Infographic

มาเบิ่งสมุดบัญชี!  คนไทยมีเงินฝากหลายปานใด๋?

มาเบิ่งสมุดบัญชี!  คนไทยมีเงินฝากหลายปานใด๋?   ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าจำนวนเงินในบัญชีออมทรัพย์ของคนไทย กับธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียน ถึงช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2566 มียอดรวมทั้งสิ้น 15,893,820 ล้านบาท หรือกว่า 15 ล้านล้านบาท บัญชีออมทรัพย์ของคนไทยมีจำนวนมากถึง 122,302,517 บัญชี และเพิ่มขึ้นจากปี 2565 หากดูเพียงผิวเผินอาจดูเหมือนว่ามีจำนวนสูง แต่หากมองให้ลึกแล้วจะพบว่ากว่า 88% ของบัญชีทั้งหมด เป็นบัญชีที่มีเงินเก็บไว้ต่ำกว่า 50,000 บาทเท่านั้น ในขณะที่มีเพียง 0.01 % เท่านั้นที่ถือครองเงินฝากในบัญชีระดับ 100 ล้านบาท จำนวนเงินฝากในบัญชีธนาคาร อาจไม่ได้สะท้อนความมั่งคั่งทั้งหมดของแต่ละคน เพราะปัจจุบันประชาชนฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์น้อยลง เพราะดอกเบี้ยต่ำ และล่าสุดมีการปรับเกณฑ์คุ้มครองเงินฝากลงจาก 5 ล้านบาทเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาท  หลายคนจึงนิยมนำเงินไปลงทุน เนื่องจากมีผลตอบแทนสูงกว่า เช่น หุ้น กองทุน ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ เพื่อเพิ่ม Passive Income และมีจำนวนไม่น้อยที่อาจเลือกเก็บเงินส่วนหนึ่งแบบเงินสด เพื่อสะดวกต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ดี สัดส่วนของบัญชีเงินฝากระหว่างกลุ่มสูงที่สุดและกลุ่มต่ำที่สุดนั้นอยู่ห่างกันมาก ในกลุ่มที่มีเงินฝากน้อยที่สุด ก็ยังไม่ครอบคลุมเงินสำรองที่ควรเผื่อฉุกเฉิน แต่กลับเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด ซึ่งตัวเลขนี้ อาจสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ที่ยังรวยกระจุก จนกระจาย อ้างอิงจาก: ธนาคารแห่งประเทศไทย, กรุงเทพธุรกิจ, Checkraka, Moneybuffalo #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #บัญชี #บัญชี #เงินฝาก

พามาฮู้จัก มหาเศรษฐีอันดับ 2 แห่งภาคอีสาน อดิศักดิ์ และนาตยา ตั้งมิตรประชา สองผู้ก่อตั้ง “ดูโฮม” มหาเศรษฐีอันดับ 38 ของไทย

วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพามาทำความรู้จักมหาเศรษฐีอันดับ 2 ของภาคอีสาน ปี 2565 นี้ อดิศักดิ์ และคุณนาตยา ตั้งมิตรประชา สองผู้ก่อตั้ง “ดูโฮม” ติดอันดับ 38 ของตระกูลมหาเศรษฐีไทย ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 825 ล้านดอลลาร์ หรือ 29,714 ล้านบาท คุณอดิศักดิ์จบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และในปี 2526 เขาและภรรยาได้มาเปิดห้องแถวเล็กๆ ในอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ขายสินค้าวัสดุก่อสร้าง เช่น เหล็ก วัสดุมุงหลังคา ไม้อัด และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ก่อนที่จะย้ายมาที่ อ.วารินชำราบ พัฒนาเป็นร้านค้าขนาดใหญ่ และจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นภายใต้ชื่อบริษัท อุบลวัสดุ จำกัด หลังจากนั้นก็ขยายสาขาขนาดใหญ่ประมาณ 22,000 – 65,000 ตารางเมตร เข้าไปในจังหวัดใหญ่ๆ เช่น อุดรธานี ขอนแก่น เชียงใหม่ ค่อยๆรุกคืบมายังภาคกลาง ยึดหัวหาดในทำเลสำคัญล้อมรอบกรุงเทพฯ เช่น สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา นนทบุรี ปทุมธานี และพร้อมชนกับรายใหญ่ของธุรกิจวัสดุก่อสร้างอย่างจริงจังด้วยการเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อปี 2562 ก่อนจะบุกเปิดสาขาเล็กๆ พื้นที่เฉลี่ยต่อสาขาประมาณ 300 – 1,000 ตารางเมตร ภายใต้แบรนด์ Dohome ToGo ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในพื้นที่ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ต ในปัจจุบัน บริษัทฯ มีสาขาที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 17 สาขา และศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) 1 แห่ง วิกฤตโควิดที่เกิดขึ้นทำให้คนหันมาดูแลซ่อมแซมบ้านมากขึ้น เป็นผลดีกับดูโฮม ด้วยยอดรายได้และผลกำไรที่เพิ่มขึ้น ทำให้ในปี 2564 อดิศักดิ์ยังวางแผนขยายสาขาขนาดใหญ่เพิ่มอีก 4 แห่ง ที่เปิดไปแล้วคือที่สาขาแหลมฉบัง และสาขาบ่อวิน ในจังหวัดชลบุรี อีก 2 สาขาที่ทยอยเปิดในขณะนั่น ได้แก่ สาขาอมตะนคร ชลบุรี ในไตรมาส 3/2564 และสาขาในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในไตรมาส 4/2564 นโยบายในการเติบโตของดูโฮมที่ คุณอดิศักดิ์ วางไว้ และเป็นสโลแกนมาโดยตลอดคือ “ครบ ถูก ดี” และแนวคิดในการเพิ่มรายได้ของสินค้า Housebrand ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 20,000 SKU เช่น เครื่องมือช่าง ฮาร์ดแวร์ ประตู-หน้าต่าง วัสดุปูพื้น ผนัง เกษตร สวน-อุปกรณ์ประปา …

พามาฮู้จัก มหาเศรษฐีอันดับ 2 แห่งภาคอีสาน อดิศักดิ์ และนาตยา ตั้งมิตรประชา สองผู้ก่อตั้ง “ดูโฮม” มหาเศรษฐีอันดับ 38 ของไทย อ่านเพิ่มเติม »

พามาฮู้จัก “อุบลซันฟลาวเวอร์” อาณาจักรผลิตและส่งไฟฟ้า อันดับ 1 ของภาคอีสาน

อุบลซันฟลาวเวอร์ เป็นผู้ผลิตแป้งมันสำปะหลังออร์แกนิกรายใหญ่ของโลก และเป็นผู้ผลิตแป้งฟลาวมันสำปะหลังออร์แกนิก Gluten-free รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังคุณภาพดีภายใต้เครื่องหมายการค้า “อุบลซันฟลาวเวอร์” โดยผลิตแป้งมันสำปะหลังได้ 2 เกรด ได้แก่ เกรดอาหาร และเกรดอุตสาหกรรม มีกำลังการผลิตแป้ง 700 ตันต่อวัน โรงงานผลิตฟลาวมันสำปะหลังคุณภาพดีภายใต้เครื่องหมายการค้า “Tasuko” กำลังการผลิต 100 ตันต่อวัน อีกทั้งยัง เป็นผู้นำด้านการส่งออกแป้งมันสำปะหลังออร์แกนิคไปยังตลาดอเมริกา และยุโรปเป็นอันดับ 1 บริษัทฯ ประเดิมทุนครั้งแรกด้วยจำนวนเพียง 1 ล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,440 ล้านบาท ปี 2561 มีรายได้รวม 70 ล้านบาท และมีกำไรรวม -1 ล้านบาท ปี 2562 มีรายได้รวม 108 ล้านบาท และมีกำไรรวม 36 ล้านบาท ปี 2563 มีรายได้รวม 190 ล้านบาท และมีกำไรรวม 1 ล้านบาท ปี 2564 มีรายได้รวม 2,432 ล้านบาท และมีกำไรรวม -15 ล้านบาท หากพิจารณาจากข้อมูลการเพิ่มทุนจดทะเบียน และรายได้รวม จะพบว่ามีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรายได้จากปี 2563 ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากหลักร้อยล้าน พุ่งไปสูงถึงหลักพันล้าน อย่างไรก็ตาม ในการทำธุรกิจต่าง ๆ ต้องมีการจัดการกับความเสี่ยงที่ต้องเจอให้เหมาะสม ซึ่งต้องทําการศึกษาและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการลงทุน โดยพิจารณาพื้นที่ที่มีศักยภาพในเชิงเศรษฐกิจที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับธุรกิจ อ้างอิงจาก: เว็บไซต์ของบริษัท กรมพัฒนาธุรกิจการค้า #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อุบลซันฟลาวเวอร์ #ธุรกิจผลิตและส่งไฟฟ้า #อุบลราชธานี #UBS

