Nanthawan Laithong

พาส่องเบิ่ง งบประมาณเทศบาลอีสาน ใครคือเบอร์ใหญ่❓

งบประมาณจากภาครัฐถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาของเทศบาลนคร เม็ดเงินเหล่านี้ถูกจัดสรรเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน การให้บริการสาธารณะ การพัฒนาคุณภาพชีวิต ไปจนถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น   การได้รับงบประมาณที่เพียงพอและสอดคล้องกับขนาดและความต้องการของเทศบาลนครแต่ละแห่ง ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับเมือง เทศบาลนครที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการงบประมาณนั้น ก็สามารถแปลงเม็ดเงินที่ได้รับมาเป็นโครงการและกิจกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนและเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างชัดเจน แต่ในทางตรงกันข้ามเทศบาลที่ประสบปัญหาในการบริหารจัดการ อาจเผชิญกับข้อจำกัดในการพัฒนาและไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างเต็มที่   งบประมาณเทศบาลอีสาน การจัดสรรและการเติบโตที่แตกต่าง ภาพรวมงบประมาณของเทศบาลในภาคอีสานที่ปรากฏ เปรียบเหมือนเป็นกระจกสะท้อนทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่ซับซ้อนของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งแต่ละท้องถิ่นก็จะมีการเติบโต โอกาส และความท้าทายที่แตกต่างกัน   5 อันดับจังหวัดได้ที่งบประมาณเทศบาลมากสุด เทศบาลนครขอนแก่น 986 ล้านบาท เทศบาลนครนครราชสีมา 960 ล้านบาท เทศบาลนครอุดรธานี 804 ล้านบาท เทศบาลนครอุบลราชธานี 496 ล้านบาท เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด 453 ล้านบาท   ขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี และอุบลฯ  Big 4 แห่งงบประมาณและความเจริญ เมื่อพิจารณาจากปริมาณงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลนครนครราชสีมา เทศบาลนครอุดรธานี และเทศบาลนครอุบลราชธานี ได้รับงบประมาณเทศบาลมากกว่าจังหวัดอื่นๆ สะท้อนให้เห็นถึงขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่โต ความเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค และจำนวนประชากรที่หนาแน่น การเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการศึกษา ทำให้เทศบาลเหล่านี้ได้รับงบประมาณมากกว่าจังหวัดอื่นๆ นอกจากนี้ การมีโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาแล้ว และการเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญ ยังดึงดูดกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลากหลายรูปแบบ ส่งผลให้มีงบประมาณเพียงพอต่อการพัฒนาเมืองในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา สาธารณสุข หรือการส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกด้วย   ปลายแถวแห่งงบประมาณ เมื่อมองไปยังเทศบาลที่มีงบประมาณน้อยที่สุด เช่น เทศบาลเมืองบึงกาฬ เทศบาลเมืองหนองบัวลำภู และเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ซึ่งอาจเห็นข้อจำกัดทางด้านขนาดเศรษฐกิจ ฐานภาษี และจำนวนประชากร อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดเหล่านี้ก็อาจเป็นแรงผลักดันให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในการบริหารจัดการงบประมาณและการพัฒนาท้องถิ่น เทศบาลเหล่านี้อาจต้องพึ่งพาการบูรณาการความร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆ การดึงดูดการลงทุนเฉพาะกลุ่ม หรือการพัฒนาจุดแข็งทางวัฒนธรรมและธรรมชาติเพื่อสร้างความแตกต่างและโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ     อ้างอิงจาก: – สำนักงบประมาณ – สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ # #เศรษฐกิจอีสาน #เทศบาลนคร #เทศบาลนครในอีสาน  #เทศบาลนคร #เทศบาลเมือง

พาส่องเบิ่ง งบประมาณเทศบาลอีสาน ใครคือเบอร์ใหญ่❓ อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง  ยอดเงินฝากในอีสาน 11 ปีที่ผ่านมา จังหวัดไหนโตแรงแซงโค้ง❓

