Article

โอกาสจากเทรนด์ Solo Consumer เมื่อคนอยู่เป็นโสดมากขึ้น

Solo Consumer พฤติกรรมผู้บริโภคฉายเดี่ยว กิน ชอป เที่ยว พักคนเดียว แบบไม่ง้อใคร กำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก . สำหรับประเทศไทย จากสถิติที่ผ่านมาคนแต่งงานน้อยลง และหย่าร้างมากขึ้น ทำให้สัดส่วนคนโสด รวมไปถึงผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตคนเดียวเพิ่มขึ้น โดยพบว่า มีการจดทะเบียนสมรสลดลง 13.7% จาก 3.1 แสนคนในปี 2555 มาอยู่ที่ 2.7 แสนคนในปี 2563 ขณะที่มีการจดทะเบียนหย่าเพิ่มขึ้น 8% จาก 1.1 แสนคนในปี 2555 มาเป็น 1.2 แสนคนในปี 2563 . ส่วนภาคอีสาน พบว่า มีการจดทะเบียนสมรสลดลงถึง 18% สวนทางกับการจดทะเบียนหย่าที่เพิ่มขึ้น 5.7% . แนวโน้มผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตคนเดียวเพิ่มขึ้น ถ้ามองมากกว่าแค่ปัญหาสัดส่วนประชากรและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ก็ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจด้วยเช่นกัน โดยผู้ประกอบการอาจนำเสนอสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์เหล่า Solo Consumer ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง เนื่องจากไม่มีภาระครอบครัว ไม่มีลูก ทำให้มีเวลาและเงินในการดูแลตัวเอง . ถ้าไปดูต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่นที่บรรจุภัณฑ์ของสินค้าต่าง ๆ จะมีขนาดเล็กลง เหมาะสำหรับการใช้หรือบริโภคคนเดียวมากขึ้น มีบริการเช่าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเพื่อที่จะไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเยอะและเปลี่ยนได้ตลอด หรือในโลกตะวันตก สถานดูแลผู้สูงอายุมีการเติบโตที่สูงมาก และยังพบว่าคนโสดไม่ชอบสะสมทรัพย์สินแต่นิยมการเช่ามากกว่าการซื้อ . ในไทยเอง จะเห็นว่าร้านอาหารบางร้านได้เริ่มจัดโต๊ะเพื่อบริการลูกค้านั่งทานคนเดียวมากขึ้น อย่างร้าน A Ramen – ราเมงข้อสอบ ร้านราเมงที่จัดโต๊ะเป็นช่อง ๆ เหมือนให้ลูกค้านั่งทำข้อสอบ ซึ่งให้ความรู้สึกสบายใจเวลามานั่งรับประทานอาหารคนเดียว . อีกหนึ่งแนวโน้มที่เห็นได้ชัดคือ ผู้มีสัตว์เลี้ยงเพิ่มสูงขึ้น โดย McKinsey พบว่าระหว่างปี 2558-2563 เพิ่มขึ้นถึง 23% ในอนาคตคาดว่าหุ่นยนต์หรือ Chatbot ที่สามารถตอบโต้กับบุคคลได้อย่างชาญฉลาดจะกลายเป็นอีกหนึ่งเพื่อนคลายเหงาสำหรับครัวเรือนคนเดียว และเป็นไปได้ว่าจะซื้อหุ่นยนต์มาอยู่เป็นเพื่อนแทนการเลี้ยงสัตว์ . ข้อมูลจาก Euromonitor พบว่า ในปี 2562 อัตราค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนคนเดียวของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ (ประมาณ 320,000 บาทต่อครัวเรือน) เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอย่างจีน สิงค์โปร์ หรือ ญี่ปุ่น (ประมาณ 970,000 บาทต่อครัวเรือน) แต่คาดว่าจากปี 2562-2583 ครัวเรือนคนเดียวในไทยจะมีค่าใช้จ่ายด้านนี้เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 150% นั่นคือธุรกิจสำหรับคนโสดในประเทศไทยยังมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก . . อ้างอิงจาก: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, กรุงเทพธุรกิจ, ฐานเศรษฐกิจ และ SME Thailand . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #SoloConsumer

“ยางพารา” พืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ เติบโตในภาคอีสานได้อย่างไร

