ครั้งแรกในรอบ 10 ปี คนอีสาน เกิด-ตาย เกือบเท่ากัน ในขณะที่คนไทยเกิดน้อยกว่าตาย 4 ปีซ้อน

“การลดลงของประชากรอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่มั่นคง มีรายได้สูง ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของประชากร เกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำ และอาจมีความอ่อนไหวทางเศรษฐกิจ”

วราวุธ ศิลปอาชา

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

 

ปัญหาการลดลงของอัตราการเกิดใหม่ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นความท้าทายที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญและพยายามแก้ไขอย่างจริงจัง แม้ว่าผลกระทบในปัจจุบันอาจยังไม่ชัดเจน แต่ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า การหดตัวของประชากรวัยแรงงานจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลง และประเทศจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ทำไมคนไทยถึงมีลูกน้อยลง

สาเหตุที่ทำให้คนรุ่นใหม่ตัดสินใจไม่มีลูกหรือมีลูกน้อยลงนั้น เกิดจากทั้งวิถีชีวิตและทัศนคติที่เปลี่ยนไป คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น มีความหลากหลายทางเพศที่ทำให้รูปแบบครอบครัวเปลี่ยนแปลงไป สภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำที่ขยับตัวไม่ทัน ในยุคเศรษฐกิจแบบนี้จึงไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้อย่างมีคุณภาพ กลายเป็นจุดเปลี่ยนทางความคิดสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ทำให้ตัดสินใจไม่อยากมีลูก เนื่องจากกังวลเรื่องรายได้ ค่าใช้จ่าย และหนี้สิน ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนจบปริญญาตรีสูงถึงประมาณ 5 แสน จนถึง 2 ล้านบาทต่อคน ทำให้หลายครอบครัวลังเลหรือชะลอการมีบุตร

 

10 ปีที่ผ่านมาการเกิดของคนไทยลดลงไปมากแค่ไหน

ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาคนไทยมีจำนวนการเกิดลดลงในทุกๆปี ซึ่งตรงกันข้ามกับอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นในทุกๆปี การระบาดของโควิด-19 เป็นเสมือนสิ่งที่กระตุ้นให้ทุกอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2564 เป็นปีที่คนไทยมีจำนวนการเกิดใหม่อยู่ที่ 544,570 คน ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตนั้นมีสูงถึง 563,650 คน ส่วนใหญ่เป็นผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ในทางกลับกันการระบาดของไวรัสทำให้ผู้คนพบเจอกันน้อยลงปฎิสัมพันธ์ของคนก็น้อยลงเช่นกัน เหลือแต่เพียงการติดต่อกันผ่านทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น แม้จะผ่านพ้นช่วงการระบาดของโควิด-19 มาแล้วก็ตามแต่จำนวนการเสียชีวิตของคนไทยก็ไม่ได้มีการลดลงต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19ขนาดนั้น หนำซ้ำจำนวนการเกิดของคนไทยกลับลดลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่กำลังเกิดในปัจจุบันเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง และใกล้เข้ามามากขึ้นทุกวันๆ

รศ.ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สถาบันฯ ได้ทำการสำรวจข้อมูลในปลายปี 2567 ในประชาชนไทยอายุ 28 ปีเป็นต้นไป จำนวน 1,000 กว่าคน พบว่า ร้อยละ 71 มองว่าการเกิดน้อยเป็นวิกฤตของประเทศ และมีเพียงร้อยละ 6 มีมองว่ายังไม่ใช่วิกฤต “ซึ่งข้อค้นพบนี้ทำให้เห็นว่าคนไทยเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของวิกฤตนี้ ส่วนคำถามถึงแผนการมีบุตรในกลุ่มประชากรที่มีความพร้อม พบว่าร้อยละ 35.8 ตอบว่าจะมีลูกแน่นอน ร้อยละ 29.9 ตอบว่า อาจจะมีลูก ร้อยละ 14.6 ตอบว่า ไม่แน่ใจ ร้อยละ 13.1 ตอบว่าจะไม่มีลูก และร้อยละ 6.6 ตอบว่าจะไม่มีลูกอย่างแน่นอน”จากชุดข้อมูลพบว่า มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่คิดจะมีลูก แม้จะน้อยแต่ก็ยังเป็นแนวโน้มในเชิงบวก ส่วนกลุ่มที่ตอบว่า “อาจจะมีลูก” นั้น เป็นกลุ่มสำคัญต่อนโยบายส่งเสริมการมีลูก ที่จะต้องไปพูดคุยอย่างชัดเจนให้ถึงสาเหตุของการตอบว่า อาจจะ เพราะหากมีการสนับสนุนที่ตรงจุดก็จะทำให้กลุ่มดังกล่าว มั่นใจที่จะมีลูกเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ประชากรที่จะมีลูกอย่างแน่นอนเพิ่มขึ้นได้ถึงร้อยละกว่า 60

