Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

พามาเบิ่ง 5 จังหวัดอีสาน “อวดเมือง” อวดหยังแหน่? ในรอบ 12 ทีมสุดท้าย

ส่งแรงใจให้ โคราช ขอนแก่น อุบลราชธานี เลย ศรีสะเกษ 5 จังหวัดจากอีสานที่เข้ารอบ 12 จังหวัด โครงการ “อวดเมือง” อีสานมีอะไรให้อวดที่จะพัฒนาเมืองให้ น่าอยู่ น่า เที่ยว น่าลงทุน และใช้เทศกาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 5 จังหวัดอีสาน “อวดเมือง” อวดหยังแหน่? ในรอบ 12 ทีมสุดท้าย(รอบรองชนะเลิศ)   ขอนแก่น MUAN: Festival of ISAN Pulse “เทศกาลม่วน: เมื่อผืนไหมขับร้อง และหัวใจเต้นไปกับจังหวะหมอลำ” สมาชิกทีมจังหวัดขอนแก่น (จากซ้ายไปขวา)1. คุณวิฑูรย์ ไตรรัตน์วงศ์ (ป๋องแป้ง) ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าทอ2. ผศ.ดร.ดลฤทัย โกวรรธนะกุล (ส้ม) ผู้อำนวยการโครงการ3. คุณฐิติมา ด่านวิบูลย์ (พริ้ง) MC4. คุณอภิญญา กันสา (กวางตุ้ง) Influencer5. คุณชัยเวช ดวงมั่น (ชัย) Graphic Designer     นครราชสีมา (K = Korat) K-BATTLE International HIPHOP Festival “เทศกาลที่จะอวดเมืองโคราชให้โลกรู้ ด้วยการเต้น เสียงดนตรี และศิลปะ” ตัวแทนทีมจังหวัดนครราชสีมา (จากซ้ายไปขวา)1.นายจิรพิสิษฐ์ รุจน์เจริญ : อินฟลูเอนเซอร์ท้องถิ่นและที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม2.ว่าที่ร้อยตรี อธิปัตย์ ทองชั้น : ประธานสโมสร K-Battle3.นายวิจิตร กิจวิรัตน์ : รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา4.นายพงศกร พิศิษฐวานิช : กรรมการหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา ฝ่ายศิลปะและวัฒนธรรม5. นาย พงศกร เลิศศักดิ์วรกุล : รองผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลหลานย่าโม6. นางสาวฉวีวรรณ แปวกระโทก : นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ   เลย LOEI MASK FEST เทศกาลหน้ากากเลย “จากตำนานสู่งานสร้างสรรค์ “เทศกาลหน้ากาก 3 ผี อวดสี อวดศิลป์” รายชื่อสมาชิกทีมจังหวัดเลย (จากซ้ายไปขวา)1. นายวชิรวิชญ์ จันทร์ฉายงาม เลขานุการหอการค้าจังหวัดเลย (เอ)2. นางสาวปัทมา ฐานะวัฒนกุล สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเลย (ปัท)3. นางสาวทิพวาฑิต กำจัดพาลภัย อินฟลูเอนเซอร์ (ซอ)4. นายชูชัย ลุนวิรัตน์ ศิลปินในนาม เลยตามเลย (แบท)5. นางสาวเบญจมาภรณ์ ฉัตร์คำ […]

พามาเบิ่ง 5 จังหวัดอีสาน “อวดเมือง” อวดหยังแหน่? ในรอบ 12 ทีมสุดท้าย อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง ตัวเลขสุดช็อก พบอีสานมีผู้ป่วย “ไตวาย” พุ่งพรวดกว่า 32.9% ในปีเดียว และเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งในรอบ 8 ปี‼️