(1) 🏦💳ข้อมูลสถิติจากธนาคารแห่งประเทศไทย คนไทยมียอดเงินฝากรวมในสถาบันการเงินภายในประเทศสูงถึง 17,479,803 ล้านบาท แล้วรู้หรือไม่ว่า ภาคอีสานมียอดเงินฝากรวมเท่าไหร่?   💸ยอดเงินฝากรวมในสถาบันการเงินของคนอีสาน มียอดรวมทั้งสิ้น 962,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2558 โดยส่วนใหญ่เป็นเงินฝากในรูปบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ 697,870 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 72.5% เลยทีเดียว   5 อันดับจังหวัดที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของยอดเงินฝากรวมมากที่สุดในภาคอีสาน อันดับที่ 1 บึงกาฬ เพิ่มขึ้น 101.0% อันดับที่ 2 หนองบัวลำภู เพิ่มขึ้น 85.1% อันดับที่ 3 อุดรธานี เพิ่มขึ้น 70.0% อันดับที่ 4 มหาสารคาม เพิ่มขึ้น 65.5% อันดับที่ 5 ร้อยเอ็ด เพิ่มขึ้น 57.6%   (2) “บึงกาฬ” และ “หนองบัวลำภู” ด้วยอัตราการเติบโตที่ก้าวกระโดดถึง 101.0% และ 85.1% กระตุ้นให้เกิดคำถามว่าอะไรคือปัจจัยการเติบโตที่ไม่ธรรมดานี้? อัตราการเปลี่ยนแปลงของเงินฝากตลอด 11 ปี จะเห็นได้ว่า จังหวัดที่มีอัตราการเติบโตของเงินฝากในระดับสูง อย่างเช่น บึงกาฬ หนองบัวลำภู และอุดรธานี สะท้อนถึงศักยภาพในการดึงดูดเงินทุนและการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่โดดเด่น ซึ่งปัจจัยที่อาจขับเคลื่อนการเติบโตนี้อาจรวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและบริการ หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรและการจ้างงานในพื้นที่   การเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะมาจากหลายปัจจัย อีสานอินไซต์จะขอวิเคราะห์เชิงลึกไปในแต่ละปัจจัย อย่างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดบึงกาฬที่เพิ่งได้รับการจัดตั้งใหม่ การลงทุนใหม่ๆ จากภาครัฐและเอกชน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ อาจเป็นปัจจัยดึงดูดเงินทุนและการออมของประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่   หรือแม้กระทั่งปัจจัยการเคลื่อนย้ายของประชากรและแรงงาน การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจดึงดูดแรงงานจากพื้นที่อื่น ทำให้เกิดการไหลเวียนของเงินทุนที่เพิ่มขึ้น   อีกปัจจัยสำคัญก็คือการเติบโตของภาคธุรกิจเฉพาะ ซึ่งอาจแตกต่างจากจังหวัดอื่นๆ ในอีสาน เช่น การค้าชายแดนในบึงกาฬ หรือการเกษตรเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูง การเติบโตของภาคธุรกิจเหล่านี้ย่อมนำมาซึ่งรายได้และการออมที่เพิ่มขึ้น     (3) ในทางตรงกันข้าม จังหวัดที่เผชิญกับอัตราการเติบโตของเงินฝากที่ชะลอตัว อย่างเช่น หนองคาย แสดงให้เห็นถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจบางประการ ซึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบ อาจจะมาจากการย้ายถิ่นของประชากร การชะลอตัวของภาคธุรกิจหลัก หรือแม้แต่ผลกระทบจากปัจจัยภายนอก อย่างภาวะเศรษฐกิจระดับประเทศหรือภูมิภาค   (4) การเปลี่ยนแปลงของเงินฝากตลอด 11 ปี ทำให้เห็นภาพรวมของขนาดเศรษฐกิจและศักยภาพทางการเงินของแต่ละจังหวัด โดยจังหวัดที่มีปริมาณเงินฝากสูงอย่างจังหวัดหัวเมือง เช่น นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และอุบลราชธานี สะท้อนถึงฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยจังหวัดเหล่านี้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า หรือการบริการของภูมิภาค การมีเงินฝากจำนวนมากย่อมหมายถึงศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนและการพัฒนาที่สูงขึ้น และยังเป็นเป้าหมายของกลุ่มบริษัทข้ามชาติและบริษัทไทยขนาดใหญ่มาลงทุนในพื้นที่ ทำให้เกิดการจ้างงานและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน อีกทั้งเป็นจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูง ก็มักจะมีกำลังซื้อสูง เป็นแหล่งรวมสินค้าและบริการต่างๆ

พาส่องเบิ่ง  ยอดเงินฝากในอีสาน 11 ปีที่ผ่านมา จังหวัดไหนโตแรงแซงโค้ง❓ อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง “6 เทศบาลนคร” แห่งแดนอีสาน

(1) งบประมาณภาครัฐกับบทบาทขับเคลื่อนเทศบาลนคร งบประมาณจากภาครัฐถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาของเทศบาลนคร เม็ดเงินเหล่านี้ถูกจัดสรรเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน การให้บริการสาธารณะ การพัฒนาคุณภาพชีวิต ไปจนถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น   การได้รับงบประมาณที่เพียงพอและสอดคล้องกับขนาดและความต้องการของเทศบาลนครแต่ละแห่ง ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับเมือง เทศบาลนครที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการงบประมาณนั้น ก็สามารถแปลงเม็ดเงินที่ได้รับมาเป็นโครงการและกิจกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนและเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างชัดเจน แต่ในทางตรงกันข้ามเทศบาลที่ประสบปัญหาในการบริหารจัดการ อาจเผชิญกับข้อจำกัดในการพัฒนาและไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างเต็มที่   (2)อีสานอินไซต์พามาเบิ่ง 6 เทศบาลนครในภาคอีสาน เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลนครขอนแก่น ถูกจัดตั้งในปี 2538 มีขนาดพื้นที่ 46 ตร.กม. มีประชากรกว่า 98,989 คน ด้วยความหนาแน่น 2,151.9 คน/ตร.กม. ขอนแก่นได้รับงบประมาณจากภาครัฐถึง 986 ล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของขอนแก่นในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การศึกษา และการคมนาคมของภาคอีสานตอนกลาง ความหนาแน่นของประชากรที่ค่อนข้างสูง บ่งชี้ถึงความต้องการในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะที่ซับซ้อน การได้รับงบประมาณที่สูงที่สุดในกลุ่ม อาจเป็นผลจากการพิจารณาถึงศักยภาพในการต่อยอดการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญของภูมิภาค   เทศบาลนครนครราชสีมา เทศบาลนครนครราชสีมา ซึ่งถูกจัดตั้งในปีเดียวกัน คือ 2538 มีขนาดพื้นที่ 37.5 ตร.กม. แต่กลับมีประชากรมากถึง 112,116 คน ส่งผลให้มีความหนาแน่นประชากรสูงที่สุดในกลุ่มที่ 2,989.8 คน/ตร.กม. แม้จะได้รับงบประมาณจากภาครัฐใกล้เคียงกับขอนแก่นที่ 960 ล้านบาท แต่ความแตกต่างของขนาดพื้นที่และความหนาแน่น แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันในการบริหารจัดการพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด การวางแผนผังเมืองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชากรจำนวนมาก จึงเป็นสิ่งสำคัญของนครราชสีมา   เทศบาลนครอุดรธานี เทศบาลนครอุดรธานี มีขนาดพื้นที่ 47.7 ตร.กม. ใกล้เคียงกับขอนแก่น แต่มีจำนวนประชากร 113,178 คน และความหนาแน่น 2,372.7 คน/ตร.กม. ได้รับงบประมาณจากภาครัฐ 804 ล้านบาท การมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง ควบคู่ไปกับจำนวนประชากรที่สูง สะท้อนถึงศักยภาพในการขยายตัวของเมืองในอนาคต การได้รับงบประมาณที่สมดุล อาจบ่งชี้ถึงการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง    เทศบาลนครอุบลราชธานี เทศบาลนครอุบลราชธานี ถูกจัดตั้งในปี 2542 มีขนาดพื้นที่เพียง 29 ตร.กม. มีจำนวนประชากร 68,133 คน มีความหนาแน่น 2,349.4 คน/ตร.กม. ได้รับงบประมาณจากภาครัฐ 496 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ที่ค่อนข้างจำกัด ควบคู่ไปกับงบประมาณที่น้อยกว่าสามเมืองแรก อาจเป็นข้อจำกัดในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และการขยายพื้นที่เมือง การบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ และการแสวงหาแหล่งรายได้เพิ่มเติม จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอุบลราชธานี การเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิต การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน ซึ่งเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการเติบโตภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ   เทศบาลนครสกลนคร  เทศบาลนครสกลนคร ถูกจัดตั้งในปี 2555 มีขนาดพื้นที่ 54.5 ตร.กม. แต่มีจำนวนประชากรเพียง 49,691 คน ส่งผลให้มีความหนาแน่นอยู่ที่ 911.8 คน/ตร.กม. ได้รับงบประมาณจากภาครัฐ 410 ล้านบาท