รู้กันดีว่า ประเทศที่ส่งออกยางพาราเป็นอันดับ 1 ของโลกมาโดยตลอดอย่างไทยมีแหล่งผลิตยางพาราคุณภาพในพื้นที่ภาคใต้ แต่รู้หรือไม่ว่า พื้นที่ภาคอีสานก็เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่เกษตรกรนิยมปลูกยางพารา และสามารถผลิตน้ำยางที่มีคุณภาพได้ไม่แพ้ที่อื่น .  ยางพาราเข้ามาให้ภาคอีสานได้อย่างไร? . เดิมทีการปลูกยางพาราของภาคอีสานในช่วงแรกเป็นการทดลองปลูกโดยชาวบ้านทั่วไป เรียกได้ว่าเป็นการปลูกแบบ “ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ” จนกระทั่งเกิด วิกฤตการณ์น้ำมันในปี 2516 ทำให้ยางธรรมชาติถูกนำเข้าแทนยางสงเคราะห์ . จึงมองว่ายางพารา “เป็นพืชที่มีอนาคตสดใส” และ “เป็นโอกาสทองที่จะเร่งรัดการผลิตยางเพื่อป้อนความต้องการของตลาดในอนาคต” นำมาสู่การสนับสนุนให้มีการปลูกยางพาราในพื้นที่แห่งใหม่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “อีสาน” . ภาครัฐได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการส่งเสริม วิจัยและพัฒนา จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากความคิดที่ว่า “ยางพาราปลูกไม่ได้ในภาคอีสาน” มาเป็น “ยางพาราปลูกได้ดีในภาคอีสาน” กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นการทดลองของหน่วยงานอื่น ๆ ตามมา . ระยะถัดมา การที่ยางพาราถูกมองเป็นพืชเศรษฐกิจที่ “ทำรายได้เข้าประเทศสูง” ทั้งยัง ถูกสร้างให้เป็นภาพแทนของ “ป่า” ที่จะช่วยทำให้สภาพแวดล้อมของอีสานดีขึ้น ภาครัฐจึงตัดสินใจใช้ยางพาราเพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาอีสานผ่านโครงการต่าง ๆ ทั้งโครงการเร่งรัดการปลูกยางพารา เพื่อกระจายรายได้ในภูมิภาคเอง โครงการอีสานเขียว โครงการสงเคราะห์ปลูกยางพาราแก่ผู้ที่ไม่มีสวนยางมาก่อน เป็นต้น . ระยะสุดท้าย เป็นช่วงการขยายตัวของการปลูกยางพาราโดยเกษตรกรรายย่อยและนายทุนรายใหญ่ โดยผลผลิตและรายได้ที่ได้จากการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากยางรุ่นแรก ได้ทำให้เกษตรกรคนอื่น ๆ ที่ไม่มั่นใจเริ่มหันมาปลูกยางพารา ประกอบกับราคายางพาราที่เพิ่มสูงขึ้นนับตั้งแต่ปี 2545 โดยเฉพาะในปี 2554 ที่ราคาพุ่งขึ้นสูงเกินกว่า 100 บาท ทำให้พื้นที่ปลูกยางพาราในภาคอีสานขยายตัวอย่างรวดเร็ว . .  กรณีศึกษา “ธุรกิจยางพาราหมื่นล้าน” ในภาคอีสาน บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER . NER ก่อตั้งโดย คุณชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ซึ่งคุณพ่อของคุณชูวิทย์ได้เริ่มปลูกยางพาราในพื้นที่อีสานใต้ ตั้งแต่ปี 2527 ทำให้เกษตรกรในภาคอีสานเริ่มสนใจและหันมาปลูกยางพาราเพื่อสร้างรายได้ แต่ก็ต้องพบกับปัญหาที่ภาคอีสานนั้น “ไม่มีสถานที่รับซื้อยางพารา” จึงต้องนำผลผลิตยางพาราที่ได้ไปขายที่จังหวัดระยอง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงและยังโดนกดราคา . “เมื่อปัญหานำมาสู่โอกาสทางธุรกิจ” . ปัญหาดังกล่าวก็ได้ทำให้คุณชูวิทย์เห็นถึงโอกาส โดยได้ตัดสินใจตั้งโรงงานแปรรูปยางพาราขึ้นมาชื่อว่า “นอร์ทอีส รับเบอร์” หรือ NER ในปี 2549 เริ่มจากการรับซื้อยางจากเกษตรกรในบริเวณใกล้เคียงและนำมาแปรรูปเป็นยางแผ่นรมควันขายให้กับคู่ค้าทั่วประเทศ . ช่วงแรกของการทำธุรกิจก็ได้พบกับวิกฤตครั้งใหญ่ จากการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า โดยที่ไม่ Stock ของไว้ในมือ เมื่อราคาของยางพาราวิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทไม่มีเงินพอที่จะซื้อของมาขายตามที่สัญญาไว้ได้ คุณชูวิทย์จึงตัดสินใจบินไปหาคู่ค้าที่สิงคโปร์ด้วยตัวเองและชี้แจงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น โดยขอผ่อนชำระหนี้ในระยะยาวกับคู่ค้าแทน ซึ่งคู่ค้าเห็นด้วย และยังสามารถเป็นคู่ค้ากันต่อไปได้ . จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทำให้เปลี่ยนวิธีทำธุรกิจเป็นแบบ “Matching” คือ ซื้อเข้ามาแล้วขายออกเลย หรือรับออร์เดอร์ขายเข้ามาก่อน แล้วค่อยซื้อเข้ามาเก็บไว้ ทำให้บริษัทไม่ต้องรับความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของต้นทุนสินค้าอีกต่อไป . กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้สม่ำเสมอในระยะยาว แม้ว่าวัตถุดิบอย่างยางพาราจะเป็นสินค้าที่มีวัฏจักรราคาหรือรอบของมันก็ตาม เมื่อบริษัทมีความมั่นคงและเป็นที่รู้จักมากขึ้น จึงขยายโรงงาน …

“ยางพารา” พืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ เติบโตในภาคอีสานได้อย่างไร อ่านเพิ่มเติม »