สถานการณ์โรคไตวายในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคอีสานที่กำลังส่งสัญญาณเตือนครั้งใหญ่ หลังข้อมูลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ในปี 2566 มีผู้ป่วยไตวายในภาคอีสานพุ่งสูงถึง 404,680 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึง 32.9% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงผิดปกติ หากเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ที่เพิ่มขึ้นเพียงปีละไม่เกิน 8% นี่จึงไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงตัวเลขที่ได้นำเสนอไป แต่เป็นการระเบิดของวิกฤตสุขภาพที่อาจส่งผลลึกถึงระดับเศรษฐกิจและนโยบายสาธารณสุขของประเทศ   โรคไตวายเรื้อรังเกิดจากอะไร⁉️ โรคไตวายเรื้อรังมีสาเหตุสำคัญจากพฤติกรรมและโรคประจำตัวของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน และการรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง ซึ่งล้วนเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรังของคนไทยโดยเฉพาะในภาคอีสานที่นิยมบริโภคอาหารรสจัด เช่น ปลาร้า แจ่ว หรืออาหารหมักดองต่าง ๆ ที่มีเกลือเป็นส่วนประกอบหลัก นอกจากนี้ยังพบพฤติกรรมเสี่ยงอื่น อย่างเช่น การใช้ยาชุด สมุนไพรพื้นบ้านโดยไม่ควบคุม และการดื่มน้ำสมุนไพรหรือเครื่องดื่มพื้นบ้านที่ไม่ได้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย แต่ในห้วงเวลาที่วิกฤตไตกำลังปะทุ สิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้นั้นคือ การเปลี่ยนแปลงทางนโยบายในช่วงปลายปี 2564 ที่ “พืชกระท่อม” ถูกปลดล็อกให้ถูกกฎหมายในประเทศไทย การบริโภคกระท่อมในรูปแบบ “น้ำกระท่อม” จึงขยายตัวอย่างรวดเร็วในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนทั่วไปที่เข้าไม่ถึงบริการสุขภาพ กระท่อมแม้จะมีฤทธิ์ลดปวดหรือเพิ่มพลังงาน แต่เมื่อบริโภคในปริมาณมาก หรือถูกนำไปผสมกับน้ำอัดลม พาราเซตามอล ยาแก้ไอ หรือสารเคมีอื่น กลับเป็นการเพิ่มภาระให้กับระบบไตอย่างรุนแรงนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีงานวิจัยในประเทศไทยที่ยืนยันแบบเฉพาะเจาะจงว่า “น้ำกระท่อม” เป็นสาเหตุโดยตรงของโรคไตวาย แต่การที่ตัวเลขผู้ป่วยไตพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดถึง 32.9% ภายในปีเดียว ขณะที่ใน 7 ปีก่อนหน้านั้นเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 4-8% ย่อมเป็นข้อมูลที่ไม่อาจมองข้ามได้   ผลกระทบของโรคไตวายต่อระบบเศรษฐกิจ ผลกระทบของโรคไตวายไม่เพียงจำกัดอยู่ในระบบสาธารณสุข แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจในหลายระดับ เริ่มจากภาระงบประมาณของรัฐที่ต้องแบกรับค่ารักษาผู้ป่วยฟอกไต ซึ่งมีต้นทุนสูงถึงหลักแสนบาทต่อคนต่อปีเลยทีเดียว ขณะที่ครอบครัวของผู้ป่วยจำนวนมากต้องสูญเสียรายได้จากการทำงาน หรือกลายเป็นผู้ดูแลโดยจำเป็น ส่งผลให้เกิดภาวะความยากจนจากโรคเรื้อรังที่ยิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในภาคอีสานซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่ำอยู่แล้วนั่นเอง นอกจากนี้ เมื่อกลุ่มแรงงานวัยทำงานกลายเป็นผู้ป่วยเรื้อรัง ความสามารถในการผลิตของระบบเศรษฐกิจก็ลดลงทั้งทางตรงและทางอ้อม ขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพืชกระท่อม แม้สร้างรายได้ในระยะสั้น แต่หากปราศจากมาตรการควบคุมและมาตรฐานความปลอดภัยในการบริโภค ก็อาจจะย้อนกลับมาก่อปัญหาสุขภาพระยะยาวซึ่งมีต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงกว่าผลประโยชน์ที่ได้หลายเท่านั่นเอง   อ้างอิงจาก: – กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข – กองส่งเสริมความรอบรู้และสื่อสารสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข – ฐานข้อมูลผู้ป่วยใน หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)   – Hfocus.org เจาะลึกระบบสุขภาพ – PPTVHD 36 – The Coverage   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ไตวาย #โรคไตวาย

พาเปิดเบิ่ง ตัวเลขสุดช็อก พบอีสานมีผู้ป่วย “ไตวาย” พุ่งพรวดกว่า 32.9% ในปีเดียว และเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งในรอบ 8 ปี‼️ อ่านเพิ่มเติม »

ใครใหญ่สุดในขอนแก่น? ส่อง 10 บริษัทกำไรมหาศาลในขอนแก่น

ชื่อบริษัท วัตถุประสงค์ กำไร (ล้านบาท) %YoY รายได้ (ล้านบาท) %YoY บริษัท มอนเดลีซ (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตและส่งออกหัวเชื้อผสมเครื่องดื่ม 380 -46.2 2,588 -10.6 บริษัท อินฟุส เมดิคัล จำกัด ผลิตเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ 355 11.0 1,143 6.2 บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพขอนแก่น จำกัด โรงพยาบาล 177 3.4 1,256 10.1 บริษัท ซีนเมล็ดพันธุ์ จำกัด จัดการเมล็ดพันธุ์สำหรับการขยายพันธุ์ 174 0.0 763 8.5 บริษัท โรงพยาบาลราชพฤกษ์ จำกัด (มหาชน) โรงพยาบาล 173 -6.4 1,150 -2.4 บริษัท ขอนแก่นกรีนพาวเวอร์ จำกัด การผลิตไฟฟ้า 110 19.3 479 -1.9 บริษัท โรงพยาบาลขอนแก่น ราม จำกัด โรงพยาบาล 106 -48.2 853 -11.5 บริษัท โค้วยู่ฮะมอเตอร์ จำกัด จำหน่ายรถยนต์ใหม่ 104 -14.9 3,403 -36.2 บริษัท ไทยไปป์อีสาน จำกัด ผลิตและจำหน่ายท่อพีวีซี 87 11.6 665 42.8 บริษัท แกรนด์ อินเตอร์ ฟูดส์ จำกัด ผลิตอาหารปรุงสำเร็จ 81 26.4 608 12.4   หมวดธุรกิจที่มีกำไรสูงในภาคอีสาน การผลิตลูกกวาดและขนมจากน้ำตาล โรงพยาบาลเอกชน การขายรถยนต์ใหม่ การผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ การผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า เมื่อพูดถึงภาคอีสานจังหวัดแรกๆ ที่ผู้คนมักจะถูกนึกถึงก็คือ ขอนแก่น ไม่เพียงเพราะตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของภูมิภาคในเชิงภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่ขอนแก่นยังมีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางของหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ การคมนาคมขนส่ง รวมถึงการเป็นศูนย์ราชการระดับภูมิภาค บทบาทเหล่านี้ส่งผลให้ขอนแก่นกลายเป็นจังหวัดที่มีความเคลื่อนไหวของผู้คนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากประชากรในพื้นที่ นักศึกษา แรงงาน และนักลงทุนจากภายนอกที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย การสัญจรที่คล่องตัว และการเชื่อมโยงกับเมืองอื่นๆ ทั้งทางถนน ราง และอากาศ ที่ยิ่งตอกย้ำสถานะของขอนแก่นในฐานะเมืองศูนย์กลางของอีสาน ข้อมูลในปี 2566 ระบุว่า ขอนแก่นมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) อยู่ที่ 225,107 ล้านบาท

