Nanthawan Laithong

พามาเบิ่ง  แนวทางพัฒนาและยกระดับของการเกษตรกรรมของภาคอีสาน ปี 2566-2570

เศรษฐกิจอีสานยังเผชิญความเปราะบางจากหลายปัจจัย ทั้งแผลเศรษฐกิจที่ลากยาวจาก COVID-19 รวมถึงเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งกระทบต่อค่าครองชีพและปัญหาหนี้ครัวเรือน รวมถึงการฟื้นตัวของตลาดแรงงานที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างชัดเจนกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แนวทางพัฒนาภูมิภาคจึงเป็นสิ่งสำคัญในการวางรูปแบบและเป้าหมายของภูมิภาค โดยอีสานมุ่งเป้าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง ผ่านการยกระดับการเกษตร (Green) ส่งเสริมคุณภาพชีวิตพร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว (Growth) และการวางตัวเป็นฐานหลักของการค้าลุ่มแม่น้ำโขง (Gate) วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพามาดูการยกระดับการเกษตร (Green) ว่าเป็นอย่างไร? จากปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ภาคเกษตรกรรมกำลังมีบทบาทกับชีวิตของคนในอีสานมากขึ้น อีกทั้งจากแรงงานที่ไหลเข้าสู่การเกษตรเป็นจำนวนมาก และอีสานยังถือครองพื้นที่เพาะปลูกการเกษตรสูงที่สุดในประเทศ อย่างไรก็ตามอีสานยังเผชิญปัญหาในด้านการเกษตรอยู่หลายด้าน ทั้งผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ที่ต่ำ รวมถึงส่วนใหญ่ยังเป็นการทำเกษตรที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยน้อย ดังนั้นการมุ่งเป้าให้อีสานเป็นแหล่งผลิตเกษตรอินทรีย์ที่มีมูลค่าสูง จึงเป็นแนวทางที่ถูกเลือกเพื่อให้พัฒนาและยกระดับการเกษตรกรรมของอีสาน ภาคการเกษตรกำลังมีบทบาทกับแรงงานมากขึ้น แต่ค่าจ้างที่ต่ำอาจสะท้อนความไม่มั่นคงทางการเงินของแรงงานที่จะสูงขึ้น แรงงานเกือบครึ่งในอีสานอยู่ในภาคเกษตรกรรม และจากปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้แรงงานมีการไหลเข้าสู่ภาคเกษตรกรรมมากขึ้น แต่แรงงานในภาคเกษตรกรรมยังเผชิญปัญหาค่าจ้างที่ต่ำซึ่งสะท้อนประเด็นพัฒนาสำคัญที่ต้องมี “การยกระดับภาคเกษตร” เพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้กับโครงสร้างแรงงานหลักของภาค #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #แนวทางพัฒนาและยกระดับของการเกษตรกรรมของภาคอีสาน #การเกษตรกรรมของภาคอีสาน

พามาเบิ่ง สินค้าส่งออกหลักของผู้ประกอบการ SMEs ชายแดนอีสาน-สปป.ลาว

การค้าชายแดนของรายย่อย มีสินค้าส่งออกหลักเป็นกลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็น ทำให้ชะลอตัวไวกว่าและมีแนวโน้มหดตัวลงชัดเจน การส่งออกชายแดนกับ สปป.ลาว ส่วนใหญ่ยังเป็นการส่งออกสินค้าจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสินค้าอุตสาหกรรมเข้มข้น โดยกลุ่มผู้ส่งออก SMEs มีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 20% สินค้าส่งออกหลักของผู้ประกอบการ SMEs คือกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ โดยมีปริมาณการนำเข้าอย่างมากในช่วงก่อนที่จะเกิดเงินเฟ้อ แต่ทันทีที่ปัญหาเงินเฟ้อใน สปป.ลาว เริ่มรุนแรง การนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็นจึงหยุดชะงักและเริ่มหดตัว อ้างอิงจาก: สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #สินค้าส่งออกชายแดน #SMEs

พามาเบิ่ง รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนในภาคอีสาน เป็นจังใด๋แหน่