Medical Tourism ทางเลือก หรือ ทางรอด ของไทยต่อจากนี้

 Medical Tourism คืออะไร สำคัญยังไง? . หลายคนคงยังไม่รู้ว่า ก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 รายได้ที่กำลังเติบโตด้านหนึ่งของประเทศไทย มาจากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) ซึ่งก็คือ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีจุดประสงค์เดินทางเข้ามาในไทยเพื่อทำการผ่าตัดหรือรักษาโรค ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยว โดยเป็นช่องทางรายได้ที่รัฐบาลไทยวางโร้ดแมปเป็นนโยบายไว้ตั้งแต่ปี 2559 ภายใต้ชื่อ “ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) (พ.ศ.2560 – 2569) .  จากโครงสร้าง Medical Tourism ของไทย ใครคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย? . อันดับแรก คงหนีไม่พ้นผู้ให้บริการทางการแพทย์ ได้แก่ โรงพยาบาล สถานพยาบาล ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ และศูนย์การแพทย์เพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะที่เจาะกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยมจากต่างประเทศ ซึ่งกินสัดส่วนรายได้ประมาณ 50% ของการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ . รองลงมา เป็นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว สายการบิน และค้าปลีกที่อยู่ในโซนท่องเที่ยว กินสัดส่วนรายได้ 35.7 % ของการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ . สุดท้าย ธุรกิจการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ยาและเวชภัณฑ์ อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ รวมไปถึงการแพทย์ทางเลือก เช่น ธุรกิจสปา และแพทย์แผนไทย ที่กินสัดส่วนรายได้อีก 14.3 % ของการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ .  พฤติกรรมนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทย เป็นอย่างไร? . ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยนิยมใช้บริการ “ทันตกรรม” มากที่สุด คิดเป็น 38% ของจำนวนนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ทั้งประเทศ ขณะที่ “การศัลยกรรมความงาม” สร้างรายได้มากที่สุด โดยในปี 2562 การศัลยกรรมความงามสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศไทยกว่า 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7 หมื่นล้านบาท .  อนาคตตลาด Medical Tourism ของไทย จะโตแค่ไหน? . ตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยมีโอกาสเติบโตตามเทรนด์ของตลาดโลกที่คาดว่าจะแข่งขันกันดุเดือดขึ้นหลังสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งไทยมีความพร้อมสูง เนื่องจากเป็นศูนย์กลางด้านการบริการสุขภาพหลักของเอเชีย โดยมีนักท่องเที่ยวที่จัดอยู่ในเชิงการแพทย์ของทั้งภูมิภาคเอเชียราว 38% และมีสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานตามระบบสากล (JCI) มากถึง 60 แห่ง มากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย และเป็นอันดับ 4 ของโลก . อีกทั้งมีปัจจัยสนับสนุนที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นการที่แพทย์ไทยเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะการศัลยกรรมความงาม และการรักษาพยาบาลเฉพาะทาง เช่น ภาวะมีบุตรยาก เวชศาสตร์ชะลอวัย และผ่าตัดแปลงเพศ การที่ไทยมีค่ารักษาพยาบาลก็ถูกกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคและประเทศช้ันนำอย่างสหรัฐฯ และมีค่าครองชีพที่ไม่สูงมาก เหมาะแก่การพำนักรักษาตัวและพักฟื้นร่างกายในระยะยาว . Allied Market Research คาดว่า มูลค่าตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยในปี 2566 …

Medical Tourism ทางเลือก หรือ ทางรอด ของไทยต่อจากนี้ อ่านเพิ่มเติม »

Genderless Fashion เสื้อผ้าไม่จำกัดเพศในญี่ปุ่น กับการพัฒนาของผู้ประกอบการไทย

ปัจจุบัน Genderless Fashion หรือเทรนด์เสื้อผ้าไม่จำกัดเพศ ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ที่มีมุมมองทางความคิด รวมไปถึงพฤติกรรมการแสดงออกที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อนอย่างชัดเจน . สำนักข่าว Nikkei MJ ได้รวบรวมผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของวัยรุ่นญี่ปุ่นในช่วงอายุ 16-26 ปี จำนวน 5,013 คน โดยหนึ่งในนั้นมีคำถามที่ว่า “คิดเห็นอย่างไรกับการแยกสินค้าหรือโซนจำหน่ายสินค้าของชาย/หญิง” น่าสนใจว่า มีผู้ที่รู้สึก “ไม่จำเป็น” ถึง 17.9% ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่ไม่น้อยเลยสำหรับวัยรุ่น Gen Z ที่มีแนวคิดแบบ Genderles . อีกทั้ง เมื่อนำคำถามเดียวกันนี้ไปถามกับคนเจนมิลเลนเนียลส์ หรือคนวัยทำงาน/วัยกลางคน ก็ยังพบว่า วัยรุ่น Gen Z สนใจในความ Genderless มากกว่าเจนมิลเลนเนียลส์ และมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้จากแบรนด์สินค้ารายใหญ่ ๆ ที่วางขายสินค้าประเภทนี้ เช่น . Muji ได้นำสินค้า Genderless ออกมาวางจำหน่ายในชื่อ “Muji Labo” หลังพบว่า มีกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้ต้องการมีเสื้อผ้าจำนวนมาก แต่ต้องการเสื้อผ้าที่สามารถใช้งานได้ง่าย หยิบใส่ได้หลากหลายโอกาส ซึ่งหมายรวมถึงการไม่มีข้อจำกัดเรื่องเพศ ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าที่มาซื้อสินค้า Genderless ของ Muji ส่วนใหญ่จะมีอายุประมาณ 20-30 ปี . 4℃ แบรนด์เครื่องประดับสุดคลาสสิก ที่ออกสินค้า Genderless มาในชื่อ “4℃ HOMME+” เพื่อตีตลาดกลุ่มวัยรุ่น 20-35 ปี ให้มากขึ้น โดยยังคงแนวคิดที่ว่า “ต้องการใกล้ชิดกับผู้ที่สวมใส่โดยไม่คำนึงถึงเพศและอายุ และแสดงความฉลาดล้ำนำยุคหนึ่งก้าว” . GU แบรนด์เสื้อผ้าราคาย่อมเยา ที่มาพร้อมกับแนวคิด “Fashion with More Freedom” ล่าสุดได้เปิดตัวคอลเล็กชันที่ไม่คำนึงถึงเพศและอายุ โดยนำเสนอผ่านดารานางแบบและนักแสดง 5 คนที่มีเพศและวัยต่างกัน . เทรนด์สินค้าแฟชั่นในญี่ปุ่นที่หันไปนิยม Genderless มากขึ้น เป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทย เพราะแนวโน้มของการบริโภคสินค้าจำพวกเสื้อผ้าและเครื่องประดับค่อนข้างใกล้เคียงกัน ดังนั้นหากผู้ประกอบการไทยลองหันมาให้ความสนใจสินค้าประเภทนี้ นอกจากจะตอบโจทย์ผู้บริโภคในกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นตัวชี้วัดกระแสในอนาคตแล้ว ยังเป็นการขยายฐานกลุ่มลูกค้าที่ไม่มีการจำกัดเพศด้วย . อย่างภาคอีสานเอง ถ้าหากพูดถึงเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ไม่จำกัดเพศ ยังถือว่ามีน้อย โดยเฉพาะที่เป็น Local Brand จะพบว่า การพัฒนาต่อยอดส่วนใหญ่มักเน้นไปที่รูปทรงและลวดลายที่แปลกใหม่ ทันสมัย แต่ลองคิดดูว่า ถ้าผลิตภัณฑ์ฝ้ายคุณภาพสีไม่ฉูดฉาดอย่าง ผ้าย้อมคราม (สกลนคร) หรือผ้าหมักโคลน (มุกดาหาร) ถูกนำมาตัดเย็บและนำเสนอความเป็น Genderless จะน่าสนใจและสร้างแรงกระเพื่อมให้แวดวงแฟชั่นได้มากขนาดไหน . . ที่มา: ข่าวเด่นฉบับที่ 13 [เสื้อผ้า …