ใครใหญ่สุดในขอนแก่น? ส่อง 10 บริษัทกำไรมหาศาลในขอนแก่น อ่านเพิ่มเติม »

ครูไทยแบกภาระเกินจริงที่ไม่ใช่แค่สอน พาสำรวจเบิ่ง “แม่พิมพ์ของชาติ” ในอีสานมีมากแค่ไหน⁉️

เปิดใจ “ครูไทย” ทำงานเกิน 8 ชม./วัน แถมเวลาสอนหายไป 6 ชม./สัปดาห์ เคยรู้หรือไหมว่า “ครูไทย” ของเรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง? พบข้อมูลว่า 95% ของคุณครูต้องทำงานหนักเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ 58% ของครูถูกแย่งเวลาสอนไปถึงสัปดาห์ละ 6 ชั่วโมง เพื่อไปทำงานอื่นที่ไม่ใช่ภารกิจหลักนั่นเอง นี่คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า “แม่พิมพ์ของชาติ” กำลังถูกภาระงานอื่นที่ไม่ใช่การสอนกัดกินเวลาอันมีค่า ทำให้ไม่สามารถทุ่มเทให้กับการพัฒนาลูกศิษย์ได้อย่างเต็มที่ สู่ความจริงอันเจ็บปวด เมื่อ “ครู” ไม่ได้แค่ “สอน” ปัญหาการทำงานเกินหน้าที่ของครูไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาเรื้อรังของระบบการศึกษาไทยมาอย่างยาวนาน แม้ภาครัฐจะพยายามแก้ไขด้วยการเพิ่มอัตราการจ้างครูธุรการและภารโรงแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าความพยายามเหล่านั้นยังคงเป็นเพียงการบรรเทาอาการ ไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุ ข้อมูลจาก The Active Thai PBS และสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้ (สสค.) ตอกย้ำภาพความจริงอันน่าหดหู่ว่า มีครูไทยกว่า 95% ต้องทำงานนานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และ 58% ใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ไปกับงานที่ไม่ใช่การสอน ยิ่งไปกว่านั้น ใน 200 วันทำการ ครูต้องเสียเวลาไปกับงานประเมินผลงาน งานแข่งขันวิชาการ และงานจัดทำโครงการมากถึง 84 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงเรียนขนาดเล็กที่ไร้ซึ่งบุคลากรสนับสนุน ปัญหาเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก ครูในปัจจุบันไม่ได้มีหน้าที่เพียงถ่ายทอดความรู้เท่านั้น แต่ต้องแบกรับภาระงานสารพัดที่แทบไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน ส่งผลให้เกิดความเครียดสะสมอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็กที่ครูคนเดียวต้องควบรวมบทบาททั้งงานการเงิน พัสดุ ธุรการ และแม้แต่งานด้านกฎหมาย ภาระงานที่ถาโถมนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของครูเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพการศึกษาของนักเรียนอีกด้วย เนื่องจากครูไม่มีเวลาเพียงพอในการออกแบบการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ หรือแม้กระทั่งการดูแลพฤติกรรมเด็กอย่างใกล้ชิด ซึ่งก็อาจเป็นเหตุผลของการนำไปสู่การเลือกใช้วิธีการลงโทษที่รุนแรงอันเป็นปลายเหตุของปัญหาความเครียด และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของนักเรียนและเป็นปัญหาสังคมตามมาในที่สุด   ครูอีสานก็แบกรับภาระการศึกษาที่หนักอึ้ง จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า “สัดส่วนครูต่อนักเรียนทั้งหมดในจังหวัด” ซึ่งสะท้อนถึงภาระงานที่ครูแต่ละคนต้องรับผิดชอบในภาคอีสาน เราจะเห็นภาพที่ชัดเจนว่าครูในภูมิภาคนี้กำลังแบกรับภาระที่หนักอึ้งในการขับเคลื่อนการศึกษาของชาติ โดยภาพรวมของทั้ง 20 จังหวัดในภาคอีสาน พบว่าสัดส่วนนักเรียนต่อครูโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1:20 ถึง 1:22 ซึ่งหมายความว่าครูหนึ่งคนจะต้องดูแลนักเรียนถึง 20-22 คน แม้จำนวนครูโดยรวมจะอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสากล แต่เบื้องลึกกลับน่าเป็นห่วง โรงเรียนหลายแห่งในภาคอีสานกำลังเผชิญวิกฤต ‘ครูขาดแคลน’ โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กกว่า 80% ที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วง ปัญหานี้ทำให้แม้จะมีนักเรียนน้อย แต่ครูผู้สอนก็ไม่เพียงพอในแต่ละห้องเรียน ซ้ำร้ายครูยังต้องแบกรับภาระงานธุรการจนแทบไม่มีเวลาดูแลนักเรียนได้อย่างทั่วถึง อย่างไรก็ตาม จังหวัดมหาสารคามโดดเด่นออกมาจากจังหวัดอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ด้วยสัดส่วนนักเรียนต่อครูที่สูงถึง 1:31 นี่เป็นตัวเลขที่น่าตกใจและสะท้อนให้เห็นว่าครูในจังหวัดมหาสารคามต้องทำงานหนักกว่าครูในจังหวัดอื่นๆ ด้วยจำนวนนักเรียนที่มากขนาดนี้ ครูอาจจะเผชิญกับข้อจำกัดในการให้ความดูแลเอาใจใส่นักเรียนเป็นรายบุคคลได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการจัดการชั้นเรียน การตรวจงาน การให้คำปรึกษา และการพัฒนาศักยภาพนักเรียน ซึ่งเป็นไปได้ยากขึ้นอย่างชัดเจน จากสัดส่วนดังกล่าว ซึ่งก็แสดงถึงภาระต่างๆ ที่ครูอีสานต้องแบกรับในแต่ละวันได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นภาระการสอนที่ต้องเข้มข้น เนื่องจากต้องสอนนักเรียนจำนวนมากในแต่ละคาบ ทำให้เวลาในการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย หรือการให้คำแนะนำรายบุคคลลดลง การสอนอาจเน้นที่การถ่ายทอดความรู้เป็นหลักมากกว่าการพัฒนาทักษะหรือความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังมีภาระการประเมินผลและการให้คำแนะนำ ซึ่งการตรวจงาน การให้คะแนน และการให้ข้อเสนอแนะแก่นักเรียนจำนวนมากเป็นงานที่ใช้เวลาและพลังงานมหาศาล ครูอาจมีเวลาไม่เพียงพอที่จะให้ข้อเสนอแนะที่ละเอียดและนำไปสู่การพัฒนาที่แท้จริง

