January 2025

แบงก์ไทย🇹🇭อนุมัติยากนัก 🇨🇳 สินเชื่อจีนเตรียมบุก หวังดันยอดรถ EV🚘อนุมัติง่าย ดอกเบี้ยต่ำ

ยอดรถจดทะเบียนภาคอีสานยังซบเซาตลอดปี 67 จากบทความที่ยกมาข้างต้น จะพบว่ายอดจดทะเบียนภาคอีสานยังซบเซา รวมถึงสถานการณ์ทั้งประเทศก็ไม่ต่างกันมากนัก โดยเฉพาะตลาดรถกระบะที่ซบเซามากที่สุดในรอบ 5 ปี อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น และหนี้เสีย(NPL) รวมทั้งหนี้ที่ต้องเฝ้าระวังหรือชำระล่าช้าเพิ่มมากขึ้น ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และอนุมัติวงเงิน สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ยากมากยิ่งขึ้น โดยตัวเลขประมาณการณ์การอนุมัติไม่ผ่านของสินเชื่อปรับตัวสูงขึ้นถึง 20-30% โดยเฉพาะในกลุ่มอาชีพค้าขาย และอาชีพอิสระ ที่อาจมีการปฏิเสธสินเชื่อสูงมากขึ้นด้วย ปัญหาเหล่านี้ส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวม ดังต่อไปนี้ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยไม่เป็นไปตามเป้าหมาย: แม้จะมีการสนับสนุนจากรัฐบาลและแผนที่ชัดเจนสำหรับการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยในปี 2566 ก็ต่ำกว่าเป้าหมายอย่างมาก สาเหตุหลักมาจากความยากลำบากในการขอสินเชื่อจากธนาคารสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า แม้ความต้องการรถไฟฟ้าของผู้บริโภคมีแนวโน้มให้ความสนใจมากขึ้น และต้องการใช้สิทธิ์ในการสนับสนุนการซื้อจากภาครัฐ ธนาคารไม่ยอมให้กู้ยืมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า: อัตราสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สูงในตลาดยานยนต์ไทยทำให้ธนาคารระมัดระวังในการให้กู้ยืมสำหรับรถยนต์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่มีงานไม่เป็นทางการ เช่น ฟรีแลนซ์, ค้าขาย โอกาสและช่องว่างทางธุรกิจของธุรกิจการเงินจากจีน สถาบันการเงินจีนเข้ามาแทนที่: เพื่อเติมเต็มช่องว่างนี้ สถาบันการเงินจีนได้เข้าสู่ตลาดไทยด้วยเงื่อนไขสินเชื่อที่ยืดหยุ่นกว่า อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า และขั้นตอนการอนุมัติที่ง่ายกว่า ทั้งยังเพื่อช่วยส่งเสริมการรุกตลาดของรถยนต์ EV ในไทย และเพื่อทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถ EV สามารถเร่งทำยอดขายก่อนที่โควต้าการนำเข้าต่อการผลิตรถภายในไทยที่บังคับไว้จะเพิ่มขึ้นในปีถัดไป ผู้ให้กู้ยืมชาวจีนใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี: สถาบันเหล่านี้ใช้ AI และข้อมูลขนาดใหญ่ในการประเมินความน่าเชื่อถือเหนือกว่าคะแนนเครดิตแบบดั้งเดิม ทำให้บุคคลที่มีแหล่งรายได้ไม่เป็นทางการสามารถมีคุณสมบัติสำหรับสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจที่จะทำในรูปแบบ FinTech(แอพกระเป๋าเงินดิจิตอล) หรือ รูปแบบ Virtual Bank (ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา) เพื่อลดต้นทุนในการดำเนินการทางการเงิน รวมถึง นำเทคโนโลยีจากจีนที่เชี่ยวชาญในการทำ SuperApp ที่รวมทุกบริการไว้ในแอปเดียว และให้บริการ Fintech อย่างที่แบรนด์จีนเข้ามาทำตลาดในไทยก่อนหน้านี้ อย่างเช่น ShopeePayLater, LazadaPayLater, หรืออย่าง Grab PayLater ที่ใช้เทคโนโลยีตรวจเช็คพฤติกรรมการใช้จ่าย การจ่ายที่ตรงเวลา และอื่นๆ เพื่อนำมาคำนวณเครดิตในการปล่อยสินเชื่อ นั่นเอง ตัวเลือกในตลาดที่มากขึ้นและเพิ่มการแข่งขันด้วยดอกเบี้ยที่ต่ำ ซึ่งหากสถานบันการเงินจากต่างชาติเข้ามาเป็นตัวเลือกให้ลูกค้าย่อมทำให้เกิดการแข่งขัน และดึงดูดด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้ต้องรอดูสถานการณ์และดูแนวโน้มต่อไป เพราะ แม้จะมีแนวโน้มว่าสินเชื่อรถยนต์ EV จีนจะปล่อยแบบลดต้น-ลดดอก แต่ก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพียงแต่หากเกิดขึ้นจริง ย่อมทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนตลาด ลิซซิ่งสินเชื่อรถยนต์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ ที่อาจจะตามาในอนาคต ความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลทางการเงินของจีน: การเพิ่มขึ้นของสถาบันการเงินจีนในตลาดยานยนต์ไทยก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่อาจเกิดขึ้นและผลกระทบระยะยาวต่อระบบการเงินไทย ที่จะไม่เฉพาะในวงการของรถยนต์ รวมถึงความกังวลจากการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายขึ้น เนื่องจากหนี้รถยนต์เป็นภาระที่ค่อนข้างก้อนใหญ่ซึ่งจะส่งผลให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้น ความท้าทายที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยากลำบากในการขอสินเชื่อจากธนาคารสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า นำเสนอการเกิดขึ้นของสถาบันการเงินจีนเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ ซึ่งนำเสนอตัวเลือกสินเชื่อที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของอิทธิพลทางการเงินของจีนในตลาดไทย รวมทั้งยังต้องมีการผ่านข้อบังคับ และข้อกฎหมายในประเทศไทยตามการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้น จำเป็นต้องติดตามการอัพเดตกันต่อไปว่า สินเชื่อจากจีนนี้จะมาเมื่อไหร่ในรูปแบบใด และจะเข้ามามีบทบาทในตลาดการเงินของไทยมากน้อยเพียงใด   โค้วยู่ฮะ อีซูซุ กับความท้าทาย ในตลาดรถกระบะ ปี 2567