พามาเบิ่งเรื่อง เงินๆ ทองๆ  การเงินของคนในอีสาน เป็นจังใด๋ ? ในปี 2565 (ม.ค.-ธ.ค.)

พามาเบิ่งเรื่อง เงินๆ ทองๆ  การเงินของคนในอีสาน เป็นจังใด๋ ? ในปี 2565 (ม.ค.-ธ.ค.)   อ้างอิงจาก: ธนาคารแห่งประเทศไทย   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #เงินสินเชื่อของคนในอีสาน #เงินสินเชื่อ #เงินกู้อีสาน #เงินกู้ #เงินฝากของคนในอีสาน #เงินฝาก

พามาเบิ่ง 8 อันดับอาณาจักรผลิตและส่งไฟฟ้า แห่งภาคอีสาน .

จากกระแสค่าไฟแพงในช่วงนี้ มื้อนี้ ISAN Insight & Outlook สิพามาเบิ่งธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและการส่งไฟฟ้าในภาคอีสาน ว่ามีบริษัทใด๋แหน่ อยู่จังหวัดใด๋ และมีรายได้ส่ำใด๋ อันดับที่ 1 อุบลซันฟลาวเวอร์ จำกัด จังหวัดอุบลราชธานี รายได้รวม 2,432 ล้านบาท อันดับที่ 2 ผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด จังหวัดนครราชสีมา รายได้รวม 1,311 ล้านบาท อันดับที่ 3 เอราวัณ เพาเวอร์ จำกัด จังหวัดหนองบัวลำภู รายได้รวม 1,122 ล้านบาท อันดับที่ 4 บัวใหญ่ ไบโอ เพาเวอร์ จำกัด จังหวัดนครราชสีมา รายได้รวม 983 ล้านบาท อันดับที่ 5 แอ๊ดวานซ์ อะโกร เพาเวอร์ แพลนท์ จำกัด จังหวัดสุรินทร์ รายได้รวม 575 ล้านบาท อันดับที่ 6 ขอนแก่นกรีนพาวเวอร์ จำกัด จังหวัดขอนแก่น รายได้รวม 505 ล้านบาท อันดับที่ 7 บุรีรัมย์พลังงาน จำกัด จังหวัดบุรีรัมย์ รายได้รวม 497 ล้านบาท อันดับที่ 8 บุรีรัมย์เพาเวอร์ จำกัด จังหวัดบุรีรัมย์ รายได้รวม 491 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า อันดับที่ 1 คือ “อุบลซันฟลาวเวอร์” ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัทอุบลไบโอเอทานอล โดยก๊าซชีวภาพที่บริษัทฯผลิตได้ส่วนหนึ่งจะนำไปผลิตไฟฟ้าขนาด 5.6 เมกะวัตต์ เพื่อใช้หมุนเวียนในโรงงานเพื่อลดต้นทุนการผลิต และผลิตกระแสไฟฟ้าขนาด 1.9 เมกะวัตต์ จำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท อ้างอิงจาก: – CredenData – เว็บไซต์ของบริษัท #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อาณาจักรผลิตและส่งไฟฟ้า #ธุรกิจผลิตและส่งไฟฟ้า #ไฟฟ้า