Genderless Fashion เสื้อผ้าไม่จำกัดเพศในญี่ปุ่น กับการพัฒนาของผู้ประกอบการไทย อ่านเพิ่มเติม »

“อีหล่า มาร์เก็ต” ร้านค้ายุคใหม่ ฉีกทุกกฎร้านโชห่วยแบบเดิม ๆ

ประเทศไทยมีร้านค้าปลีกขนาดเล็กหรือร้านโชห่วยกว่า 400,000 ร้าน โดยกระจายตัวมากที่สุดในภาคอีสาน คิดเป็นสัดส่วนถึง 34% รองลงมาเป็น ภาคกลาง 22% ภาคเหนือ 16% ภาคใต้ 15% และกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ 13% ตามลำดับ . ท่ามกลางการแข่งขันของร้านค้าประเภทต่าง ๆ ทั้งร้านที่อยู่มานาน ร้านที่จำต้องปิดตัวลง รวมไปถึงร้านใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นและต้องเผชิญความท้าทายอย่างหนัก ครั้งนี้เราจึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “อีหล่า มาร์เก็ต” ร้านโชวห่วยของคนรุ่นใหม่ ว่าเขามีแนวคิดอะไร ที่ทำให้สามารถฉีกกฎของร้านโชห่วยรูปแบบเดิม ๆ ได้ . 1. เข้าใจความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง จากการที่เป็นคนในพื้นที่ และได้ศึกษาถึงพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้ามาตลอด ทำให้รู้ว่าควรปรับร้านยังไงให้ตรงใจผู้บริโภคในชุมชน เช่น ด้วยความที่อยากปรับให้ร้านดีขึ้น มีของครบทุกอย่าง จนพบว่าของบางอย่างไม่เหมาะกับการขายในชุมชน เคยเอาเนื้อหมูสดแพ็กมาขายเหมือนในห้าง แต่ปรากฏว่าลูกค้าซื้อเนื้อหมูสดแบบเอามีดปาดชั่งกิโลเหมือนเดิม . การทำความเข้าใจพฤติกรรมการบริโภคของชุมชน ทำให้ อีหล่า มาร์เก็ต ยึดคอนเซปต์เดิมเรื่อยมา ตั้งแต่วันแรกที่ขายจนถึงทุกวันนี้ คือ “ขายของตลาดสด แต่อยู่ในห้องแอร์ ระบบต้องเหมือนห้าง แต่การขายต้องเหมือนเดิม” . 2. กล้าที่จะเปลี่ยน พร้อมที่จะปรับ เริ่มทำสิ่งใหม่ ๆ จากร้านโชห่วยในต่างจังหวัดที่ทุกคนคุ้นตา ด้วยภาพจำเรื่องการจัดวางที่แออัด ทับซ้อน มองดูไม่สบายตา ทำให้ผู้บริโภคยุคใหม่หันไปใช้บริการซูเปอร์มาร์เก็ตแทน . การทำอะไรใหม่ ๆ เป็นสิ่งที่ยากเสมอ แต่ด้วยความคิดของคนรุ่นใหม่ที่อยากปรับร้านให้โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เน้นความสด สะอาด ของสินค้า ร้านโปร่งโล่ง ติดเครื่องปรับอากาศ และจัดโซนสินค้าแยกประเภทชัดเจน สิ่งที่ดีพร้อมพัฒนา สิ่งที่ควรปรับพร้อมปรับปรุงแก้ไข . 3. ไม่ได้ขายแค่สินค้า แต่ขายความเชื่อใจด้วย ในวันที่ร้านค้า ร้านโชห่วยเกิดขึ้นตลอด ประกอบกับห้างร้านขนาดใหญ่ขยายตัวสู่ชุมชนมากขึ้น สิ่งที่เจ้าของร้านทำเพื่อรักษาฐานลูกค้าให้กับร้าน คือการสร้างความเชื่อใจ . โดยให้ความสำคัญกับความรู้สึกของลูกค้าเป็นอันดับแรก สินค้ากับคุณภาพสามารถหาซื้อได้ทั่วไป แต่ความรู้สึกดี ๆ มีให้กันไม่ได้ทุกที่ เมื่อร้านมีความซื่อสัตย์ ลูกค้าก็แวะเวียนกลับมาใช้บริการ เกิดการบอกต่อ ร้านได้ลูกค้า ลูกค้าได้ความสบายใจ ผลคือได้ทั้งสองฝ่าย เกิดเป็นการซื้อขายที่มีความสุข . 4. สร้างรายได้หมุนเวียน และเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน อีหล่า มาร์เก็ต คือร้านค้าในชุมชน ก่อตั้งโดยลูกหลานในชุมชน เพื่อคนในชุมชน นอกจากบริการสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ชุมชนแล้ว ยังช่วยเหลือและดูแลชุมชนไปพร้อม ๆ กัน โดยให้ชาวบ้านนำสินค้าหรือผักที่ปลูกมาวางขายได้ เกิดการแลกเปลี่ยน สร้างรายได้หมุนเวียนเศรษฐกิจในชุมชน . นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ธุรกิจ โดยเปิดพื้นที่ให้กลุ่มต่าง ๆ เข้ามาเรียนรู้การทำธุรกิจค้าขายและการขายสินค้าเกษตร ให้กับน้อง ๆ ตั้งแต่นักเรียนชั้นอนุบาลไปจนถึงนักศึกษาจากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และยังเป็นสถานที่ศึกษาดูงานของกลุ่ม OTOP ของตำบลอีกด้วย …