🔎พาสำรวจเบิ่ง ตัวอย่างบริษัทยักษ์ใหญ่ในอีสานเหล่านี้ เสียภาษีไปมากแค่ไหน🏭💰

บริษัทที่เสียภาษีนิติบุคคลในไทยมีอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัทและกำไรสุทธิ โดยทั่วไปแล้วมี 2 อัตราหลักๆ คือ อัตราสำหรับ SME: หากบริษัทมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท และรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการตลอดทั้งปีไม่เกิน 30 ล้านบาท จะได้รับอัตราภาษีพิเศษสำหรับ SME โดยมีรายละเอียดดังนี้ กำไรสุทธิ 300,000 บาทแรก: ยกเว้นภาษี กำไรสุทธิ 300,001 – 3,000,000 บาท: 15% กำไรสุทธิมากกว่า 3,000,000 บาท: 20% อัตราทั่วไป: บริษัทที่ไม่เข้าข่าย SME จะเสียภาษีในอัตราคงที่ 20% ของกำไรสุทธิตั้งแต่บาทแรก โดยภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่จัดเก็บในปีงบประมาณ 2567 มีมูลค่าประมาณ 780,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้อันดับ 2 ของประเทศไทย รองจากภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) ที่มีมูลค่าประมาณ 950,000 ล้านบาท และจาก 20 บริษัทยักษ์ใหญ่ในอีสาน ที่เสียภาษีมากที่สุดบ่งบอกถึง ธุรกิจมีกำไรมาก และมีศักยภาพทางธุรกิจ เพราะแม้จะหักลดหย่อนภาษีแล้ว ก็ยังต้องจ่ายภาษี   จุดสังเกตของบริษัทที่ต้องจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล  บริษัทที่เรารู้จักรอบตัว จะทำบัญชีแบบไหนกันระหว่าง มี 2 บัญชี ยัดค่าใช้จ่ายตัวเองเข้าไปในค่าใช้จ่ายในบริษัทเยอะๆ ให้กำไรบางๆ บริษัทจะได้เสียภาษีน้อยๆ มีบัญชีเดียว ตรงไปตรงมา และยินดีเสียภาษีตามที่บริษัทกำไรจริง  แล้วคุณคิดว่า กิจการส่วนใหญ่เป็นแบบไหน?   ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือภาษีเงินได้นิติบุคคลที่รัฐเก็บได้ตอนนี้ มักจะเก็บได้จากบริษัทใหญ่ มากกว่าบริษัทขนาดเล็ก โดยเฉพาะบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์นั้น ต้องมีการทำบัญชีเดียว และชี้แจงบัญชีอย่างตรงไปตรงมาต่อตลาดทุน และนักลงทุน ซึ่งใน 20 อันดับมีอยู่ 3 บริษัท ที่เป็นบริษัท มหาชน (บมจ.) ได้แก่ บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์, บมจ.ดูโฮม, บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์, บมจ.โรงพยาบาลราชพฤกษ์, และ บมจ.พี.ซี.เอส. แมชีน กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่ง 20 อันดับที่กล่าวมานั้นจะพบว่า เป็นบริษัทที่อยู่ในภาคการค้า 4 บริษัท ได้แก่ โกลบอลเฮ้าส์, ดูโฮม ที่ค้าวัสดุก่อสร้าง, บจก.โตโยต้าดีเยี่ยม ที่เป็นตัวแทนค้ารถยนต์ และ บจก.ยิ่งยง มินิมาร์ท ที่อยู่ในธุรกิจค้าปลีก และยังเป็นผู้ถือสิทธิ์แฟรนไชส์ 7-11 ใน สุรินทร์ ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ และ อุบลราชธานี ส่วนอีก 15 บริษัท เป็นธุรกิจในภาคการผลิตหรือแปรรูป ทั้งผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เช่น …

🔎พาสำรวจเบิ่ง ตัวอย่างบริษัทยักษ์ใหญ่ในอีสานเหล่านี้ เสียภาษีไปมากแค่ไหน🏭💰 อ่านเพิ่มเติม »

NARIT! เผย “สาเหตุหลัก” ที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 อาจไม่ใช่แค่ “การเผา-การใช้รถ”