พาส่องเบิ่ง “6 เทศบาลนคร” แห่งแดนอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

👀พาเปิดเบิ่ง ขุมทรัพย์สุราอีสาน🥃🧊💰 อีสานจ่ายภาษีสุรากว่า 12,090 ล้านบาท มาจากไหนบ้าง?

📊ในปี 2567 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีมูลค่าการจัดเก็บภาษีสุราทั้งหมดรวมกัน อยู่ที่ 12,090 ล้านบาท โดยจังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดที่มีมูลค่าการเก็บภาษีสุราได้มากที่สุด 3,219 ล้านบาท รองลงมา คือ จังหวัดอุบลราชธานี 2,977 ล้านบาท และหนองคาย 2,814 ล้านบาท ตามลำดับ   🏆🥃5 อันดับจังหวัดที่มีมูลค่าการจัดเก็บภาษีสุรามากสุด – ขอนแก่น 3,219 ล้านบาท คิดเป็น 26.6% – อุบลราชธานี 2,977 ล้านบาท คิดเป็น 24.6% – หนองคาย 2,814 ล้านบาท คิดเป็น 23.3% – บุรีรัมย์ 2,626 ล้านบาท คิดเป็น 21.7% – นครราชสีมา 391 ล้านบาท คิดเป็น 3.2% และจังหวัด อื่นๆ ที่เหลือ 64 ล้านบาท คิดเป็น 0.5%   จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าจังหวัดที่มีการจัดเก็บภาษีสุราสูงสุดคือ ขอนแก่น มูลค่ากว่า 3,219 ล้านบาท ตามมาด้วยอุบลราชธานี (2,977 ล้านบาท), หนองคาย (2,814 ล้านบาท) และ บุรีรัมย์ (2,626 ล้านบาท) โดยทั้ง 4 จังหวัดนี้ก็มีโรงงานผลิตและจำหน่ายสุรารายใหญ่แห่งอีสาน จะเห็นได้ว่าการกระจายตัวของรายได้ภาษีนี้ไม่ได้เป็นไปตามขนาดของจังหวัดเสมอไป  โดยการจัดเก็บภาษีสุราที่สูงเช่นนี้ แสดงให้เห้นถึงขนาดตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใหญ่และมีศักยภาพในภาคอีสาน ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้ ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ไปจนถึงผู้ประกอบการร้านอาหารและสถานบันเทิง ต่างได้รับอานิสงส์จากกำลังซื้อของผู้บริโภคในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตาม ต่างก็ต้องเผชิญกับภาระภาษีที่สูง ซึ่งอาจส่งผลต่อการกำหนดราคาและผลกำไร   มูลค่า 12,090 ล้านบาทที่ภาคอีสานสามารถจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากสุราได้นั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่จำนวนเงิน แต่ยังสะท้อนถึงปริมาณการบริโภคที่มหาศาล และขนาดของตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในภาคอีสาน📈   การทำความเข้าใจถึงประเภทของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมในแต่ละพื้นที่ ก็จะช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น สุราพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาจมีบทบาทสำคัญในบางจังหวัด ในขณะที่เบียร์และสุรากลั่นอาจเป็นที่นิยมในเขตเมืองหรือจังหวัดที่มีการท่องเที่ยวสูง   ธุรกิจสุราในอีสานนั้นมีความเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจส่วนอื่นๆ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต โรงงานผลิตเบียร์และสุรากลั่น ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เป็นแหล่งงานที่สำคัญในหลายจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีอุตสาหกรรมสนับสนุนอื่นๆ เช่น การผลิตบรรจุภัณฑ์ การขนส่ง และการตลาด ที่ได้รับอานิสงส์จากธุรกิจสุรา   หรือแม้กระทั่งการค้าและการบริการ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีก ร้านอาหาร สถานบันเทิง และธุรกิจท่องเที่ยว เป็นช่องทางหลักในการจำหน่ายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสร้างรายได้และกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจโดยรวม   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธุรกิจสุราจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคอีสาน แต่ก็ไม่อาจละเลยผลกระทบทางสังคมที่อาจเกิดขึ้นได้ การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากหรืออย่างไม่เหมาะสม นำมาซึ่งความเสี่ยงด้านสุขภาพ อุบัติเหตุ

