Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

พามาเบิ่ง 2 ผ้าไหม GI ผ้าไหมดี เมืองโคราช ที่สร้างมูลค่าปีละหลายพันล้าน

สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์หรือ GI (Geographical Indication) คือ เครื่องหมายที่ใช้กับสินค้าที่มาจาก แหล่งผลิตที่เฉพาะเจาะจงซึ่งคุณภาพหรือชื่อเสียงของสินค้านั้นๆ เป็นผลมาจากการผลิตในพื้นที่ดังกล่าว GI จึงเปรียบเสมือนแบรนด์ของท้องถิ่นที่บอกคุณภาพและแหล่งที่มาของสินค้า โดยจังหวัดนครราชสีมา มีผ้าไหมที่ถูกขึ้นทะเบียน เป็นสินค้า GI ได้แก่ ผ้าไหมปักธงชัย ผ้าไหมคึมมะอุบัวลาย โดยมีความหมายและการนิยามดังต่อไปนี้ 1. ผ้าไหมปักธงชัย       2. ผ้าไหมคึมมะอุบัวลาย   #เทคนิคและวัสดุการทอที่พัฒนา: มีการถ่ายทอดภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ได้รับการสืบทอดจากบรรพบุรุษ รวมถึงการทำลายมัดหมี่แบบโบราณ โดยใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น เส้นใยสับปะรดและกาบกล้วยตากแห้งในการมัดลาย ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนมาใช้เชือกพลาสติกแทน เนื่องจากปัญหาสีซึมถ้ามัดไม่แน่น เทคนิคการทอได้มีการพัฒนาจากกี่แบบดั้งเดิมไปเป็นกี่กระตุกที่มีรางกระสวย ซึ่งช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการทออย่างเห็นได้ชัด ลายหางกระรอกเป็นลายดั้งเดิมของโคราชหรือของพื้นที่นี้ และถือเป็นผ้าประจำจังหวัดนครราชสีมา . ยอดขายผ้าและเครื่องแต่งกายในรูปแบบออฟไลน์ของจังหวัดนครราชสีมา 3 ปีย้อนหลัง ปักธงชัย อำเภอที่มีมีอิทธิพลต่อยอดขายรวมของจังหวัดมากที่สุด (คิดเป็นกว่า 90% ของยอดขาย) . จากการศึกษาแหล่งข้อมูลที่ให้มา การขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI – Geographical Indication) ส่งผลกระทบในทางบวกต่อผ้าไหมและชุมชน ในหลายด้าน ดังนี้: • การสร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ กระทรวงพาณิชย์ได้ผลักดันให้ผ้าไหมปักธงชัยเป็นสินค้า GI เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าที่เป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่น การขึ้นทะเบียน GI เป็นภารกิจสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าอัตลักษณ์พื้นถิ่นของไทย การขึ้นทะเบียนนี้ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าท้องถิ่นและสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่อำเภอปักธงชัยกว่า 40 ล้านบาทต่อปี การสร้างมูลค่าของสินค้าที่เป็นมาตรฐานชุมชนและภูมิปัญญาของท้องถิ่นนี้มีจุดประสงค์เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก • การเป็นที่รู้จักและยอมรับ การขึ้นทะเบียน GI มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผ้าไหมปักธงชัยซึ่งเป็นสินค้าท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนครราชสีมาเป็นที่รู้จักและยอมรับของผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง GI ทำหน้าที่เสมือนเป็นแบรนด์ของท้องถิ่นที่บอกถึงคุณภาพและแหล่งที่มาของสินค้า โดยคุณภาพหรือชื่อเสียงของสินค้านั้นเป็นผลมาจากการผลิตในพื้นที่เฉพาะเจาะจงนั้น • การสร้างงานและเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ การขึ้นทะเบียน GI นำมาสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชุมชน จากการนำจุดแข็งและความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของท้องถิ่นมาสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน การสร้าง GI ช่วยดูแลผู้ประกอบการ ผู้ผลิต พี่น้องเกษตรกรซึ่งเป็นผู้ผลิตผ้าไหมปักธงชัย เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง กรมทรัพย์สินทางปัญญามีภารกิจเกี่ยวกับการส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์และใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงพาณิชย์ รวมถึงให้ความคุ้มครองและปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ • การขยายช่องทางการจำหน่าย มีการเดินหน้าสร้างช่องทางการจำหน่ายสินค้า GI ทั้งตลาดออนไลน์และออฟไลน์ โดยสรุปแล้ว การขึ้นทะเบียน GI สำหรับผ้าไหมปักธงชัย ได้ช่วยยกสถานะของผลิตภัณฑ์ เพิ่มรายได้ให้ชุมชน สร้างการยอมรับในตลาด และเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของท้องถิ่น . . #ISANInsightAndOutlook #ISANEcon #เศรษฐกิจอีสาน #ธุรกิจอีสาน #สินค้าGI #ผ้าไหมGI #ผ้าไหมคึมมะอุ #ผ้าไหมปักธงชัย #ผ้าไหมแท้

พามาเบิ่ง 2 ผ้าไหม GI ผ้าไหมดี เมืองโคราช ที่สร้างมูลค่าปีละหลายพันล้าน อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง วิกฤติแม่น้ำกก-น้ำโขง จากเหมืองทุนจีนทะลัก พบสารปนเปื้อนสาเหตุปลาติดเชื้อ