ครูไทยแบกภาระเกินจริงที่ไม่ใช่แค่สอน พาสำรวจเบิ่ง “แม่พิมพ์ของชาติ” ในอีสานมีมากแค่ไหน⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง ขุมทรัพย์เศรษฐกิจ จาก “ประเพณีแห่เทียนพรรษา” ทั่วอีสาน ที่สร้างรายได้มหาศาล❗กระตุ้นเศรษฐกิจพุ่ง❗

ประเพณีแห่เทียนพรรษา ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในภาคอีสาน ไม่ได้เป็นเพียงแค่กิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ได้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างมูลค่าต่อเศรษฐกิจให้กับภาคอีสานได้อย่างมหาศาล ประเพณีแห่เทียนพรรษา จากพิธีกรรมสู่เทศกาลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ในอดีตประเพณีแห่เทียนพรรษาเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางพุทธศาสนาที่เน้นการถวายเทียนพรรษาแด่พระสงฆ์ในช่วงจำพรรษา ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น “เทศกาลแห่เทียนพรรษา” ที่ยิ่งใหญ่และดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและพัฒนาของประเพณีท้องถิ่นให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ซึ่งมีการสร้างมูลค่าเพิ่มจากความคิดสร้างสรรค์ มรดกทางวัฒนธรรม และอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น ประเพณีแห่เทียนพรรษานั้นก็ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างรายได้และการจ้างงานอย่างมหาศาล โดยพบว่าเทศกาลแห่เทียนพรรษาในบางจังหวัด อย่างเช่น จังหวัดอุบลราชธานี สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนได้หลักพันล้านบาท และมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 1.2 แสนคน ส่งผลให้เกิดการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมในหลากหลายสาขาอาชีพ ตั้งแต่ช่างแกะสลักเทียน นักแสดง ศิลปิน พ่อค้าแม่ค้า ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร ไปจนถึงภาคบริการและคมนาคมขนส่ง การเพิ่มขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเหล่านี้เป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง ยังเป็นการกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ การหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวจำนวนมากในช่วงเทศกาลส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และการบริการต่าง ๆ ได้รับประโยชน์โดยตรง การที่โรงแรมมีอัตราการเข้าพักเต็ม 100% สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่สูงมาก ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยวในอนาคตนั่นเอง ประเพณีแห่เทียนพรรษาไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแห่เทียนเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงกระบวนการผลิตและสร้างสรรค์ผลงานเทียนพรรษา ซึ่งต้องอาศัยทักษะฝีมือ ความประณีต และภูมิปัญญาของช่างแกะสลักเทียน การพัฒนากระบวนการเหล่านี้ให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับระดับสากลสามารถยกระดับ “สินค้า” ทางวัฒนธรรมนี้ให้มีมูลค่าสูงขึ้น และสร้างความภาคภูมิใจในฝีมือช่างท้องถิ่น การส่งเสริม Soft Power และอัตลักษณ์ท้องถิ่น การจัดงานเทศกาลแห่เทียนพรรษาอย่างยิ่งใหญ่เป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริม Soft Power ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอความงดงามของศิลปะ ประเพณี และวัฒนธรรมอีสานสู่สายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งเทียนพรรษาแต่ละต้นที่ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงเป็นตัวแทนของความคิดสร้างสรรค์ ความศรัทธา และอัตลักษณ์ของท้องถิ่น ซึ่งสามารถสร้างการจดจำและความประทับใจให้กับผู้มาเยือน และกระตุ้นให้เกิดการเดินทางกลับมาเยือนอีกในอนาคต และยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก การจัดงานในลักษณะ Night Parade และตลาดวัฒนธรรม (Cultural Market) ช่วยสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้าชุมชน และกลุ่ม OTOP ในการจำหน่ายสินค้าและบริการของตนเองโดยตรง ทำให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่ระดับครัวเรือนและชุมชน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ประเพณีแห่เทียนพรรษาถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ Soft Power และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนของภาคอีสาน การแปลงจากพิธีกรรมทางศาสนาไปสู่เทศกาลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้สร้างรายได้ การจ้างงาน และการพัฒนาห่วงโซ่มูลค่าทางวัฒนธรรมอย่างมหาศาล โดยมีส่วนสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น การลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนาเทศกาลในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างเต็มที่ และสร้างชื่อเสียงให้กับวัฒนธรรมไทยในเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิใจนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – UBON NOW อุบลนาว – สำนักข่าวไทย – กรุงเทพธุรกิจ – THAIRATH   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ประเพณีแห่เทียนพรรษา #แห่เทียนพรรษา