👀พาเปิดเบิ่ง ขุมทรัพย์สุราอีสาน🥃🧊💰 อีสานจ่ายภาษีสุรากว่า 12,090 ล้านบาท มาจากไหนบ้าง? อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง สถิติ “โรคแอนแทรกซ์” ในไทย หลังพบผู้เสียชีวิตรายแรกที่มุกดาหาร

(1) จากกรณีมีผู้ป่วยและเสียชีวิต 1 คน จากโรคแอนแทรกซ์ ในพื้นที่ ต.เหล่าหมี อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร หลังเข้ารับการรักษาเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2568 และเสียชีวิตในวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ก่อนที่ทางอำเภอดอนตาล จะประกาศพื้นที่เฝ้าระวังในพื้นที่   ข้อมูลเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2568 พบว่ามีผู้ป่วยสะสม 2 ราย โดยมีกลุ่มเสี่ยงและผู้สัมผัส รวม 638 ราย แบ่งออกเป็นผู้ร่วมชำแหละเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อ 36 ราย ผู้รับประทานเนื้อดิบ 472 ราย และผู้สัมผัสร่วมบ้านผู้ชำแหละ 130 ราย ทั้งนี้ผู้สัมผัสได้รับยาป้องกันโรคครบแล้วทุกราย   นับว่าเป็นการเสียชีวิตจากโรคแอนแทรกซ์คนแรกของไทย และถือเป็นการพบผู้ติดเชื้อแอนแทรกซ์ในไทยในรอบหลายปี   เหตุการณ์ที่ผ่านมาในไทย ในปี 2543 ยังพบการเกิดโรค 1 ครั้ง มีผู้ป่วยจำนวน 15 คน ขณะที่ในปี 2542 มีการเกิดโรค 4 ครั้ง มีผู้ป่วย 14 คน ทั้งนี้ ปีที่พบการระบาดมากที่สุดเกิดขึ้นในปี 2538 มีรายงานผู้ป่วย 102 คน และล่าสุดคือในปี 2560 มีรายงานพบผู้ป่วยชาย ซึ่งเป็นผู้ชำแหละแพะที่ตายแล้ว โดยสงสัยเป็นโรคแอนแทรกซ์ และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแม่สอด จ.ตาก จนหาย และต่อมาสามารถควบคุมการระบาดของโรคได้   (2) โรคแอนแทรกซ์คุกคามอีสาน  ปี 2568 นับเป็นปีที่สาธารณสุขไทยต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ หลังพบผู้เสียชีวิตรายแรกจากโรคแอนแทรกซ์ในจังหวัดมุกดาหาร โดยข้อมูลล่าสุดชี้ว่าพื้นที่ภาคอีสานเริ่มเข้าสู่ภาวะเฝ้าระวังเข้มข้นทั้งในระดับพื้นที่ควบคุมโรคและพื้นที่ใกล้เคียง   แอนแทรกซ์คืออะไร? โรคแอนแทรกซ์เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bacillus anthracis ซึ่งสร้างสปอร์ที่ทนทานต่อสิ่งแวดล้อมและมีอายุยาวนาน เชื้อนี้สามารถแพร่สู่คนผ่านการสัมผัสสัตว์ติดเชื้อ การชำแหละ การบริโภคเนื้อดิบ หรือการสูดดมสปอร์เข้าสู่ปอด อัตราการเสียชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาสูงถึง 80% โดยเฉพาะในรูปแบบแอนแทรกซ์ปอด   พื้นที่เฝ้าระวังโรคแอนแทรกซ์ในอีสาน อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร – เป็นจุดศูนย์กลางการระบาด พบผู้เสียชีวิตรายแรก และผู้ป่วยอีก 2 ราย จังหวัดยโสธร – ผู้ว่าราชการประกาศเตือนทั้ง 9 อำเภอ และมีการเน้นมาตรการป้องกันในชุมชน เช่น งดบริโภคเนื้อดิบ งดชำแหละสัตว์ป่วย จังหวัดอำนาจเจริญ – ตรวจพบผู้เข้าข่ายสงสัยติดเชื้อ และมีการสั่งปิดตลาดนัดโค-กระบือหลายแห่งในอีสานตอนล่าง เพื่อควบคุมการแพร่เชื้อ จังหวัดกาฬสินธุ์ – ยังไม่พบผู้ป่วยยืนยัน แต่เฝ้าระวังเข้มเนื่องจากมีการเคลื่อนย้ายปศุสัตว์จากพื้นที่เสี่ยง โรคแอนแทรกซ์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่โรคของ “สัตว์” เท่านั้น แต่คือภัยคุกคามที่ต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่าย

