Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

พามาเบิ่งชนวนร้อน “MOU 44” พื้นที่ทับซ้อนกว่า 26,000 ตร.กม. ไทย-กัมพูชา ทำไมควรจะยกเลิก⁉️

MOU 44 ปมพื้นที่ทับซ้อนที่มีค่ามากกว่าแค่เส้นแบ่งทะเล การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับที่ 44 ระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ไม่ใช่แค่เอกสารทางการทูตธรรมดาเพียงเท่านั้น แต่คือจุดเปลี่ยนของการจัดการพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยซึ่งมีขนาดใหญ่มากถึง 26,000 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ที่ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยความคลุมเครือด้านกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ยังซ่อนศักยภาพทางเศรษฐกิจมหาศาล โดยเฉพาะในรูปของแหล่งพลังงานใต้ทะเลนั่นเอง พื้นที่ทับซ้อน ผลพวงจากเส้นแบ่งที่ไม่แน่ชัด ปัญหาหลักที่นำไปสู่การจัดทำ MOU 44 นั้น คือ ความแตกต่างในการตีความของ “เส้นเขตแดนทางทะเล” โดยไทยและกัมพูชาต่างก็อ้างอิงเส้นฐานของตนในการวาดเส้นเขตแดนทะเลที่ลากไปยังส่วนลึกของอ่าวไทย ส่งผลให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนกลางทะเล ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ว่าตนมีอำนาจเหนือพื้นที่นั้น การลงนามใน MOU 44 จึงเป็นการแช่แข็งข้อพิพาทและวางกรอบการเจรจาเพื่อการจัดการพื้นที่อย่างสันติ โดยพื้นที่ทับซ้อนนี้แบ่งได้เป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ พื้นที่ทับซ้อนส่วนบน (~10,000 ตร.กม.) ใกล้เส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือ พื้นที่ทับซ้อนส่วนล่าง (~16,000 ตร.กม.) ซึ่งมีแนวโน้มจะกลายเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area – JDA) บริเวณทับซ้อนแห่งนี้เชื่อกันว่ามีทรัพยากรพลังงานใต้ทะเลอย่างมหาศาล โดยเฉพาะ ก๊าซธรรมชาติกว่า 11 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ซึ่งคิดเป็นมูลค่าตามราคาปัจจุบันกว่า 3.5 ล้านล้านบาท และ น้ำมันอีกประมาณ 500 ล้านบาร์เรล ซึ่งอาจมีมูลค่าเพิ่มเติมอีกราว 1.5 ล้านล้านบาท ทั้งนี้แหล่งข้อมูลบางแห่งประเมินว่ามูลค่ารวมของทรัพยากรปิโตรเลียมในบริเวณนี้อาจสูงถึง 10 ล้านล้านบาท หากสามารถสำรวจและพัฒนาได้เต็มศักยภาพ ด้วยศักยภาพที่มากมายขนาดนี้ พื้นที่ทับซ้อนจึงถูกมองว่าอาจกลายเป็น “แหล่งพลังงานสำคัญแห่งใหม่” สำหรับทั้งไทยและกัมพูชา หากสามารถตกลงกันในกรอบความร่วมมือที่ชัดเจนได้ โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ทรัพยากรในแหล่งก๊าซธรรมชาติฝั่งไทย รวมถึงพื้นที่พัฒนาร่วมไทย–มาเลเซีย เริ่มเข้าสู่ภาวะร่อยหรอ สวนทางกับความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศ ราคาก๊าซที่สูงขึ้นยังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดัน ค่าไฟฟ้าไทยให้พุ่งสูง จนกลายเป็นภาระต่อประชาชนอย่างกว้างขวางนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ความหวังในการปลดล็อกทรัพยากรใต้ทะเลอาจยังห่างไกลจากความเป็นจริง เนื่องจากข้อพิพาทในพื้นที่นี้ดำเนินมายาวนานกว่า 20 ปี นับตั้งแต่ไทยและกัมพูชาได้ลงนามใน “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน” (MOU 44) ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความคืบหน้าในทางปฏิบัติกลับเกิดขึ้นน้อยมาก เนื่องจากประเด็นข้อขัดแย้งหลัก ๆ ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ หลักเกณฑ์ในการแบ่งเขต, ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ไม่สมดุล, หรือข้อวิตกทางการเมืองและอธิปไตย ที่ทำให้แต่ละฝ่ายยังไม่สามารถหาฉันทามติร่วมกันได้   ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนนี้ส่งผลต่อธุรกิจอย่างไร ความไม่แน่นอนของสถานะพื้นที่และผลทางกฎหมายที่ไม่ชัดเจน ได้สร้างภาระทางธุรกิจโดยตรง โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทน้ำมันและก๊าซ เช่น PTT Exploration and Production (PTTEP), Chevron, Total หรือแม้แต่ผู้ประกอบการในระดับภูมิภาค นักลงทุนไม่สามารถประเมินความเสี่ยงหรือแผนลงทุนในระยะยาวได้ หลายบริษัทที่เคยสนใจพื้นที่อ่าวไทยฝั่งตะวันออก ได้เบนเป้าไปยังเวียดนามหรือมาเลเซียแทน ซึ่งมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนกว่า   เสียงจากสังคมไทยมีการเรียกร้องให้ยกเลิก นับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา มีกระแสจากกลุ่มนักวิชาการและภาคประชาชนบางส่วนที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทย “ยกเลิก MOU […]

พามาเบิ่งชนวนร้อน “MOU 44” พื้นที่ทับซ้อนกว่า 26,000 ตร.กม. ไทย-กัมพูชา ทำไมควรจะยกเลิก⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

ความไม่สงบ ไทย-กัมพูชา ทำให้บริษัทไทยในกัมพูชาเจ็บหนักแค่ไหน?

สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ทวีความรุนแรงขึ้น ณ ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 ได้ส่งผลสะเทือนเป็นวงกว้างเกินกว่ามิติทางการเมืองและความมั่นคง แต่ยังได้สร้างแรงปะทะโดยตรงมาสู่ภาคเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางการค้าของทั้งสองประเทศที่มีมูลค่ารวมกันสูงถึงปีละกว่า 3 แสนล้านบาท การวิเคราะห์ผลกระทบในครั้งนี้จึงมุ่งฉายภาพให้เห็นถึงความท้าทายที่ธุรกิจไทยกำลังเผชิญ ตั้งแต่ผู้ประกอบการรายย่อยตามแนวชายแดน ไปจนถึงบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ พร้อมทั้งประเมินแนวโน้มความเป็นไปได้ในอนาคตภายใต้สองฉากทัศน์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผลกระทบระลอกแรกที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรงที่สุดคือการหยุดชะงักของการค้าชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ด่านอรัญประเทศ-ปอยเปต ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าระหว่างสองประเทศ การปิดจุดผ่านแดนถาวรได้สร้างปัญหาคอขวดให้กับห่วงโซ่อุปทานในทันที ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่พุ่งสูงขึ้นจากการเปลี่ยนไปใช้เส้นทางขนส่งทางเรือผ่านท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งไม่เพียงแต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่ยังใช้ระยะเวลานานขึ้น กระทบต่อสภาพคล่องและขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่กำลังเผชิญกับภาวะชะงักงันที่รุนแรงยิ่งกว่าแค่ปัญหาด้านโลจิสติกส์ การปิดพรมแดนได้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของ โครงข่ายการผลิตระดับภูมิภาค (Regional Production Network) ที่ไทยและกัมพูชามีการพึ่งพากัน สินค้าที่ขนส่งข้ามแดนไม่ได้มีเพียงสินค้าสำเร็จรูปเพื่อการอุปโภคบริโภคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัตถุดิบและชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูปจำนวนมหาศาลที่ไหลเวียนอยู่ในห่วงโซ่การผลิตเดียวกัน เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรือวัตถุดิบทางการเกษตรจากไทยที่ถูกส่งไปแปรรูปในโรงงานที่กัมพูชาเพื่อส่งออกไปยังตลาดโลก การหยุดชะงักของเส้นทางนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการตัดท่อหล่อเลี้ยงสำคัญที่ทำให้สายพานการผลิตทั้งหมดต้องหยุดลง ยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบยังสะท้อนลึกเข้าไปถึง โครงสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศกัมพูชาเอง เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งขนาดใหญ่ของไทยอย่าง Makro และ Big C ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่ขายสินค้านำเข้าจากไทย แต่ได้วิวัฒนาการไปสู่การเป็นศูนย์กลางในการรับซื้อและกระจายสินค้าให้กับเกษตรกรและผู้ผลิตรายย่อย (SMEs) ของกัมพูชา การที่ธุรกิจเหล่านี้ต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนสินค้าหลักจากไทยหรือถูกบอยคอต ย่อมส่งผลให้ปริมาณการรับซื้อสินค้าจากเกษตรกรท้องถิ่นลดน้อยลงตามไปด้วย กลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตที่ทำให้ผู้ผลิตชาวกัมพูชาที่เคยพึ่งพิงช่องทางการจัดจำหน่ายสมัยใหม่เหล่านี้ต้องสูญเสียรายได้และตลาดไปอย่างกะทันหัน แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวยังส่งตรงไปยังบริษัทในไทยที่มีการดำเนินกิจการหรือมีความเกี่ยวเนื่องกับกัมพูชาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งจับจ้องไปยังหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีการลงทุนหรือมีรายได้สำคัญจากกัมพูชา บริษัทหลักทรัพย์ เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสท์เมนท์ แอ็ดไวเซอรี่ (FSSIA) ชี้ว่า แม้รายได้จากกัมพูชาอาจคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1-2% ของรายได้รวมสำหรับบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง แต่ความเสี่ยงเชิงจิตวิทยาและการหยุดชะงักของการดำเนินงานถือเป็นปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้ หุ้นที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษคือ คาราบาวกรุ๊ป (CBG) ซึ่งกัมพูชาถือเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งและสร้างรายได้ให้บริษัทราว 10% ขณะที่ ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) มีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และร้านกาแฟ Café Amazon จำนวนมาก ส่วน ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT) และ ซีพี ออลล์ (CPALL) ก็มีธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งที่กำลังเติบโตเช่นกัน นอกจากนี้ยังมี ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) ที่ลงทุนในโรงงานซีเมนต์ และ สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) ที่มีธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งล้วนเผชิญกับความเสี่ยงจากสถานการณ์นี้ทั้งสิ้น เมื่อมองไปยังอนาคต หากความขัดแย้งสามารถคลี่คลายลงได้ผ่านกระบวนการทางการทูตที่รวดเร็ว คาดว่าผลกระทบส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่ในวงแคบและเป็นเพียงปัญหาระยะสั้น ธุรกิจไทยอาจเผชิญกับยอดขายที่ลดลงชั่วคราว แต่จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็วเมื่อการขนส่งกลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากแบรนด์สินค้าไทยยังคงเป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ในขณะเดียวกัน ธุรกิจในรูปแบบการร่วมทุนกับนักลงทุนท้องถิ่นอาจได้รับผลกระทบน้อยกว่าในแง่ภาพลักษณ์ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจกลับสู่ภาวะปกติได้ราบรื่นยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน หากสถานการณ์ความขัดแย้งกลับยืดเยื้อ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะรุนแรงและซับซ้อนกว่ามาก จนอาจสร้างความเสียหายเชิงโครงสร้างต่อการลงทุนของไทยในระยะยาว กระแสชาตินิยมต่อต้านสินค้าไทยมีแนวโน้มที่จะรุนแรงและยาวนานขึ้น ผลักดันให้ผู้บริโภคหันไปหาสินค้าทดแทนจากประเทศคู่แข่ง ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดอย่างถาวร ปัญหาห่วงโซ่อุปทานจะเข้าสู่ขั้นวิกฤตจากการที่ต้นทุนโลจิสติกส์สูงเกินกว่าจะแข่งขันได้ และอาจลุกลามไปถึงความเสี่ยงที่รัฐบาลกัมพูชาอาจใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff barriers) เพื่อสร้างแรงกดดันเพิ่มเติม นอกเหนือจากผลกระทบที่ปรากฏในทางการค้าแล้ว วิกฤตความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชายังส่งผลกระทบเชิงลึกในมิติแรงงาน ซึ่งเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งและอาจสร้างแผลเป็นระยะยาวต่อรากฐานทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับแรงงานไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงตัวเลขของแรงงานที่ลดลง แต่ยังหมายถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนจำนวนมาก ประการแรกคือ กลุ่มแรงงานชาวกัมพูชา ที่ได้รับการจ้างงานในบริษัทสัญชาติไทยที่ตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม พนักงานในร้านค้าปลีก หรือผู้ให้บริการในสถานีบริการน้ำมัน

ความไม่สงบ ไทย-กัมพูชา ทำให้บริษัทไทยในกัมพูชาเจ็บหนักแค่ไหน? อ่านเพิ่มเติม »

จากเหตุการณ์ บ่อนคาสิโนร้างที่กัมพูชาโดนถล่ม พาเปิดเบิ่ง “อาณาจักรคาสิโน” แหล่งหม้อข้าวสำคัญของกัมพูชา