พาเปิดเบิ่ง ขุมทรัพย์เศรษฐกิจ จาก “ประเพณีแห่เทียนพรรษา” ทั่วอีสาน ที่สร้างรายได้มหาศาล❗กระตุ้นเศรษฐกิจพุ่ง❗ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง แผนที่ขุมทรัพย์ 9 จุดไทยส่งไฟฟ้าให้กัมพูชา โกยเงินเข้าประเทศ 48 ล้านต่อเดือน

ท่ามกลางประเด็นพิพาทระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา แม้จะมีเสียงยืนยันจากฝ่ายไทยถึงความพยายามในการเจรจา แต่การตอบโต้ที่ร้อนแรง อย่างเช่น การปิดด่านชายแดน และการประกาศตัดไฟฟ้า-อินเทอร์เน็ต ได้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ยังคงเปราะบางในทางปฏิบัติ การซื้อขายกระแสไฟฟ้าที่หล่อเลี้ยงพื้นที่ชายแดนของกัมพูชาด้วยเงินกว่า 48 ล้านบาทต่อเดือน จาก 9 จุดเชื่อมโยงไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) แม้ความขัดแย้งทางการเมืองจะปะทุขึ้นเป็นระยะ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เป็นผู้เล่นหลักในการส่งออกไฟฟ้าไปยังกัมพูชาผ่านจุดเชื่อมโยงในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคอีสานของไทย 9 จุดไทยที่ส่งไฟฟ้าให้กัมพูชา อยู่ที่ไหนบ้าง⁉️ เทศบาลบ้านคลองลึก อำภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว (วงจจรที่ 1 และ วงจรที่ 2) ปริมาณกำลังไฟฟ้าสูงสุดตามสัญญา : 20.0 MW สถานีไฟฟ้าต้นทาง : สถานีไฟฟ้าอรัญประเทศ 2 ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย/เดือนในปี 2567 : วงจรที่ 1 : 14,332,546.20 บาท และวงจรที่ 2 : 12,854,255.39 บาท บ้านด่าน ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ปริมาณกำลังไฟฟ้าสูงสุดตามสัญญา : 3.5 MW สถานีไฟฟ้าต้นทาง : สถานีไฟฟ้าปราสาท 1 ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย/เดือนในปี 2567 : 2,205,183.80 บาท บ้านหาดเล็ก ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ปริมาณกำลังไฟฟ้าสูงสุดตามสัญญา : 10.0 MW สถานีไฟฟ้าต้นทาง : สถานีไฟฟ้าคลองใหญ่ ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย/เดือนในปี 2567 : 9,476,227.31 บาท บ้านซับตารี ตำบลทุ่งขนาน อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ปริมาณกำลังไฟฟ้าสูงสุดตามสัญญา : 3.0 MW สถานีไฟฟ้าต้นทาง : สถานีไฟฟ้าสอยดาว ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย/เดือนในปี 2567 : 2,041,783.55 บาท บ้านสวนสัม อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ปริมาณกำลังไฟฟ้าสูงสุดตามสัญญา : 1.0 MW สถานีไฟฟ้าต้นทาง : สถานีไฟฟ้าโป่งน้ำร้อน 2 (ชั่วคราว) ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย/เดือนในปี 2567 : 1,607,943.24 บาท บ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว ปริมาณกำลังไฟฟ้าสูงสุดตามสัญญา : 8.0 MW สถานีไฟฟ้าต้นทาง : สถานีไฟฟ้าวังน้ำเย็น ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย/เดือนในปี 2567

พาเปิดเบิ่ง แผนที่ขุมทรัพย์ 9 จุดไทยส่งไฟฟ้าให้กัมพูชา โกยเงินเข้าประเทศ 48 ล้านต่อเดือน อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนเบิ่ง ปมขัดแย้ง 46 ปี จากหักมิตรรักสู่ศัตรู “อิสราเอล-อิหร่าน” จุดฉนวนวิกฤตพลังงานโลกที่ไทยถึงต้องจับตา