พาสำรวจเบิ่ง จุดเผาใน GMS หนึ่งในสาเหตุ PM 2.5   ในทุกฤดูหนาวอากาศที่เย็นตัว พร้อมกับความกดอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผนวกกับลมประจำฤดูที่พัดลมหนาวจากตะวันออกเฉียงหนือ จาก Infographic ที่แสดงจุดเผาในประเทศเพื่อนบ้านจะพบว่า มลพิษทางอากาศทั้งในประเทศและต่างประเทศก็เป็นอีก 1 สาเหตุของมลภาวะทางอากาศ ไม่ว่ากิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ทั้ง โรงงานอุตสาหกรรม, การใช้รถที่เผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล และที่กำลังเป็นประเด็นสังคม คือ การเผาในทางการเกษตร ทั้ง นาข้าว อ้อย และข้าวโพด ล่าสุดสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NARIT เสนอให้มีการตรวจสอบและศึกษาวิจัยสาเหตุของฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจัง เพื่อหาต้นตอที่แท้จริงโดยนำวิเคราะห์ฝุ่นด้วยเทคนิคดาราศาสตร์มาใช้ ศึกษาฝุ่นด้วยเทคนิคดาราศาสตร์ “การเผา-การใช้รถ” อาจไม่ใช่ “สาเหตุหลัก” ฝุ่น PM2.5 รองผู้อำนวยการ NARIT เผย ต้นตอหลักของการเกิดฝุ่น PM2.5 มาจากการเผาและการใช้รถไม่ถึงครึ่ง แต่เกิดจากสิ่งที่เรียกว่า “ละอองลอยทุติยภูมิ” ในงาน NARIT The Next Big Leap เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 68 ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) หรือ NARIT ได้มีการกล่าวถึงการนำองค์ความรู้ด้านดาราศาสตร์มาปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาสังคม ซึ่งรวมถึงปัญหาใหญ่ใกล้ตัวอย่าง “วิกฤตฝุ่น PM2.5” ด้วย ดร. วิภู รุโจปการ รองผู้อำนวยการ NARIT บอกว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้เทคนิค “Mass Spectrometry” (แมสสเปกโทรเมทรี) ในการศึกษาองค์ประกอบฝุ่นเพื่อหาว่าต้นตอจริง ๆ ของฝุ่น PM2.5 มาจากการเผาตามที่มีการเข้าใจกันเป็นวงกว้างจริงหรือไม่ Mass Spectrometry คือการจำแนกโครงสร้างของโมเลกุลสารต่าง ๆ ออกมาในรูปแบบของสเปกตรัม ซึ่งทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า สารนั้น ๆ มีองค์ประกอบที่แตกต่างกันเป็นอะไรบ้าง เช่น นักดาราศาสตร์จะใช้ตรวจวัดสเปกตรัมรังสีคอสมิกในบรรยากาศดวงจันทร์ ในที่นี้ ก็สามารถนำมาใช้ศึกษาฝุ่นได้และสิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทยในปีนี้ด้วย ดร.วิภูบอกว่า ก่อนหน้านี้ในปี 2016 งานวิจัยต่างประเทศเคยมีการทดลองใช้ ACSM ใกล้กับกรุงมิลาน ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองอุตสาหกรรมของอิตาลี และมีประชากรมาก มีหลายองค์ประกอบที่คล้ายกรุงเทพและเชียงใหม่ การศึกษาครั้งนั้นออกมาว่า ในระยะเวลา 1 ปี องค์ประกอบโดยเฉลี่ยของฝุ่น PM2.5 ประกอบด้วย สารประกอบอินทรีย์ถึง 58% รองลงมาคือไนเตรท (NO3) 21% ตามด้วยซัลเฟต (SO4) 12% และแอมโมเนีย (NH4) 8% งานวิจัย Variations in the chemical composition of …

NARIT! เผย “สาเหตุหลัก” ที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 อาจไม่ใช่แค่ “การเผา-การใช้รถ” อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง “ทุ่งกุลาร้องไห้” มีอะไรบ้าง🌾🍚✈️

“ทุ่งกุลาร้องไห้” เป็นทุ่งใหญ่ของภาคอีสานมีพื้นที่อยู่ในเขต 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดสุรินทร์ จํานวนพื้นที่ทั้งสิ้น 2,107,690 ไร่    ทำไมถึงเรียก “ทุ่งกุลาร้องไห้”   เดิมมีชื่อว่า ทุ่งหมาหลง หรือ ทุ่งป่าหลาน ที่ได้ชื่อว่า “ทุ่งกุลาร้องไห้” นั้น มีตํานานกล่าวว่ามีพ่อค้าชาวกุลาเดินเร่ขายสินค้าผ่านเข้ามาในทุ่งกว้างแห่งนี้จนเมื่อยล้ายังไม่พ้นทุ่งกว้างแห่งนี้ จึงมีชื่อว่า “ทุ่งกุลาร้องไห้”     ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ สินค้า GI รุกตลาดยุโรปรายแรกของไทย   ข้าวหอมทุ่งกุลาร้องไห้ ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้เป็น สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2550 โดยมีข้อกำหนดว่า ต้องปลูกในทุ่งกุลาร้องไห้ หมายถึงพื้นที่ภาคอีสาน 5 จังหวัด ได้แก่ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร ศรีสะเกษ และสุรินทร์ สินค้าที่ได้รับการรับรอง “จีไอ” จะได้รับการยอมรับจากตลาดหลักโดยเฉพาะในสหภาพยุโรปที่มีการใช้กฎหมายนี้เช่นเดียวกัน   ข้าวหอมทุ่งกุลาร้องไห้ คาดว่าเริ่มมีการนําเข้ามาปลูกหลังจากทางราชการมีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมมะลิและรับรองพันธุ์ในปี 2502 ในชื่อพันธุ์ “ขาวดอกมะลิ 105” ได้เริ่มดําเนินการอย่างกว้างขวางในปี 2524 โดยโครงการแลกเปลี่ยนพันธุ์ข้าวเน้นการเปลี่ยนพันธุ์ปลูกจากข้าวเหนียวเป็นพันธุ์ข้าวเจ้า จึงทําให้ข้าวหอมมะลิมีการปลูกอย่างแพร่หลาย   โดยข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ได้รับการขึ้นทะเบียน GI ในต่างประเทศ ได้แก่ – สหภาพยุโรป – สาธารณรัฐประชาชนจีน – อินโดนีเซีย – มาเลเซีย   จุดเด่นของพันธุ์นี้คืออะไร?   ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ คือ ข้าวเปลือก ข้าวกล้อง และข้าวขาว ที่แปรรูปมาจากข้าวเปลือกพันธุ์ข้าวหอมที่ไวต่อช่วงแสง ได้แก่ พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ กข 15 ซึ่งปลูกในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ในช่วงฤดูนาปี และมีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ ข้าวเปลือกมีสีฟาง เมล็ดข้าว ยาว เรียว และเมล็ดไม่มีหางข้าว เมล็ดข้าวที่ผ่านการสีแล้ว จะมีความเลื่อมมัน จมูกข้าวเล็ก   การที่ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ได้ขึ้นเป็นสินค้า GI นั้น นับว่าเป็นโอกาสทางการค้า การตลาด รวมถึงเป็นการยกระดับสินค้าชุมชนให้เป็นสินค้าข้าวคุณภาพที่ได้มาตรฐานการผลิต สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในด้านคุณภาพและความปลอดภัย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการท้องถิ่น และที่สำคัญเป็นการสร้างความภาคภูมิใจในทรัพยากรที่มีในท้องถิ่น รักษาภูมิปัญญาดั้งเดิม และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน   สำหรับสถานการณ์ด้านตลาด พบว่า เกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกข้าวหอมมะลิ GI มีตลาดรองรับผลผลิตที่ชัดเจนรวมถึงยังมีการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่านตลาดออนไลน์ …