ในปี 2024 กัมพูชาสามารถเก็บภาษีจากอุตสาหกรรมคาสิโนได้เพิ่มขึ้นกว่า 85% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่ากว่า 63.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของภาคธุรกิจการพนันในฐานะหนึ่งในแหล่งรายได้หลักของกัมพูชา โดยแม้ว่ากฎหมายกัมพูชาจะไม่อนุญาตให้พลเมืองของตนเข้าไปเล่นพนันในคาสิโนได้ แต่การเปิดเสรีด้านธุรกิจนี้กลับกลายเป็นจุดขายที่ดึงดูดชาวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักพนันส่วนใหญ่ประกอบด้วยชาวจีน ไทย และเวียดนาม ที่มาจากประเทศที่ยังจำกัดการพนันในระดับเข้มงวด การตั้งคาสิโนในพื้นที่ชายแดนโดยเฉพาะบริเวณปอยเปต เกาะกง บาเวต และช่องจอม จึงสะท้อนกลยุทธ์เชิงพื้นที่ที่เน้นความสะดวกในการเข้าถึงของนักพนันจากประเทศเพื่อนบ้าน   อุตสาหกรรมการพนันในกัมพูชา ศูนย์กลางของเศรษฐกิจชายแดนและทุนข้ามชาติ อุตสาหกรรมการพนันในกัมพูชาเป็นหนึ่งในเสาหลักทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้กรอบกฎหมายที่เปิดกว้างและนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ รัฐบาลกัมพูชาอนุญาตให้เปิดดำเนินธุรกิจคาสิโนได้อย่างถูกกฎหมายภายใต้ใบอนุญาตที่ควบคุมโดยรัฐ และห้ามประชาชนชาวกัมพูชาเล่นการพนันโดยเด็ดขาด ส่งผลให้มีนักพนันหลักเป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ไทย และเวียดนาม ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้หลักให้กับอุตสาหกรรมนี้ คาสิโนในกัมพูชามักกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ชายแดนและเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยสามารถแบ่งพื้นที่หลักออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กรุงพนมเปญ – มีคาสิโน NagaWorld เพียงแห่งเดียวที่ดำเนินกิจการอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นการผูกขาดโดยบริษัท NagaCorp ที่มีฐานผู้เล่นวีไอพีเป็นนักพนันชาวจีน ปอยเปต – ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นศูนย์กลางนักพนันชาวไทย บาเวต – ชายแดนเวียดนาม เป็นแหล่งรองรับนักพนันชาวเวียดนาม สีหนุวิลล์ – เมืองท่าชายฝั่งทะเลที่กลายเป็น “มาเก๊าแห่งใหม่” ของจีน ด้วยจำนวนคาสิโนมากถึง 88 แห่งในปี 2019 เกือบทั้งหมดเป็นของทุนจีน อะไรเป็นจุดเริ่มต้นของคาสิโนในกัมพูชา คาสิโนในกัมพูชาเริ่มขึ้นในปี 2537 เมื่อรัฐบาลออกใบอนุญาตให้ Naga Resort ดำเนินกิจการคาสิโนลอยน้ำบนแม่น้ำโตนเลสาบ และต่อมาพัฒนาเป็น NagaWorld ในปัจจุบัน ภายหลังจากมีการออกพระราชบัญญัติปราบปรามการพนันในปี 2539 และคำสั่งให้คาสิโนต้องตั้งอยู่นอกเขตเมืองหลวงในรัศมี 200 กม. จึงเกิดการกระจุกตัวของคาสิโนตามแนวชายแดน โดยเฉพาะปอยเปตและบาเวต ได้กลายเป็นพื้นที่ธุรกิจที่เปิดรับทุนข้ามชาติอย่างเข้มข้น ปอยเปต คือเส้นทางเดิมพันของไทย ด้วยความสะดวกในการเดินทางจากฝั่งไทยผ่านด่านอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ปอยเปตจึงกลายเป็นจุดหมายของนักพนันชาวไทย คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของนักพนันทั้งหมดในพื้นที่ คาสิโนในปอยเปตมีทั้งกลุ่มวีไอพีที่ใช้เงินหมุนเวียนระดับสูง และกลุ่มนักพนันรายย่อยซึ่งเดินทางด้วยรถบัสที่จัดโดยคาสิโนเอง ส่งผลให้ปอยเปตกลายเป็นระบบเศรษฐกิจขนาดเล็กที่หมุนรอบกิจกรรมการพนัน ซึ่งสอดรับกับการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร และอสังหาริมทรัพย์ สีหนุวิลล์ เมืองท่าที่กลายเป็นศูนย์การพนันระดับภูมิภาค สีหนุวิลล์ในอดีตเป็นเมืองตากอากาศริมทะเล แต่ในช่วงหลังรัฐบาลได้ผลักดันให้กลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเปิดเสรีให้นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักธุรกิจจีน เข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ สิ่งทอ โครงสร้างพื้นฐาน และคาสิโน ส่งผลให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็น “เมืองจีนขนาดย่อม” ที่ขับเคลื่อนด้วยทุนจีนและแรงงานชาวจีน การก่อสร้างตึกสูง มีทั้งร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงแรม และคาสิโนจำนวนมากเกิดขึ้นพร้อมกัน ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและพึ่งพิงทุนต่างชาติอย่างชัดเจน คาสิโนออนไลน์ ทางรอดใหม่หลังโควิด การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การเดินทางระหว่างประเทศถูกจำกัด ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคาสิโนแบบดั้งเดิม คาสิโนในกัมพูชาจึงปรับตัวด้วยการพัฒนาคาสิโนออนไลน์ที่ถ่ายทอดสดจากสถานที่จริง รองรับหลายภาษา รวมถึงภาษาไทย อังกฤษ จีน เวียดนาม และเกาหลี กลายเป็นการขยายขอบเขตการตลาดไปยังกลุ่มนักพนันทั่วโลก โดยไม่ต้องพึ่งพาการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวแบบเดิมอีกต่อไป เครือข่ายทุนและการเมืองในธุรกิจคาสิโน นักลงทุนในอุตสาหกรรมการพนันของกัมพูชาประกอบด้วยกลุ่มนายทุนจากหลากหลายชาติ

จากเหตุการณ์ บ่อนคาสิโนร้างที่กัมพูชาโดนถล่ม พาเปิดเบิ่ง “อาณาจักรคาสิโน” แหล่งหม้อข้าวสำคัญของกัมพูชา อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง  สรุปไทม์ไลน์เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา

ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวนบริเวณช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี จนเป็นเหตุให้ทหารไทยขาขาด 1 นาย และบาดเจ็บอีก 4 นาย เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่คำสั่งปิดด่านชายแดนสำคัญ 4 แห่งด้วยกัน และการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศโดยฝ่ายไทย การปะทะลุกลามเป็นวงกว้าง เพียงข้ามคืน ในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม กองกำลังฝ่ายกัมพูชาได้เคลื่อนไหวเชิงรุกใกล้บริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยนำอาวุธหนักเข้าประจำการใกล้แนวรั้วลวดหนามของฝ่ายไทย และในเวลาต่อมา ทางกัมพูชาก็ได้เปิดฉากยิงใส่ฐานของทหารไทยก่อน เป็นเหตุให้ฝ่ายไทยต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง การปะทะยืดเยื้อขยายตัวไปยังหลายพื้นที่ชายแดน ทั้งที่ปราสาทตาควาย เขาพระวิหาร ช่องอานม้า ช่องบก และช่องจอม ครอบคลุมจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี สิ่งที่น่าตกใจคือ การที่ฝ่ายกัมพูชาได้ยิงจรวด BM-21 หลายลำกล้องเข้าใส่พื้นที่บ้านเรือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงพยาบาลพนมดงรักและพื้นที่ชุมชนในอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งถือเป็นการโจมตีที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรมและเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวาอย่างร้ายแรง อันถือว่าเป็น อาชญากรรมสงคราม ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ความสูญเสียทั้งสองฝ่าย รายงานจากกระทรวงสาธารณสุข ณ เวลา 21.00 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม สรุปความสูญเสียเบื้องต้นว่า มีพลเรือนเสียชีวิต 13 ราย และบาดเจ็บรวม 45 ราย ขณะที่ฝ่ายทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บรวม 15 นาย อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 25 กรกฎาคม การปะทะกันนั้นยังคงดำเนินต่อเนื่อง และยอดผู้เสียชีวิตของทหารไทยเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 4 นาย โดยเฉพาะที่บริเวณปราสาทตาควายและฐานปฏิบัติการฟ้าลั่น การโจมตีจากฝั่งกัมพูชายังรวมถึงการใช้รถถังและปืนใหญ่ ซึ่งจงใจเล็งเป้าไปยังเป้าหมายที่ไม่ใช่ฐานทหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชุมชนในพื้นที่ชายแดน ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้าน ตำบลศรีวิเชียร อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ที่ถูกจรวดตกใส่ สร้างความหวาดผวาในหมู่ประชาชนที่ต้องอพยพออกนอกเขตการสู้รบในรัศมี 20-40 กิโลเมตร   ปฏิกิริยาระหว่างประเทศและการเมืองระหว่างประเทศ จากเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้ประกาศจัดประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยฝ่ายไทยได้ส่งหนังสือชี้แจงต่อ UNSC ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากก่อน ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามกล่าวโทษไทยผ่านช่องทางยูเนสโก กล่าวหาว่าฝ่ายไทยยิงสนับสนุนใกล้ปราสาทพระวิหาร ซึ่งถูกกองทัพไทยปฏิเสธอย่างหนักแน่น พร้อมชี้แจงว่า กัมพูชานำปืนใหญ่มาประจำในพื้นที่ชุมชน โดยใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์นั่นเอง อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า หลายประเทศเสนอตัวเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย แต่ไทยยังขอเวลาในการปฏิบัติการตอบโต้ ขณะที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุนเซน ได้ตอบโต้ผ่านโซเชียลมีเดียโดยเน้นย้ำว่า สงครามมีแต่จะสร้างความทุกข์ทรมานแก่ประชาชน พร้อมเผยภาพความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวผู้นำในอดีต   เส้นทางสู่การทูต หรือสู่ความรุนแรงซ้ำซาก? เหตุการณ์ปะทะชายแดนในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นความขัดแย้งเรื่องพรมแดน หากแต่เป็นการทดสอบเสถียรภาพความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลือกละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะการยิงโจมตีพลเรือนและโรงพยาบาล ย่อมทำลายภาพลักษณ์ต่อเวทีโลก และสุ่มเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีในระดับนานาชาติ ขณะนี้ ความหวังของประชาคมโลกยังตั้งอยู่ที่การไกล่เกลี่ยโดยประเทศที่สาม อย่างเช่น มาเลเซีย หรือองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งอาจช่วยลดความรุนแรงลงได้ชั่วคราว

พาเปิดเบิ่ง  สรุปไทม์ไลน์เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา อ่านเพิ่มเติม »

จับตา ‘ชายแดนเดือด’ ไทย-กัมพูชา พาเปิดเบิ่ง “กองกำลังรบ” และ “ยุทโธปกรณ์”  ใครมีอะไรในมือ… พร้อมรับสถานการณ์ล่าสุด!