ข้อมูล ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ความคืบหน้ากรณีพบสารปนเปื้อนทั้งสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำกก สาเหตุมากจากการทำเหมืองทองคำของกลุ่มทุนจีนในพื้นที่ต้นแม่น้ำ เขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตผู้คนในลุ่มแม่น้ำกก ทั้งน้ำอุปโภคบริโภค วิถีชีวิตประมง และเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาสายน้ำแห่งนี้   ล่าสุดภาพที่สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตเผยแพร่ ยิ่งตอกย้ำความน่ากังวล เมื่อพบปลาในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงเริ่มมีการติดเชื้อ โดยปลาที่จับได้มีตุ่มสีแดงตามครีบ ปาก และหนวด มีอาการคล้ายปลาป่วย ซึ่งสร้างความกังวลอย่างยิ่งให้กับชาวบ้านที่ดำรงชีพด้วยการหาปลา เพราะเกรงจะมีอันตรายต่อผู้บริโภค   มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ได้เปิดเผยภาพถ่ายดาวเทียม พบว่าบริเวณต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย นอกเหนือจากเหมืองทองคำที่มีอยู่เดิมแล้ว ยังอาจมีการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธทางตอนใต้ของเมืองสาด รัฐฉาน พม่า ซึ่งห่างจากชายแดนไทยอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพียง 25 กิโลเมตรเท่านั้น ลักษณะของบ่อน้ำเพื่อการทำแร่ที่ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมหลายชั้น ซึ่งคล้ายโครงการขุดแร่แรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่นซึ่งดำเนินการโดยบริษัทจีน และยิ่งเพิ่มความกังวลใจอย่างหนักถึงสารพิษตกค้างจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในเมืองสาดแห่งนี้ ที่อาจเป็นอีกหนึ่งต้นกำเนิดของสารพิษที่ไหลลงสู่แม่น้ำกก ทำให้สถานการณ์น้ำในแม่น้ำกกเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม และคุกคามสุขภาพของประชาชนกว่าล้านคนที่อาศัยอยู่บริเวณท้ายน้ำทั้งสองฝั่งชายแดน   ซึ่งการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่นนั้นเป็นวิธีการทำเหมืองและละลายแร่ ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างมาก โดยต้องเทสารเคมีผ่านทอไปในเนินเขาเพื่อละลายแร่แรร์เอิร์ธ จากนั้นจะมีการสูบสารเคมีดังกล่าวเพื่อส่งผ่านท่อไปยังบ่อน้ำ และมีการเติมสารเคมีเพิ่มเติมเพื่อสกัดแร่แรร์เอิร์ธ   ดังนั้น เหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ในเมืองยอน เขตเมืองสาด อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของต้นกำเนิดของสารพิษที่ถูกปล่อยลงในแม่น้ำกกไหลเข้าสู่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านจังหวัดเชียงราย และบรรจบลงสู่แม่น้ำโขงอันยิ่งใหญ่ที่อำเภอเชียงแสน เหมืองแร่แรร์เอิร์ธจึงไม่ได้เป็นเพียงปัญหาภายในประเทศเพื่อนบ้าน หรือจำกัดอยู่แค่ภาคเหนือของไทยอีกต่อไป แต่อาจจะกลายเป็นภัยคุกคามข้ามพรมแดนที่น่ากังวลสำหรับภาคอีสาน    แม่น้ำโขงเปรียบเสมือนหัวใจของภาคอีสาน หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนนับล้านที่พึ่งพาสายน้ำแห่งนี้ในการดำรงชีพ ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร การประมง หรือการท่องเที่ยว เมื่อสารพิษอย่างสารหนูและตะกั่วจากแม่น้ำกกไหลลงสู่แม่น้ำโขง ย่อมหมายถึงการคุกคามโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน ชาวบ้านริมโขงที่ใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ปลูกพืชผัก หรือเลี้ยงสัตว์น้ำ ย่อมมีความเสี่ยงที่จะได้รับสารพิษสะสมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรังและโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงในระยะยาว   ปลาและสัตว์น้ำในแม่น้ำโขงเป็นแหล่งอาหารสำคัญของชุมชนริมน้ำ เมื่อสัตว์น้ำติดเชื้อหรือปนเปื้อนสารพิษ ย่อมส่งผลกระทบ การประมงพื้นบ้านที่เคยเป็นวิถีชีวิตและแหล่งรายได้หลัก จะเผชิญกับภาวะวิกฤตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การปนเปื้อนสารพิษจะทำลายระบบนิเวศของแม่น้ำโขง ส่งผลกระทบต่อพืชและสัตว์น้ำนานาชนิด ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง ซึ่งเป็นการสูญเสียที่ไม่สามารถประเมินค่าได้นั่นเอง   ผลกระทบยังลามไปถึงภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ แม่น้ำโขงเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งการล่องเรือ การเยี่ยมชมวิถีชีวิตริมน้ำ หรือการทำกิจกรรมทางน้ำ เมื่อแม่น้ำถูกปนเปื้อน ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือจะลดลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และบริการท่องเที่ยวที่พึ่งพิงแม่น้ำโขงจะได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย และที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือภาคการเกษตรและประมง สารพิษที่สะสมในน้ำก็อาจจะส่งผลกระทบต่อน้ำสำหรับการเกษตร ทำให้ผลผลิตลดลง หรือปนเปื้อนสารพิษจนไม่สามารถบริโภคได้ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเชิงพาณิชย์ริมโขงก็จะต้องหยุดชะงัก      อ้างอิงจาก: – ประชาไท – Naewna – ไทยพีบีเอส (Thai PBS) – Lanner – PPTVHD36 – ข่าวสดออนไลน์   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์

พาสำรวจเบิ่ง วิกฤติแม่น้ำกก-น้ำโขง จากเหมืองทุนจีนทะลัก พบสารปนเปื้อนสาเหตุปลาติดเชื้อ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง เจ้าตลาดมอเตอร์ไซค์อีสาน ใครคือเบอร์หนึ่งมอเตอร์ไซค์ในแต่ละจังหวัด

