_tg.pdf?fbclid=IwAR0hBxR0NCj7NAhd11qIi0iLJVkMN4fVb_0uIJQisg6zElih_DUUnAgjacc    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ค่าใช้จ่ายครัวเรือน  

เงินเฟ้อภาคอีสาน 5.92% องค์ประกอบอิหยังเพิ่มขึ้นหลายที่สุด ?

เงินเฟ้อภาคอีสาน 5.92%  องค์ประกอบอิหยังเพิ่มขึ้นหลายที่สุด ?   สถานการณ์ “เงินเฟ้อ” ประจำเดือน ตุลาคม 2565 สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) แถลงข้อมูลการปรับตัวลดลงของเงินเฟ้อถึง 5.92% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (ต.ค. 64)   ดัชนีราคาผู้บริโภคจำแนกรายภาค พบว่า มีการขยายตัวสูงสุด คือ กรุงเทพฯและปริมณฑล 6.19%  รองลงมาเป็น ภาคกลาง 5.94%   ในส่วน ภาคเหนือ อยู่ที่ 5.93% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่ำกว่าภูมิภาคอื่น ๆ อยู่ที่ 5.92% และภาคใต้ 5.82% มีอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำที่สุด    เมื่อพิจารณาเป็นรายสินค้า พบว่า สินค้าสำคัญที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นในทุกภาค ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง และอาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง) และกับข้าวสำเร็จรูป ส้าหรับสินค้าสำคัญที่ราคาลดลงในทุกภาคได้แก่ ผักกาดขาว ชิง และผักชี เป็นต้น   แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายน ปี 2565   คาดว่าจะชะลอตัว ตามราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคที่จ้าเป็นต่อการครองชีพหลายรายการที่ชะลอตัวลง และบางรายการราคาทรงตัวแม้ว่าต้นทุนจะสูงขึ้น เนื่องจากมาตรการดูแลค่าครองชีพของภาครัฐ สถานการณ์น้้าท่วมในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลาย    ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเกษตรเข้าสู่ตลาดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อของไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงจากราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันดิบที่อุปทานยังตึงตัว อุปสงค์ในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น จากการส่งออก การท่องเที่ยว และราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ยังอยู่ในระดับดี รวมถึงเงินบาทที่ยังอ่อนค่า ซึ่งจะต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป   ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2565 อยู่ที่ระหว่างร้อยละ 5.5 – 6.5 (ค่ากลางร้อยละ 6.0) ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของไทย   อ้างอิงจาก: สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)  กระทรวงพาณิชย์   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #เงินเฟ้อ #ดัชนีราคาผู้บริโภค #เงินเฟ้อเดือนตุลาคม

ไตรมาส 3 (เดือนกรกฎาคม – กันยายน) มีการจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ หลายขึ้นปานใด๋ ?

ไตรมาส 3  (เดือนกรกฎาคม – กันยายน) มีการจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ หลายขึ้นปานใด๋ ?   5 อันดับจังหวัดที่มีนิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่สูงสุด อันดับที่ 1    นครราชสีมา       409 ราย     ทุนจดทะเบียน 704.4   ล้านบาท อันดับที่ 2    ขอนแก่น             354 ราย     ทุนจดทะเบียน 547      ล้านบาท อันดับที่ 3    อุดรธานี              219 ราย     ทุนจดทะเบียน 301.1   ล้านบาท อันดับที่ 4    อุบลราชธานี       214 ราย     ทุนจดทะเบียน 987.1   ล้านบาท  อันดับที่ 5    ร้อยเอ็ด               126 ราย     ทุนจดทะเบียน 190.7   ล้านบาท   ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยภาพรวมเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือไตรมาส 3 ว่า มีการปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมที่ทยอยฟื้นตัว    แต่จากความผันผวนและไม่มั่นคงของสถานการณเศรษฐกิจโลก ทั้งในรูปของสถานการณ์เงินเฟ้อ รวมถึง การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งจาก FED ส่งผลให้การลงทุนในอีสานมีแนวโน้มที่หดตัว และถึงแม้ จำนวนการจัดตั้งนิติบุคคลใหม่และดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจะปรับสูงขึ้น แต่ยังเพิ่มขึ้นในระดับที่ต่ำ   อ้างอิงจาก :  กรมพัฒนาธุรกิจการค้า    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #นิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่  

ฮู้บ่ว่า การย่อยสลายของกระทงใช้เวลาปานใด๋ ?

ฮู้บ่ว่า  การย่อยสลายของกระทงใช้เวลาปานใด๋ ?   ก่อนจะไปลอยกระทงปี 2565 กัน มีข้อมูลที่น่าสนใจจากสำนักสิ่งแวดล้อม (สสล.) มาฝาก    เนื่องจากปัจจุบันหลายคนหันไปใช้กระทงรักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อหวังจะลดปริมาณขยะจากกระทง แต่กระทงแต่ละชนิดก็ใช้ระยะเวลาย่อยสลายแตกต่างกัน บางชนิดอาจย่อยสลายได้เร็ว บางชนิดอาจกลายเป็นอาหารปลาได้ แต่หากมีปริมาณที่มากเกินไปก็ย่อมส่งผลเสียเช่นกัน   กระทงที่ทำจากขนมปังเมื่อขนมปังยุ่ย จะทำให้น้ำมีค่าบีโอดี (Biochemical Oxygen Demand, BOD) หรือ ค่าสารอินทรีย์สูง หากปริมาณไม่มาก จะไม่ค่อยส่งผลเสีย แต่หากมากเกินไป จะทำให้แหล่งน้ำนั้นเน่าเสียได้    อีกทั้งยังมีผลกระทบที่จะเกิดกับธรรมชาติ สัตว์น้ำ ที่อาจทั้งกินเอาขยะเข้าไป หรือก็ต้องอาศัยอยู่ในน้ำที่เริ่มเน่า รวมถึงวัสดุอุปกรณ์บางอย่างในการทำกระทงเช่น ตะปู ลูกแม็กที่ใช้เย็บใบตอง ที่ไม่อาจย่อยสลายได้   ในการจัดเก็บกระทง จึงมีการแยกกระทงที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ นำไปเป็นวัตถุดิบหมักทำปุ๋ย โดยส่งไปที่ศูนย์กำจัดมูลฝอย ส่วนกระทงที่ทำจากโฟมจะรวบรวมและประสานบริษัทนำไปรีไซเคิล เช่น การทำกล่องดินสอ ไม้บรรทัด และวัสดุในหมอนรองคอ ซึ่งคาดว่าในปีนี้กระทงโฟมจะมีปริมาณลดลง   เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาได้มีการรณรงค์ ลอยกระทง 1 ครอบครัว 1 กระทง  อย่างต่อเนื่องให้ประชาชนหันมาใช้กระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ หรือวัสดุที่ย่อยสลายได้ง่าย เพื่อเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดี ควบคู่กับการสืบสานประเพณีให้คงอยู่ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ให้กับคนที่ทำกระทงแบบรักสิ่งแวดล้อม ให้มีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น    อ้างอิงจาก: สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร กรุงเทพธุรกิจ Springnews Thairath   #ISANInsightAndOutlook  #อีสาน #ลอยกระทง #ลอยกระทง2565 #กระทงรักษ์โลก