เมื่อวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2568 เกิดเหตุปะทะทางทหารระหว่างไทยและกัมพูชาบริเวณชายแดนใกล้ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งนับเป็นการเผชิญหน้าครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีเลยทีเดียว โดยเหตุการณ์ดังกล่าวมีการปะทะด้วยอาวุธหนักและเบา มีทหารบาดเจ็บและเสียชีวิตจากทั้งสองฝ่าย พร้อมทั้งมีรายงานความเสียหายต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนในเขตชายแดน โดยเฉพาะในอำเภอพนมดงรัก และพื้นที่ตรงข้ามจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา เหตุการณ์นี้ได้สะท้อนความเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศซึ่งยังคงมีข้อพิพาททางดินแดนที่รอการคลี่คลาย โดยเหตุปะทะครั้งนี้ก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อภาคธุรกิจการค้าและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการค้าชายแดน การขนส่งสินค้าบริเวณด่านช่องสะงำ-อันลองเวง ต้องหยุดชะงักทันที ซึ่งส่งผลให้สินค้าอุปโภคบริโภคที่ขนย้ายระหว่างประเทศต้องค้างสต๊อกจำนวนมาก เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยที่ค้าขายกับฝั่งกัมพูชาประสบความเสียหายโดยตรง ขณะที่โรงงานผลิตในฝั่งกัมพูชาซึ่งใช้วัตถุดิบจากฝั่งไทยต้องหยุดการผลิตชั่วคราวเช่นกัน ทำให้ห่วงโซ่อุปทานในบางอุตสาหกรรมต้องชะงักทันที เหตุการณ์นี้ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความสูญเสียไว้ในพื้นที่ชายแดนทั้งทางกายภาพและจิตใจ โดยเฉพาะในชุมชนรอบอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และเขตแนวปะทะตรงข้ามจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา มีทั้งประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดและกระสุนปืน บางรายเป็นเด็กและผู้สูงอายุที่ไม่สามารถอพยพออกจากพื้นที่ได้ทัน และยิ่งที่น่าสลดใจคือมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ด้วย อีกทั้งโรงพยาบาลท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาลพนมดงรัก และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่ใกล้เคียง ต้องรับมือกับผู้บาดเจ็บอย่างเร่งด่วนภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด ขาดเวชภัณฑ์และบุคลากรเฉพาะทางในการรับมือกับกรณีฉุกเฉินจากการสู้รบ ส่งผลให้ต้องประสานงานกับโรงพยาบาลในจังหวัดเพื่อส่งต่อผู้ป่วยบางราย ซึ่งล่าช้าและเพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิตของผู้บาดเจ็บ แม้สถานการณ์ทางทหารจะคลี่คลายได้ในไม่กี่วัน แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจและจิตวิทยาสังคมจะอยู่อีกนาน ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอาจกลายเป็นอุปสรรคในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในภาคอีสานหรือไม่? ซึ่งพึ่งพาการค้าชายแดนเป็นหลัก    อีสานอินไซต์จะพามาเบิ่ง กองกำลังและยุทโธปกรณ์ ของทั้ง 2 ประเทศ สถานการณ์ความไม่สงบและความขัดแย้งในอดีตบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชายังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตา  จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า กองทัพไทยมีขนาดที่ใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยกำลังพลรวมทั้งสิ้น 606,850 นาย แบ่งเป็นกำลังพลประจำการ 360,850 นาย, กำลังพลสำรอง 221,000 นาย และกำลังพลกึ่งทหาร 25,000 นาย ในทางตรงกันข้าม กัมพูชามีกำลังพลรวม 231,000 นาย ประกอบด้วยกำลังพลประจำการ 221,000 นาย และกำลังพลกึ่งทหาร 10,000 นาย ความแตกต่างนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการระดมพลและขยายขนาดกองทัพที่เหนือกว่าของไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาความมั่นคงในระยะยาว สำหรับกองกำลังทางอากาศ ประเทศไทยมีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด โดยมีเครื่องบินรวม 493 ลำ ในจำนวนนี้เป็นเครื่องบินรบ 265 ลำ และมีเฮลิคอปเตอร์ 170 ลำ ขณะที่กัมพูชามีเครื่องบินเพียง 25 ลำ (รวมเครื่องบินรบ 21 ลำ) และเฮลิคอปเตอร์ 21 ลำ ความเหนือกว่าทางอากาศของไทยไม่เพียงแต่สะท้อนถึงขีดความสามารถในการป้องกันทางอากาศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงศักยภาพในการโจมตีทางอากาศและการสนับสนุนการรบภาคพื้นดินที่เหนือกว่า ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในสงครามสมัยใหม่ สำหรับยุทโธปกรณ์ภาคพื้นดิน ทั้งสองประเทศมีจำนวนรถถังที่ใกล้เคียงกัน โดยไทยมี 635 คัน และกัมพูชามี 644 คัน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรถหุ้มเกราะ ไทยมีจำนวนมากถึง 16,935 คัน เทียบกับ 3,627 คันของกัมพูชา ซึ่งบ่งชี้ถึงขีดความสามารถในการเคลื่อนที่และการป้องกันกำลังพลภาคพื้นดินที่เหนือกว่าของไทย นอกจากนี้ ไทยยังมีปืนใหญ่ 639 กระบอก ในขณะที่กัมพูชามี 460 กระบอก แสดงให้เห็นถึงอำนาจการยิงสนับสนุนที่มากกว่า และในด้านกำลังทางเรือ กองทัพเรือไทยมีเรือรบ 68 ลำ ในขณะที่กัมพูชามี 20 ลำ ตอกย้ำถึงความได้เปรียบของไทยในการควบคุมน่านน้ำและการป้องกันชายฝั่ง ซึ่งมีความสำคัญต่อประเทศที่มีพื้นที่ทางทะเลกว้างใหญ่

จับตา ‘ชายแดนเดือด’ ไทย-กัมพูชา พาเปิดเบิ่ง “กองกำลังรบ” และ “ยุทโธปกรณ์”  ใครมีอะไรในมือ… พร้อมรับสถานการณ์ล่าสุด! อ่านเพิ่มเติม »

ทำไมห้ามโจมตีโรงพยาบาลและพลเรือน? พามาฮู้จัก “อนุสัญญาเจนีวา” ที่โลกจับตา ในวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชานี้

ในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 สถานพยาบาลพลเรือนอย่าง โรงพยาบาลพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ได้ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีด้วยจรวดหลายลำกล้องจากกองกำลังกัมพูชา การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศไทย แต่ยังถือเป็นการละเมิด อนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่สำคัญยิ่งในการจำกัดความรุนแรงของสงครามและคุ้มครองผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบนั่นเอง อนุสัญญาเจนีวาถือเป็นรากฐานของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยประกอบด้วย 4 ฉบับหลักและพิธีสารเพิ่มเติมอีก 3 ฉบับ ซึ่งมุ่งเน้นการคุ้มครองกลุ่มเปราะบางในสถานการณ์ความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นทหารที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วย เชลยศึก ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์และพลเรือน อนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4 ได้ให้ความคุ้มครองแก่พลเรือนในเขตสงครามหรือพื้นที่ที่ถูกยึดครอง และมีข้อห้ามที่ระบุไว้อย่างชัดเจนใน มาตรา 18 ว่าด้วยการคุ้มครองโรงพยาบาลพลเรือน โรงพยาบาลเหล่านี้ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บ รวมถึงสตรีมีครรภ์และผู้สูงอายุ จะต้องได้รับการคุ้มครองและเคารพในทุกสถานการณ์ และจะต้องไม่ตกเป็นเป้าของการโจมตีโดยเด็ดขาด ประเทศไทยในฐานะหนึ่งในภาคีที่ได้ลงนามในอนุสัญญาเจนีวาครบทั้ง 4 ฉบับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2497 เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และกัมพูชาเองก็เป็นภาคีเช่นกัน การที่ประเทศภาคีใดๆ ก็ตามกระทำการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา จะถือเป็นการก่อ อาชญากรรมสงคราม (War Crimes) ซึ่งมีผลทางกฎหมายระหว่างประเทศ และอาจนำไปสู่การถูกดำเนินคดีโดย ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)   แม้โลกจะมีเสียงเรียกร้องให้สงครามเป็นเพียงประวัติศาสตร์ แต่ในวันที่ 24-25 กรกฎาคม 2568 ความรุนแรงได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง ณ ชายแดนไทย-กัมพูชา ท่ามกลางหมอกควันแห่งการสู้รบ สิ่งที่น่าสลดใจยิ่งกว่าการสูญเสีย คือการที่โรงพยาบาลและพลเรือนตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีนี้ ซึ่งขัดต่อหลักมนุษยธรรมสากล และละเมิดอย่างร้ายแรงต่อ “อนุสัญญาเจนีวา” ที่ทั้งสองประเทศได้ลงนามไว้ อนุสัญญาเจนีวาไม่ใช่เพียงเอกสารทางสากล แต่คือกติกาแห่งความเป็นมนุษย์ในภาวะสงคราม มาตรการคุ้มครองผู้บาดเจ็บ พลเรือน ผู้ลี้ภัย และบุคลากรทางการแพทย์ ถูกเขียนไว้อย่างชัดเจน การที่กัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนตามรายงานข่าวจากหลายแหล่ง และมีการทิ้งระเบิดใส่พื้นที่โรงพยาบาล รวมถึงพื้นที่ปลอดอาวุธนั้น ไม่เพียงแต่ผิดหลักจริยธรรม และถือว่ายังเป็น “อาชญากรรมสงคราม” (War Crime) ที่อาจถูกดำเนินคดีโดยศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)   เสียงปืนที่สั่นสะเทือนเศรษฐกิจ สิ่งที่ตามมาจากเหตุปะทะ ไม่ได้จบลงเพียงกับเสียงปืนหรือผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ แต่ยังส่งผลกระทบถึงระบบเศรษฐกิจในประเทศทั้งสอง ดัชนีหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโลจิสติกส์ตกต่ำทันทีหลังข่าวการยิงตอบโต้แพร่กระจาย ธุรกิจชายแดนซึ่งพึ่งพาการค้าระหว่างไทย-กัมพูชา มูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี เกิดภาวะหยุดชะงัก สินค้าติดค้างที่ด่าน พ่อค้าแม่ค้าขาดรายได้ ประชาชนขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคที่หมุนเวียนอยู่ในพื้นที่ ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทที่ลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษอย่าง อ.อรัญประเทศ ต้องหยุดดำเนินงานชั่วคราว เพราะความไม่แน่นอนของสถานการณ์ ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงทันที ผลกระทบนี้หากยืดเยื้อ อาจกระทบต่อภาพรวม GDP ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ   แม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นในมุมมองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่นี่คือบททดสอบว่าชาติสมาชิกของอนุสัญญาเจนีวาจะยึดถือหลักมนุษยธรรมได้จริงหรือไม่ หากไม่มีการสอบสวนและดำเนินการอย่างโปร่งใส เหตุการณ์ลักษณะนี้อาจกลายเป็น “ความเคยชินใหม่” ที่อันตรายยิ่งกว่าสงคราม ขณะเดียวกัน สังคมไทยเองก็ควรตระหนักว่า นี่ไม่ใช่เพียงการปะทะชายแดนธรรมดา แต่คือสัญญาณของการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศที่อาจย้อนกลับมาสร้างความเสียหายลึกยิ่งขึ้น หากปล่อยให้ลอยนวลไปนั่นเอง การยิงใส่โรงพยาบาลหรือพื้นที่พลเรือนไม่เคยถูกยอมรับในเวทีใดของโลก เพราะมันหมายถึงการล้มล้างศีลธรรมขั้นพื้นฐานของความมนุษย์

ทำไมห้ามโจมตีโรงพยาบาลและพลเรือน? พามาฮู้จัก “อนุสัญญาเจนีวา” ที่โลกจับตา ในวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชานี้ อ่านเพิ่มเติม »

พาอัพเดต TOP3 บุคคลแห่งปีของคนอีสาน ครึ่งปี 2568 จากอีสานโพล

เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 อีสานโพล (E-Saan Poll) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เผยผลสำรวจเรื่อง “รางวัลแห่งปีของคนอีสาน ปี 2568 ครึ่งปีแรก” การสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของคนอีสานเกี่ยวกับบุคคล องค์กร และผลงานที่มีความโดดเด่นที่สุดแห่งปี  ในสาขาต่างๆ 13 รางวัล โดยทำการสำรวจระหว่างวันที่ 18 – 21 กรกฎาคม 2568 จากกลุ่มตัวอย่างอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,052 ราย ในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 20 จังหวัด และจะทำการสำรวจอีกครั้งในช่วงปลายปีเพื่อสรุปคะแนนทั้งปี การสำรวจนี้ จะให้ชาวอีสานเสนอชื่อ บุคคลหรือองค์กรหรือผลงานที่สมควรได้รับรางวัลแห่งปีในสาขาต่างๆ 13 รางวัล (แบบปลายเปิดไม่มีตัวเลือกให้) ซึ่งจากการประมวลผล พบว่า คะแนนสูงสุด 3 อันดับแรก แต่ละรางวัล มีดังนี้ 1.)     นักการเมืองแห่งปี                      พิธา ลิ้มเจริญรัตน์   ร้อยละ 20.1 แพทองธาร ชินวัตร   ร้อยละ 15.0 อนุทิน ชาญวีรกูล     ร้อยละ 9.5 รายชื่ออื่นๆ            ร้อยละ 31.4 *ร้อยละ 24.0 เห็นว่ายังไม่มีผู้เหมาะสม          2.) บริษัท/องค์กร/รัฐวิสาหกิจเพื่อสังคมแห่งปี ธนาคาร ธ.ก.ส.               ร้อยละ 12.2 มูลนิธิกระจกเงา            ร้อยละ 11.4 เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี)    ร้อยละ 8.4 รายชื่ออื่นๆ                  ร้อยละ 37.7 *ร้อยละ 30.3 เห็นว่ายังไม่มีองค์กรใดเหมาะสม          3.) นักเคลื่อนไหว/ผู้อุทิศตนเพื่อสังคมแห่งปีแห่งปี กัน จอมพลัง                 ร้อยละ

พาอัพเดต TOP3 บุคคลแห่งปีของคนอีสาน ครึ่งปี 2568 จากอีสานโพล อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง ธุรกิจคล้ายกัน “แบรนด์จีน” เทียบ “แบรนด์ไทย” ใครคือเบอร์ 1 ในใจคุณ