พาเปิดเบิ่ง “ทุ่งกุลาร้องไห้” มีอะไรบ้าง🌾🍚✈️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง ตัวอย่าง อาณาจักร “เทศกาลดนตรี” แดนอีสาน แหล่งกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นสร้างมูลค่ามหาศาล

ท่ามกลางความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ส่งผลให้หลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบและถดถอย แต่ยังมีอีกหนึ่งอุตสาหกรรมเป็น hidden gem ที่กำลังเติบโต นั่นก็คือ “อุตสาหกรรมเพลง”   ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเพลงไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการที่ศิลปินไทยจำนวนมากมีโอกาสไปเปิดตลาดใหม่ที่ต่างประเทศ ขณะเดียวกันแฟนคลับต่างชาติก็หลั่งไหลเข้ามาสนับสนุนศิลปินไทยกันมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยก้าวสู่ TOP 5 ของประเทศที่มีรายได้จากอุตสาหกรรมเพลงมากที่สุดในเอเชีย และเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่เรียบร้อย   จากความสำเร็จนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หนึ่งในแรงผลักดันสำคัญที่อยู่เบื้องหลัง คือ “เทศกาลดนตรี” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเทศกาลดนตรีขนาดใหญ่ ที่มีความหลากหลายด้านแนวเพลงและศิลปิน ทำให้ศิลปินจากทั่วประเทศมีโอกาสแสดงความสามารถให้คนจำนวนมากเห็น จนเกิดเป็นการบอกต่อ และเกิดการจ้างงานตามมาอย่างต่อเนื่อง   “เศรษฐกิจเทศกาล” หรือ “Festival Economy” ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับนานาชาติ ผ่านงานเทศกาลหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นงานเทศกาลดนตรี งานเทศกาลอาหาร งานเทศกาลวัฒนธรรม และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทั้งนี้ นอกเหนือจากความสนุกสนาน และความประทับใจที่ผู้เข้าร่วมงานได้รับ ความสำเร็จของงานเทศกาลยังสามารถวัดได้จากมูลค่าทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ และรายได้จำนวนมากที่กระจายไปยังผู้ประกอบการในท้องถิ่น   อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กลยุทฺธ์ Festival Economy เพื่อผลักดันให้ประเทศเป็นจุดหมายปลายทางในการจัดงานและเทศกาลนานาชาติ จำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพของเมือง โครงสร้างพื้นฐานและบุคลากร   ตัวอย่างการจัดงานเทศกาลดนตรีทั่วประเทศไทย และเทศกาลประเพณีไทยต่าง ๆ มากมาย อย่างเช่นในภาคอีสาน อย่าง Big Mountain Music Festival, E-san Music Festival (อีสานเขียว), เฉียงเหนือเฟส และ ห้วยไร่อีหลีน่า เป็นต้น   ซึ่งถือว่าได้เปรียบในเรื่องของความคุ้มค่า ด้านค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้ามาร่วมงาน ที่พัก อาหาร เป็นต้น รวมทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงาม สิ่งเหล่านี้เป็นการยืนยันถึงความพร้อมในการเป็นเมืองเป้าหมายของกิจกรรมไมซ์หรือกิจกรรมที่มีความสำคัญในภูมิภาคและระดับนานาชาติต่อไป . ในขณะเดียวกัน ยังมีโอกาสในการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่องในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการเป็นสถานที่จัดงานที่ครอบคลุมทุกประเภท ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างแรงขับเคลื่อนให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น กระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางของการจัดงานไมซ์ระดับโลก . . อ้างอิงจาก: – Thairath Money – MICE Intelligence Center, Thailand Convention and Exhibition Bureau (TCEB) – The Cloud – Marketing Oops! – ThaiPR.net – RegistarThailand   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน …

พาเปิดเบิ่ง ตัวอย่าง อาณาจักร “เทศกาลดนตรี” แดนอีสาน แหล่งกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นสร้างมูลค่ามหาศาล อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง ใน 1 เดือนที่ผ่านมา คนอีสาน สูด PM2.5 เท่ากับบุหรี่กี่มวน

จากงานของ Richard A. Muller นักวิจัยชาวอเมริกันจากสถาบันวิจัยสภาพอากาศ Berkeley Earth แห่ง University of California, Berkeley ซึ่งคำนวณเปรียบเทียบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ หรือ PM2.5 กับปริมาณการสูบบุหรี่ พบว่า ค่าฝุ่น PM2.5 22 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ 1 มวน ซึ่งหากนำค่าฝุ่นแบบค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมงในแต่ละวันของ 1 เดือนที่ผ่านมา (26 ธ.ค. 67 – 25 ม.ค. 68) มาคำนวณเปรียบเทียบตามเกณฑ์ของ Richard A. Muller จะพบว่า   ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา คนอีสานสูดดมฝุ่นพิษ PM2.5 เทียบเท่าการสูบบุหรี่ทั้งหมด 60-61 มวน หรือคิดเป็น 3 ซองเลยทีเดียว   หลายวันนี้ ระดับ PM2.5 เป็นสีแดงในหลายจังหวัดทั่วภาคอีสาน คนอีสานทุกคน ทั้งที่สูบและไม่สูบบุหรี่ต้องสูด PM2.5 จากฝุ่นพิษในอากาศทั้งเดือน    อย่างไรก็ตาม ควันบุหรี่มีสารที่ก่อมะเร็งที่มีเฉพาะในใบยาสูบ (Tobacco specific carcinogen) และนิโคติน ที่มลพิษในอากาศไม่มี   ส่วนบุหรี่ไฟฟ้าที่เห็นเป็นไอเหมือนหมอกทึบนั้น มีฝุ่นที่ขนาดเล็กกว่า PM2.5 ลงไปถึงขนาด PM1.0 จำนวนมาก ที่เข้าถึงส่วนลึกที่สุดของปอด ก่อนที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดพาไหลเวียนไปทั่วร่างกาย   คนไทยที่สูบบุหรี่ เฉลี่ยสูบวันละ 9 – 10 มวน ซึ่งคนเหล่านี้จึงได้รับอันตรายจากฝุ่น PM2.5 สองเด้ง คือจากมลพิษในอากาศและจากการสูบบุหรี่นั่นเอง   มลพิษทางอากาศย่อมส่งผลกระทบทางตรงต่อระบบสาธารณสุขภาพรวม สิ่งแวดล้อม และในที่สุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือมักส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และ PM2.5 ยิ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากด้วยอนุภาคที่เล็กมากของ PM2.5 จึงสามารถเดินทางผ่านกระแสเลือด ปอด รวมไปถึงหัวใจได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสการเกิดโรคทางเดินหายใจและโรคหัวใจและหลอดเลือดของประชากรในประเทศอีกด้วย   ในขณะนี้เองประเทศไทยก็กำลังเจอปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก จากข้อมูล 3 ปีที่ผ่านมา พบมีแหล่งกำเนิดฝุ่นมาจากไฟป่า การเผาในพื้นที่เกษตร หมอกควันข้ามแดน การจราจร ขนส่ง และโรงงาน ประกอบกับสภาพอุตุนิยมวิทยาช่วงต้นปีที่ความกดอากาศสูง แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้อากาศปิด ลมสงบ ฝุ่นละอองไม่ฟุ้งกระจาย และสะสมในพื้นที่ จนเกินมาตรฐาน    การเผาในประเทศที่เป็นหนึ่งสาเหตุหลักของปัญหา PM 2.5 ในไทยเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ส่งผลให้เกิด …

พาสำรวจเบิ่ง ใน 1 เดือนที่ผ่านมา คนอีสาน สูด PM2.5 เท่ากับบุหรี่กี่มวน อ่านเพิ่มเติม »

อะไรๆ ก็หม่าล่า พามาเบิ่ง หม่าล่าในอีสาน ยังฮอตฮิต หรือแค่กระแส(ที่เริ่มแผ่ว)