“อีหล่า มาร์เก็ต” ร้านค้ายุคใหม่ ฉีกทุกกฎร้านโชห่วยแบบเดิม ๆ อ่านเพิ่มเติม »

ธุรกิจสัตว์เลี้ยงรุ่ง พุ่งแตะหมื่นล้าน โอกาสเติบโตสูง คู่แข่งน้อย

ปัจจุบันเทรนด์การเลี้ยงสัตว์โดยให้ความอบอุ่นเปรียบเมือนคนในครอบครัวกำลังได้รับความนิยม ทำให้เกิดปรากฏการณ์ Pet Humanization ที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่ได้มองว่าตัวเองคือเจ้าของแต่เป็น “พ่อแม่” ของสัตว์เลี้ยงมากกว่า . กระทรวงพาณิชย์ เผยผลประกอบการ “กลุ่มธุรกิจขายปลีกสัตว์เลี้ยงและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง” ตั้งแต่ปี 2561 – 2563 พุ่งแตะ 1 หมื่นล้านบาท/ปี และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนจากการเลี้ยงแบบ Ownership ไปสู่ Pet Parents . ธุรกิจมีโอกาสเติบโตอีกมาก ขณะที่คู่แข่งในตลาดยังมีน้อย . ปัจจัยที่ทำให้ความต้องการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากจำนวนครอบครัวเดี่ยวและคนโสดเพิ่มมากขึ้น คู่สมรสมีบุตรน้อยลง คนเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่ใช้ชีวิตหลังเกษียณอยู่บ้านจึงมองหาสัตว์เลี้ยงมาเป็นเพื่อน . การทำงานที่บ้าน (Work From Home) มากขึ้น ทำให้มีเวลาใส่ใจดูแลบ้านและสัตว์เลี้ยงเป็นพิเศษ ประกอบกับการหาข้อมูลความรู้เรื่องผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงทำได้ง่าย และสามารถซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้สะดวกมากขึ้น . ข้อมูล ณ สิ้นเดือน ตุลาคม 2564 ผู้ประกอบการในธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลและดำเนินกิจการอยู่ มีจำนวน 480 ราย ทุนจดทะเบียน 2,559 ล้านบาท ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ 195 ราย คิดเป็น 40.62% ของทั้งประเทศ สำหรับภาคอีสานมีเพียง 32 ราย (6.67%) ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา ร้อยเอ็ด และอุดรธานี . . 5 ธุรกิจเกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงที่กำลังได้รับความนิยม . 1. ธุรกิจขายอาหารและขนม สำหรับสัตว์เลี้ยง ที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุด เนื่องจากมีอัตราการทำกำไรที่สูง ผู้คนเต็มใจที่จะจ่ายสำหรับสัตว์เลี้ยงของตน โดยเฉพาะขนมเพื่อสุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยง ที่กำลังได้รับความนิยมที่ช่วยให้สุขภาพสัตว์เลี้ยงดีขึ้น อย่างไรก็ตามการขายอาหารสัตว์ของน้องหมา น้องแมวต้องขออนุญาตจากกรมปศุสัตว์เท่านั้น . 2. ธุรกิจคาเฟ่สัตว์เลี้ยง โมเดลคาเฟ่สัตว์เลี้ยง ได้กลายเป็นจุดขายหนึ่งในปัจจุบัน ที่นำความน่ารักของสัตว์มาเป็นตัวดึงดูดคนรักสัตว์เข้ามานั่งในร้าน เรียกว่าตอบโจทย์ได้ทั้งกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์ และคนรักสัตว์แต่ไม่สามารถเลี้ยงเองได้ . 3. ธุรกิจอาบน้ำ – ตัดขนสัตว์ เพื่อตอบโจทย์เรื่องความสะอาดของสัตว์เลี้ยงสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา ซึ่งในปัจจุบันมีบริการอาบน้ำตัดขนสัตว์เลี้ยงแบบเดลิเวอรี่อีกด้วย หากต้องการประกอบธุรกิจนี้ปัจจัยสำคัญที่จำเป็นต้องมีคือ ความรู้เรื่องสัตว์เลี้ยง เช่น สายพันธุ์ สภาพเส้นขน นิสัยและความดุร้าย เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ตัดแต่งขนให้เหมาะสมกับแต่ละสายพันธุ์ รวมถึงต้องผ่านการอบรมหลักสูตรเรียนตัดขนอีกด้วย . 4. ธุรกิจขายเสื้อผ้าและเครื่องประดับสัตว์เลี้ยง เสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงดึงดูดใจบรรดาเจ้าของเป็นพิเศษ เนื่องจากสามารถให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว และยังทำให้เจ้าของมีโอกาสได้แสดงอัตลักษณ์ของตนเองในฐานะพ่อแม่ของสัตว์เลี้ยง โซเชียลมีเดียยังมีส่วนช่วยผลักดันให้กระแสนิยมนี้เพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากการโพสต์ภาพสัตว์เลี้ยงในชุดและเครื่องประดับต่าง ๆ จนกลายเป็นไวรัล . 5. ธุรกิจฝึกอบรมสัตว์เลี้ยง การฝึกอบรมสัตว์เลี้ยงเป็นอีกธุรกิจที่มีการเติบโตสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากการตระหนักถึงความจำเป็นในการทำให้สัตว์เลี้ยงเชื่อฟังคำสั่งเจ้าของ . ทั้งนี้การคาดการณ์ของ Modor Intelligence อัตราการเจริญเติบโตต่อปี (Compound …

ธุรกิจสัตว์เลี้ยงรุ่ง พุ่งแตะหมื่นล้าน โอกาสเติบโตสูง คู่แข่งน้อย อ่านเพิ่มเติม »

