ไฟใต้เถ้าแห่งพรมแดน กรณีปะทะไทย–กัมพูชา “ช่องบก” พาย้อนรอยร้าวประวัติศาสตร์ข้อพิพาทชายแดน

ISAN Insight สิพามาเบิ่ง กรณีปะทะไทย–กัมพูชาที่ช่องบก และรอยร้าวประวัติศาสตร์ข้อพิพาทชายแดน

สมรภูมิเดือด! เขตแดนทับซ้อน เปิดตำนาน “ช่องบก” หรือ สามเหลี่ยมมรกต จุดชนวนไทย-กัมพูชา พร้อมข้อตกลงล่าสุด

 

เหตุปะทะล่าสุดในพื้นที่ช่องบก

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 กองทัพบกไทยรายงานเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาในพื้นที่ชายแดนช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี หลังตรวจพบว่าทหารกัมพูชาเข้ามาขุด “ช่องคูเลต” หรือร่องสนามเพาะ เพื่อเตรียมตั้งแนวรบในพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาต่างอ้างกรรมสิทธิ์ โดยมีระยะทางกว่า 650 เมตร การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดข้อตกลงที่ห้ามมีการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศในพื้นที่พิพาท จนนำไปสู่การปะทะซึ่งกินเวลาประมาณ 10–25 นาทีในช่วงเช้ามืด ซึ่งจากการรายงานข่าวของกัมพูชา ระบุว่ามีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย และทางกัมพูชาอ้างว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน

ทั้งนี้ แถลงการจากกองทัพบกไทยได้ระบุว่าสาเหตุการปะทะระหว่างทหารสองประเทศว่า หลังจากมีรายงานการรุกล้ำพื้นที่ดังกล่าว ไทยได้พยายามมีการเข้าไปเจรจา แต่เกิดการสื่อสารคลาดเคลื่อน และทางทหารกัมพูชาเข้าใจผิดและเปิดฉากยิงก่อน ทำให้จำเป็นต้องตอบโต้ด้วยกำลัง

ทางฝั่งกัมพูชาได้มีการเคลื่อนไหวโดย  “Samdech Hun Sen of Cambodia” ของ จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา บิดาของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน มีการโพสต์ข้อความประณามผ่านโซเชียลมีเดีย และมีการหยิบยกกรณีพิพาทพระวิหาร อีกทั้งภายในที่ประชุมรัฐสภากัมพูชายังได้มีการหยิบยก แนวทางการยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อหาทางยุติข้อพิพาทเขตแดนกับไทย หลัง กัมพูชาปิดกั้นบล็อก🚫เฟสบุ๊ค IP คนไทย 🇹🇭ส่วน ไทย(มีแผนเตรียม)สั่งปิดด่านชายแดนเขมร 6 แห่ง และจุดผ่อนปรน 10 แห่ง ก่อนจะได้ข้อสรุปยังไม่ผิดด่าน เพื่อหาทางเจรจาต่อไป

 

ไทยยืนยันสถานการณ์โดยรวมยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีลักษณะใดที่นำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยกำลังแต่อย่างใด

พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบันว่า สถานการณ์โดยรวมยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีลักษณะใดที่นำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยกำลังแต่อย่างใด

 

เมื่อวันที่ 30 พฤภาคม 68 กองทัพบกออกหนังสือแถลงการณ์ผลการเจรจาระหว่าง ผบ.ทบ.ไทย – ผบ.ทบ.กัมพูชา ในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ

1. ผบ.ทบ.ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียกำลังพลจากเหตุการณ์ปะทะ และเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญต่อเจตนารมณ์ของ รมว.กลาโหม ของทั้งสองประเทศ ที่ต้องการให้มีการเจรจา เพื่อยุติความขัดแย้ง พร้อมแสดงจุดยืนสนับสนุนการพูดคุยเจรจาด้วยสันติวิธีในการหาข้อตกลงร่วมกัน และขอยืนยันว่าจะไม่มีการรุกรานอธิปไตย หรือการหยิบยกประเด็นข้อขัดแย้งในอธิปไตยของกัมพูชาโดยเด็ดขาด การเจรจาครั้งนี้จะส่งผลดีต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ

2. กรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก กองทัพบกไทยและกัมพูชา มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ Joint Boundary Committee (JBC) ซึ่งเป็นกลไกในระดับรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งผลการประชุม JBC คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในอีก 2 สัปดาห์ โดยปัจจุบันกำลังทั้งสองฝ่ายที่เคยปะทะได้ตกลงที่จะเคลื่อนออกจากพื้นที่ ถือเป็นการคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นพ้องในการใช้กลไกคณะกรรมการร่วมมือรักษาความ สงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน หรือ Reqional Border Committee (RBC) เพื่อคลี่คลายข้อสงสัยที่อาจค้างคา และส่งเสริมกลไก JBC ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

3. ผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่ายได้ระบุว่าจะกำกับดูแลกำลังพลให้อยู่ภายใต้กรอบการเจรจาอย่างเคร่งครัด โดย ผบ.ทบ.กัมพูชา ย้ำว่าในส่วนของกัมพูชา หากมีผู้ใดฝ่าฝืนข้อตกลงที่ได้ร่วมกันวางไว้ในวัน 29 พ.ค. 68 จะดำเนินการย้ายกำลังออกจากพื้นที่ทันที และยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชาสามารถควบคุม และสั่งการหน่วยงานทุกหน่วยได้อย่างเด็ดชาด

4. การพบปะเจรจาระหว่าง ผบ.ทบ.ไทยและกัมพูชาในครั้งนี้ บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี สามารถบรรลุข้อตกลงในการถอนกำลังออกจากจุดที่ปะทะ และคงกำลังอยู่ในที่ตั้งเดิมรอผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม JBC ในระหว่างนี้ ผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่ายจะกำกับดูแลกำลังพลให้อยู่ภายใต้กรอบการเจรจาอย่างเคร่งครัด โดยกองทัพบกจะยังคงติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนต่อไป

อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความ

นอกจากนี้กองทัพบกยังขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณ ในการรับฟังข่าวสาร โดยใช้รับฟังข้อมูล จากรัฐบาลและสื่อหลักเท่านั้น เพื่อป้องกันความสับสนจนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ พร้อมขอให้เชื่อมั่นการทำหน้าที่ ทหาร ในการปกป้องอธิปไตยของไทยทุกตารางนิ้ว

 

ข้อพิพาทที่ฝังลึก เส้นเขตแดนที่ไม่เคยลงตัว

เป็นอีกหนึ่งครั้ง ที่ไทยและกัมพูชาเกิดกรณีพิพาทพื้นที่ทับซ้อนในบริเวณชายแดนขึ้น ซึ่งชนวนเหตุส่วนใหญ่มาจากการใช้แผนที่การแบ่งเขตแดนคนละฉบับ เนื่องจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กัมพูชาได้ประกาศเอกราชจากฝรั่งเศส และได้ยึดเอาเส้นแบ่งเขตแดนที่เคยอยู่ในสนธิสัญญาสยาม – ฝรั่งเศสเป็นหมุดในการขีดเส้นเขตแดนประเทศ โดยใช้เส้นสันปันน้ำที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้น ซึ่งในบางกรณีไทยไม่ได้ยอมรับแผนที่เหล่านั้นอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ในแถบชายแดนบางพื้นที่กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่ทั้งสองประเทศต่างอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่

อาจเป็นรูปภาพของ แผนที่ และ ข้อความ

กรณีข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชานับว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ และในปัจจุบันยังไม่สามารถหาข้อตกลงที่ลงตัวกับทั้ง 2 ฝ่ายได้ ซึ่งในอดีตกรณีพิพาทเช่นนี้เคยเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเขตชายแดนทางตอนใต้ของภาคอีสานที่เกิดเหตุปะทะบ่อยครั้ง เขตชายแดนฝั่งภาคตะวันออก นับรวมไปถึงพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่เป็นข่าวในช่วงเวลาก่อนหน้า โดยยกกรณีพิพาทสำคัญมาดังนี้

