“ทุ่งกุลาร้องไห้” เป็นทุ่งใหญ่ของภาคอีสานมีพื้นที่อยู่ในเขต 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดสุรินทร์ จํานวนพื้นที่ทั้งสิ้น 2,107,690 ไร่
ทำไมถึงเรียก “ทุ่งกุลาร้องไห้”
เดิมมีชื่อว่า ทุ่งหมาหลง หรือ ทุ่งป่าหลาน ที่ได้ชื่อว่า “ทุ่งกุลาร้องไห้” นั้น มีตํานานกล่าวว่ามีพ่อค้าชาวกุลาเดินเร่ขายสินค้าผ่านเข้ามาในทุ่งกว้างแห่งนี้จนเมื่อยล้ายังไม่พ้นทุ่งกว้างแห่งนี้ จึงมีชื่อว่า “ทุ่งกุลาร้องไห้”
ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ สินค้า GI รุกตลาดยุโรปรายแรกของไทย
ข้าวหอมทุ่งกุลาร้องไห้ ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้เป็น สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2550 โดยมีข้อกำหนดว่า ต้องปลูกในทุ่งกุลาร้องไห้ หมายถึงพื้นที่ภาคอีสาน 5 จังหวัด ได้แก่ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร ศรีสะเกษ และสุรินทร์ สินค้าที่ได้รับการรับรอง “จีไอ” จะได้รับการยอมรับจากตลาดหลักโดยเฉพาะในสหภาพยุโรปที่มีการใช้กฎหมายนี้เช่นเดียวกัน
ข้าวหอมทุ่งกุลาร้องไห้ คาดว่าเริ่มมีการนําเข้ามาปลูกหลังจากทางราชการมีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมมะลิและรับรองพันธุ์ในปี 2502 ในชื่อพันธุ์ “ขาวดอกมะลิ 105” ได้เริ่มดําเนินการอย่างกว้างขวางในปี 2524 โดยโครงการแลกเปลี่ยนพันธุ์ข้าวเน้นการเปลี่ยนพันธุ์ปลูกจากข้าวเหนียวเป็นพันธุ์ข้าวเจ้า จึงทําให้ข้าวหอมมะลิมีการปลูกอย่างแพร่หลาย
โดยข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ได้รับการขึ้นทะเบียน GI ในต่างประเทศ ได้แก่
– สหภาพยุโรป
– สาธารณรัฐประชาชนจีน
– อินโดนีเซีย
– มาเลเซีย
จุดเด่นของพันธุ์นี้คืออะไร?
ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ คือ ข้าวเปลือก ข้าวกล้อง และข้าวขาว ที่แปรรูปมาจากข้าวเปลือกพันธุ์ข้าวหอมที่ไวต่อช่วงแสง ได้แก่ พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ กข 15 ซึ่งปลูกในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ในช่วงฤดูนาปี และมีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ ข้าวเปลือกมีสีฟาง เมล็ดข้าว ยาว เรียว และเมล็ดไม่มีหางข้าว เมล็ดข้าวที่ผ่านการสีแล้ว จะมีความเลื่อมมัน จมูกข้าวเล็ก
การที่ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ได้ขึ้นเป็นสินค้า GI นั้น นับว่าเป็นโอกาสทางการค้า การตลาด รวมถึงเป็นการยกระดับสินค้าชุมชนให้เป็นสินค้าข้าวคุณภาพที่ได้มาตรฐานการผลิต สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในด้านคุณภาพและความปลอดภัย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการท้องถิ่น และที่สำคัญเป็นการสร้างความภาคภูมิใจในทรัพยากรที่มีในท้องถิ่น รักษาภูมิปัญญาดั้งเดิม และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน
สำหรับสถานการณ์ด้านตลาด พบว่า เกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกข้าวหอมมะลิ GI มีตลาดรองรับผลผลิตที่ชัดเจนรวมถึงยังมีการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่านตลาดออนไลน์ ตลาด modern trade การออกบูธงานแสดงสินค้าและงานสำคัญของจังหวัด
โดยกลุ่มเป้าหมายหลักคือผู้บริโภคที่ใส่ใจด้านสุขภาพ ซึ่งผู้ประกอบการหรือกลุ่มเกษตรกรสามารถขายสินค้าเกรดพรีเมี่ยมได้ในราคาที่ค่อนข้างสูงเนื่องจากมีการขายในลักษณะของฝากของที่ระลึกขณะเดียวกันผู้บริโภคยังสามารถมั่นใจในเรื่องการผลิตของข้าวหอมมะลิ GI ได้อย่างแน่นอน
เพราะในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ มีการดูแลจากเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะปลูกเป็นอย่างดี ตั้งแต่กระบวนการคัดเมล็ดพันธุ์ที่ต้องมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ การดูแลรักษา ไปจนถึงการแปรรูป
ในทุ่งกุลาร้องไห้ก็มีสถานสำคัญหลากหลายแห่ง โดยส่วนมากจะอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด ได้แก่
– กู่เมืองบัว สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 โดยมีศิลปะแบบนครวัดเป็นหลัก
– กู่กาสิงห์ เป็นโบราณสถานสำคัญที่มีขนาดใหญ่ สร้างขึ้นในสมัยขอม โดยได้รับอิทธิพลจากศิลปะเขมรแบบบาปวนในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-17 เพื่อเป็นเทวสถานอุทิศแด่พระอิศวร เทพเจ้าสูงสุดในศาสนาพราหมณ์
– กู่พระโกนา เป็นโบราณสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีในจังหวัดร้อยเอ็ด สร้างขึ้นในสมัยขอมโบราณ มีลักษณะเด่นคือปราสาท 3 องค์เรียงกัน และมีภาพสลักที่สวยงาม โดยเฉพาะภาพสลัก “พระนารายณ์บรรทมสินธุ์” ซึ่งมีความสำคัญและหายากมาก
– กู่คันธนาม หรือที่รู้จักกันในชื่อ กู่บ้านค่าน คือโบราณสถานสำคัญที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เพื่อเป็น อโรคยาศาล หรือโรงพยาบาลในสมัยนั้น โดยเป็นหนึ่งใน 102 แห่งตามจารึกปราสาทตาพรหม ประเทศกัมพูชา
– กู่วัดธาตุพันขัน เป็นปราสาทเขมร ที่พบหลักฐานการสร้างซ้อนทับกันหลายสมัย เอกลักษณ์ของกู่พันขัน คือ การสะท้อนให้เห็นการสร้างปราสาท และศิวลึงค์ที่มีรูปแบบเปลี่ยนไปในช่วงพุทธศตวร
– บ่อพันขัน บ่อน้ำจืดธรรมชาติท่ามกลางความเค็มของชั้นเกลือใต้ดิน มีน้ำใสเย็นไหลออกมาไม่ขาดสาย ตักไม่รู้จักแห้งเป็นที่น่าอัศจรรย์ ภายหลังมีการสร้างขอบซีเมนต์กั้นเป็นอ่างรอบบ่อ และทำแนวคันดินกั้นไม่ให้น้ำกร่อยในอ่างเก็บน้ำเอ่อเข้ามาท่วม
– ขี้นกอินทรี ในอดีตภาคอีสานมีน้ำทะเลได้ทะลักเข้ามาทำให้พื้นดินในแอ่งโคราชจมลง จึงทำให้เกิดการสะสมของเกลือ และแร่ยิปซั่ม พอแผ่นดินเริ่มโก่งตัวสูงขึ้นน้ำทะเลจึงแห้งไป แอ่งน้ำที่เป็นทุ่งกุลาขนาดใหญ่นี้อาจเป็นทะเลน้ำจืดขนาดใหญ่ ซึ่งปรากฏว่ามีการค้นพบหลักฐานการทับถมของซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ ได้แก่ซากหอยต่างๆ ที่ชาวบ้านเรียกว่า “โพนขี้นก”
– สระสี่เหลี่ยม และ สระแก กิดจากการท้าแข่งกันระหว่างหญิง-ชาย ใช้จำนวนคนเท่ากัน ให้ขุดในคืนเดียว เมื่อดาวเพ็กหรือดาวประกายพรึกขึ้นเหนือขอบฟ้าตะวันออก ให้ถือเป็นสัญญาณหมดเวลา ในคืนแข่งขันฝ่ายหญิงก็ออกอุบายจุดไฟยกขึ้นทางตะวันออก ฝ่ายชายหันเห็นก็คิดว่าดาวเพ็กขึ้นแล้วก็หยุดขุด ขณะที่ฝ่ายหญิงขุดต่อไปจนเสร็จเป็นสระน้ำ เรียกกันต่อมาว่า “สระสี่เหลี่ยม” ส่วนสระของผู้ชายที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ขุดไม่เสร็จ เรียกกันต่อมาว่า “สระแก”
และยังมีในจังหวัดสุรินทร์ ได้แก่
– เจ้าพ่อศรีนครเตาที่บ้านเมืองเตา อันเป็นที่เคารพของคนทุ่งกุลา
– ลำพลับพลาไหลผ่านกลางทุ่งกุลาและแบ่งเขตแดนสุวรรณภูมิ (ร้อยเอ็ด) – ท่าตูม (สุรินทร์)
อ้างอิงจาก:
– กรมทรัพย์สินทางปัญญา
– ประชาชาติธุรกิจ
– สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดร้อยเอ็ด
– หนังสืออีสานบ้านเฮา โดย วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง
– การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
– กรมศิลปากร
– พุทธศิลป์อีสาน
– Komchadluek
ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่
https://linktr.ee/isan.insight
#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ข้าว #ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ #ทุ่งกุลาร้องไห้ #สินค้าGI #GI #กุลาร้องไห้