กระแส Net Zero Emission กับโอกาสพลิกฟื้นภาคเกษตรและอาหารของอีสาน

หลายสิบปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยขยายตัวช้า ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีรายได้น้อย ประเทศยังติดกับดักรายได้ปานกลาง รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งปรับเปลี่ยนการพัฒนาเศรษฐกิจไปในรูปแบบใหม่ ซึ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Economy) . หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายเศรษฐกิจแบบยั่งยืน คือ การแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) .  ทำไมภาคเกษตรและอาหารต้องสนใจกระแส Net Zero Emission? . ภาคเกษตรและอาหารเป็นต้นตอสำคัญที่ทำให้เกิด Climate Change โดยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเกือบ 1 ใน 3 ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกท้ังหมด . สำหรับภาคเกษตรและอาหารของไทย ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน สูงกว่าเวียดนามที่เป็นคู่แข่งสำคัญในการส่งออกสินค้าเกษตรอย่างข้าว ปศุสัตว์ รวมท้ังฟิลิปปินส์และมาเลเซียซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในการส่งออกผลไม้ . แต่ผู้ประกอบการเกษตรและอาหารกลับยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับเทรนด์ Net Zero Emission สะท้อนจากจำนวนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกค่อนข้างน้อย อีกท้ังผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารส่วนใหญ่เป็น SMEs ถึง 94% ซึ่งมีข้อจำกัดท้ังในด้านเงินทุนและองค์ความรู้ .  ท่ามกลาง “ความไม่พร้อม” ธุรกิจจึงต้องเร่งปรับตัว . ธุรกิจเกษตรและอาหารของไทยต้องเร่งปรับตัวกับเทรนด์ Net Zero Emission อย่างจริงจัง เพื่อให้สอดรับกับ BCG Economy โดยเฉพาะในมิติด้านการค้า เนื่องจากผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้นกับผลของอุตสาหกรรมอาหารที่มีต่อ Climate Change . ขณะเดียวกันประเทศผู้นำเข้าสำคัญ ๆ ก็เริ่มมีการออกกฎระเบียบหรือมาตรการทางการค้าที่มุ่งเน้นในเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกหากผู้ประกอบการยังไม่ปรับตัวหรือปรับตัวไม่ทัน . ตัวอย่าง สหภาพยุโรป (EU) ที่เริ่มทยอยบังคับใช้ Eco-Labeling Scheme หรือการติดฉลากคาร์บอนบนผลิตภัณฑ์อาหาร รวมไปถึงมาตรการที่มีโอกาสขยายขอบเขตไปยังสินค้าเกษตรและอาหาร เช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) . ส่วนสหรัฐฯ ก็เริ่มมีการพิจารณาร่างกฎหมายที่กำหนดให้เก็บภาษีพรมแดนคาร์บอน (Carbon Border Tax) สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ ยกเว้นประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายที่จำกัดหรือลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ใกล้เคียงกับกฎหมายประเทศตน .  ทำไม “อีสาน” ควรเป็นพื้นที่นำร่องของการปรับตัว? . ภาคอีสานมีเนื้อที่คิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ และเป็นพื้นที่เกษตรกว่า 58% โดยหนึ่งในสินค้าเกษตรแปรรูปที่ส่งออกมากที่สุด คือ ข้าวหอมมะลิ และผลิตภัณฑ์จากข้าว . แต่เนื่องจาก “การเพาะปลูกข้าว” เป็นกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในภาคเกษตรของไทย (50.7%) จากกระบวนการทางชีวภาพที่เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ ที่สร้างก๊าซมีเทนในช่วงที่มีการขังน้ำในนา ซึ่งก๊าซมีเทนแม้คิดเป็นสัดส่วนไม่มากแต่มีศักยภาพในการก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 21 เท่า . ยังไม่รวมไปถึงการใช้ปุ๋ย และการเผาเศษวัสดุเหลือใช้จากการเพาะปลูก ที่ก็ปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เช่นกัน ดังนั้นหากไม่ใส่ใจเรื่อง Net Zero Emission อนาคตอาจถูกกีดกันทางการค้าไม่ทางตรงก็ทางอ้อม โดยเฉพาะในตลาดสหภาพยุโรป และสหรัฐฯ . …

กระแส Net Zero Emission กับโอกาสพลิกฟื้นภาคเกษตรและอาหารของอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

Personalized Food โอกาสใหม่ในธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ

พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับอาหารเพื่อสุขภาพที่ตอบโจทย์เฉพาะเจาะจงในระดับบุคคลมากขึ้น และด้วยร่างกายของแต่ละคนมีความต้องการสารอาหารที่ต่างกัน ทำให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารในรูปแบบ One size fits all ไม่ใช่ทางเลือกเดียวอีกต่อไป . จึงเกิดแนวคิด Tailored to FIT ซึ่งนำไปสู่นวัตกรรมการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพที่เรียกว่า อาหารเฉพาะบุคคล (Personalized Food) โดยคาดว่าจะสร้างแรงกระเพื่อมให้วงการอาหาร และเป็นโอกาสของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารที่จะสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่ม Product Segment ใหม่ที่น่าสนใจ .  Personalized Food เมื่อแบ่งด้วย Metrix ของ 2 ปัจจัย คือ รูปแบบการส่งมอบอาหาร และความเฉพาะเจาะจงของผู้บริโภค จะแบ่งได้ 4 ประเภท ดังนี้ . 1. อาหารสำเร็จรูปสำหรับบุคคลเฉพาะกลุ่ม . ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น บริษัท Kewpie ของญี่ปุ่น ที่มีผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้สูงอายุ เช่น สเต๊กแฮมเบอร์เกอร์ไก่และเกี๊ยวกุ้งที่เนื้ออาหารมีความนุ่มและเคี้ยวง่าย ตอบโจทย์ปัญหาการบดเคี้ยว ลิ้นรับรสชาติได้น้อยลง และการกลืนอาหารลำบากหลังร่างกายผลิตน้ำลายน้อยลง . ส่วนของไทย มีบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด ที่ผลิตข้าวต้มผู้สูงวัยออกมา โดยมีคุณสมบัติเคี้ยวง่าย ดูดซึมดี และมีคุณค่าทางโภชนาการที่ผู้สูงอายุต้องการมากกว่าคนปกติ . 2. อาหารสำเร็จรูปสำหรับเฉพาะบุคคล . ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น บริษัท Nestle ในสหรัฐฯ ที่มีการนำผล DNA มาวิเคราะห์เพื่อสร้างเมนูอาหารเฉพาะบุคคล ภายใต้แบรนด์ Lean Cuisine ซึ่งต่อยอดจากอาหารเฉพาะกลุ่มผู้ควบคุมน้ำหนัก . สำหรับในไทยอาจทำได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ผู้ประกอบการต้องเตรียมพร้อมในเรื่องของเทคโนโลยี FoodTech รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและอาหารร่วมวิจัยถึงข้อมูลโภชนาการที่เหมาะสมกับผู้บริโภคแต่ละราย เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภครายนั้นได้มากที่สุด . 3. ร้านอาหารสำหรับบุคคลเฉพาะกลุ่ม . ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น บริษัท Verdify ซึ่งเป็น FoodTech ของเนเธอร์แลนด์ ได้ออกแบบอาหารผ่านออนไลน์ อีกทั้งร่วมมือกับเชฟเพื่อรังสรรค์อาหารและพร้อมจัดส่งถึงบ้าน ด้วยข้อมูลโภชนาการที่คำนึงถึงการแพ้อาหารและเป้าหมายด้านสุขภาพ เช่น กลุ่มผู้รับประทานอาหารที่มีเกลือต่ำ คาร์โบไฮเดรตต่ำ และผู้มีปัญหาสุขภาพทางเดินอาหาร เช่น โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) . ตัวอย่างในไทย เช่น ร้านต้นกล้าฟ้าใส ที่มีเมนูอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ผู้สูงอายุ และผู้เป็นโรคเบาหวานหรือต้องการควบคุมปริมาณน้ำตาล หรือร้าน Vista Kitchen ที่มีเมนูอาหารเหมาะกับกรุ๊ปเลือดของแต่ละคน . 4. ร้านอาหารสำหรับเฉพาะบุคคล . ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น ร้านอาหาร Vita Mojo ในสหราชอาณาจักร ที่ร่วมมือกับ DNA fit (บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้าน HealthTech) …

Personalized Food โอกาสใหม่ในธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ อ่านเพิ่มเติม »

“ทำน้อยได้มาก” ยกระดับภาคเกษตร ภาคเศรษฐกิจหลักของอีสาน

ยกระดับภาคเกษตร ภาคเศรษฐกิจหลักของอีสาน สู่ฐานเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศ . เป็นที่น่าจับตามองเมื่อ สศช. กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำกรอบแนวคิดการพัฒนา ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Economic Corridor: NeEC) ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย ให้เป็นฐานเศรษฐกิจชีวภาพ หรือ NeEC – Bioeconomy ของประเทศ . ภายใต้โมเดล BCG ซึ่งเป็นแนวคิดการใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบด้านทรัพยากรชีวภาพ เพื่อปลดล็อกการผลิต โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมในรูปแบบเดิมที่ “ทำมากถึงได้มาก” ไปสู่การผลิตแบบ “ทำน้อยแต่ได้มาก” . จากรายงานศึกษาการยกระดับเศรษฐกิจอีสานด้วย Bio-economy เผยแพร่โดย ธปท. ชี้ว่า หลายประเทศในยุโรปประสบความสำเร็จในการยกระดับภาคเกษตรด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ ส่งผลให้มีรายได้สูงขึ้น ซึ่งภาคอีสานเองมีความเชื่อมโยงกับภาคเกษตรสูง ทำให้มีศักยภาพในการต่อยอด และจะได้รับประโยชน์มากจากการพัฒนาตามแนวเศรษฐกิจชีวภาพ .  โอกาสของอีสาน สำหรับเศรษฐกิจชีวภาพมีอะไรบ้าง . 1. อีสานเป็นฐานอุตสาหกรรมชีวิภาพสำคัญของไทย โดยมีสัดส่วนผลผลิตที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญ เช่น ข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง กว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ ทั้งยังมีโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรคิดเป็น 1 ใน 5 ของโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมดในภาค โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์แป้ง น้ำตาล และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร . 2. ภาคเกษตรมีบทบาทสำคัญต่ออีสาน โดยมีสัดส่วนสูง คิดเป็น 1 ใน 5 ของโครงสร้างเศรษฐกิจ และแรงงานอีสานกว่า 6.5 ล้านคนอยู่ในภาคเกษตร นอกจากนี้อุตสาหกรรมอีสานส่วนใหญ่ยังเป็นอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร ที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในอีสาน . 3. มีความได้เปรียบเชิงพื้นที่ในการเชื่อมโยงไปยังตลาดสำคัญ ตามยุทธศาสตร์ชาติที่ยกระดับให้อีสานเป็นศูนย์เศรษฐกิจนวัตกรรม และการกระจายสินค้าไปสู่อนุภูมิภาคข้างเคียง . 4. ความพร้อมของหน่วยงานในพื้นที่ทั้งภาครัฐ เกษตรกร เอกชน สถาบันการศึกษา ที่มีการร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมและการวิจัย (Innovation Center) เพื่อเป็นแหล่งศึกษา วิจัย เชื่อมโยง และถ่ายทอดองค์ความรู้ระหว่างกันในพื้นที่อีกด้วย .  ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่เริ่มปรากฎให้เห็นในภาคอีสาน . โรงงานนํ้าตาลเริ่มต่อยอดนํ้าตาลทรายดั้งเดิมสู่ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Bio-based Chemicals สำหรับการผลิตอาหารคนและสัตว์ เช่น สารให้ความหวานที่มีแคลอรี่ตํ่า โพรไบโอติกส์ที่เป็นส่วนผสมอาหารและนม สารสกัดยีสต์จากชานอ้อย . การวิจัยใช้สารนาโนซิลิกอนจากแกลบทำขั้วแบตเตอรี่ พัฒนาข้าวหอมมะลิเป็นเครื่องดื่มข้าวฮางงอก ข้าวปลอดกลูเตน โรงแป้งมันสำปะหลังอุบลฯ ส่งเสริมเกษตรกรทำมันอินทรีย์ . อย่างไรก็ตามการลงทุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมของภาคยังตํ่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ยังไม่มีแรงจูงใจลงทุน สะท้อนจากการขอรับบัตรส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ส่วนใหญ่เพื่อแปรรูปสินค้าเกษตรขั้นต้น . ด้านผู้ประกอบการรายกลางและเล็กมีข้อจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี เพราะมีต้นทุนสูง และยังต้องการการสนับสนุน ด้านองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยี ขณะที่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพยังคงมีต้นทุนสูงกว่าสินค้าดั้งเดิม ทั้งยังไม่มีความมั่นใจในตลาดว่าจะมีการรองรับหรือไม่ .  ภาคเอกชนมองการพัฒนาเศรษฐกิจอีสานอย่างไร …

