เศรษฐกิจอีสานเดือนตุลาคม 68 ราคาสินค้าเกษตรหด กดดันการจับจ่าย-ธุรกิจไปต่อยากมอง ‘คนละครึ่ง’ เข้ามาพยุงได้
เศรษฐกิจภาคอีสานยังอยู่ในภาวะเปราะบาง จากปัญหากำลังซื้อที่ซบเซาและภาคเกษตรที่อ่อนแรงต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนความกังวลของประชาชนต่อเศรษฐกิจโดยรวม การจ้างงานโดยเฉพาะในภาคเกษตรลดลง ขณะที่รายได้เกษตรกรถูกกดดันจากราคาพืชผลหลักที่ตกต่ำและอุทกภัยที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง
ภาคธุรกิจในภาคอีสานยังคงชะลอตัวจากกำลังซื้อที่หดตัว ต้นทุนที่สูงขึ้น และการเข้าถึงสินเชื่อที่ยากลำบาก ส่งผลให้การลงทุนเอกชนหดตัวต่อเนื่อง แม้มาตรการภาครัฐอย่าง “คนละครึ่งพลัส” จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้ชั่วคราว แต่ยังมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงของกลุ่มผู้สูงอายุและร้านค้ารายย่อย
การฟื้นฟูเศรษฐกิจอีสานจำเป็นต้องแก้ปัญหาที่ฐานราก ผ่านการสร้างเสถียรภาพราคาพืชผลและรายได้เกษตรกร เช่น ระบบประกันรายได้หรือรับซื้อผลผลิตช่วงราคาตกต่ำ รวมถึงมาตรการลดภาระหนี้และเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจรายย่อย ขณะเดียวกัน ภาครัฐควรพัฒนาโครงการอุดหนุนการใช้จ่ายให้ตรงกลุ่มมากขึ้น เพื่อให้เงินหมุนเวียนสู่ชุมชนอย่างทั่วถึงและยั่งยืน

ผู้บริโภคอีสานเชื่อมั่นต่ำ การจ้างงานลด ฉุดกำลังซื้อซบเซา
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในภาคอีสานยังคงอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของประชาชนต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังไม่กล้าใช้จ่าย เลือกที่จะประหยัดและเก็บเงินไว้ใช้ในยามจำเป็นมากขึ้น สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากภาวะการจ้างงานที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในภาคการเกษตรซึ่งมีการปรับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งตอกย้ำความไม่มั่นใจของประชาชน และส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยในภูมิภาคลดลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ อุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดของภาคอีสาน ยังสร้างความเสียหายต่อทั้งครัวเรือนและพื้นที่ทางการเกษตร ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้และความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันกำลังซื้อและทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงอยู่ในระดับต่ำ

ภาคเกษตรเปราะบางมากขึ้น ราคายังไม่ฟื้นดันแรงงานเกษตรหดตัว-ย้ายสาขา
ภาคเกษตรอีสานเผชิญภาวะเปราะบางต่อเนื่อง ราคาพืชสำคัญยังไม่ฟื้นตัว กดดันความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนตุลาคมให้ลดลง
- มันสำปะหลัง แม้ลดการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ราคายังทรงตัวในระดับต่ำ ต่ำกว่าปีก่อนราว 12%
 - ยางแผ่นดิบ ราคาลดลงกว่า 24% จากความต้องการในตลาดโลกลดลง และความไม่แน่นอนด้านภาษีศุลกากรของสหรัฐ
 - ข้าวเปลือก ซึ่งเป็นพืชหลักของอีสาน ราคาปรับลดลงราว 38% จากอุปทานโลกที่เพิ่มขึ้น และการแข่งขันการส่งออกจากประเทศผู้ผลิตรายอื่น ขณะเดียวกัน ไทยเองก็ส่งออกลดลง
 
สถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ยิ่งซ้ำเติม ทำให้พื้นที่เก็บเกี่ยวลดลง ต้นทุนเกษตรกรเพิ่มขึ้นสวนทางกับรายได้ ส่งผลให้แรงงานเกษตรถูกจ้างลดลงในช่วงเก็บเกี่ยวถัดไป