สัญชาติจีน Mixue (มี่เสวี่ย) ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟและชาผลไม้ ปีก่อตั้ง ปี 2540 ⭐จุดเด่น ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายในจีนและขยายสาขาอย่างรวดเร็วทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายมาก (เริ่มต้น 15-50 บาท) ทำให้ได้รับความสนใจอย่างสูงจากผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และคนทั่วไป 📍สาขาในอีสาน ขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี อุบลราชธานี มหาสารคาม สุรินทร์ และศรีสะเกษ   Zhengxin Chicken (เจิ้งซิน ไก่ทอด) ไก่ทอดสไตล์จีน ปีก่อตั้ง ปี 2538 ⭐จุดเด่น แฟรนไชส์ไก่ทอดจากจีนที่มีสาขาจำนวนมากในประเทศจีน และเริ่มเข้ามาทำตลาดในไทยเมื่อไม่นานมานี้ เน้นไก่ทอดรสชาติเฉพาะตัว 📍สาขาในอีสาน ขอนแก่น   KKV ร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ ปีก่อตั้ง ⭐จุดเด่น เป็นร้านที่รวบรวมสินค้าหลากหลายประเภท เน้นดีไซน์และราคาที่น่าสนใจ กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นและผู้ที่ชื่นชอบสินค้าสไตล์เกาหลี/ญี่ปุ่น 📍สาขาในอีสาน นครราชสีมา   สัญชาติไทย Minkki (หมิงคิ) ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ ชา และบิงซู ปีก่อตั้ง ปี 2566 ⭐จุดเด่น ใช้วัตถุดิบในไทยเป็นหลักถึง 90% ทำให้รสชาติถูกปากคนไทย และราคาเข้าถึงง่าย ไอศกรีมเริ่มต้นที่ 15 บาท ซึ่งเป็นราคาที่จับต้องได้สำหรับลูกค้าหลากหลายกลุ่ม นอกจากไอศกรีมแล้ว ยังมีเมนูชาและบิงซูให้เลือกมากกว่า 50 เมนู 📍สาขาในอีสาน ขอนแก่น    Chicky Chic  ไก่ทอดและของทอดทานเล่น ปีก่อตั้ง ปี 2549 ⭐จุดเด่น เป็นแบรนด์ไก่ทอดที่มีชื่อเสียงและอยู่คู่คนไทยมานานกว่า 18 ปี มีการพัฒนาสูตรอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อยถูกใจคนไทย 📍สาขาในอีสาน ขอนแก่น บุรีรัมย์ มหาสารคาม นครราชสีมา บึงกาฬ เลย สุรินทร์ หนองบัวลำภู และอุดรธานี   Moshi Moshi (โมชิ โมชิ) ร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทยที่ได้รับความนิยมอย่างสูง  ปีก่อตั้ง ปี 2559 ⭐จุดเด่น เป็นแบรนด์ไทยที่นำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์หลากหลายประเภทในดีไซน์น่ารักและทันสมัย โดยเน้นที่ ราคาที่เข้าถึงได้ง่ายทำให้เป็นที่นิยมและสามารถขยายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ 📍สาขาในอีสาน อุดรธานี นครราชสีมา ขอนแก่น และอุบลราชธานี   ที่มา: เว็บไซต์ของบริษัท, Longtunman, Brand Inside, ThaiFranchiseCenter, Marketeer และ Forbes Thailand  

พาเปิดเบิ่ง ธุรกิจคล้ายกัน “แบรนด์จีน” เทียบ “แบรนด์ไทย” ใครคือเบอร์ 1 ในใจคุณ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง เปิดตลาดเสรีอย่างไม่มีเงื่อนไขให้สหรัฐฯ กระทบเกษตรกรในอีสานอย่างไร

เกษตรกรในอีสานอาจได้รับผลกระทบมากกว่าที่คิด หากไทยมีการเปิดตลาดนำเข้าอย่างไม่มีเงื่อนไขให้กับสินค้าจากสหรัฐฯ . ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึงการใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ในอัตรา 36% กับสินค้าส่งออกของไทย โดยจะเริ่มมีการประกาศใช้ภายในวันที่ 1 ส.ค. 2568 ที่อาจสะเทือนการส่งออกของไทยอย่างหนักหน่วง จากมูลค่าการส่งออกที่มากและ สัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯในการส่งออกสินค้าที่สูงถึง 18% (ปี 2567) เพื่อหาทางออกและลดภาระทางภาษีดังกล่าว หนึ่งในข้อเสนอที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือการที่ไทยต้อง “เปิดตลาด” สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเป็นแนวทางเดียวกันกับประเทศที่ได้การพิจารณาปรับลดอัตราภาษีอย่าง เวียดนาม (จากเดิม 46% เป็น 20%) โดยแลกกับการเปิดตลาดและการเร่งการนำเข้าสินค้าหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น การลดภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ (เหลือ 0%) การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะเครื่องบิน พลังงาน และสินค้าเกษตร รวมถึงการจัดการปัญหาการสวมสิทธิ์ของสินค้าจีนที่ใช้เวียดนามเป็นทางผ่านในการส่งไปสหรัฐฯ จากการแลกเปลี่ยนทั้งหมดที่กล่าวมาส่งผลให้เวียดนาม เป็นประเทศแรกในอาเซียนได้รับการพิจารณาปรับลดอัตราภาษีจากสหรัฐฯ จากเดิม ที่ 46% เป็น 20% ในปัจจุบัน ซึ่งน้อยกว่าประเทศคู่แข่งอย่างไทย ถึง 16% และอาจเป็นผลทำให้ผู้ประกอบการไทยที่มีการส่งออกไปสหรัฐฯ สามารถแข่งขันด้านต้นทุนและราคาต่อประเทศคู่แข่งได้ลำบาก แต่ในขณะเดียวกันหากมองผลกระทบในอีกฟากนึง การเปิดตลาดเสรีสินค้าจากสหรัฐฯ โดยไม่มีเงื่อนไขอาจกระทบต่ออุตสาหกรรม กราฟด้านซ้าย แสดงต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ แม้ว่าจะรวมค่าขนส่งมาไทยแล้ว สิ่งที่หลายคนเข้าใจผิด? หมูที่ขายในห้าง หรือร้านสะดวกซื้อ ทั้งหมดไม่ได้มาจากฟาร์มเจ้าสัว 100% แต่มาจากเกษตรกรขนาดกลาง และขนาดย่อม ที่ทั้งทำ เกษตรพันธสัญญา หรือ คอนแทรคฟาร์มมิ่ง (contract farming), และ เกษตรกรรายย่อยแบบครัวเรือน เป็นสัดส่วนมากกว่า 60-70% ในไทย โดยเกษตรกรทั่วไทยที่ผลิต 4 ผลผลิตเหล่านี้ ได้แก่ สุกร, ไก่, เนื้อวัว, และ ข้าวโพด เป็น 4 ผลผลิตทางการเกษตรที่สหรัฐฯ อาจใช้เป็นข้อต่อรอง และจะส่งผลกระทบต่อเกษตรในภาคอีสานโดยตรง ดังนี้ . สุกร/เนื้อหมู อัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจากสหรัฐฯ ปัจจุบัน 40% จำนวนเกษตรกรเลี้ยงสุกรในภาคอีสาน 66,124 ราย คิดเป็น 46% ของทั้งประเทศ . เนื้อไก่/ไก่เนื้อ อัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจากสหรัฐฯ ปัจจุบัน 30-40% จำนวนเกษตรกรเลี้ยงไก่เนื้อในภาคอีสาน 13,543 ราย คิดเป็น 52% ของทั้งประเทศ จำนวนเกษตรกรเลี้ยงไก่เนื้อพื้นเมืองในภาคอีสาน 1,367,012 ราย คิดเป็น 52% ของทั้งประเทศ . เนื้อวัว อัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจากสหรัฐฯ ปัจจุบัน 30-50% จำนวนเกษตรกรเลี้ยงวัวเนื้อ/โคเนื้อในภาคอีสาน 949,733 ราย คิดเป็น