 

ภาพที่ 1: จำนวนการเกิด และเสียชีวิตของประชากรทั่วประเทศ พ.ศ. 2558 – 2567

ที่มา: กรมการปกครอง

 

ประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดในอนาคตอันใกล้

ขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการเกิดที่ลดลง อีกหนึ่งปัญหาที่ติดตามมาเป็นเงาตามตัวได้แก่ปัญหาเรื่องสังคมผู้สูงอายุ จากข้อมูลของ United Nations World Population Ageing กล่าวว่า ประชากรที่อยู่ในวัยพึ่งพิง ที่ไม่สามารถใช้แรงงานตนเองเพื่อสร้างรายได้เลี้ยงตัว ซึ่งก็คือเด็กและผู้สูงอายุ มีจำนวนมากกว่าประชากรในวัยแรงงานไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ

  • สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) จะเป็นสังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปที่อยู่จริงในพื้นที่ต่อประชากรทุกช่วงอายุในพื้นที่เดียวกัน และมีอัตราเท่ากับหรือมากกว่าร้อยละ 10 ขึ้นไป หรือมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปที่อยู่จริงในพื้นที่ต่อประชากรทุกช่วงอายุในพื้นที่เดียวกัน อัตราเท่ากับหรือมากกว่าร้อยละ 7 ขึ้นไป
  • สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) จะเป็นสังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปที่อยู่จริงในพื้นที่ต่อประชากรทุกช่วงอายุในพื้นที่เดียวกัน และมีอัตราเท่ากับหรือมากกว่าร้อยละ 20 ขึ้นไป หรือมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปที่อยู่จริงในพื้นที่ต่อประชากรทุกช่วงอายุในพื้นที่เดียวกัน  อัตราเท่ากับหรือมากกว่าร้อยละ 14 ขึ้นไป 

ในความเป็นจริง ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะ “สังคมสูงวัย” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เพราะมีประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 10% ของประชากรทั้งหมด และมีแนวโน้มจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในอีไม่กี่ปีข้างหน้า  ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ฉายภาพสถานการณ์ประชากรไทย ว่า สัดส่วนผู้สูงอายุมากขึ้นทุกวัน ขณะนี้มีคนอายุเกิน 60 ปีประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งหมด แต่อีกไม่กี่ปีจะเพิ่มเป็นถึง 30 เปอร์เซ็นต์ และมีแนวโน้มว่าผู้สูงอายุจะมีอายุยืนยาวมากขึ้นเรื่อยๆ โดยคนที่อายุถึงร้อยปีก็จะเพิ่มขึ้นเร็วเช่นกัน ขณะเดียวกันจำนวนเด็กก็เกิดน้อยลงทุกขณะ เพราะมุมมองของคนเปลี่ยนแปลงไป โดยไม่ต้องการที่จะมีลูก ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นนี้จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย แน่นอนว่าวิกฤตเด็กเกิดน้อย และ สังคมสูงวัย ย่อมส่งผลให้เกิดปัญหา ขาดแคลน “วัยแรงงาน” รวมทั้งฐานะการคลังของภาครัฐทั้งรายได้และรายจ่าย