ฮู้บ่ว่า? บริษัทในเครือ เกียรติสุรนนท์ เป็นเครือบริษัทในกลุ่มธุรกิจขายมอเตอร์ไซค์ที่มีรายได้สูงที่สุดในภาคอีสาน โดยมีบริษัทรวมกันที่สิ้น 5 บริษัท 47 สาขา ใน 3 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ และยโสธร มีรายได้รวมในปี 2566 ที่ผ่านมารวมกันกว่า 4,668 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 175 ล้านบาท จังหวัด ชื่อบริษัท รายได้รวม %YoY กำไรสุทธิ %YoY จำนวนสาขา อุบลราชธานี บริษัท เกียรติสุรนนท์อุบลราชธานี จำกัด 1930 9.6% 88 357.4% 30 หนองบัวลำภู ห้างหุ้นส่วนจำกัด ณัฐพงษ์มอเตอร์ (1989) 1539 3.5% 19 45.9% 45 อุดรธานี ห้างหุ้นส่วนจำกัด ณัฐมอเตอร์เซลล์ 1175 5.3% 2 42.9% 34 มุกดาหาร บริษัท พรประเสริฐมอเตอร์ จำกัด 1053 -9.9% 11 -62.3% 66 สกลนคร บริษัท อึ้งกุ่ยเฮงสกลนคร จำกัด 1034 20.3% 13 32.4% 54 บุรีรัมย์ บริษัท บุรีรัมย์ยนตรการ จำกัด 888 15.2% 8 15.2% 18 ศรีสะเกษ บริษัท ศรีสะเกษกิจเจริญไทย จำกัด 870 -2.1% 19 -19.0% 22 ร้อยเอ็ด บริษัท ชัยรักษ์มอเตอร์ จำกัด 779 8.6% 20 59.7% 92 มหาสารคาม บริษัท ที.โอ.เอช.มอเตอร์ จำกัด 628 5.9% 4 -5.2% 23 ขอนแก่น บริษัท ซี.เค.เจริญยนต์ จำกัด 604 -2.4% 9 132.5% 13 กาฬสินธุ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด สุพัฒน์มอเตอร์ 586 18.2% 7 156.0% 32 หนองคาย บริษัท

พามาเบิ่ง เจ้าตลาดมอเตอร์ไซค์อีสาน ใครคือเบอร์หนึ่งมอเตอร์ไซค์ในแต่ละจังหวัด อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง อีสาน…วิกฤตหนี้ เงินกู้มากกว่าเงินฝาก 10 จังหวัดน่าห่วง

(1) ข้อมูลสะสมตั้งแต่เดือนมกราคม 2556 ถึงมีนาคม 2568 พบว่า ธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศมีเงินฝากรวมทั้งสิ้น 17,479,803 ล้านบาท ขณะที่ยอดสินเชื่อ (เงินกู้) อยู่ที่ 17,997,436 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนเงินกู้ต่อเงินฝากอยู่ที่ 103% สะท้อนภาพชัดเจนว่า ประเทศไทยมีภาระหนี้สินสูงกว่าเงินฝาก หรือพูดง่ายๆ ก็คือ “หนี้ท่วมเงินฝาก”   อีกทั้งยังพบว่า ในประเทศไทยมีจังหวัดที่ “หนี้ท่วมเงินฝาก” อยู่ทั้งหมด 13 จังหวัด แต่ที่น่าตกใจคือมีจังหวัดในภาคอีสานปาไปกว่า 10 จังหวัด ได้แก่  – ร้อยเอ็ด 140% – อุบลราชธานี 115% – บึงกาฬ 113% – สกลนคร 110% – อำนาจเจริญ 109% – ยโสธร 109% – ขอนแก่น 105% – ศรีสะเกษ 104% – กาฬสินธุ์ 103% – สุรินทร์ 100%   ภาคอีสานมีเงินฝากรวมทั้งสิ้น 962,035 ล้านบาท ขณะที่ยอดสินเชื่อ (เงินกู้) อยู่ที่ 936,284 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนเงินกู้ต่อเงินฝากอยู่ที่ 97% แม้ยอดเงินกู้จะยังไม่สูงเกินเงินฝาก แต่ตัวเลขที่ใกล้เคียงกันนี้ถือเป็นสัญญาณที่น่าจับตาและอาจสร้างความกังวลในระยะยาว     (2) อีสาน…ดินแดน “หนี้ท่วมฝาก” วิกฤตเงียบที่รอวันปะทุ ภาคอีสานกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ จาก 13 จังหวัดทั่วประเทศไทยที่สัดส่วนเงินกู้สูงกว่าเงินฝากอย่างน่าตกใจ กลับมีจังหวัดในอีสานด้วยจำนวนถึง 10 จังหวัดที่กำลังเจอสถานการณ์ “หนี้ท่วมฝาก” โดยมี “ร้อยเอ็ด” ที่มีสัดส่วนเงินกู้ต่อเงินฝากที่พุ่งสูงถึง 140% สูงสุดในประเทศ นี่อาจไม่ใช่เพียงตัวเลขที่น่าตกใจ แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจระดับครัวเรือนและภูมิภาค    การที่ “ร้อยเอ็ด” กลายเป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนเงินกู้ต่อเงินฝากสูงที่สุดในประเทศนั้น อาจจะเป็นผลมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน ฐานเศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งมีความผันผวนสูงตามฤดูกาลและราคาผลผลิต ทำให้รายได้ของครัวเรือนไม่แน่นอน และอาจต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบหรือสถาบันการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน แม้จะมีสถาบันการเงินให้บริการ แต่เงื่อนไขการเข้าถึงสินเชื่อสำหรับกลุ่มเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยอาจไม่เอื้ออำนวย ทำให้ต้องกู้ยืมด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และภาระหนี้สินที่หนักอึ้งตามมา หรือแม้กระทั่งการบริโภคสินค้าที่อาจเกินกำลังทรัพย์ หรือการเข้าถึงสินค้าและบริการที่ง่ายขึ้นผ่านสินเชื่อต่างๆ อาจกระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้โดยไม่ทันได้วางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ การขาดความรู้และทักษะในการบริหารจัดการเงินส่วนบุคคลที่จำกัด อาจทำให้ประชากรตกเป็นเหยื่อของวงจรหนี้สินได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจบางประเภทที่เน้นการบริโภคผ่านสินเชื่อ อาจส่งผลให้ประชาชนก่อหนี้เพิ่มขึ้นโดยไม่ได้สร้างรายได้ที่ยั่งยืนนั่นเอง   (3) “หนี้ท่วมฝาก” ที่เกิดขึ้นในภาคอีสาน ไม่ใช่เพียงปัญหาเฉพาะบุคคล แต่เป็นปัญหาใหญ่ที่พร้อมจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค เมื่อครัวเรือนมีภาระหนี้สินสูง ย่อมมีเงินเหลือสำหรับการบริโภคสินค้าและบริการลดลง ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่สูงขึ้น ย่อมเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของสถาบันการเงิน

พามาเบิ่ง อีสาน…วิกฤตหนี้ เงินกู้มากกว่าเงินฝาก 10 จังหวัดน่าห่วง อ่านเพิ่มเติม »

[สรุปตามประเด็นปัญหาของขอนแก่น] ในเวที ดีเบต #KhonKaenNext⏩2025 “เลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น 2568”

𝘿𝙚𝙗𝙖𝙩𝙚 [สรุปตามประเด็นปัญหาของขอนแก่น] ในเวที ดีเบต #KhonKaenNext⏩2025 “เลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น 2568” . โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน รับชม รับฟัง ทีมงานเพียงอำนวยความสะดวกเพียงเท่านั้น ผู้สมัครแต่ละท่านได้นำเสนอมุมมองและนโยบายที่หลากหลายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสวัสดิการของประชาชน โดยมุ่งเน้นในด้านต่างๆ เช่น: . 💡𝟭. 𝗜𝗻𝗳𝗿𝗮𝘀𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲 : การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมพื้นฐาน #เบอร์1 ทนายวสันต์ ชูชัย เน้นการแก้ไขปัญหาพื้นฐานที่ค้างคาอยู่ เช่น ปัญหาสวนสาธารณะ น้ำท่วม การจราจร ทางเท้าต่างๆ เพื่อให้เมืองมีความเป็นระเบียบวินัย สะอาด สะดวก และปลอดภัยสำหรับประชาชน. นโยบายเบื้องต้นจะให้ความสำคัญกับปัญหาพื้นฐาน โครงสร้างสังคม โครงสร้างการพัฒนาคนทุกด้าน ด้านสิ่งแวดล้อม การกำจัดขยะ ถนน การจราจร สวนสาธารณะ และการศึกษา. คุณภาพชีวิตที่ดีต้องมาจากพื้นฐานที่ดี. #เบอร์2 คุณนันทวัน ไกรศรีวันทนะ เห็นว่าบ้านเมืองควรพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้. นโยบายระยะสั้นที่เห็นได้ง่ายคือการปรับปรุงสวนสาธารณะ ซึ่งเมืองขอนแก่นมีศักยภาพและกายภาพดี แต่ขาดการดูแล บึงแก่นนครถูกทิ้งร้างมานาน. สิ่งแวดล้อมเป็นลมหายใจของเรา จึงต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตประชาชน. การจัดการขยะต้องเริ่มจากจิตสำนึกของประชาชนให้คัดแยกขยะในครัวเรือน. ปัญหาภัยพิบัติ (ส่วนมากคือน้ำท่วมซ้ำซาก) อยากขุดลอกท่อระบายน้ำทั่วเขตเทศบาล. #เบอร์3 คุณวรินทร์ เอกบุรินทร์ แก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ จราจร ซ่อมแซมถนน. อยากเห็นชาวขอนแก่นเติบโตในเมืองด้วยชีวิตที่ดี. ชีวิตประจำวันที่ดีเริ่มต้นที่ความราบรื่นปลอดภัย. ตื่นเช้ามาไม่เห็นขยะหน้าบ้าน ไปโรงเรียนบนถนนเรียบ ไม่มีรถติด ลูกหลานไปเรียนมีคุณภาพชีวิตดี มีห้องน้ำ ห้องพยาบาล สนามเด็กเล่นที่ดีในโรงเรียน. เดินไปทำงานบนทางเท้าที่ดี ไม่มีสิ่งกีดขวาง. กลับบ้านอย่างปลอดภัยบนถนนที่มีแสงสว่าง ทาสีตีเส้นดี มี CCTV. วันหยุดพาครอบครัวไปสวนสาธารณะ สนามเด็กเล่นที่ดี ปลอดภัย. #เบอร์4 คุณเบญจมาพร ศรีบุตร เห็นปัญหาและโอกาสของเมือง. การทำโครงสร้างพื้นฐานของเมืองให้พร้อมรองรับโอกาสเป็นสิ่งสำคัญ. ถ้าเมืองยังมีห้องน้ำไม่สะอาด ขนส่งไม่สะดวก พื้นที่ไม่ปลอดภัย โอกาสต่างๆ อาจไม่เข้ามา. การทำทางเดินเท้าให้มีคุณภาพ การทลายจุดเสี่ยงเพื่อให้เดินทางปลอดภัย จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก. พื้นที่สาธารณะเป็นเสาหลักที่ 2 คือพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับทุกคน. ทำเพื่อให้คนมาเรียนรู้ ใช้ชีวิต ทำกิจกรรมนอกอาคารได้. นโยบายห้องสมุดเพื่อทุกคน สนามเด็กเล่นน่าเล่น พื้นที่สีเขียว. ห้องสมุดเมืองจะเปลี่ยนเป็น Working Space เป็นลานกิจกรรมให้คนทุกเพศทุกวัยใช้ร่วมกัน. นโยบายห้องน้ำสะอาดมากเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนใช้ชีวิตนอกบ้าน. #เบอร์5 คุณประสิทธิ์ ทองแท่งไทย คุณภาพชีวิตที่ดีเป็นเป้าหมายหลัก. เมืองที่น่าอยู่คือเมืองที่ใช้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ใช่แค่เน้นเทคโนโลยี แต่เน้นอำนวยความสะดวก. เรื่องของถนนและทางเท้ามีความสำคัญ. ถนนทำเท่าไหร่ก็ไม่พอเพราะรถมาก ต้องทำอย่างไรให้คนใช้รถน้อยลง. เพิ่มพื้นที่ทางเท้าและปรับปรุงทางเท้าให้ราบเรียบ เหมาะแก่การเดิน. **ที่สำคัญ ทางเท้าต้องมีร่มเงา** (ต้นไม้หรือชายคาอาคาร) เพื่อให้เดินได้สบาย ยกตัวอย่างสิงคโปร์. ไฟส่องสว่างสำคัญต่อความปลอดภัย ต้องอาศัยความร่วมมือภาครัฐและประชาชนช่วยกันเพิ่มแสงสว่างตามทางเดิน.