พามาเบิ่ง เปิดตลาดเสรีอย่างไม่มีเงื่อนไขให้สหรัฐฯ กระทบเกษตรกรในอีสานอย่างไร อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนเบิ่ง สถิติคนหมดใจใน 14 ปีที่ผ่านมา สัญญาณเตือน ชาวอีสาน “รักน้อยลง แต่งน้อยลง แยกมากขึ้น” กระทบอัตราการเกิด

รักน้อยลง? เมื่อการแต่งงานลดฮวบ – หย่าร้างพุ่ง สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของครอบครัวยุคใหม่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สังคมไทยกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้านโครงสร้างครอบครัว จากสถิติปี 2567 พบว่า ภาคอีสานมียอดการจดทะเบียนสมรสใน 20 จังหวัดของภาคอีสานมีเพียงประมาณ 66,567 คู่ ซึ่งถือเป็นตัวเลขต่ำที่สุดในรอบ 14 ปี ขณะที่ยอดการหย่าร้างยังคงสูงถึงเกือบ 40,000 คู่ สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงลึกในพฤติกรรมของผู้คน ที่หันมาใช้ชีวิตแบบโสดมากขึ้น หรือเลือกจะอยู่ร่วมกันแบบไม่ผูกมัดตามกฎหมาย ซึ่งปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเขตเมืองใหญ่เท่านั้น แต่กำลังค่อยๆ แทรกซึมสู่ชุมชนชนบททั่วอีสาน หากลงไปดูในแต่ละจังหวัดจะเห็นแนวโน้มที่น่าตกใจ อย่างเช่น จังหวัดขอนแก่น ที่มียอดจดทะเบียนสมรสเพียง 6,142 คู่ ขณะที่การหย่าร้างอยู่ที่ 3,889 คู่ คิดเป็นอัตราการหย่าร้างกว่า 63% ของคู่ที่แต่งงานในปีเดียวกัน หรือจะในจังหวัดนครราชสีมาเอง ที่แม้จะมีคู่สมรสสูงถึง 9,499 คู่ แต่ก็มียอดหย่าถึง 5,876 คู่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงในชีวิตคู่กำลังถูกตั้งคำถามอย่างหนักในยุคปัจจุบัน ปัจจัยที่ทำให้คน “แต่งงานน้อยลง” ก็มีหลากหลายปัจจัยด้วยกัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมามุ่งมั่นด้านการงาน การศึกษาหรือการออกไปทำงานนอกภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือแม้กระทั่งต่างประเทศ ซึ่งก็ทำให้ความสัมพันธ์ระยะยาวถูกลดความสำคัญลง นอกจากนี้ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และภาระการเลี้ยงดูลูกยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายคนเลี่ยงการแต่งงานหรือการมีครอบครัว อีกทั้งความคาดหวังต่อชีวิตคู่ในยุคนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คนรุ่นใหม่ต้องการความเข้าใจและอิสรภาพมากกว่าความผูกพันทางกฎหมายแบบเดิมนั่นเอง   อีกทั้ง การหย่าร้างในภาคอีสานไม่ได้เกิดเฉพาะในเมืองใหญ่ แต่พบได้ในหลายจังหวัดชนบท ไม่ว่าจะเป็น ศรีสะเกษ ยโสธร หนองบัวลำภู หรืออำนาจเจริญ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีอัตราการหย่าร้างเฉลี่ยสูงเมื่อเทียบกับจำนวนสมรส สาเหตุสำคัญ คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ความไม่เข้าใจในชีวิตคู่ และการเปลี่ยนแปลงทางค่านิยมของคนรุ่นใหม่ที่เลือกจะไม่ทน ในความสัมพันธ์ที่ไม่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตอีกต่อไป   อีกหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจของการเปลี่ยนแปลงต่อสถานการณ์นี้นั่นคือ เทรนด์ทางสังคมที่กำลังเติบโตอย่างชัดเจนในทั่วโลกและสังคมไทย ในรูปแบบ “การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแทนการมีลูก” หรือที่เรียกว่า “Pet Humanization” เทรนด์นี้สะท้อนชัดในกลุ่มคนวัยทำงานและผู้สูงอายุจำนวนมากเริ่มหันมาเลี้ยงสัตว์ อย่างเช่น สุนัขและแมว ด้วยความผูกพันในระดับสมาชิกในครอบครัวมากกว่าการมีลูกอย่างจริงจัง ข้อมูลจาก The 1 Insight และ CRC VoiceShare ระบุว่า กว่า 65% ของคนไทยที่เลี้ยงสัตว์ มองว่าสัตว์เลี้ยงคือเสมือนลูกหรือสมาชิกในครอบครัว และกลุ่มผู้คนเหล่านี้ยินดีที่จะทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อแลกมาด้วยคุณภาพชีวิตสัตว์เลี้ยงที่ดี ไม่ว่าจะเป็นทั้งค่าอาหาร ค่ารักษา สปา โรงแรมสัตว์ หรือแม้แต่คลินิกเฉพาะทาง ทำให้ธุรกิจในกลุ่ม Pet Economy ในประเทศไทยเริ่มได้รับความสนใจและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากพฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนว่า คนรุ่นใหม่กำลังเคลื่อนตัวออกจากค่านิยมครอบครัวแบบเดิม ที่มีทั้งชาย-หญิง-ลูก และก้าวเข้าสู่รูปแบบ “แฟมิลี่ทางเลือก” หรือครอบครัวที่มีเฉพาะสัตว์เลี้ยง ซึ่งตอบโจทย์ทั้งอารมณ์ ความรัก ความผูกพัน และอิสระในชีวิตโดยไม่ต้องแบกรับภาระทางสังคมแบบครอบครัวดั้งเดิมอีกต่อไปนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – สำนักงานสถิติแห่งชาติ – สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล – สำนักบริหารการทะเบียน

พาย้อนเบิ่ง สถิติคนหมดใจใน 14 ปีที่ผ่านมา สัญญาณเตือน ชาวอีสาน “รักน้อยลง แต่งน้อยลง แยกมากขึ้น” กระทบอัตราการเกิด อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top