 

ภาพที่ 2 จำนวนประชากรไทยรายอายุปี พ.ศ. 2558 และ 2567

ที่มา: กรมการปกครอง

 

ภาคอีสานอัตราคนเกิดลดลงสูง และเสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากที่สุดในประเทศ

หากพิจารณาแยกเป็นรายภาคจะพบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาทั่วประเทศมีการเปลี่ยนแปลงจากอัตราการเกิดที่สูงการเสียชีวิตที่ต่ำ สลับกันเป็นอัตราการเสียชีวิตที่สูง การเกิดที่ต่ำลงอย่างน่าเป็นห่วง โดยในปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมามีเพียงภาคเหนือเท่านั้นที่ยังคงมีอัตราการเกิดที่สูงกว่าการเสียชีวิต แต่ทั้งนี้ตัวเลขนี้ก็ไม่ได้หนีห่างกันมากนัก ขณะที่ภาคที่มีการลดลงของการเหิดใหม่มากที่สุดก็หนีไม่พ้นพรุงเทพฯและปริมณฑล เมืองหลวงและศูนย์กลางของประเทศไทยที่คนส่วนใหญ่เลือกเข้าไปทำงาน แต่ด้วยสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้คนส่วนใหญเลือกที่จะมีครอบครัวกันน้อยลง ครองโสดกันมากขึ้น หรืออยู่กันเป็นแฟนเท่านั้น การเลือกที่จะไม่มีลูกเพื่อเป็นการไม่เพิ่มค่าใช้จ่ายและภาระให้กับตนเอง พร้อมกับความกังวลในสภาพสังคมปัจจุบันที่ไม่แน่ใจว่าตนเองจะเลี้ยงลูกได้ดีพอหรือไม่ ในทางกลับกันภูมิภาคที่มีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากที่สุดได้แก่ภาคอีสาน โดยหากนับเป็นจำนวนประชากรจริงๆภาคอีสานมีการเกิดลดลงและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากที่สุดในประเทศ ด้วยจำนวนประชากรที่เยอะกว่าภาคอื่นๆ แต่การเพิ่มขึ้นและลดลงนี้เป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วงอย่างมากต่อผลที่จะตามมาในอนาคตว่ารัฐบาลจะมีมาตรการใดๆเข้ามาควบคุมและดูแลประชาชนในส่วนนี้เพิ่มขึ้นหรือไม่ เพราะคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาระดับชาติที่จะส่งผลในระยะยาว ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องตรงจุดย่อมจะส่งผลเสียในอนาคตเป็นแน่

 

ภาพที่ 3 จำนวนการเกิดและเสียชีวิตเปรียบเทียบปี พ.ศ. 2558 และ 2567 แบ่งภูมิภาค

ที่มา: กรมการปกครอง

พามาเบิ่ง👨‍👩‍👧‍👦กราฟพีระมิด ‘ประชากรอีสาน’ ต้อนรับ Gen BETA👶

10 ปีที่ผ่านมาคนอีสานเสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 22 คน เกิดใหม่วันละ 23 คน

หากพิจารณาเฉพาะภาคอีสาน จะพบว่าตัวเลขเฉลี่ยของอัตราการเกิดและการเสียชีวิตในแต่ละจังหวัดตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีความใกล้เคียงกันอย่างมาก ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของทั้งภูมิภาคแตกต่างกันเพียง 1 เท่านั้น แม้ว่าโดยรวมแล้ว จำนวนการเกิดยังคงสูงกว่าการเสียชีวิต แต่เมื่อพิจารณาแนวโน้มระยะยาว ตัวเลขดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณที่น่ากังวล เพราะหากในแต่ละวันมีเด็กเกิดใหม่ 23 คน และมีผู้เสียชีวิต 22 คน ส่วนต่างเพียง 1 อาจกลายเป็น -1 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ทั้งนี้ แม้จะมีแนวคิดว่า “ครอบครัวหนึ่งควรมีลูกอย่างน้อย 2 คนเพื่อทดแทนประชากรที่จากไป” แต่หากแนวโน้มยังดำเนินเช่นนี้ต่อไป โครงสร้างประชากรของภาคอีสานอาจเข้าสู่ภาวะวิกฤติเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้