[สรุปตามประเด็นปัญหาของขอนแก่น] ในเวที ดีเบต #KhonKaenNext⏩2025 “เลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น 2568” อ่านเพิ่มเติม »

เมื่อผืนป่าอีสาน…จะเหลือป่าให้ลูกหลานเท่าไหร่? พาสำรวจเบิ่ง “สัดส่วนป่าไม้ในอีสาน” มีมากแค่ไหน

ประเทศไทยของงเรามีพื้นป่าอยู่ทั้งหมด 102 ล้านไร่ หรือมีสัดส่วนพื้นที่ป่ากว่า 31.5% ของพื้นที่หมดในประเทศ แล้วเคยรู้หรือไม่ว่าพื้นที่ป่าในภาคอีสานมีมากแค่ไหน?   โดยในภาคอีสานของเรามีพื้นที่ป่า 15.6 ล้านไร่ หรือคิดเป็นสัดส่วน 14.9% ของขนาดพื้นที่ทั้งหมดในภาคอีสาน ซึ่งลดลงจากปี 2516 เท่ากับ 16.1 ล้านไร่ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน (Land Use Change) จากพื้นที่ที่มีสภาพเป็นป่าไปเป็นพื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ชุมชนหรือสิ่งปลูกสร้าง หรือเกิดจากปัญหาไฟป่าที่มีความรุนแรงขึ้น (Forest Fire)   อีกหนึ่งสาเหตุหลักเป็นผลมาจากสมการที่ไม่สมดุลระหว่างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจในระยะสั้นกับการรักษาสมดุลทางนิเวศในระยะยาว การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ความต้องการที่ดินเพื่อการพัฒนา และการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เข้มงวดเพียงพอ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้ผืนป่าในภาคอีสานค่อยๆ เลือนหายไปนั่นเอง โดยการขยายตัวทางการเกษตรยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มีการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของป่า และทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไม้ การเกษตรเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ (โดยเฉพาะการเลี้ยงปศุสัตว์) และเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพในท้องถิ่น   5 จังหวัดที่มีสัดส่วนพื้นที่ป่ามากที่สุด – มุกดาหาร คิดเป็น 32.8% หรือ 8.5 แสนไร่ – เลย คิดเป็น 32.2% หรือ 21.1 แสนไร่ – ชัยภูมิ คิดเป็น 31.5%  หรือ 25.0 แสนไร่ – อุบลราชธานี คิดเป็น 17.6% หรือ 17.2 แสนไร่ – สกลนคร คิดเป็น 16.9% หรือ 10.1 แสนไร่   จังหวัดมุกดาหาร เลย และชัยภูมิ ถือเป็นพื้นที่ที่มีสัดส่วนของป่าธรรมชาติหลงเหลืออยู่มากที่สุดในภาคอีสาน สาเหตุหลักส่วนหนึ่งมาจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นภูเขาและที่ราบสูง ซึ่งไม่เหมาะสมต่อการทำเกษตรกรรมหรือการตั้งถิ่นฐานถาวร ทำให้พื้นที่เหล่านี้ไม่ถูกแผ้วถางหรือพัฒนาเหมือนพื้นที่ราบลุ่มอื่นๆ   ในจังหวัดมุกดาหาร แม้จะเป็นจังหวัดชายแดน แต่กลับมีสภาพภูมิประเทศเป็นเนินเขาและป่าเบญจพรรณที่ทอดยาว โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ ซึ่งยังคงความสมบูรณ์ของป่าไม้เอาไว้อย่างดี ส่วนจังหวัดเลยมีแนวเทือกเขาหลายสายทอดผ่าน ไม่ว่าจะเป็นเทือกเขาภูหลวง และภูเรือ และภูพาน ซึ่งเต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและยังคงความอุดมสมบูรณ์ไว้ได้มาก ขณะที่จังหวัดชัยภูมิก็มีเทือกเขาพังเหยและภูแลนคาเป็นเสมือนแนวกันชนทางธรรมชาติ ที่ช่วยรักษาพื้นที่ป่าทั้งในเชิงระบบนิเวศและเชิงพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ   นอกจากนี้ พื้นที่ในจังหวัดเหล่านี้ยังได้รับการประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์ อย่างเช่น อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือป่าไม้ถาวร ทำให้ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และไม่สามารถนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจได้โดยง่าย การเข้าถึงที่ค่อนข้างลำบากในบางพื้นที่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยชะลอการบุกรุกพื้นที่ป่า ดังนั้น การที่มุกดาหาร เลย และชัยภูมิ ยังมีพื้นที่ป่าเหลืออยู่มาก จึงไม่ใช่เพียงผลจากธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการบริหารจัดการทรัพยากรและการวางนโยบายอนุรักษ์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นแบบอย่างสำคัญของการรักษาสมดุลระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมในภาคอีสานนั่นเอง   ในอีกด้านหนึ่งจังหวัดที่มีสัดส่วนป่าไม้ที่ต่ำที่สุด คือ จังหวัดมหาสารคาม มีสัดส่วนป่าเพียง 3.8% และร้อยเอ็ด 4.5% ซึ่งเป็นพื้นที่ราบส่วนใหญ่และมีการพัฒนาภาคเกษตรกรรมอย่างเข้มข้น สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินที่มีต่อผืนป่า ไม่ว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนจากภาคเกษตร การขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ

เมื่อผืนป่าอีสาน…จะเหลือป่าให้ลูกหลานเท่าไหร่? พาสำรวจเบิ่ง “สัดส่วนป่าไม้ในอีสาน” มีมากแค่ไหน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ความหนาแน่นประชากรอีสาน จังหวัดไหน “เบียดเสียด” จังหวัดไหน “เงียบสงบ”❓

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ “ภาคอีสาน” เป็นภูมิภาคที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นภูมิภาคที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดของประเทศ เลยทำให้ภาคอีสาน เป็นภูมิภาคที่สำคัญที่สุด ภูมิภาคหนึ่งของประเทศไทย    ภาคอีสานมีเนื้อที่ประมาณ 168,883 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ประเทศไทย ที่น่าทึ่งคือ มีประชากรประมาณ 21.6 ล้านคน คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของคนทั้งประเทศ ซึ่งถือว่ามากพอๆ กับจำนวนประชากรของกัมพูชาและลาวรวมกัน   เศรษฐกิจอีสาน จากนาไร่ สู่เศรษฐกิจนอกภาคเกษตร ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของภาคอีสานเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีอัตราการเติบโตเป็นรองแค่ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมประเทศ การเติบโตนี้ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจเปลี่ยนไป จากพื้นที่เกษตรกรรมดั้งเดิม กลายเป็นภูมิภาคที่มีธุรกิจนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น สัดส่วนคนจนลดลง ระบบเศรษฐกิจพัฒนา กำลังซื้อเพิ่มขึ้นจากในอดีต   มูลค่าเศรษฐกิจยังเล็ก เมื่อเทียบกับส่วนอื่นของประเทศ แม้เศรษฐกิจจะเติบโต แต่เมื่อมองในเชิงสัดส่วน ภาคอีสานยังมี GPP (Gross Provincial Product) เพียง 1.8 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10.1% ของ GDP ประเทศไทยทั้งหมด ซึ่งอยู่ที่ราว 17.95 ล้านล้านบาท ในปี 2566 จังหวัดพื้นที่ที่มีความหนาแน่นสูงสุด มหาสารคาม ความหนาแน่นของประชากร 175 คน/ตร.กม หนองคาย ความหนาแน่นของประชากร 169 คน/ตร.กม สุรินทร์ ความหนาแน่นของประชากร 167 คน/ตร.กม ศรีสะเกษ ความหนาแน่นของประชากร 163 คน/ตร.กม ขอนแก่น ความหนาแน่นของประชากร 163 คน/ตร.กม.   มหาสารคามและหนองคาย มีความหนาแน่นประชากรมากสุด สำหรับ “มหาสารคาม” ความหนาแน่นของประชากรที่สูงอาจจะเป็นเพราะบทบาทของการเป็น “นครแห่งการศึกษา” ที่แข็งแกร่ง จังหวัดนี้เป็นเสมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศ ด้วยการเป็นที่ตั้งของสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำหลายแห่ง ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การผลิตบัณฑิต หากแต่ยังสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจและสังคมที่เอื้อต่อการเติบโตของเมือง การไหลเข้ามาของนักศึกษา บุคลากรทางการศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง ก่อให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัย บริการ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างต่อเนื่อง การขยายตัวของเมืองเพื่อรองรับประชากรที่เพิ่มขึ้นนี้เอง ที่นำไปสู่การรวมตัวของประชากรในพื้นที่อย่างหนาแน่น   นอกจากนี้ การเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการศึกษา ยังกระตุ้นให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ร้านหนังสือ ร้านอาหาร สถาบันกวดวิชา ซึ่งเป็นการสร้างงานและดึงดูดผู้คนให้เข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในพื้นที่มากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น มหาสารคามยังเป็นจุดเชื่อมต่อทางการคมนาคมที่สำคัญ ทำให้ผู้คนสัญจรและเข้ามาใช้บริการในจังหวัดนี้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความหนาแน่นของประชากรทั้งในแง่ของผู้อยู่อาศัยถาวรและประชากรแฝงนั่นเอง   ในขณะที่ “หนองคาย” กลับมีความแตกต่างออกไป ความหนาแน่นของประชากรในจังหวัดนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการเป็น “ประตูสู่ล้านช้าง” จังหวัดชายแดนแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงประเทศไทยกับ สปป.ลาว โดยมีสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเป็นสัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคม

พามาเบิ่ง ความหนาแน่นประชากรอีสาน จังหวัดไหน “เบียดเสียด” จังหวัดไหน “เงียบสงบ”❓ อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง งบประมาณเทศบาลอีสาน ใครคือเบอร์ใหญ่❓

งบประมาณจากภาครัฐถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาของเทศบาลนคร เม็ดเงินเหล่านี้ถูกจัดสรรเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน การให้บริการสาธารณะ การพัฒนาคุณภาพชีวิต ไปจนถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น   การได้รับงบประมาณที่เพียงพอและสอดคล้องกับขนาดและความต้องการของเทศบาลนครแต่ละแห่ง ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับเมือง เทศบาลนครที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการงบประมาณนั้น ก็สามารถแปลงเม็ดเงินที่ได้รับมาเป็นโครงการและกิจกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนและเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างชัดเจน แต่ในทางตรงกันข้ามเทศบาลที่ประสบปัญหาในการบริหารจัดการ อาจเผชิญกับข้อจำกัดในการพัฒนาและไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างเต็มที่   งบประมาณเทศบาลอีสาน การจัดสรรและการเติบโตที่แตกต่าง ภาพรวมงบประมาณของเทศบาลในภาคอีสานที่ปรากฏ เปรียบเหมือนเป็นกระจกสะท้อนทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่ซับซ้อนของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งแต่ละท้องถิ่นก็จะมีการเติบโต โอกาส และความท้าทายที่แตกต่างกัน   5 อันดับจังหวัดได้ที่งบประมาณเทศบาลมากสุด เทศบาลนครขอนแก่น 986 ล้านบาท เทศบาลนครนครราชสีมา 960 ล้านบาท เทศบาลนครอุดรธานี 804 ล้านบาท เทศบาลนครอุบลราชธานี 496 ล้านบาท เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด 453 ล้านบาท   ขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี และอุบลฯ  Big 4 แห่งงบประมาณและความเจริญ เมื่อพิจารณาจากปริมาณงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลนครนครราชสีมา เทศบาลนครอุดรธานี และเทศบาลนครอุบลราชธานี ได้รับงบประมาณเทศบาลมากกว่าจังหวัดอื่นๆ สะท้อนให้เห็นถึงขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่โต ความเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค และจำนวนประชากรที่หนาแน่น การเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการศึกษา ทำให้เทศบาลเหล่านี้ได้รับงบประมาณมากกว่าจังหวัดอื่นๆ นอกจากนี้ การมีโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาแล้ว และการเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญ ยังดึงดูดกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลากหลายรูปแบบ ส่งผลให้มีงบประมาณเพียงพอต่อการพัฒนาเมืองในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา สาธารณสุข หรือการส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกด้วย   ปลายแถวแห่งงบประมาณ เมื่อมองไปยังเทศบาลที่มีงบประมาณน้อยที่สุด เช่น เทศบาลเมืองบึงกาฬ เทศบาลเมืองหนองบัวลำภู และเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ซึ่งอาจเห็นข้อจำกัดทางด้านขนาดเศรษฐกิจ ฐานภาษี และจำนวนประชากร อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดเหล่านี้ก็อาจเป็นแรงผลักดันให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในการบริหารจัดการงบประมาณและการพัฒนาท้องถิ่น เทศบาลเหล่านี้อาจต้องพึ่งพาการบูรณาการความร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆ การดึงดูดการลงทุนเฉพาะกลุ่ม หรือการพัฒนาจุดแข็งทางวัฒนธรรมและธรรมชาติเพื่อสร้างความแตกต่างและโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ     อ้างอิงจาก: – สำนักงบประมาณ – สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ # #เศรษฐกิจอีสาน #เทศบาลนคร #เทศบาลนครในอีสาน  #เทศบาลนคร #เทศบาลเมือง

พาส่องเบิ่ง งบประมาณเทศบาลอีสาน ใครคือเบอร์ใหญ่❓ อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง “6 เทศบาลนคร” แห่งแดนอีสาน

(1) งบประมาณภาครัฐกับบทบาทขับเคลื่อนเทศบาลนคร งบประมาณจากภาครัฐถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาของเทศบาลนคร เม็ดเงินเหล่านี้ถูกจัดสรรเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน การให้บริการสาธารณะ การพัฒนาคุณภาพชีวิต ไปจนถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น   การได้รับงบประมาณที่เพียงพอและสอดคล้องกับขนาดและความต้องการของเทศบาลนครแต่ละแห่ง ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับเมือง เทศบาลนครที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการงบประมาณนั้น ก็สามารถแปลงเม็ดเงินที่ได้รับมาเป็นโครงการและกิจกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนและเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างชัดเจน แต่ในทางตรงกันข้ามเทศบาลที่ประสบปัญหาในการบริหารจัดการ อาจเผชิญกับข้อจำกัดในการพัฒนาและไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างเต็มที่   (2)อีสานอินไซต์พามาเบิ่ง 6 เทศบาลนครในภาคอีสาน เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลนครขอนแก่น ถูกจัดตั้งในปี 2538 มีขนาดพื้นที่ 46 ตร.กม. มีประชากรกว่า 98,989 คน ด้วยความหนาแน่น 2,151.9 คน/ตร.กม. ขอนแก่นได้รับงบประมาณจากภาครัฐถึง 986 ล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของขอนแก่นในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การศึกษา และการคมนาคมของภาคอีสานตอนกลาง ความหนาแน่นของประชากรที่ค่อนข้างสูง บ่งชี้ถึงความต้องการในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะที่ซับซ้อน การได้รับงบประมาณที่สูงที่สุดในกลุ่ม อาจเป็นผลจากการพิจารณาถึงศักยภาพในการต่อยอดการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญของภูมิภาค   เทศบาลนครนครราชสีมา เทศบาลนครนครราชสีมา ซึ่งถูกจัดตั้งในปีเดียวกัน คือ 2538 มีขนาดพื้นที่ 37.5 ตร.กม. แต่กลับมีประชากรมากถึง 112,116 คน ส่งผลให้มีความหนาแน่นประชากรสูงที่สุดในกลุ่มที่ 2,989.8 คน/ตร.กม. แม้จะได้รับงบประมาณจากภาครัฐใกล้เคียงกับขอนแก่นที่ 960 ล้านบาท แต่ความแตกต่างของขนาดพื้นที่และความหนาแน่น แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันในการบริหารจัดการพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด การวางแผนผังเมืองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชากรจำนวนมาก จึงเป็นสิ่งสำคัญของนครราชสีมา   เทศบาลนครอุดรธานี เทศบาลนครอุดรธานี มีขนาดพื้นที่ 47.7 ตร.กม. ใกล้เคียงกับขอนแก่น แต่มีจำนวนประชากร 113,178 คน และความหนาแน่น 2,372.7 คน/ตร.กม. ได้รับงบประมาณจากภาครัฐ 804 ล้านบาท การมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง ควบคู่ไปกับจำนวนประชากรที่สูง สะท้อนถึงศักยภาพในการขยายตัวของเมืองในอนาคต การได้รับงบประมาณที่สมดุล อาจบ่งชี้ถึงการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง    เทศบาลนครอุบลราชธานี เทศบาลนครอุบลราชธานี ถูกจัดตั้งในปี 2542 มีขนาดพื้นที่เพียง 29 ตร.กม. มีจำนวนประชากร 68,133 คน มีความหนาแน่น 2,349.4 คน/ตร.กม. ได้รับงบประมาณจากภาครัฐ 496 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ที่ค่อนข้างจำกัด ควบคู่ไปกับงบประมาณที่น้อยกว่าสามเมืองแรก อาจเป็นข้อจำกัดในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และการขยายพื้นที่เมือง การบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ และการแสวงหาแหล่งรายได้เพิ่มเติม จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอุบลราชธานี การเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิต การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน ซึ่งเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการเติบโตภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ   เทศบาลนครสกลนคร  เทศบาลนครสกลนคร ถูกจัดตั้งในปี 2555 มีขนาดพื้นที่ 54.5 ตร.กม. แต่มีจำนวนประชากรเพียง 49,691 คน ส่งผลให้มีความหนาแน่นอยู่ที่ 911.8 คน/ตร.กม. ได้รับงบประมาณจากภาครัฐ 410 ล้านบาท