ถ้าพูดถึงอาหารยอดฮิตยอดนิยมตตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้น “หม่าล่า” อาหารรสชาติเผ็ดชาที่เป็นเอกลักษณ์สไตล์จีน ที่ตอนนี้เป็นที่นิยมในหมู่เด็กวัยรุ่นนักเรียนนักศึกษาไปจนถึงวัยทำงาน ซึ่งตอนนี้ก็มีธุรกิจร้านอาหารหม่าล่าผุดขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารแนวสตรีทฟู้ด (ร้านอาหารข้างทาง) ร้านอาหารปิ้งย่างชาบูบุฟเฟต์อลาคาส ที่มีคนยืนต่อคิวเข้าร้านมากกว่าร้อยคิวต่อหนึ่งวัน ฮู้บ่ว่าจริงๆ “หม่าล่า” ที่คนไทยพูดติดปากกันเป็นชื่ออาหาร แต่จริงๆแล้วคำว่า “หม่าล่า” นั้นแปลว่า อาการเผ็ดหรือเผ็ดจนลิ้นชา ซึ่งความเผ็ดนั้นมาจากเครื่องเทศ “ฮวาเจียว” ซึ่งเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่งจากพริกไทยเสฉวน หรือ Sichuan Pepper  ความชื่นชอบรสชาติเผ็ดชาที่เป็นของแปลกใหม่ และถูกใจคนไทยจนถึงปัจจุบัน ทำให้ร้านหม่าล่าผุดขึ้นมามากมาย จำนวนร้านหม่าล่าเปิดเยอะกว่าก็อาจเป็นเพราะด้วยจำนวนประชากรที่มากกว่าเชียงใหม่ รวมไปถึงจำนวนพื้นที่และพลังสื่อโซเชียลที่ช่วยกระจายร้านอร่อย ร้านเด็ด ร้านดังแชร์ให้คนตามมากินกันได้ง่ายกว่า แม้ว่าร้านหม่าล่าเป็นกระแสมาสักพักใหญ่ๆแล้ว ร้านดังที่เป็นกระแสก็ยังเป็นที่นิยมมักเป็นร้านที่สร้างความแตกต่างจากที่อื่นได้ก่อน ยกตัวอย่างเช่น ร้านสุกกี้จินดา ที่ผสมความเป็นหม่าล่ากับหม้อชาบูเข้าด้วยกัน และยังเพิ่มจุดขายคือ สุกี้เสียบไม้ ซึ่งเป็นการใช้ความสะดวกสบายที่ใช้สายพานในการเสริฟอาหาร และด้วยความเป็นไม้ทำให้ลูกค้าสามารถกำหนดงบประมาณของตัวเองได้ และในช่วงที่เป็นกระแสในโลกออนไลน์ ก็ได้ไอเดียมาจากช่วงโรคระบาดโควิด-19 ที่ต้องใส่ใจความสะอาด และสุขอนามัยกลายมาเป็นสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังเพิ่มมากขึ้น ไอเดียหม้อแยกจึงสร้างความไว้วางใจ และช่วยประกอบการตัดสินใจได้ ยิ่งไปกว่านั้น สไตล์การกินแบบหม้อแยกยังเจาะกลุ่มเป้าหมายคนที่อยากกินคนเดียว ปัจจุบันขยายสาขาไปแล้วกว่า 40 สาขา แบ่งเป็นเจ้าของแบรนด์บริหารเอง 7 สาขา สาขาแฟรนไชส์ 33 สาขา   . ย้อนกลับไปช่วงปี 2566 ร้านหม่าล่าในไทยมีจำนวน 16,000 ร้าน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 7.3% ผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่อย่าง LINE MAN ได้เผยสถิติที่สุดแห่งปี 2566 ด้านอาหาร พบว่าเมนูยอดฮิตจากผู้ใช้บริการกว่า 10 ล้านคน จากร้านอาหารกว่า 1 ล้านร้านใน 77 จังหวัด คือ หมาล่าเสียบไม้และสุกี้ชาบูหมาล่า เมนูดาวรุ่งสุดร้อนแรง มีผู้ใช้บริการ LINE MAN สั่งมากกว่า 1 ล้านออเดอร์ เพิ่มขึ้นถึง 45% เมื่อเทียบกับปี 2565 มีการพูดถึง หม่าล่า ถึง 3,697 ข้อความ Engagement 315,561 ครั้ง . ประเภทอาหารหม่าล่าที่คนบนโลกออนไลน์สนใจมากที่สุด ชาบูหม่าล่า 46% สุกี้หม่าล่า 37% ปิ้งย่างหม่าล่า 17% . ถ้าลองวิเคราะห์สถานการณ์ของกิจการ . จุดแข็งของกิจการ มีเมนูอาหารที่หลากหลาย วัตถุดิบมีคุณภาพ ราคาถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับ คุณภาพของอาหาร ปรุงด้วยสตรเฉพาะของทางร้าน  สถานที่ตั้งร้านอยู่ในแหล่งชุมชนและมีบริการจัดส่งในชุมชน มีการแนะนาเมนูอาหารใหม่ๆ และโปรโมชั่นใหม่ๆ ผ่านช่องทางต่างๆ เช่นเว็บ เพจ ทางเฟสบุ๊ค ไลน์  มีอุปกรณ์อานวยความสะดวกในร้าน โดยมีเครื่องปรับอากาศที่เปิดตลอดเวลา และมีบริการ Free WIFI ให้แก่ลูกค้าเล่นระหว่างนั่งรออาหาร …

อะไรๆ ก็หม่าล่า พามาเบิ่ง หม่าล่าในอีสาน ยังฮอตฮิต หรือแค่กระแส(ที่เริ่มแผ่ว) อ่านเพิ่มเติม »

