ท่องเที่ยวไทย จีนไป เมกา มา อีสานไม่กระทบ สหรัฐฯ ยกไทยสู่ประเทศ ‘ปลอดภัยระดับ 1’ ในวันที่ชาวจีนไม่กล้าเที่ยวไทย

ในขณะที่นักท่องเที่ยวจีน🇨🇳ลดลงจากความกังวลเรื่องความปลอดภัย(จากจีนเทา) 🇺🇸สหรัฐฯ ยกไทยสู่ประเทศ ‘ปลอดภัยระดับ 1’ เทียบเท่า ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา และสิงคโปร์ สร้างแรงหนุนความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวโลก🧳

ในปี 2568 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้าประเทศไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยลดลงราว -46.1% ต่อเดือนตลอดช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในช่วงต้นปีลดลงไปประมาณ 1 ล้านคน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือคิดเป็นอัตราลดลงที่ -32.7%

นักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นกลุ่มหลักที่ประเทศไทยพึ่งพาในภาคการท่องเที่ยวมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนแต่ละคนมักใช้เวลาเที่ยวเฉลี่ย 5 – 7 วันต่อทริป และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 25,000 – 50,000 บาทต่อคน หรือประมาณวันละ 6,118 บาท แม้ว่าจะไม่สูงเท่านักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลางก็ตาม ที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 63,000 – 94,000 ต่อทริป ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นซึ่งอยู่ที่ราว 4,077 บาทต่อวัน ดังนั้น ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่สูงและมูลค่าการใช้จ่ายที่สูงนั้นส่งผลให้การลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศ และเศรษฐกิจในพื้นที่ยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวจีนมักเดินทางไปเยือน

ภาพที่ 1 จำนวนนักท่องเที่ยว 5 เดือนแรกของไทยแบ่งตามสัญชาติ 10 อันดับแรก

ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

จากรายงานของ KKP Research พบว่า ชาวจีนกว่า 50% มองว่าไทยไม่ปลอดภัย เพิ่มขึ้นจาก 38% ในปีก่อน ปัจจัยที่ส่งผลต่อทัศนคตินี้รวมถึงกรณีข่าวลักพาตัวชาวจีน การปราบปรามธุรกิจสีเทา และเหตุการณ์ภัยพิบัติในไทยที่ถูกขยายผ่านสื่อจีน โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระที่ให้ความสำคัญกับประเด็นเหล่านี้เป็นพิเศษมากกว่าผู้ที่เดินทางกับกรุ๊ปทัวร์ อีกทั้ง ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในจีน ทำให้ชาวจีนมีแนวโน้มใช้จ่ายระมัดระวังมากขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนเองก็ผลักดันนโยบาย “เที่ยวในประเทศ” เพื่อลดการไหลออกของเงินตราและกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ทำให้การเดินทางออกนอกประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่กลับมาสูงถึง 93.6% ของระดับก่อนโควิดแล้ว
นอกจากนี้ยังรายงานอีกว่า นักท่องเที่ยวจีนในปัจจุบันเลือกเดินทางด้วยตนเองมากขึ้น แทนการมาแบบกรุ๊ปทัวร์เหมือนในอดีต ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลต่อรูปแบบการใช้จ่าย ความคาดหวัง และประสบการณ์ที่ต้องการในต่างประเทศ โดยกลุ่ม FIT มักให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความปลอดภัย และประสบการณ์เฉพาะตัว มากกว่าราคาเพียงอย่างเดียว ทั้งยังมีแนวโน้มเที่ยวซ้ำเฉพาะพื้นที่ที่ชอบ ทำให้การตัดสินใจมาเที่ยวประเทศเดิมซ้ำต้องใช้เวลาพิจารณามากขึ้น

อย่างไรก็ดี แม้การลดลงของนักท่องเที่ยวจีนจะกระทบต่อภาพรวมรายได้จากการท่องเที่ยว แต่ก็มีสัญญาณบวกจากนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการปรับคำแนะนำการเดินทาง (Travel Advisories) ของประเทศไทยเป็นระดับ 1 (Level 1: Exercise Normal Precautions) ให้ใช้ความระมัดระวังตามปกติในการเดินทางในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม บางพื้นที่ยังคงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยมีเพียงพื้นที่บริเวณ 4 จังหวัดในภาคใต้ที่ควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อเดินทางไป ได้แก่ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา เนื่องจากความไม่สงบจากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบในพื้นที่

อาจเป็นรูปภาพของ 1 คน
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ (รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) แถลงข่าวเรื่อง “สหรัฐฯ ประกาศยกระดับไทย เป็นประเทศปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว (Level 1)เพิ่มความเชื่อมั่นการท่องเที่ยวไทยในสายตาชาวโลก”