“ทำน้อยได้มาก” ยกระดับภาคเกษตร ภาคเศรษฐกิจหลักของอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

Thorr แบรนด์คราฟต์อีสาน

พัฒนาเสื่อกกยังไง ให้มียอดขายหลักแสนบาทต่อเดือน . . เมื่อพูดถึง “งานคราฟต์” (Craft) คนรุ่นใหม่มักนึกถึงงานฝีมือที่ใส่ความร่วมสมัยลงไป ไม่ว่าจะเป็นเซรามิกคราฟต์ วู้ดคราฟต์ หรือแม้กระทั่งคราฟต์เบียร์และคราฟต์คอฟฟี่ ที่ได้แทรกซึมเข้ามาในไลฟ์สไตล์คนเมืองพร้อม ๆ กับกระแสสโลว์ไลฟ์ . แต่ครั้งนี้ เราจะพามาทำความรู้จักกับ “Thorr” แบรนด์คราฟต์อีสาน ของคุณอุ๋งอิ๋ง-ธัญญ์นภัส กิ่งสุวรรณ ที่พัฒนาเสื่อกกธรรมดาสู่ของแต่งบ้านสไตล์โมเดิร์น จนสามารถเพิ่มมูลค่าให้หัตถกรรมพื้นบ้าน และสร้างงานสร้างโอกาสให้คนในท้องถิ่น . .  มองเห็น “ปัญหา” ก่อนโอกาส จากปัญหาที่ทำให้หัตถกรรมจักสานเสื่อกกของชาวบ้านไม่สามารถไปต่อได้ คือ ถูกจำกัดให้เป็นแค่เสื่อปูนั่งกินข้าว และมีแต่ลายซ้ำกัน ขาดซึ่งเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ แทบดูไม่ออกเลยว่าเสื่อผืนนี้มาจากร้อยเอ็ด มหาสารคาม หรือขอนแก่น . หรือหากมองแบบฉาบฉวยคงเป็นเรื่องของสีและการดีไซน์ สอง คุณภาพการผลิต ชนิดของต้นกก ความคงทนถาวร สาม ช่องทางจำหน่าย นั่นเป็นปัญหาหลักที่ทำไมเสื่อกกถึงขายในกลุ่มคนรุ่นใหม่และ Luxury ไม่ได้ . จากการมองเห็นปัญหาดังกล่าวทางแบรนด์จึงเริ่มแก้ปัญหาด้วยการลงพื้นที่ เพื่อดูว่าเสื่อทั้งหมดมีกี่ผืน กี่ลาย และก็ได้พบว่าเสื่อที่มีแต่เดิมนั้นมีลายค่อนข้างซับซ้อน สวยแต่เยอะ ยากต่อการจดจำ ฉะนั้น เสื่อกกของแบรนด์ จึงต้องดูมีรสนิยม แต่ไม่ถึงกับ Aggressive และไม่ต้องดูเหนือกว่าคนอื่นตลอดเวลา . Thorr จึงตั้งจุดยืนของแบรนด์ไว้ 3 ข้อ คือ 1. ต้องจับตลาดกลุ่มบนให้ได้ 2. ต้องปรับเปลี่ยนเรื่องคุณภาพและราคา 3. ต้องเป็นสากล ใช้งานได้จริง และไม่ขายดราม่า . ส่วนปัญหาเรื่องการทอลายเดิมซ้ำไปมา จนขาดเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นนั้น ปกติการทอจะมี 2 แบบ คือ แบบใช้อุปกรณ์ (ท่อพีวีซี) กับแบบใช้ทักษะช่างทอ ซึ่งหากจะทอแบบแรก 10 ลาย ต้องมีท่อพีวิซี 10 ชุด ทางแบรนด์จึงเลือกการทอแบบที่สอง โดยให้คนทอที่มีทักษะชำนาญสอนคนที่ทอไม่เป็น . เริ่มต้นจากลายที่ทอง่าย เพราะ หนึ่ง ลายมินิมอล น้อยแต่มากจะขายดี สอง ความสวยงามยังอยู่ สาม เป็นผลดีกับช่างทอ บางทีมีเพิ่มเทคนิคมัดย้อมบ้าง เล่นลายบาง อย่างลายดอกพิกุล ซึ่งเป็นหนึ่งในลายที่อยู่ในลายขิต เลือกมาเพียงลายเดียวแล้วทอซ้ำจนเกิดเป็นดอกพิกุลต่อกัน เรียกได้ว่าโมเดิร์นไปอีกแบบ . .  ยอดขายพุ่ง “หลักแสนบาทต่อเดือน” จากยอดขายหลักพันบาทต่อเดือน เพิ่มเป็นหลักหมื่น และปัจจุบันเป็นหลักแสนกว่าบาทต่อเดือน มีกำไร 30-40% จากตอนแรกที่เริ่มจ้างช่างทอ 2-3 คน ตอนนี้เพิ่มเป็น 30 กว่าคน . การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของ Thorr คือการได้ไปงานแฟร์ต่างประเทศอย่าง Maison & …

Thorr แบรนด์คราฟต์อีสาน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top