แก้กำลังซื้ออีสาน ต้องแก้ที่ฐานราก รัฐต้องมุ่งสร้างเสถียรภาพภาคเกษตร
กรณีศึกษา: การสร้างเสถียรภาพของราคาผลผลิตและรายได้เกษตรของต่างประเทศ
(ญี่ปุ่น) ระบบกองทุนรักษาเสถียรภาพราคา: สมาคมเกษตรและรัฐร่วมกันตั้งกองทุน เมื่อราคาต่ำกว่ามาตรฐาน กองทุนจ่ายชดเชยส่วนต่างให้เกษตรกร เป็นการลดแรงกดดันต่อรายได้เกษตรกร
(จีน) รัฐสำรองรับซื้อผลผลิต: รัฐรับซื้อพืชผลหลัก (ข้าว, ข้าวโพด, ถั่วเหลือง) ในช่วงราคาตกต่ำ เพื่อพยุงราคาและรักษารายได้เกษตรกร ลดความผันผวนของราคาผลผลิต
(อินเดีย) โครงการการันตีการจ้างงานชนบท: จ้างแรงงานชนบททำงานสาธารณะ เช่นการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตร ในช่วงนอกฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นการพยุงแรงงานเกษตรและลดอัตราการย้ายออกในช่วงราคาตกต่ำหรือนอกฤดูเก็บเกี่ยว
แนวทางการนำมาปรับใช้กับภาคเกษตรอีสาน: ระบบเกษตรพันธสัญญาภาครัฐ (Public Contract Farming)
- เกษตรกรอีสานมีหน้าที่เป็นผู้ผลิต และรัฐมีฐานะคนกลาง
 - รัฐ รับซื้อ/ประกันรายได้ ให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอนและสร้างความเชื่อมั่น
 - รัฐมีหน้าที่บริหารจัดการอุปทานผลผลิต รวมไปถึงเจรจาการค้ากับต่างประเทศ
 
ซึ่งแนวทางนี้จะเป็นการลดความเสี่ยงทางด้านรายได้ของเกษตรกร รวมถึงแก้ปัญหาราคาตกต่ำรวมไปถึงข้าวขายไม่ออก

ธุรกิจอีสานเปราะบาง ชายแดนเริ่มคลี่คลาย แต่กำลังซื้อยังไม่กลับมา
ภาคธุรกิจในภาคอีสานยังคงมีระดับความเชื่อมั่นอยู่ในเกณฑ์ต่ำ แม้ว่าสถานการณ์ตามแนวชายแดนจะเริ่มคลี่คลายลงบ้าง แต่การค้าชายแดนยังไม่สามารถกลับมาดำเนินได้ตามปกติ เนื่องจากความตรึงเครียดทางการทหารยังคงมีอยู่ในบางจุด ส่งผลให้การขนส่งสินค้าและการแลกเปลี่ยนทางการค้าต้องหยุดชะงัก
ขณะเดียวกัน ภายในภูมิภาคยังเผชิญกับปัญหากำลังซื้อที่อ่อนแอจากรายได้ของครัวเรือนที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทำให้ภาคธุรกิจขาดสภาพคล่องและชะลอการลงทุนเพิ่มเติม สถานการณ์ยิ่งซ้ำเติมมากขึ้นจากปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ ซึ่งทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก ธุรกิจท้องถิ่นบางแห่งต้องหยุดดำเนินการชั่วคราวหรือประสบความเสียหายทางทรัพย์สิน

ธุรกิจอีสานขยับตัวลำบาก จากกำลังซื้อหดตัว ต้นทุนเพิ่มสูง และสินเชื่อตึงตัว
การลงทุนของภาคเอกชนในภาคอีสานยังคงหดตัวต่อเนื่องจากปีก่อน สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจอีสานที่ชะลอตัว โดยมีปัจจัยหลักมาจากกำลังซื้อภายในที่อ่อนแรง การบริโภคของครัวเรือนลดลงต่อเนื่องจากภาระหนี้สินและรายได้ที่ไม่ฟื้นตัว ขณะที่ต้นทุนการผลิตและการดำเนินธุรกิจเพิ่มสูงขึ้นจากราคาพลังงานและวัตถุดิบ ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการขยายการลงทุน
อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจในอีสานชะลอตัวต่อเนื่อง คือความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ท่ามกลางปัญหาหนี้เสียและหนี้ครัวเรือนที่สืบเนื่องจากช่วงโควิด-19 ปีนี้ธนาคารพาณิชย์ในอีสานปล่อยสินเชื่อลดลงเฉลี่ย 4.6% ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อยขาดแหล่งทุน และธุรกิจใหม่เริ่มต้นได้ยากขึ้น กดดันความเชื่อมั่นทางธุรกิจในภูมิภาคให้ยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง

ฟื้นรายย่อย สร้างรายได้ เสริมแรงให้ธุรกิจอีสานยืนได้เอง
1. แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ
- ผลักดันให้หนี้นอกระบบเข้าสู่ระบบการเงินที่ถูกกฎหมาย โดยให้สถาบันการเงินของรัฐในพื้นที่รับซื้อหนี้นอกระบบ แปลงเป็นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ พร้อมดำเนินคดีกับเจ้าหนี้นอกระบบ ขณะที่ลูกหนี้ชำระคืนเฉพาะเงินต้นและเปลี่ยนสถานะเป็นลูกหนี้ของรัฐ สำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดน ให้ปรับลดยอดผ่อนชำระและงดคิดดอกเบี้ยในปีแรก เพื่อบรรเทาภาระและเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ
 