 

ข้อพิพาทคดีปราสาทพระวิหาร

ถูกตัดสินไปเมื่อปี พ.ศ.2505 โดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เริ่มจากมีบทความในปี พ.ศ.2501 ที่พาดพิงจากกัมพูชาถึงการใช้กำลังทหารเข้ายึดปราสาทเขาพระวิหารโดยไทย และสื่อวิทยุจากฝั่งกัมพูชาก็พยายามผลักดันเรื่องนี้จนเกิดกระแส การทวงคืนปราสาทพระวิหารจากไทย แม้ว่าจะยังไม่รุนแรงมากนัก แต่เนื่องจากอาชญกรรมในแถบชายแดนที่เกิดขึ้น ทำให้รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้เสนอให้มีการดำเนินการตรวจสอบเส้นเขตแดน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลกัมพูชา นำไปสู่การตัดสัมพันธ์ทางการทูตและฟ้องร้องต่อศาลโลกในที่สุด

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินคดีของเขาพระวิหารด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 และยกให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาในที่สุด เนื่องจากในอดีตไทยเคยพบว่ามีปัญหาพื้นที่ทับซ้อนนี้อยู่แล้ว แต่ยังคงใช้แผนที่ที่แสดงว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาอยู่ และพิจารณาว่ารัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ยอมรับว่า ฝรั่งเศส มีอำนาจอธิปไตยเหนือเขาพระวิหารเป็นเวลายาวนานถึง 50 ปีมาแล้ว จึงทำให้เป็นการยอมรับไปโดยปริยาย

 

กรณีพิพาทพรมแดนไทย – กัมพูชาในพื้นที่โดยรอบเขาพระวิหาร (พ.ศ.2554)

นับเป็นการพิพาทระหว่างประเทศที่ค่อนข้างรุนแรงระหว่างไทยและกัมพูชา เนื่องจากเกิดการปะทะกันทางกำลังทหารระหว่าง 2 ประเทศ และหลายพื้นที่ชายแดนในอีสานใต้ได้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติสงคราม อีกทั้งยังมีทหารและพลเรือนเสียชีวิตหลายราย

เหตุการณ์ความขัดแย้งเริ่มต้นจากการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของทางกัมพูชา ซึ่งได้ขีดเส้นล้ำเข้ามายังพื้นที่ทับซ้อนที่บริเวณพื้นที่รอบๆปราสาท ซึ่งทางไทยได้ออกมาโต้แย้งและเกิดการชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบด้านการแบ่งเขตแดนอีกครั้ง และทางกัมพูชาจึงได้เปลี่ยนแผนที่แบ่งเขตแดนใหม่ซึ่งจดทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นโดยไม่ล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทย โดยที่ทางสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้มีการพิจารณาเห็นชอบแล้ว

ต่อมาได้มีการเดินประท้วงจากฝั่งไทยเนื่องจากไม่ได้มีการเปิดเผยแผนที่ให้ประชาชนรับรู้ในกรณีข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร และได้รวบรวมรายชื่อเพื่อคัดค้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของทางกัมพูชา แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการขึ้นทะเบียนไว้ได้ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการตั้งข้อสงสัยของการตัดสินมากมายจากประชาชนชาวไทย ลุกลามไปจนถึงการปะทะกันทางกำลังทหารของทั้ง 2 ประเทศครั้งแรกภายในวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2552 อีกทั้งยังเกิดเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงหลายต่อหลายครั้งและเกิดการปะทะกันในที่ชุมนุมจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บไปจำนวนหนึ่ง 

เหตุการณ์ปะทะกันด้วยกำลังทหารในพื้นที่ชายแดนลากยาวไปจนกระทั่งปี 2554 ที่กัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 และยื่นคำร้องต่อศาลเดียวกันเพื่อขอให้ศาลระบุมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อรักษาสิทธิของกัมพูชาอย่างเร่งด่วน ซึ่งปัจจุบันคดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างกระบวนพิจารณาของศาล