พาส่องเบิ่ง สถิติ “โรคแอนแทรกซ์” ในไทย หลังพบผู้เสียชีวิตรายแรกที่มุกดาหาร อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนเบิ่ง ในช่วง 14 ปีที่ผ่าน “แรงงานต่างด้าว” ในอีสานเปลี่ยนไปมากแค่ไหน

ในปี 2567 ภาคอีสานมีจำนวนแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานกว่า 75,193 คน คิดเป็นสัดส่วนกว่า 2.2% จากจำนวนแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานทั้งหมดในประเทศ หากนำข้อมูลไปเปรียบเทียบจำนวนแรงงานต่างด้าวเมื่อ 14 ที่ผ่านมามีจำนวนการเพิ่มขึ้นมากว่า 31,588 คน หรือเพิ่มขึ้นมากถึง 72%   ข้อมูลจำนวนแรงงานต่างด้าวในภาคอีสานตลอด 14 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าในช่วงปี 2554 – 2559 ตัวเลขค่อนข้างทรงตัว บางปีมีแนวโน้มลดลง ตัวเลขนี่อาจสะท้อนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจในขณะนั้น ที่ยังพึ่งพาแรงงานภายในประเทศเป็นหลัก แต่แล้วในช่วงปี 2560 เป็นต้นมา มีการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมาเพิ่มขึ้นสูงสุดในปี 2562 ก่อนที่จะชะลอตัวลงเล็กน้อยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และกลับมาเติบโตอีกครั้งในปี 2567 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้แสดงถึงปัจจัยภายนอกและภายในประเทศที่ส่งผลต่อความต้องการแรงงานต่างด้าวอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมบางประเภท การขาดแคลนแรงงานในบางสาขา หรือแม้แต่นโยบายการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไป   หากดูเป็นรายจังหวัดจะเห็นได้ว่า แรงงานต่างด้าวในจังหวัดนครราชสีมาที่มีจำนวนสูงถึง 29,709 คนในปี 2567 และมีการเติบโตถึง 92% เมื่อเทียบกับปี 2554 ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญของนครราชสีมาในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการค้าของภาคอีสาน ความต้องการแรงงานที่เพิ่มขึ้นในภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โครงการก่อสร้าง หรือภาคบริการ จึงดึงดูดแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านให้เข้ามาแสวงหาโอกาส    ในขณะเดียวกัน จังหวัดที่มีอัตราการเติบโตของแรงงานต่างด้าวสูงอย่างน่าตกใจ อย่างเช่น ชัยภูมิ (161%), บึงกาฬ (168%), มหาสารคาม (105%), และอำนาจเจริญ (421%) แสดงให้เป็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจในพื้นที่เหล่านั้น ซึ่งอาจมีการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลาง การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน หรือการเติบโตของภาคการเกษตรที่ต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นนั่นเอง   อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของแรงงานต่างด้าวส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายมิติด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งในด้านบวก คือ แรงงานต่างด้าวสามารถช่วยเติมเต็มตำแหน่งงานที่ขาดแคลน โดยเฉพาะงานที่คนไทยอาจไม่นิยมทำ หรือมีทักษะไม่เพียงพอ ซึ่งจะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังอาจช่วยลดต้นทุนด้านแรงงานในบางภาคส่วน ทำให้สินค้าและบริการมีราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น   แต่หากในระยะยาว อาจเกิดผลกระทบต่อตลาดแรงงานในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานไร้ฝีมือหรือกึ่งฝีมือ อาจมีการแข่งขันที่สูงขึ้น และอาจนำไปสู่ปัญหาการกดค่าแรง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการใช้ทรัพยากรของประเทศ และภาระด้านสวัสดิการสังคม   ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ ก็สามารถเกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่น่าสนใจได้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการแรงงาน บริษัทที่ให้บริการจัดหาแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมาย การฝึกอบรมภาษาและวัฒนธรรม การจัดการด้านเอกสารและวีซ่า จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น เช่นเดียวกับธุรกิจที่พักอาศัยและสิ่งอำนวยความสะดวก ความต้องการที่พักอาศัยราคาที่ไม่สูง และสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับแรงงานต่างด้าวจะเพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกิจอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านค้าและธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าและอาหารที่ตอบสนองความต้องการของแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะ จะมีโอกาสเติบโตอีกด้วย     อ้างอิงจาก: – กรมการจัดหางาน สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business

พาย้อนเบิ่ง ในช่วง 14 ปีที่ผ่าน “แรงงานต่างด้าว” ในอีสานเปลี่ยนไปมากแค่ไหน อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง ในปี 2567 ภาคอีสานจ่ายภาษีสรรพสามิตไปกว่า 32,068 ล้านบาท จังหวัดไหนจ่ายหนักสุด?