วิกฤตตะวันออกกลางปะทุ อิสราเอลเปิดฉาก “Operation Rising Lion” ถล่มอิหร่าน ส่งผลให้สงครามทวีความรุนแรง กลางเดือนมิถุนายน 2025 สถานการณ์ในตะวันออกกลางเข้าสู่จุดเดือดสูงสุด เมื่ออิสราเอลได้เปิดปฏิบัติการโจมตีครั้งใหญ่ในอิหร่านภายใต้รหัส “Operation Rising Lion” โดยมีเป้าหมายทำลายโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ โรงงานผลิตมิสไซล์ และผู้นำทางทหารของอิหร่าน รายงานยืนยันการเสียชีวิตของ นายพลฮอสเซน ซาลามี ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม และนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์คนสำคัญ ซึ่งถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของอิหร่าน การโจมตีครั้งนี้จุดชนวนให้อิหร่านตอบโต้กลับทันที ด้วยการยิงมิสไซล์ถล่มเมืองเทลอาวีฟและไฮฟาทางตอนเหนือของอิสราเอลอย่างรุนแรง สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อโรงไฟฟ้าและโรงกลั่นน้ำมันในไฮฟา และมีรายงานผู้เสียชีวิตหลายราย นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่าอาคารสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลอิหร่านในกรุงเตหะรานก็ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีด้วยเช่นกัน หัวใจของความขัดแย้งเชิงยุทธศาสตร์นี้ยังคงอยู่ที่โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน อิสราเอลมองว่าการที่อิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์จะกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการดำรงอยู่ของตน ขณะที่อิหร่านยืนกรานว่าโครงการนิวเคลียร์มีวัตถุประสงค์เพื่อสันติ เช่น การผลิตพลังงานและการแพทย์ แต่เคยมีคำกล่าวบางส่วนจากผู้นำอิหร่านที่เคยแย้มถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เพื่อการป้องปราม ได้ยิ่งเพิ่มความกังวลและเชื้อไฟให้กับสถานการณ์ที่ตึงเครียดอยู่แล้วให้ปะทุขึ้นไปอีกขั้น นี่ไม่ใช่แค่การปะทะ แต่คือจุดสูงสุดของความขัดแย้งที่ยาวนานกว่า 46 ปี ระหว่างสองขั้วอำนาจในตะวันออกกลาง แม้เหตุการณ์จะเกิดห่างไกลออกไปหลายพันกิโลเมตร แต่คลื่นกระแทกกลับสะเทือนมาถึงประเทศไทย โดยเฉพาะหัวใจของแรงงานไทยอย่างภาคอีสาน จากมิตรสู่ศัตรู รอยร้าวประวัติศาสตร์ที่นำไปสู่ความเดือดระอุ ความสัมพันธ์อิสราเอล-อิหร่านเคยรุ่งเรืองด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจก่อนปี 1979 หลังการปฏิวัติอิสลาม อิหร่านได้ประกาศตนเป็นศัตรูถาวรของรัฐยิว โดยไม่ยอมรับการมีอยู่ของอิสราเอล และเริ่มให้การสนับสนุน กลุ่มต่อต้านอิสราเอล เช่น Hezbollah ในเลบานอน Hamas ในฉนวนกาซา Houthi ในเยเมน รวมถึงกองกำลังติดอาวุธในอิรักและซีเรีย ทำให้ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศกลายเป็นสงครามตัวแทนที่แผ่ขยายไปทั่วภูมิภาค   ในปัจจุบันความขัดแย้งในภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง โดยเฉพาะตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของพลังงานโลก ส่งผลกระทบมาถึงประเทศปลายทางอย่างประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อความตึงเครียดพุ่งสูง ความเสี่ยงในการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญที่ลำเลียงน้ำมันกว่า 20% ของโลกก็เพิ่มขึ้นตามมา ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งทะยานกดดันต้นทุนการผลิต การขนส่ง และค่าครองชีพภายในประเทศ เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักต้องเผชิญกับภาวะชะลอตัว เนื่องจากต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงขึ้น และความกังวลของคู่ค้าต่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนในตลาดโลก ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้น กดดันให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นไปอีก อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อแรงงานไทยในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในอิสราเอลและอิหร่าน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของคนจากภาคอีสาน จากข้อมูลล่าสุด มีแรงงานไทยในอิสราเอลมากถึง 24,494 คน และในอิหร่านอีกราว 90 คน ที่น่าตกใจคือ กว่า 80% ของแรงงานเหล่านี้มาจากภาคอีสาน ไม่ว่าจะเป็นครราชสีมา อุดรธานี ขอนแก่น อุบลราชธานี และมุกดาหาร ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ทำงานในภาคเกษตร ปศุสัตว์ และก่อสร้าง ส่งเงินกลับบ้านเพื่อจุนเจือครอบครัว สร้างบ้าน ส่งลูกเรียน และปลดหนี้สิน นี่คือก็ถือได้ว่าคือกระดูกสันหลังของครอบครัวนั่นเอง เมื่อสถานการณ์ตึงเครียด รัฐบาลอิสราเอลอาจสั่งอพยพหรือจำกัดพื้นที่แรงงาน ส่งผลให้การส่งเงินกลับบ้านหยุดชะงักทันที ครอบครัวในอีสานนับหมื่นต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินอย่างไม่ทันตั้งตัว หากสถานการณ์ลุกลามจนกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ และแรงงานนับหมื่นต้องอพยพกลับไทย นั่นอาจหมายถึงการที่ตลาดแรงงานในประเทศต้องรองรับแรงงานจำนวนมหาศาลอย่างกะทันหัน ซึ่งเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะดูดซับแรงงานเหล่านี้ได้ทั้งหมด การหายไปของรายได้จากแรงงานต่างแดนจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาคอีสาน ตั้งแต่ร้านค้าชุมชน ตลาดสด ไปจนถึงหนี้สินครัวเรือนและการลงทุนในท้องถิ่นนั่นเอง อ้างอิงจาก: – ประชาชาติธุรกิจ – Thai PBS – บีบีซีไทย   ติดตาม

พาย้อนเบิ่ง ปมขัดแย้ง 46 ปี จากหักมิตรรักสู่ศัตรู “อิสราเอล-อิหร่าน” จุดฉนวนวิกฤตพลังงานโลกที่ไทยถึงต้องจับตา อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🇰🇭กัมพูชากับความมั่นคงด้านพลังงาน “เส้นบางๆ ของการพึ่งพา”