ผลไม้หน้าฮ้อน มาฮู้จัก ทุเรียนภูเขาไฟ VS ทุเรียนโอโซน ราชาผลไม้ไทยดินแดนอีสาน

ผลไม้หน้าฮ้อน มาฮู้จัก ทุเรียนภูเขาไฟ VS ทุเรียนโอโซน ราชาผลไม้ไทยดินแดนอีสาน   ทุเรียนได้รับฉายาว่าเป็น “ราชาแห่งผลไม้” (King of fruits) ด้วยรสชาติที่หวาน มัน และกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นที่ชื่นชอบของทั้งคนไทยและคนต่างชาติ  ปัจจุบัน จังหวัดศรีสะเกษเป็นแหล่งปลูกทุเรียนที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน “ทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ” ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญมีชื่อเสียง ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เป็นการยกระดับมาตรฐานของสินค้า สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ผู้ค้า ในด้านของคุณภาพและความปลอดภัย สำหรับ “ทุเรียนโอโซน” ต.บ้านไร่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ นั้นเน้นการรวมกลุ่มการผลิต และให้เกษตรกรเป็นผู้บริหารจัดการแบบครบวงจร ทั้งด้านการผลิต แปรรูปและการตลาด เพื่อให้ได้สินค้าเกษตรที่ให้ผลตอบแทนสูง  แม้ภาคอีสานจะไม่ใช่พื้นที่เพาะปลูกหลัก แต่มีแนวโน้มขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น เนื่องจากตลาดทุเรียนยังเปิดกว้าง และผลผลิตยังไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค   ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และกรมทรัพย์สินทางปัญญา   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ทุเรียนภูเขาไฟ #ทุเรียนโอโซน #ศรีสะเกษ #ชัยภูมิ

10 อันดับ สินค้า OTOP อีสาน  ไตรมาสแรก 2566 ทำรายได้เท่าใด๋ ?

10 อันดับ สินค้า OTOP อีสาน  ไตรมาสแรก 2566 ทำรายได้เท่าใด๋ ?   ส่องยอดขายสินค้า OTOP อีสานสูงสุด 10 อันดับ ในไตรมาสแรก ของปี 2566 สินค้า OTOP (One Tambon One Product) เป็นสินค้าที่ผลิตและจำหน่ายในท้องถิ่น ในแต่ละตำบล สะท้อนเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ได้อย่างชัดเจน ซึ่งมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละ 10-20% ตั้งแต่ปี 2546 ในอนาคต สินค้าโอทอปหรือผลิตภัณฑ์ชุมชนจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับสถานการณ์ของโลก โดยเฉพาะหลังโควิด-19 ซึ่งผู้บริโภคให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความยั่งยืน ความเท่าเทียม ความแท้จริง ความหลากหลาย และสุขภาพที่ดี คุณค่าเหล่านี้จะต้องเข้าไปอยู่ในผลิตภัณฑ์โอทอปยุคใหม่   นอกจากนี้ โลกได้เข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ช่องทางออนไลน์และการชำระเงินแบบ cashless มีความสะดวกง่ายดาย โอกาสจึงเปิดขึ้นมาก โดยเฉพาะหากได้คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้และคล่องเทคโนโลยี มีความคิดสร้างสรรค์ ได้มีโอกาสกลับบ้านเกิด ภาครัฐจึงควรมีโครงการจูงใจให้คนกลับบ้าน สร้าง OTOP Academy เพื่อให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้กลับเข้าไปชุบชีวิตผลิตภัณฑ์เดิม ต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้สอดรับกับเทรนด์การบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป    อ้างอิงจาก: กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย https://www.bangkokbiznews.com/columnist/1013822    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #OTOP #สินค้าOTOP #ขอนแก่น #นครราชสีมา #ศรีสะเกษ #อุบลราชธานี #อุดรธานี #ร้อยเอ็ด #กาฬสินธุ์ #สกลนคร #สุรินทร์ #มหาสารคาม

พามาฮู้จัก มหาเศรษฐีแห่งภาคอีสาน วิทูร สุริยวนากุล มหาเศรษฐีอันดับ 31 ของไทย ผู้ก่อตั้งธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างรายใหญ่

วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพามาทำความรู้จักมหาเศรษฐีอันดับ 31 ของไทย และเป็นอันดับ 1 ของภาคอีสาน คุณวิทูร สุริยวนากุล เป็นชาวจังหวัดร้อยเอ็ดโดยกำเนิด ได้ถูกจัดให้อยู่ในบัญชี 50 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทยหลายปีซ้อน โดยในปี 2565 คุณวิทูรติดอันดับมหาเศรษฐีไทยอันดับที่ 31 โดยมีมูลค่าทรัพย์สิน 1,050 ล้านดอลลาร์ หรือ 37,817 ล้านบาท 25 ปีที่แล้ว อดีตนายช่างรับเหมาก่อสร้างแห่ง ร้อยเอ็ด เปลี่ยนแนวคิดการค้าวัสดุก่อสร้างแบบดั้งเดิมให้กลายเป็นห้างสรรพสินค้าที่สะดวกและให้ราคายุติธรรม จนธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างแนวใหม่ “โกลบอลเฮ้าส์” ได้กระจายโมเดลธุรกิจไปทั่วอีสาน โดยตั้งเป้ารุกสู่ทุกหัวเมืองของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เส้นทางของมหาเศรษฐีคนนี้มีความเป็นมาอย่างไร? คุณวิทูร สุริยวนากุล จบการศึกษาระดับปริญญาตรี วิศวกรรมโยธา จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และปริญญาโทบริหารธุรกิจมหาบัญฑิต (MBA) มหาวิทยาลัยขอนแก่น เดิมพื้นเพครอบครัวของนายวิทูรประกอบอาชีพค้าปลีก-ส่งอาหารสัตว์ หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เขาประกอบอาชีพวิศวกรและผู้รับเหมาก่อสร้าง ในปี 2531 คุณวิทูรได้ขยับขยายมาสร้างกิจการร้านขายสุขภัณฑ์และฮาร์ดแวร์ในชื่อ “ร้อยเอ็ดฟาร์ม” กระทั่งปี 2538 ที่วิทูรมองว่าร้านร้อยเอ็ดฟาร์มเริ่มมีการเติบโตชะลอลง ขณะเดียวกันก็เริ่มสังเกตเห็นห้างค้าปลีกแบบโมเดิร์นเทรด เช่น makro, Tesco Lotus เริ่มแพร่หลายไปตามหัวเมืองต่างจังหวัด และได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ผู้บริโภค จึงเล็งเห็นว่าตนเองควรจะพัฒนาร้านให้ทันสมัย จากนั้นได้พัฒนาธุรกิจจากร้านค้าปลีกธรรมดาให้กลายเป็นร้านขายวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านในรูปแบบโมเดิร์นเทรดเป็นแห่งแรกใน จังหวัดร้อยเอ็ด ด้วยเงินลงทุน 150 ล้านบาท ในปี 2540 ท่ามกลางความห่วงใยจากซัพพลายเออร์และสถาบันการเงินว่าเมืองไทยในยามนั้นกำลังเผชิญวิกฤตฟองสบู่แตก การตัดสินใจปักหมุดโกลบอลเฮ้าส์ร้านแรกในภาคอีสานนับเป็นอาวุธลับ เพราะขณะที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ลูกจ้างจำนวนมากถูกให้ออกจากงานและบางส่วนบ่ายหน้าคืนมายังบ้านเกิดทางอีสานซึ่งไม่ได้รับผลกระทบทางลบจากค่าเงินบาทลอยตัว ในทางตรงข้ามราคาข้าวสารและราคาทองคำต่างพุ่งขึ้นเท่าตัว ส่งผลให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงขึ้น โกลบอลเฮ้าส์ ร้อยเอ็ด มียอดขายทะลุมากกว่าเป้าไปถึง 1 ล้านบาทต่อเดือนภายในเวลา 3 เดือนเท่านั้น ทำให้ในปี 2541 รายได้ของบริษัทเติบโต 27% และปี 2542 เติบโตมากกว่า 30% จนกระทั่งปี 2552 คุณวิทูรนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรกในนาม บริษัท สยามโกลบอลล์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (GLOBAL) และปัจจุบันสามารถขยายสาขาภายในประเทศได้ 78 สาขา อีกทั้งยังมีบริษัทย่อยในประเทศกัมพูชา หลังจากนั้นได้ขยายไปยังลาวและเมียนมาร์ อ้างอิงจาก: Forbes Forbes Thailand #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #คุณวิทูร #สุริยวนากุล #มหาเศรษฐีแห่งภาคอีสาน #อันดับมหาเศรษฐีของไทย #โกลบอลเฮ้าส์

Scroll to Top