ในปี 2567 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีมูลค่าการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตทั้งหมดรวมกัน อยู่ที่ 32,068 ล้านบาท โดยภาษีเบียร์เป็นประเภทสินค้าที่มีมูลค่าการเก็บภาษีได้มากที่สุด 16,339 ล้านบาท รองลงมา คือ ภาษีสุรา 12,090 ล้านบาท และภาษีเครื่องดื่ม 2,302 ล้านบาท ตามลำดับ   5 อันดับจังหวัดที่มีการจ่ายภาษีสรรพสามิตมากสุด – ขอนแก่น จ่ายภาษีสรรพสามิตกว่า 20,854 ล้านบาท – อุบลราชธานี จ่ายภาษีสรรพสามิตกว่า 2,997 ล้านบาท – หนองคาย จ่ายภาษีสรรพสามิตกว่า 2,843 ล้านบาท – บุรีรัมย์ จ่ายภาษีสรรพสามิตกว่า 2,660 ล้านบาท – นครราชสีมา จ่ายภาษีสรรพสามิตกว่า 2,150 ล้านบาท   หากดูเป็นรายจังหวัดจะพบว่ามูลค่าการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตกว่า 65% เป็นมูลค่าการจัดเก็บภาษีจากจังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 20,854 ล้านบาท   ทำไมขอนแก่นถึงมีมูลค่าการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตได้มากที่สุดในอีสาน? ประเภทสินค้าที่มีมูลค่าการเก็บภาษีได้มากที่สุดในขอนแก่น คือ ภาษีเบียร์ มากถึง 15,932 ล้านบาท สาเหตุที่ภาษีเบียร์มากที่สุด อาจจะเป็นเพราะที่ขอนแก่นมีอาณาจักรสิงห์บริวเวอรี่ หรือ บริษัท ขอนแก่น บริวเวอรี่ จำกัด ที่ดำเนินกิจการผลิตเครื่องดื่มเเอลกอฮอลล์ ลีโอเบียร์ ได้ขยายฐานการผลิตสู่ภูมิภาค และตอบสนองความต้องการของลูกค้าภายในประเทศ ซึ่งมีฐานการผลิตในภาคอีสานแค่ที่ขอนแก่นจังหวัดเดียว ในขณะที่จังหวัดใหญ่อย่างอุบลราชธานีและนครราชสีมาตามมาในอันดับรองๆ ก็สะท้อนถึงขนาดเศรษฐกิจและกิจกรรมทางธุรกิจที่เข้มข้นในหัวเมืองหลักเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม จังหวัดที่มีมูลค่าการเก็บภาษีสรรพสามิตได้น้อยนั้น อาจมีขนาดเศรษฐกิจที่เล็กกว่า หรือมีลักษณะธุรกิจที่แตกต่างออกไป อาจเน้นไปที่ภาคเกษตรกรรม การท่องเที่ยว หรืออุตสาหกรรมเฉพาะกลุ่ม ซึ่งอาจไม่ได้สร้างรายได้จากภาษีสรรพสามิตในอัตราที่สูงนักนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – กรมสรรพสามิต   ติดตาม ISAN Insight ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsight #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ภาษีสรรพสามิต #ภาษี #ภาษีเบียร์ #ภาษีสุรา #ภาษีเครื่องดื่ม

พาเปิดเบิ่ง ในปี 2567 ภาคอีสานจ่ายภาษีสรรพสามิตไปกว่า 32,068 ล้านบาท จังหวัดไหนจ่ายหนักสุด? อ่านเพิ่มเติม »

อีสานเตรียม “ปั้นหมอ” เพิ่ม  พาเปิดเบิ่ง “หมอในอีสาน” มีมากแค่ไหน

🧑🏻‍⚕️🥼🩺ในปี 2566 หากมาดูจำนวนแพทย์ทั่วภาคอีสานจะพบว่า มีจำนวนแพทย์ทั้งหมด 8,447 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 290 คน ซึ่งในปี 2565 มีจำนวนแพทย์ทั้งหมด 8,157 คน ขณะที่ประชากรในภาคอีสานมีมากถึง 21.7 ล้านคน ทำให้ภาคอีสานมีสัดส่วนประชากร 2,565 คน ต่อแพทย์ 1 คน ซึ่งถือว่ามีตัวเลขที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก เพราะ WHO หรือองค์การอนามัยโลกได้แนะนำสัดส่วนมาตรฐานเอาไว้ โดยกำหนดว่าสัดส่วนที่เหมาะสมคือ แพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 1,000 คน นั่นเอง    🧑🏻‍⚕️5 อันดับจังหวัดที่มีแพทย์มากที่สุดในอีสาน อันดับที่ 1 ขอนแก่น มีจำนวน 1,647 คน อันดับที่ 2 นครราชสีมา มีจำนวน 1,243 คน อันดับที่ 3 อุบลราชธานี มีจำนวน 803 คน อันดับที่ 4 อุดรธานี มีจำนวน 586 คน อันดับที่ 5 บุรีรัมย์ มีจำนวน 504 คน   🏥🧑🏻‍⚕️ขอนแก่น…ผู้นำทัพ “หมออีสาน” สู่เป้าหมาย Medical Hub โอกาสและความท้าทายบนเส้นทางศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ จากข้อมูลจำนวนแพทย์ใน 5 จังหวัดหลักของภาคอีสาน จะเห็นได้ว่าจังหวัดขอนแก่นมีจำนวนแพทย์ที่สูงสุดถึง 1,647 คน ทิ้งห่างจังหวัดใหญ่อื่นๆ อย่างนครราชสีมาและอุบลราชธานีอย่างเห็นได้ชัด โดยปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ขอนแก่นก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในด้านนี้ คือการเป็นที่ตั้งของสถาบันการศึกษาชั้นนำที่ผลิตบุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการมีโรงพยาบาลขนาดใหญ่และมีความเชี่ยวชาญสูง อย่างเช่น โรงพยาบาลศรีนครินทร์ และโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น การมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เข้มแข็งเช่นนี้ ถือเป็นรากฐานสำคัญที่แข็งแกร่งในการผลักดันให้ขอนแก่นก้าวไปสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาตั้งแต่ปี 2558 และมีแผนยุทธศาสตร์รองรับอย่างชัดเจน (พ.ศ. 2560-2569) การเป็น Medical Hub ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การมีจำนวนแพทย์ที่มากเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงศักยภาพในการให้บริการทางการแพทย์ที่ครบวงจร ตั้งแต่การรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานไปจนถึงการรักษาเฉพาะทางขั้นสูง การมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย การมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลายสาขา รวมถึงการมีระบบสนับสนุนด้านสุขภาพอื่นๆ ที่ได้มาตรฐานระดับสากล ในขณะที่จำนวนแพทย์ในจังหวัดอื่นๆ ในกลุ่มท้ายตารางอย่างบึงกาฬ อำนาจเจริญ และหนองบัวลำภู นับว่ามีจำนวนแพทย์น้อยมาก ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาการกระจายตัวของบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่สมดุลในภูมิภาคอีสาน แม้ว่าจะมีจังหวัดที่เป็น “หัวเมือง” ที่มีจำนวนแพทย์หนาแน่น แต่จังหวัดรอบนอกหรือพื้นที่ห่างไกลอาจเผชิญกับภาวะขาดแคลนแพทย์อย่างแท้จริง วิกฤต “แพทย์ไม่พอ” ในอีสาน โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดข้างต้นนี้ นับว่าเป็นสถานการณ์น่าเป็นห่วงที่สุดนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบสาธารณสุขและชีวิตของประชาชน การเข้าถึงการรักษาที่ล่าช้า คุณภาพการรักษาที่อาจลดลง และความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงบริการ เป็นผลกระทบที่น่ากังวลอย่างยิ่ง