  ฮู้บ่ว่า ? หลังการงดนำเข้าไฟฟ้าจากไทยของกัมพูชา ได้ดำเนินการตามประกาศของรัฐบาล กัมพูชาจึงหันไปเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าจากเวียดนามเพื่อชดเชยไฟฟ้าจากไทย เป็นเหตุให้หลายพื้นที่ไฟฟ้าไม่เสถียร และปอยเปตไฟฟ้ากว่า 20 นาที   ข้อมูลของคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านไฟฟ้า Electricity Advisory Committee (EAC) 2023 เปิดเผยว่ากัมพูชาต้องนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านถึง 66.73% ขณะที่ผลิตได้เองภายในประเทศเพียง 33.27% โดยประเทศที่ส่งออกไฟฟ้าเข้ากัมพูชามากที่สุดคือ ลาว 57.46% เวียดนาม 25.09% และไทย 17.45% นอกจากนี้เมื่อเดือนตุลาคม 2024 กัมพูชาได้เซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าเพิ่มจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มอีก มากกว่า 50% หรือ 600 เมกะวัตต์ ซึ่งไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่นำเข้าจากไทยจะให้บริการประชาชนในพื้นที่จังหวัดบริเวณชายแดนไทยกัมพูชาเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งในเมืองปอยเปต ซึ่งที่เป็นที่ตั้งของบ่อนการพนัน โรงแรม และที่ทำการของบรรดาของธุรกิจสแกรมเมอร์ . แม้กัมพูชามีความพยายามจะมีความพยายามผลิตพลังงานหมุนเวียนในประเทศให้มากถึง 70% ภายในปี 2573 ภายในปี 2030 และจัดหาไฟฟ้าให้ครอบคลุมกับประชาชนทุกครัวเรือน 100% ภายในปี 2020 แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากการขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าที่เชื่อถือได้ในประเทศและโครงข่ายไฟฟ้าแห่งชาติที่ไม่สามารถเข้าถึงหมู่บ้านในชนบทหลายแห่ง . ความล้าสมัยของการผลิตไฟฟ้าในประเทศและความน่าเชื่อถือ ทำให้มีความพยายามลงทุนเพื่อทำให้มีความทันสมัยเพิ่มขีดความสามารถในการส่งไฟฟ้าแรงสูง โดยมีค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์ไว้ถึง 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็ยังไม่สามารถลงทุนเพิ่มได้เนื่องจากปัญหาด้านการหาแหล่งเงินทุนและงบประเทศ . สำหรับกัมพูชานับว่าเป็นประเทศที่มีอัตราค่าไฟต่อหน่วยสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกโดยข้อมูลจาก CEIC Data ระบุว่า ค่าไฟปัจจุบัน (8 มกราคม 2568) ของกัมพูชาอยู่ที่ 780 เรียลกัมพูชา หรือประมาณ 6.70 บาทต่อหน่วย เป็นรองเพียงแค่ฟิลิปปินส์ที่ 7.10 บาทต่อหน่วย และสิงคโปร์ 8.01 บาทต่อหน่วย และคาดว่าจะแพงขึ้นกว่านี้เมื่อไฟฟ้าหายไปจากระบบ และต้องเร่งซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ แทน ซึ่งทำให้กัมพูชาไม่ได้มีอำนาจต่อรอง เพราะต้องพึ่งพาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

พามาเบิ่ง🇰🇭กัมพูชากับความมั่นคงด้านพลังงาน “เส้นบางๆ ของการพึ่งพา” อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง โรงงานผลิตเครื่องดื่มของเครือบุญรอด และไทยเบฟ

ภาค รายได้: ล้านบาท ภาคอีสาน 52,368 ภาคกลาง 43,056 ภาคใต้ 3,084 ภาคเหนือ 29,615 กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 124,097 เครือ ชื่อบริษัท รายได้รวม (2567) (ล้านบาท) %YoY รายได้ กำไรขาดทุน (ล้านบาท) %YoY กำไร จังหวัด ผลิต ไทยเบฟเวอเรจ บริษัท อธิมาตร จำกัด 4,415 3.6 144 -4.9 บุรีรัมย์ กลั่นสุรา บริษัท เอส.เอส.การสุรา จำกัด 4,751 1.0 134 -11.8 อุบลราชธานี กลั่นสุรา บริษัท แก่นขวัญ จำกัด 5,015 -0.4 117 -33.9 ขอนแก่น กลั่นสุรา บริษัท เทพอรุโณทัย จำกัด 4,424 1.5 43 -57.1 หนองคาย กลั่นสุรา บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) (โรงงานนครราชสีมา) นครราชสีมา เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ บุญรอดบริวเวอรี่ บริษัท ขอนแก่น บริวเวอรี่ จำกัด 31,962 19.1 876 123.3 ขอนแก่น เบียร์, น้ำดื่ม, โซดา บริษัท มหาสารคาม เบเวอเรช จำกัด 1,801 -5.2 110 -0.6 มหาสารคาม น้ำดื่ม, โซดา โรงงานเครือ รายได้รวม (ล้านบาท) กำไรขาดทุน (ล้านบาท) จำนวนจังหวัดที่มีการตั้งโรงงาน บุญรอดบริวเวอรี่ 110,768 4,135 8 (8 โรงงาน) ไทยเบฟเวอเรจ 127,546 3,057 16 (20 โรงงาน) ไทยเบฟเวอเรจ (เสริมสุข) 13,905 236 6 (7 โรงงาน) หมายเหตุ: ข้อมูลรายได้รวมของบริษัทเป็นการนับรายได้เฉพาะรายได้จากบริษัทที่มีโรงงานเท่านั้น ไม่ได้เป็นการนับรายได้รวมทั้งหมดจากทุกธุรกิจ เครื่องดื่ม หนึ่งในสินค้าอุปโภคบริโภคที่อยู่คู่กับชีวิตประจำวันของผู้คนไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ก็ตาม เราทุกคนล้วนต้องบริโภคเครื่องดื่มในแต่ละวัน สินค้าประเภทนี้มีผู้เล่นจำนวนมากในตลาด แต่หากพูดถึงแบรนด์รายใหญ่ที่คุ้นหูคนไทย ชื่อที่มักจะถูกนึกถึงก่อนเสมอก็คือ “บุญรอดบริวเวอรี่” หรือ