ทั้งนี้ บริเวณ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นไม่ได้มีการปรับขึ้นเป็นระดับ 1 ตามจังหวัดอื่นๆ แต่ยังคงเป็นระดับ 2 (Level 2:  Exercise Increased Caution) ให้ใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีเหตุการณ์ความรุนแรงเป็นระยะระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส โดยใน 17 อำเภอของจังหวัดเหล่านี้ ยังคงอยู่ภายใต้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเนื่องจากความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง

สำหรับคำแนะนำการเดินทางของทางกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกานั้นจัดเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ใช้สื่อสารความเสี่ยงและข้อควรระวังสำหรับประชาชนชาวอเมริกันที่จะไปเที่ยวยังต่างประเทศ ซึ่งจัดทำขึ้นโดยเฉพาะสำหรับพลเมือง สัญชาติ หรือผู้มีถิ่นพำนักถาวรในสหรัฐฯ เพื่อประเมินภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละประเทศและแนะนำวิธีรับมือที่เหมาะสม ซึ่งแสดงระดับคำเตือนตั้งแต่ระดับ 1 ถึงระดับ 4 โดยแต่ละระดับมีความหมายที่แตกต่างกัน ได้แก่

  • ระดับ 1 คือ “ใช้ความระมัดระวังตามปกติ” ซึ่งเป็นระดับความเสี่ยงต่ำที่สุด
  • ระดับ 2 คือ “ใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น” เนื่องจากมีความเสี่ยงเฉพาะด้าน
  • ระดับ 3 คือ “พิจารณาเลื่อนการเดินทาง” เพราะมีความเสี่ยงร้ายแรงด้านความปลอดภัย
  • ระดับ 4 คือ “ห้ามเดินทาง” ซึ่งเป็นระดับสูงสุดและแสดงถึงภัยคุกคามถึงชีวิต โดยรัฐบาลสหรัฐฯ อาจไม่สามารถให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉินได้

คำแนะนำแต่ละฉบับจะถูกทบทวนตามรอบเวลา โดยคำแนะนำระดับ 1 และ 2 จะได้รับการตรวจสอบอย่างน้อยทุก 12 เดือน ส่วนระดับ 3 และ 4 จะได้รับการทบทวนทุก 6 เดือน หรือทันทีที่มีสถานการณ์เปลี่ยนแปลง เช่น การปรับลดเจ้าหน้าที่สถานทูตจากเหตุความไม่สงบ โดยในการประเมินความเสี่ยง กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาปัจจัยหลากหลาย เช่น ความเสี่ยงด้านอาชญากรรม (C), การก่อการร้าย (T), ความไม่สงบทางการเมืองหรือศาสนา (U), วิกฤตด้านสุขภาพ (H), ภัยธรรมชาติ (N), เหตุการณ์เฉพาะช่วงเวลา (E), ความเสี่ยงจากการลักพาตัว (K), การคุมขังโดยมิชอบ (D) และภัยคุกคามอื่น ๆ (O) ที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้เดินทาง ทำให้การปรับขึ้นเป็นระดับที่ 1 นั้นอาจส่งผลให้แนวโน้มของนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันที่เข้ามายังประเทศไทยนั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้น

ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมาของปี 2568 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันเข้ามาประมาณ 470,000 คน คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นประมาณ 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันแม้อาจจะไม่เยอะเท่านักท่องเที่ยวชาวจีน แต่ก็สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในบริเวณพื้นที่ และกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยจากนักท่องเที่ยวได้ดี เนื่องจากหากเทียบมูลค่าการใช้จ่ายต่อทริปของนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันนั้นค่อนข้างจะสูงกว่านักท่องเที่ยวชาวจีน ทำให้ในด้านของมูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อหัวนักสูงกว่า แต่ในด้านของปริมาณนั้นไม่สามารถทดแทนได้

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า แม้การลดลงของนักท่องเที่ยวชาวจีนจะส่งผลต่อเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต หรือพัทยา แต่สำหรับภาคอีสานซึ่งมีโครงสร้างนักท่องเที่ยวต่างชาติที่แตกต่าง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว ผลกระทบจึงไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในภูมิภาคนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวลาวที่ข้ามแดนเข้ามา ทั้งเพื่อท่องเที่ยว ติดต่อธุรกิจ หรือเยี่ยมญาติในฝั่งไทย โดยพื้นที่ชายแดนไทย-ลาวถือเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญด้านเศรษฐกิจและการค้า ทำให้มีการเดินทางเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ นักท่องเที่ยวชาวลาวจำนวนมากนิยมขับรถยนต์เข้ามายังจังหวัดใกล้เคียง เช่น หนองคาย อุดรธานี ขอนแก่น และนครราชสีมา จึงกล่าวได้ว่า แม้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนจะลดลง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาพรวมของนักท่องเที่ยวต่างชาติในภาคอีสาน

ภาพที่ 2 จำนวนชาวต่างชาติผ่านด่านบกภาคอีสานช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568

ที่มา: Travel Link

อ้างอิง

#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #เศรษฐกิจไทย #นักท่องเที่ยวจีน #นักท่องเที่ยวต่างชาติ #การท่องเที่ยวไทย

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top