 

พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล 

ข้อตกลงของการขีดเส้นแบ่งทางทะเลถูกร่างขึ้นจากอนุสัญญาเจนีวาในปี พ.ศ. 2501 ซึ่งไทยและกัมพูชาได้ลงนามเห็นด้วยทั้งคู่ ซึ่งการใช้เงื่อนไขของอนุสัญญาเจนีวายังมีข้อโต้แย้งในด้านเงื่อนไขอยู่บ้าง และด้วยการขีดเส้นแบ่งทางทะเลนี้ทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลของไทยกับกัมพูชาในบริเวณกว้าง อีกทั้งการขีดเส้นพรมแดนของกัมพูชาได้มีการลากผ่านเกาะกูดของไทย 

ต่อมาในปี พ.ศ.2525 ได้มีการร่างอนุสัญญาสหประชาชาติซึ่งปรับปรุงการแบ่งเขตแดนทางทะเลให้กระชับและรัดกุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งไทยและกัมพูชาได้มีการลงนามเหมือนกัน แต่ต่างกันอยู่ประเด็นนึงที่ ไทยลงนามและได้มีการประกาศใช้แล้ว แต่ฝั่งกัมพูชาที่ได้ลงนามด้วยเช่นกันกลับไม่ได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ทำให้การตกลงเรื่องผลประโยชน์ของการใช้พื้นที่ทับซ้อนนั้นทำได้ยาก เนื่องจากกัมพูชายังไม่ได้ประกาศใช้อนุสัญญาฉบับใหม่อย่างเป็นทางการ

ความพยายามเจรจาเพื่อหาข้อตกลงด้านพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเกิดขึ้นอีกครั้งในสมัยของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่พยายามหาข้อตกลงด้วยวิธีทางการทูต โดยเรียกข้อตกลงนั้นว่า MOU 2544 ซึ่งมีความพยายามในการทำข้อตกลงหลายครั้ง แต่ด้วยสถานะการณ์ความไม่สงบของไทยและประเด็นข้อพิพาทปราสาทพระวิหารกับทางกัมพูชา ทำให้การเจรจาหาข้อตกลงถูกเลื่อนออกไปหลายต่อหลายครั้งในหลายรัฐบาล

ซึ่งในช่วงปลายปีพ.ศ. 2567 ราคาของพลังงานในประเทศไทยได้ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นเร่งด่วนในการเร่งแก้ไขปัญหา ข้อตกลง MOU 44 จึงถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นอีกครั้ง เนื่องจากไทยต้องการเร่งการสำรวจและเสาะหาแหล่งก๊าซธรรมชาติใหม่เพื่อทำให้ราคาพลังงานในประเทศถูกลงมากยิ่งขึ้น และพื้นที่ที่ไทยต้องการพัฒนาอยู่ในเขตของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับกัมพูชา ที่ยังไม่ได้มีการปรับปรุงจาก MOU 44 ให้ชัดเจน

กรณีปะทะที่ช่องบกล่าสุดสะท้อนปัญหาโครงสร้างเชิงประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เคยได้รับการสะสางอย่างชัดเจน ทั้งจากแผนที่ต่างฉบับ มุมมองทางอธิปไตยที่ไม่ตรงกัน และแรงกดดันจากการเมืองภายในของทั้งสองประเทศ ที่แม้จะมีความพยายามเจรจามายาวนานกว่า 20 ปี แต่เส้นแบ่งเขตแดนจำนวนไม่น้อยยังคงเป็นพื้นที่สีเทาที่อาจกลายเป็น “จุดปะทุ” ได้เสมอ หากปราศจากกลไกถาวรในการจัดการข้อพิพาท

พามาเบิ่ง ย้อนรอยข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนไทย – กัมพูชา

ที่มา :  กระทรวงต่างประเทศ, สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย, International Court of Justice, BBC

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top