พามาเบิ่ง โรงงานผลิตเครื่องดื่มของเครือบุญรอด และไทยเบฟ อ่านเพิ่มเติม »

“ทัพไทย” เบอร์ 14 โลก🏆พาส่องเบิ่ง “กองกำลังรบ” เพื่อนบ้านในลุ่มน้ำโขง และบทบาทสำคัญของกองกำลังสุรนารี

ทัพไทยอันดับ 14 โลก พลานุภาพทางทหารในลุ่มน้ำโขง และบทบาทสำคัญของกองกำลังสุรนารี ต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ และธุรกิจ สถานการณ์ชายแดนเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวและมีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ตามแนวชายแดนในลุ่มน้ำโขง ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงในหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติด การค้ามนุษย์ และที่สำคัญ คือ การลักลอบเข้าเมือง หรือแม้แต่ความขัดแย้งภายในประเทศเพื่อนบ้านที่อาจส่งผลกระทบข้ามมายังฝั่งไทย จากข้อมูล Global Firepower 2025 กองทัพไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 14 ของโลก ด้วยจำนวนกำลังพลประจำการกว่า 363,850 นาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของกองทัพไทยในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในเทคโนโลยีทางการทหารที่ทันสมัย การฝึกซ้อมที่เข้มข้น และยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอด พลานุภาพนี้ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการปกป้องอธิปไตยเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอีกด้วย เมื่อนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในลุ่มน้ำโขง พบว่าจีนเป็นมหาอำนาจทางทหารอันดับ 1 ของโลก (2,035,000 นาย) ตามมาด้วยเวียดนามอันดับ 10 (600,000 นาย) กัมพูชาอันดับ 23 (221,000 นาย) เมียนมาอันดับ 38 (150,000 นาย) และลาวอันดับ 53 (130,000 นาย) โดยการจัดอันดับและจำนวนกำลังพลเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของพลานุภาพทางทหารในภูมิภาค และชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ไทยจะต้องรักษาสมดุลทางอำนาจและเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพนั่นเอง   บทบาทสำคัญของกองกำลังสุรนารีมีอะไรบ้าง⁉️ ในด้านของความมั่นคงภายในประเทศและชายแดน “กองกำลังสุรนารี” ซึ่งมีที่ตั้งและขอบเขตความรับผิดชอบครอบคลุมพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย (อย่างเช่น บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการปกป้องอธิปไตยและรักษาความสงบสุขในพื้นที่ ภารกิจหลักของกองกำลังสุรนารีไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การป้องกันการรุกรานจากภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการแก้ไขปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและการดำเนินธุรกิจในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น การปราบปรามยาเสพติด การค้ามนุษย์ การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดน และการพัฒนาและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ห่างไกล หน่วยงานหลักในสังกัดของกองกำลังสุรนารี เช่น หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 26 และ 23 ที่รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนในจังหวัดบุรีรัมย์และสุรินทร์ รวมถึงหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 12 ซึ่งมีภารกิจในการสนับสนุนการปฏิบัติการของหน่วยทหารหลัก แสดงให้เห็นถึงการจัดโครงสร้างที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพในการรับมือกับภัยคุกคามในหลากหลายรูปแบบ   ความมั่นคงชายแดนที่เข้มแข็งจากบทบาทของทัพไทยและกองกำลังสุรนารีส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจอย่างไร⁉️ เมื่อพื้นที่ชายแดนมีความปลอดภัยและมีเสถียรภาพ ก็จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนและการค้าชายแดน ผู้ประกอบการเองก็จะมีความมั่นใจในการเข้ามาลงทุนและดำเนินธุรกิจมากขึ้นนั่นเอง อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการค้าชายแดนที่เติบโตอย่างยั่งยืน หรือแม้กระทั่งการส่งเสริมการท่องเที่ยว ความปลอดภัยก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สุดในการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว หากพื้นที่ชายแดนมีความมั่นคง การท่องเที่ยวในจังหวัดชายแดนภาคอีสานก็จะเติบโต ส่งผลให้เกิดการจ้างงานและรายได้ให้กับคนในพื้นที่   การที่ทัพไทยติดอันดับ 14 ของโลก ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขที่น่าภาคภูมิใจเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงขีดความสามารถในการปกป้องประเทศชาติและรักษาผลประโยชน์ของชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน “ช่องบก” จ.อุบลราชธานีนี้ ก็มีกองกำลังสุรนารีเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนภาคตอีสาน ซึ่งบทบาทของกองกำลังเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การทหาร แต่ยังครอบคลุมไปถึงมิติทางสังคม เศรษฐกิจ และการพัฒนา การรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่เพื่อปกป้องอธิปไตยเท่านั้น แต่ยังเพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและธุรกิจ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืนนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – Global Fire Power 2025 – TNN  

“ทัพไทย” เบอร์ 14 โลก🏆พาส่องเบิ่ง “กองกำลังรบ” เพื่อนบ้านในลุ่มน้ำโขง และบทบาทสำคัญของกองกำลังสุรนารี อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top