สกลนคร-บึงกาฬ จังหวัดต้นแบบหน่วยงานรัฐโปร่งใส

ความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องอยู่คู่กับหน่วยงานและองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ได้ดำเนินการจัดทำการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) เพื่อให้หน่วยงานและประชาชนรับรู้ถึงความโปร่งใสขององค์กรต่าง ๆ และนำข้อมูลไปปรับปรุงพัฒนา รูปแบบการประเมินตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา สำนักงาน ป.ป.ช. จะเป็นผู้ดำเนินการประเมินเอง โดยมีคะแนนประเมินตั้งแต่ 0-100 คะแนน และเกณฑ์ผ่านการประเมินที่ 85.00 คะแนนขึ้นไป ผลการประเมิน ITA ในปีงบประมาณ 2567 จากการสรุปผลการประเมินหน่วยงานภาครัฐในแต่ละจังหวัด พบว่าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) มีเพียง 2 จังหวัดที่หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยผ่านเกณฑ์การประเมิน ได้แก่: จังหวัดสกลนคร จำนวนหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์: 142 หน่วยงาน คะแนนเฉลี่ย: 97.32 คะแนน หน่วยงานที่มีคะแนนสูงสุด: เทศบาลตำบลตองโขบ อำเภอโคกศรีสุพรรณ ซึ่งได้คะแนน 99.89 จังหวัดบึงกาฬ จำนวนหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์: 59 หน่วยงาน คะแนนเฉลี่ย: 96.90 คะแนน หน่วยงานที่มีคะแนนสูงสุด: เทศบาลตำบลท่าสะอาด อำเภอเซกา ซึ่งได้คะแนน 99.91 ทั้งสองจังหวัดนี้ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของหน่วยงานรัฐในด้านการดำเนินงานด้วยคุณธรรมและความโปร่งใส ภาพรวมในภาคอีสาน สำหรับภาพรวมในภาคอีสาน มีหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์ทั้งสิ้น 2,629 หน่วยงาน จากทั้งหมด 2,985 หน่วยงาน คิดเป็นสัดส่วน 88% โดยมีข้อมูลสัดส่วนหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์ในจังหวัดที่โดดเด่นและจังหวัดที่ต้องัฒนาต่อไป ดังนี้   จังหวัดที่มีสัดส่วนหน่วยงานผ่านเกณฑ์สูง (รองจากสกลนครและบึงกาฬ) อำนาจเจริญ สัดส่วนที่ผ่าน: 98.46% (64 จาก 65 หน่วยงาน) คะแนนเฉลี่ย: 94.57 หนองคาย สัดส่วนที่ผ่าน: 97.10% (67 จาก 69 หน่วยงาน) คะแนนเฉลี่ย: 94.10 ขอนแก่น สัดส่วนที่ผ่าน: 96.90% (219 จาก 226 หน่วยงาน) คะแนนเฉลี่ย: 94.78   จังหวัดที่มีสัดส่วนหน่วยงานผ่านเกณฑ์ต่ำ มหาสารคาม สัดส่วนที่ผ่าน: 75.69% (109 จาก 144 หน่วยงาน) คะแนนเฉลี่ย: 88.07 ศรีสะเกษ สัดส่วนที่ผ่าน: 68.81% (150 จาก 218 หน่วยงาน) คะแนนเฉลี่ย: 86.82 หนองบัวลำภู สัดส่วนที่ผ่าน: 68.12% (47 จาก 69 …

สกลนคร-บึงกาฬ จังหวัดต้นแบบหน่วยงานรัฐโปร่งใส อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่งหนี้สาธารณะแต่ละประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง GMS

. ​​จากข้อมูลปี 2566  ไทยเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงสุดในอาเซียน โดยมียอดหนี้กว่า 11,131 พันล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารเศรษฐกิจ ในขณะที่กัมพูชา มียอดหนี้ต่ำสุดในกลุ่มนี้เพียง 374 พันล้านบาท ทำให้ประเทศกัมพูชาดูเหมือนจะมีเสถียรภาพทางการเงินที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน   ตารางเปรียบเทีบหนี้สินสาธารณะของแต่ละประเทศ(บาท,ดอลลาร์) ประเทศ พันล้านบาท พันล้านดอลลาร์ เป็นเปอร์เซ็นของ​GDP มูลค่าgdpของแต่ละประเทศ(พันล้านดอลล่าร์) เวียดนาม 5,530 158 37% 429.7 กัมพูชา 374.54 11.24 37.2% 31.77 ลาว 460.51 13.83 108% 15.84 ไทย 11,131.63 318.05 62.14% 514.9   สาเหตุในการก่อหนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: ประเทศต่างๆ มักก่อหนี้เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน รถไฟ สนามบิน เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ การช่วยเหลือภาคเอกชน: ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ รัฐบาลอาจต้องกู้เงินเพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ การขาดดุลงบประมาณ: หากรายได้ของรัฐบาลน้อยกว่ารายจ่าย รัฐบาลก็จำเป็นต้องกู้เงินมาชดเชย ปัจจัยทางการเมือง: การตัดสินใจก่อหนี้บางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางการเมือง เช่น การหาเสียงเลือกตั้ง หรือการสร้างผลงานให้เห็นเป็นรูปธรรม ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ภาระดอกเบี้ย: หนี้สาธารณะที่สูงจะส่งผลให้รัฐบาลต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยจำนวนมาก ซึ่งอาจกระทบต่องบประมาณที่ควรจะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ เช่น การศึกษา สาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐาน ความน่าเชื่อถือทางการเงิน: หนี้สาธารณะที่สูงเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือทางการเงินของประเทศ ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจและอาจถอนเงินลงทุนออกไป อัตราแลกเปลี่ยน: หนี้สาธารณะที่สูงอาจทำให้สกุลเงินของประเทศอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าและบริการ และอาจทำให้ราคาสินค้าภายในประเทศสูงขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจ: หนี้สาธารณะที่สูงอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะรัฐบาลอาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมากในการชำระหนี้แทนที่จะนำไปลงทุนในกิจกรรมที่สร้างการเติบโต ผลกระทบต่อประชาชน การลดลงของบริการสาธารณะ: เมื่อรัฐบาลต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยจำนวนมาก อาจต้องลดการลงทุนในบริการสาธารณะ เช่น การศึกษา สาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ภาษีที่สูงขึ้น: เพื่อนำเงินมาชำระหนี้สาธารณะ รัฐบาลอาจต้องเพิ่มอัตราภาษี ซึ่งเป็นภาระแก่ประชาชน ความไม่เสมอภาค: หนี้สาธารณะที่สูงอาจทำให้เกิดความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ เพราะประชาชนบางกลุ่มอาจได้รับผลกระทบจากหนี้สาธารณะมากกว่ากลุ่มอื่นๆ หมายเหตุ: การวิเคราะห์นี้เป็นเพียงภาพรวมเบื้องต้น การวิเคราะห์ที่ละเอียดจะต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ นโยบายทางการเงินและการคลัง และปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อหนี้สาธารณะ   ที่มา เว็ปไซต์ :NBT-connext ,moneybuffalo ,khmertimeskh ,vir ,tradingeconomics ,worldeconomics  