 

ตารางที่ 1: จำนวนการเกิดและเสียชีวิตเฉลี่ย 10 ปี แบ่งรายจังหวัดในภาคอีสาน

จังหวัด จำนวนการเกิดเฉลี่ยตลอด 10 ปี จำนวนการเกิดเฉลี่ยรายวัน จำนวนการเสียชีวิตเฉลี่ยตลอด 10 ปี จำนวนการเสียชีวิตเฉลี่ยรายวัน
เลย 5,302 15 5,049 14
กาฬสินธุ์ 6,461 18 7,706 21
ขอนแก่น 15,006 41 15,104 41
ชัยภูมิ 7,602 21 9,138 25
นครพนม 4,995 14 5,128 14
นครราชสีมา 21,332 58 20,583 56
บึงกาฬ 3,436 9 2,663 7
บุรีรัมย์ 12,002 33 11,117 30
มหาสารคาม 5,795 16 7,511 21
มุกดาหาร 3,219 9 2,436 7
ยโสธร 3,555 10 4,260 12
ร้อยเอ็ด 8,235 23 10,112 28
ศรีสะเกษ 10,246 28 10,205 28
สกลนคร 9,575 26 8,110 22
สุรินทร์ 10,530 29 10,143 28
หนองคาย 4,057 11 3,735 10
หนองบัวลำภู 3,735 10 3,424 9
อำนาจเจริญ 2,678 7 2,495 7
อุดรธานี 12,641 35 11,622 32
อุบลราชธานี 16,292 45 13,444 37
ภาคอีสาน 8,335 23 8,199 22

ที่มา: กรมการปกครอง

เลี้ยงเด็ก 1 คน ใช้จ่าย 3 ล้าน หลายคนเลือก “ไม่มีลูก” สิพามาเบิ่ง คนอีสานเกิดน้อยกว่าตาย

นอกจากนี้ หากพิจารณาอัตราการเกิดของประชากรในภาคอีสานปี 2567 เทียบกับปี 2566 จะพบว่ามีการลดลงมากที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยค่าเฉลี่ยของทั้งภูมิภาคลดลงถึง 14% ซึ่งสูงกว่าปีก่อนหน้าที่ลดลงเพียง 0.2% อย่างมีนัยสำคัญ จังหวัดที่มีอัตราการเกิดลดลงมากที่สุด ได้แก่ ร้อยเอ็ด -18% รองลงมาคือ นครพนม และหนองบัวลำภู -17%

แนวโน้มนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในภาคอีสานเท่านั้น แต่เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศ โดยค่าเฉลี่ยของอัตราการเกิดทั่วประเทศในปี 2567 ลดลง 10.8% เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งสะท้อนถึงความรุนแรงของภาวะอัตราการเกิดที่ลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ สถานการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนที่ไม่อาจมองข้ามได้ หากไม่มีมาตรการแก้ไขที่จริงจัง อาจนำไปสู่ผลกระทบในระยะยาวต่อโครงสร้างประชากรและการพัฒนาประเทศ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีนโยบายและแนวทางรับมือที่ชัดเจนเพื่อชะลอหรือพลิกแนวโน้มการลดลงของอัตราการเกิด ก่อนที่ปัญหานี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต

 

ภาพที่ 4 อัตราการเกิดในภาคอีสานปี พ.ศ. 2567 รายจังหวัด

ที่มา: กรมการปกครอง

 

อ้างอิง

คนไทย🇹🇭 มีลูกน้อยลง นักประชากรศาสตร์ เผย คนไทยอาจเหลือเพียง 60 ล้านคนในอีก 20 ปีข้างหน้า และผู้สูงอายุเกิน 30%

Leave a Comment

Your email address will not be published.

Scroll to Top