พาส่องเบิ่ง “6 เทศบาลนคร” แห่งแดนอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐พลังงานข้ามพรมแดนไทยพึ่งพาไฟฟ้าจากลาวแค่ไหน

ฮู้บ่ว่า? สปป.ลาว เป็นแหล่งซื้อไฟฟ้าที่สำคัญที่สุดของไทย ด้วยข้อตกลงการซื้อไฟฟ้ากว่า 10,500 เมกะวัตต์ ผ่านจุดรับในภาคอีสาน กระจายสู่หลายพื้นที่ทั่วประเทศ . ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ขยายความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีศักยภาพสูงในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ความร่วมมือนี้ได้พัฒนาเป็นโครงการขนาดใหญ่ภายใต้แนวคิด “Battery of Southeast Asia” ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้ารายหลักจากลาวอย่างต่อเนื่อง . ข้อมูลจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระบุว่า ไทยมีข้อตกลงซื้อไฟฟ้าจากลาวรวมสูงถึง 10,500 เมกะวัตต์ โดยได้ลงนามในสัญญาไปแล้วประมาณ 9,342 เมกะวัตต์ และมีการรับไฟฟ้าในปี 2567 แล้วประมาณ 5,936 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นราว 10% ของความต้องการไฟฟ้าทั้งประเทศ โดยมีแหล่งผลิตสำคัญ ได้แก่ เขื่อนไซยะบุรี เขื่อนน้ำเทิน 2 และเขื่อนน้ำงึม 2 (พลังน้ำ) รวมถึงโรงไฟฟ้าหงสา (ถ่านหิน) . สาเหตุที่ไทยนำเข้าไฟฟ้าจากลาวมีหลากหลายปัจจัย ทั้งในด้านต้นทุนที่อาจต่ำกว่าการสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศ เนื่องจากลาวมีทรัพยากรพลังน้ำที่ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตในบางโครงการต่ำกว่าการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในไทย อีกทั้งยังช่วยหลีกเลี่ยงแรงต่อต้านจากสาธารณชนภายในประเทศ โดยเฉพาะในกรณีของถ่านหินและพลังน้ำ ที่มักมีข้อถกเถียงด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน . อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาไฟฟ้าจากลาวในระดับสูง อาจสร้างความกังวลในด้านความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาว เพราะการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศมากเกินไป อาจทำให้ไทยเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ ภัยพิบัติในลาว หรือความไม่แน่นอนด้านนโยบาย นอกจากนี้ ยังมีข้อห่วงใยด้านสิ่งแวดล้อมจากโครงการเขื่อนขนาดใหญ่ที่ส่งผลต่อระบบนิเวศของแม่น้ำโขง และชุมชนในลาว ซึ่งอาจกลายเป็นประเด็นจริยธรรมที่ไทยในฐานะผู้บริโภคพลังงานต้องพิจารณา . หากเกิดวิกฤต ไม่ว่าจะจากภัยธรรมชาติ หรือความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างไทยกับลาว พื้นที่ภาคอีสานซึ่งเป็นจุดรับและกระจายไฟฟ้าจากลาว อาจได้รับผลกระทบเป็นลำดับแรก โดยเฉพาะหากมีการหยุดส่งไฟฟ้าชั่วคราวหรือระยะยาว ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและกิจกรรมในพื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ หากกำลังการผลิตภายในประเทศไม่สามารถทดแทนได้ทัน . แม้ระบบพลังงานข้ามพรมแดนนี้จะช่วยให้ไทยได้รับประโยชน์ด้านต้นทุนและความยืดหยุ่นเชิงนโยบายอย่างมาก แต่ความสมดุลระหว่าง “ต้นทุนทางเศรษฐกิจ” กับ “ต้นทุนทางสังคมและสิ่งแวดล้อม” จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบด้าน พร้อมทั้งควรมีแผนสำรองรองรับความเสี่ยงจากการพึ่งพาแหล่งพลังงานภายนอกมากเกินไป ซึ่งอาจกระทบต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

พามาเบิ่ง🧐พลังงานข้ามพรมแดนไทยพึ่งพาไฟฟ้าจากลาวแค่ไหน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top