พาสำรวจเบิ่ง จุดเผาใน GMS หนึ่งในสาเหตุ PM 2.5

🔥จุดความร้อน หรือ Hot Spot คืออะไร?   จุดความร้อน พูดง่ายๆก็คือ จุดที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลก ซึ่งส่วนมากก็คือความร้อนจากไฟ แสดงในรูปแบบแผนที่เพื่อนำเสนอตำแหน่งที่เกิดไฟในแต่ละพื้นที่แบบคร่าวๆ การได้มาซึ่งข้อมูลจุดความร้อนอาศัยหลักการที่ว่า ดาวเทียมสามารถตรวจวัดคลื่นรังสีอินฟาเรดหรือรังสีความร้อนที่เกิดจากไฟ (อุณหภูมิสูงกว่า 800 องศาเซลเซียส) บนพื้นผิวโลก จากนั้นก็ประมวลผลแสดงในรูปแบบจุด ซึ่งปัจจุบันทุกคนสามารถตรวจสอบจุดความร้อนเหล่านี้ได้ด้วยตัวเองจากเว็บไซต์เหล่านี้ (http://bit.ly/2OalZnU)   ในช่วงนี้บ้านเมืองเราในหลายพื้นที่ยังคงเกิดไฟป่าอย่างต่อเนื่อง กลุ่มควันปกคลุมเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด โดยแผนภาพที่นำเสนอจุดแดง📛คือ จุดความร้อนที่กระจายอยู่ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา   จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าการเผามีการกระจายตัวทั้งประเทศ แต่ภาคอีสานจะมีการการเผาที่กระจายตัวหนาแน่นทั่วอีสาน ซึ่งสาเหตุการเผานั้นก็มาจากการเผาตอซังและฟางข้าวของชาวนา หรือเผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเกิดขึ้นค่อนข้างมาก โดยต้นทุนในการที่จะจ้างรถไถกลบก็จะใช้เงินจำนวนมาก การเผาจะประหยัดกว่าการจ้างรถไถมาไถกลบหรือทำการไถกลบเอง เมื่อเกิดมลพิษทางอากาศย่อมส่งผลกระทบทางตรงต่อระบบสาธารณสุขภาพรวม สิ่งแวดล้อม และในที่สุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือมักส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และ PM 2.5 ยิ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากด้วยอนุภาคที่เล็กมากของ PM 2.5 จึงสามารถเดินทางผ่านกระแสเลือด ปอด รวมไปถึงหัวใจได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสการเกิดโรคทางเดินหายใจและโรคหัวใจและหลอดเลือดของประชากรใน ประเทศ   ในขณะนี้เองประเทศไทยก็กำลังเจอปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก จากข้อมูล 3 ปีที่ผ่านมา พบมีแหล่งกำเนิดฝุ่นมาจากไฟป่า การเผาในพื้นที่เกษตร หมอกควันข้ามแดน การจราจร ขนส่ง และโรงงาน ประกอบกับสภาพอุตุนิยมวิทยาช่วงต้นปีที่ความกดอากาศสูง แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้อากาศปิด ลมสงบ ฝุ่นละอองไม่ฟุ้งกระจาย และสะสมในพื้นที่ จนเกินมาตรฐาน    การเผาในประเทศที่เป็นหนึ่งสาเหตุหลักของปัญหา PM 2.5 ในไทยเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ส่งผลให้เกิด PM 2.5 ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ ความหนาแน่นของประชากร หรือการจราจร นอกจากนี้ การเผาจากประเทศเพื่อนบ้านยังมีผลกระทบต่อ PM2.5 ด้วยเช่นกัน   ปริมาณการเกิดไฟไหม้สูงพบเห็นได้ที่ชายแดนติดกับกัมพูชา จากรูปแสดงให้เห็นความถี่การเกิดการเผาไหม้ซึ่งมักมีจุดเกิดการเผาไหม้ในประเทศเพื่อนบ้านบริเวณใกล้กับชายแดนประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้ภาคอีสานของประเทศไทยได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากนั้นยังมีลมมรสุมประจำปี และร่องความกดอากาศต่ำในช่วง พ.ย.-ม.ค. ในช่วงหน้าหนาวทำให้ฝุ่นควันถูกพัดตามกระแสลมเข้าสู่ภูมิภาคต่างๆ ในประเทศไทยมากขึ้น ข้อมูลระบบคลังข้อมูลสุขภาพ Health Data Center (HDC) รายงานผ่านระบบเดือน ม.ค. 2568 ที่ยังไม่เป็นข้อมูลปัจจุบัน โดยรวมกว่า 1.44 แสนราย เป็นกลุ่มโรคผิวหนังอักเสบมากที่สุด รองลงมา กลุ่มโรคตาอักเสบ กลุ่มโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหืด และโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งสถิติเผยว่า อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา มีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปอดจำนวนสูงสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งสอดคล้องกับพื้นที่หลักที่มีการเพาะปลูกอ้อย หรือมีการเผาที่มีความถี่มากกว่าพื้นที่อื่นๆ ในภูมิภาคนั้นเอง พามาเบิ่งจำนวนสะสมผู้ป่วยมะเร็งปอดแต่จังหวัดภาคอีสาน ปี 2566     ที่มา:  – กรุงเทพธุรกิจ – Thai …

พาสำรวจเบิ่ง จุดเผาใน GMS หนึ่งในสาเหตุ PM 2.5 อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top