2. แก้ปัญหาหนี้เรื้อรัง
- มาตรการ ‘พักชำระหนี้’ แบบเดิมไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง เพราะเป็นเพียงการยืดเวลาออกไปเท่านั้น สถาบันการเงินจึงควรดำเนินการเชิงรุกมากขึ้น ผ่านการ ‘ลดเงินต้น’ หรือ ‘แปลงหนี้เป็นทุน’ สำหรับธุรกิจที่ยังมีศักยภาพ แต่มีภาระหนี้สูงเกินกว่ากระแสเงินสดจะรองรับได้ เพื่อฟื้นฟูสภาพคล่องและให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อได้
 
3. นำเทคโนโลยีมาช่วยเหลือ
- ธุรกิจขนาดเล็กควรนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ เนื่องจากเทคโนโลยีช่วยให้การจัดการมีประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาด และเพิ่มผลิตภาพ แม้ต้องลงทุนในช่วงแรก แต่ในระยะยาวจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
 

อีสาน อินไซต์ คาด ‘คนละครึ่งพลัส’ ดันยอดบริโภคเพิ่ม 33% ช่วงโครงการ
โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างล้นหลาม มีผู้เข้าร่วมครบตามเป้าหมาย 20 ล้านคน โดยคาดว่ามีชาวภาคอีสานเข้าร่วมราว 5 ล้านคน และอีกประมาณ 4.5 ล้านคนเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้รับสิทธิเพิ่มเติมจากโครงการนี้
การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบผ่านโครงการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าการบริโภคในภาคอีสานกว่า 20,500 ล้านบาท คิดเป็นราว 33% ของฐานการบริโภคในภูมิภาค ซึ่งถือเป็นแรงกระตุ้นสำคัญต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในช่วงที่กำลังซื้อของครัวเรือนยังอ่อนแอ โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้น้อยและเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากรายได้ภาคการเกษตรที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
นอกจากจะช่วยพยุงการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชนแล้ว โครงการยังมีส่วนช่วยกระตุ้นยอดขายของร้านค้ารายย่อยในท้องถิ่น ทำให้เงินหมุนเวียนอยู่ในชุมชนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างแรงส่งให้ภาคเศรษฐกิจระดับฐานรากของอีสานฟื้นตัวได้รวดเร็วขึ้นในระยะสั้น

เศรษฐกิจฟื้นจริง แต่ “คนละครึ่ง” ทิ้งใครไว้ข้างหลัง?
แม้โครงการคนละครึ่งจะประสบความสำเร็จด้านการกระตุ้นการบริโภค แต่การกำหนดช่องทางการใช้สิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชันเดียวเป็นข้อจำกัดการเข้าถึง ทำให้กลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนถูกกีดกัน ขณะเดียวกันโครงสร้างสิทธิ์ยังสร้างแรงกดดันต่อการแข่งขันของร้านค้ารายย่อยที่ไม่ได้เข้าร่วม และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการบางรายฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า ทำให้ประสิทธิผลของมาตรการถูกลดทอนในมิติของความเป็นธรรมและการกระจายผลประโยชน์

แนวทางการต่อยอดโครงการคนละครึ่ง
โครงการคนละครึ่ง สามารถต่อยอดและพัฒนาไปได้หลายทิศทาง โดย อีสาน อินไซต์ ของเสนอแนะแนวทางต่อยอดโครงการ “คนละครึ่ง” มุ่งปรับให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่าน 3 แนวทางหลัก
- อุดหนุนให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
 
การให้เงินกับกลุ่มที่ขาดแคลน ซึ่งมีการแทนที่การใช้จ่ายเดิมต่ำกว่าคนที่มีรายได้มากอยู่แล้ว จะเป็นใช้งบประมาณน้อยลง แต่กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้แรงขึ้น
- จากข้อมูลการใช้จ่าย สู่การวางนโยบายที่ตรงจุด
 
รัฐสามารถวิเคราะห์ได้ทันทีว่า “ตอนนี้” ประชาชนในพื้นที่ไหนใช้จ่ายเงินในโครงการกับอะไรมากที่สุด สินค้าประเภทไหนกำลังขาดแคลน ภาครัฐสามารถออกแบบนโยบายช่วยเหลือได้ตรงจุดตามพื้นที่
- ขยายขอบเขตการอุดหนุนเฉพาะด้าน
 
ตัวอย่างเช่น โครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้วอย่าง ‘เที่ยวไทยคนละครึ่ง’ แสดงให้เห็นว่ารูปแบบคนละครึ่งยังสามารถต่อยอดเฉพาะด้านได้ เช่น ฟิตเนสคนละครึ่ง ก็ค่อนข้างมีหลายคนสนใจ

คณะผู้จัดทำ
ที่ปรึกษาโครงการ
- ผศ.ประเสริฐ วิจิตรนพรัตน์
 
นักวิเคราะห์
- นาย ธนสาร อิทธิสัมพันธ์
 - นาย ภูวาริน สะตะ
 
นักออกแบบกราฟฟิค
- นางสาว อรัชณีกร บุญวิเศษ
 