อีสานเตรียม “ปั้นหมอ” เพิ่ม  พาเปิดเบิ่ง “หมอในอีสาน” มีมากแค่ไหน อ่านเพิ่มเติม »

👀”อีสานฟีเวอร์” … เมื่อธรรมชาติปลุกพลังเศรษฐกิจ  พาเปิดเบิ่ง ขุมทรัพย์ “อุทยานแห่งชาติ” ในอีสาน ปี 67 สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 229 ล้านบาท🌳🕊️

🌳อุทยานแห่งชาติในไทยมีทั้งหมด 156 แห่ง โดยในจำนวนนี้รวมอุทยานแห่งชาติที่เตรียมการฯ 23 แห่ง ซึ่งมีรายได้รวมมากกว่า 2,198 ล้านบาท แต่ละที่จะมีที่เที่ยวต่างๆ ที่โดดเด่นและแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็มีอุทยานสวยงามไม่แพ้ภาคอื่น   “อีสานเขียว” พลิกโฉมเศรษฐกิจ เมื่อเสน่ห์ธรรมชาติเบ่งบาน สร้างรายได้ท่องเที่ยวทะยานกว่า 229 ล้านบาท ในปี 67  🕊️โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอุทยานแห่งชาติอยู่ทั้งหมด 29 แห่งด้วยกัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 18.6% ของจำนวนอุทยานแห่งชาติทั้งหมดในไทย และมีรายได้รวมกว่า 229 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 10.4% ของรายได้อุทยานแห่งชาติทั้งหมดในไทย   หากลงไปดูข้อมูลยอดการจัดเก็บเงินอุทยานจะพบว่า อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ยังคงเป็นเสาหลักที่แข็งแกร่ง ด้วยยอดการจัดเก็บเงินอุทยานฯ สูงถึง 124.7 ล้านบาท และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากถึง 1.9 ล้านคน โดยความโดดเด่นของเขาใหญ่ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับประเทศที่ผสมผสานความหลากหลายทางชีวภาพเข้ากับกิจกรรมที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทุกรูปแบบ ยังคงเป็นดั่งแม่เหล็กที่ทรงพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของทั้งภูมิภาค   อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาให้ลึกลงไป จะพบว่าเสน่ห์ของอีสานไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เขาใหญ่เท่านั้น การผงาดขึ้นของแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของ “อีสานเขียว” ที่พร้อมมอบประสบการณ์ที่แตกต่างและน่าประทับใจ “ภูหินร่องกล้า” จังหวัดเลย กลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่สำคัญ ด้วยยอดการจัดเก็บเงินอุทยานฯ สูงถึง 14.5 ล้านบาท และมีจำนวนนักท่องเที่ยว 223,790 คน เช่นเดียวกับ “ภูกระดึง” ในจังหวัดเลย ที่สร้างรายได้ 13.7 ล้านบาท จากนักท่องเที่ยว 66,941 คน ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า ความงามของธรรมชาติที่ยังคงความสมบูรณ์และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละพื้นที่ กำลังเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ที่แท้จริงและแตกต่างจากการท่องเที่ยวในเมืองใหญ่   “จังหวัดเลย”…อัญมณีแห่งอีสานเหนือ การที่จังหวัดเลยมีแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับต้นๆ หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นภูหินร่องกล้า ภูกระดึง หรือแม้แต่ อุทยานแห่งชาติภูเรือ ที่สร้างรายได้ 3.6 ล้านบาท จากนักท่องเที่ยว 78,909 คน ยิ่งตอกย้ำถึงศักยภาพอันโดดเด่นของจังหวัดนี้ในการก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ” ที่สำคัญของภาคอีสาน ภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่ภูเขาสูงตระหง่าน ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ไปจนถึงอากาศที่บริสุทธิ์และสดชื่น ได้กลายเป็นแรงดึงดูดอันทรงพลังที่เชื้อเชิญนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้มาสัมผัสเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์นี้   การเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติในอีสานได้จุดประกายโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “ธุรกิจที่พัก” ที่ขยายตัวจากโรงแรมหรูและรีสอร์ทที่กลมกลืนกับธรรมชาติ ไปจนถึงโฮมสเตย์ที่มอบประสบการณ์การสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนอย่างใกล้ชิด “ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม” ที่นำเสนอความอร่อยของอาหารพื้นถิ่นรสชาติต้นตำรับ ควบคู่ไปกับคาเฟ่บรรยากาศดีและอาหารริมทางที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ “ธุรกิจนำเที่ยวและกิจกรรม” ที่นำเสนอโปรแกรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การผจญภัยที่น่าตื่นเต้น หรือการเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง รวมถึงกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับความงดงามของธรรมชาติ เช่น การเดินป่า การปีนเขา และการดูนก และที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “ธุรกิจสินค้าที่ระลึกและผลิตภัณฑ์ชุมช” ที่ช่วยสนับสนุนงานหัตถกรรม ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรแปรรูป และของที่ระลึกที่มีเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้กับชุมชน แต่ยังเป็นการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นอีกด้วย   อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างรวดเร็วของการท่องเที่ยวก็มาพร้อมกับความท้าทายในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ซึ่งรวมถึง การอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ

👀”อีสานฟีเวอร์” … เมื่อธรรมชาติปลุกพลังเศรษฐกิจ  พาเปิดเบิ่ง ขุมทรัพย์ “อุทยานแห่งชาติ” ในอีสาน ปี 67 สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 229 ล้านบาท🌳🕊️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเลาะเบิ่ง จากเหนือจรดใต้ 3 อันดับจังหวัดที่มี GPP สูงสุดในแต่ละภูมิภาค

ใครคือ “แชมป์” GRP และเบื้องหลังขุมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย? จากข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมภาค หรือ GRP ล่าสุดปี 2566 จะพบว่า กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ยังคงครองบัลลังก์ความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่ง ด้วยมูลค่าขนาดเศรษฐกิจสูงถึง 8,570,179 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 47.7% ของ GDP ทั้งประเทศ ตัวเลขนี้สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของเมืองหลวงและพื้นที่โดยรอบในการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการบริโภคของประเทศ อย่างไรก็ตาม การมีสัดส่วนที่สูงเกือบครึ่งหนึ่งของ GDP ทั้งประเทศ ก็อาจเป็นประเด็นที่น่าพิจารณาถึงความสมดุลและความเสี่ยงของการพึ่งพาเศรษฐกิจในพื้นที่เดียว   ภาคตะวันออก รองแชมป์ ด้วยมูลค่าขนาดเศรษฐกิจ 3,229,062 ล้านบาท คิดเป็น 18.0% ของ GDP ทั้งประเทศ ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของภาคตะวันออกนั้น ส่วนหนึ่งมาจากบทบาทสำคัญในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี และการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศ   สำหรับภูมิภาคอื่นๆ ภาคอีสาน มีมูลค่าขนาดเศรษฐกิจ 1,808,413 ล้านบาท (10.1%), ภาคใต้ มี 1,437,591 ล้านบาท (8.0%), ภาคเหนือ มี 1,390,863 ล้านบาท (7.7%), ภาคกลาง (ที่ไม่รวมกรุงเทพฯ และปริมณฑล) มี 881,689 ล้านบาท (4.9%), และ ภาคตะวันตก มีมูลค่าขนาดเศรษฐกิจน้อยที่สุดที่ 636,869 ล้านบาท (3.5%)   ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างของขนาดเศรษฐกิจและโครงสร้างทางเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาค ซึ่เป็นผลมาจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ โครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายการพัฒนาที่แตกต่างกัน   เปิดขุมทรัพย์เศรษฐกิจรายจังหวัด 3 อันดับขนาดเศรษฐกิจสูงสุดแต่ละภูมิภาค ใครคือดาวเด่น ใครคือม้ามืด? ภาคเหนือ: เชียงใหม่นำทัพ ผนังเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากหลากหลายมิติ เชียงใหม่ ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งด้วยขนาดเศรษฐกิจ 277,477 ล้านบาท สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้พึ่งพาเพียงภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง แต่เป็นการผสมผสานระหว่างการท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ อุตสาหกรรมหัตถกรรมและสินค้าพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์ และภาคเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่มสูง รองลงมาคือ นครสวรรค์ (124,649 ล้านบาท) ซึ่งอาจได้รับอานิสงส์จากการเป็นจุดเชื่อมต่อทางการค้าและโลจิสติกส์ที่สำคัญของภาคเหนือตอนล่าง และ กำแพงเพชร (121,156 ล้านบาท) ที่อาจมีภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก   ภาคอีสาน: นครราชสีมาคือ “พี่ใหญ่” ขอนแก่นและอุบลฯ ตามติดด้วยศักยภาพที่แตกต่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี นครราชสีมา เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ด้วยขนาดเศรษฐกิจสูงถึง 343,510 ล้านบาท ซึ่งอาจเป็นผลมาจากขนาดของจังหวัด จำนวนประชากร และการเป็นศูนย์กลางทางการค้า และการคมนาคมของภูมิภาค ขอนแก่น (225,107 ล้านบาท) ตามมาเป็นอันดับสอง ด้วยศักยภาพในด้านการค้า

พาเลาะเบิ่ง จากเหนือจรดใต้ 3 อันดับจังหวัดที่มี GPP สูงสุดในแต่ละภูมิภาค อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top