จากผลการสํารวจ ในปี 2564 ครัวเรือนภาคอีสานมีรายได้ทั้งสิ้นเฉลี่ยเดือนละ 21,587 บาท โดยพบว่ารายได้เพิ่มขึ้นจาก 20,600 บาท ในปี 2562 เพิ่มขึ้น 4.8% โดยพบว่ารายได้ครัวเรือนภาคอีสาน ส่วนใหญ่มีรายได้จากการทํางาน 11,934 บาท ซึ่งได้แก่ ค่าจ้างและเงินเดือน 6,378 บาท กําไรสุทธิจากการทําธุรกิจ 3,211 บาท และกําไรสุทธิจากการทําการเกษตร 2,345 บาท ส่วนรายได้ที่ไม่เป็นตัวเงินซึ่งอยู่ ในรูปสวัสดิการ/สินค้า บริการต่าง ๆ ที่ได้รับมาโดยไม่ต้องซื้อ (รวมประเมินค่าเช่าบ้าน/ บ้านของตนเอง) 4,267 บาท รายได้ที่ไม่ได้เกิดจากการทํางาน เช่น รายได้จากเงิน ที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐหรือบุคคลอื่นนอกครัวเรือน 4,838 บาท ส่วนรายได้ไม่ประจําและจากทรัพย์สิน 415 บาท และ 134 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้หากพิจารณารายได้ของครัวเรือนภาคอีสานในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้ ปี 2554 อยู่ที่ 18,217 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ปี 2556 อยู่ที่ 19,181 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ปี 2558 อยู่ที่ 21,094 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ปี 2560 อยู่ที่ 20,271 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ปี 2562 อยู่ที่ 20,600 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ปี 2564 อยู่ที่ 21,587 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน จะเห็นได้ว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาเฉพาะในช่วงปี 2564 ครัวเรือนภาคอีสานมีรายได้ทั้งสิ้นสูงสุด ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการช่วยเหลือต่าง ๆ ที่รัฐอุดหนุน ท้ังที่รัฐจ่ายเงินเข้าบัญชี ให้แก่ประชาชน และการอุดหนุนในรูปแบบที่ไม่เป็นตัวเงินผ่านแอปพลิเคชัน คูปอง หรือในรูปแบบการลดค่าสาธารณูปโภค (ค่าน้ําประปา ค่าไฟฟ้า ฯลฯ) 5 อันดับจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยครัวเรือนมากที่สุด มหาสารคาม 26,542 บาท เพิ่มขึ้น 19.6% เลย 26,532 บาท เพิ่มขึ้น 4.4% นครราชสีมา 24,779 บาท ลดลง -3.7% บึงกาฬ 24,345 บาท เพิ่มขึ้น 6.8% สุรินทร์ 24,009 บาท เพิ่มขึ้น 18.6% จะเห็นได้ว่าจังหวัดมหาสารคามมีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนมากที่สุดในภาคอีสาน เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตพืช …

พามาเบิ่ง รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนในภาคอีสาน เป็นจังใด๋แหน่ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง สวนสัตว์ใหญ่ในภาคอีสาน

ผลกระทบจากสถานการณ์โควิดนับตั้งแต่รอบแรกมาจนถึงขณะนี้ หลายองค์กรต่างได้รับผลกระทบและต้องปรับตัว เช่นเดียวกับสวนสัตว์ต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับหลายองค์กร เพราะที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาติถือเป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญของธุรกิจนี้ จากสถานการณ์โควิด19 ระบาดรอบแรก หลายสวนสัตว์ในความดูแลขององค์การสวนสัตว์ ต้องปิดบริการ กระทบต่อรายได้ ในปี 2563 อยู่ที่ 980 ล้านบาท ซึ่งในปี 2564 เหลือเพียง 915 ล้านบาท (ลดลง 6.6%) และเมื่อกลับมาเปิดให้บริการเหมือนเดิม ก็พบว่าสวนสัตว์หลายแห่ง จำนวนนักท่องเที่ยวก็ลดน้อยลงไปมาก ขณะที่รายจ่ายต่างๆ ยังคงมีเช่นเดิม โดยในปี 2564 สวนสัตว์ขาดทุน 365 ล้านบาท การท่องเที่ยวในสวนสัตว์ ถือว่าเป็นการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย เนื่องจากเป็นสถานที่กลางแจ้ง เปิดโล่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และยังมีมาตรการต่างๆ ที่สวนสัตว์ปฎิบัติตามนโยบายของภาครัฐในเรื่องโควิด 19 อย่างเข้มงวด เช่น ให้ผู้เข้าเที่ยวชมต้องใส่หน้ากากตลอดเวลาที่เข้าชมสวนสัตว์ การสแกนไทยชนะ วัดอุณหภูมิ มีเจลแอลกอฮอล์ การรักษาระยะห่าง มีมาตรการเข้มข้นในการทำความสะอาดทุกสวน เป็นต้น จุดเด่นของทั้ง 3 สวนสัตว์ในภาคอีสาน 1. สวนสัตว์นครราชสีมา Top Secret Mystery Nature of Thailand ความลับธรรมชาติของประเทศไทยแห่งภาคอีสาน ชมการจัดแสดงสัตว์จากแอฟริกาหรือ “บิ๊กไฟว์” ไปดูช้างแอฟริกาตัวเดียวในประเทศไทย และนกกะเรียนพันธุ์ไทยที่ใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งเปิดมายาวนานกว่า 20 ปี บนพื้นที่ทั้งหมด 545 ไร่ มีสัตว์นานาชนิดกว่า 1,889 ตัว บรรยากาศร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ มีโซนต่างๆที่เป็นสัดส่วน พร้อมเดินชมบรรยากาศแบบทุ่งหญ้าสะวันนาและสัตว์จากแอฟริกา และมีสวนน้ำที่เต็มไปด้วยเครื่องเล่นหลากหลายรูปแบบให้สนุกกันได้ทั้งวัน 2. สวนสัตว์ขอนแก่น The Good Adventure Park & Camping สวนแห่งการผจญภัยในดินแดนแห่งความสุข บนที่ราบสูงทุ่งแสนกวาง ไปชมกวางจำนวนมาก มีผาเรียงหนึ่งให้ท่องเที่ยว อีกทั้งยังเป็นสวนสัตว์ที่เสริมสร้างความรู้และความเพลิดเพลิน มีสัตว์มากกว่า 100 ชนิด ทั้งสัตว์ป่าหายากและสัตว์ป่าที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศ มีกิจกรรมหลากหลายแบบ โดยเฉพาะสัตว์ในตระกูลกวางซึ่งนำมาจัดแสดง และรวมกันอยู่เป็นฝูงขนาดใหญ่ อย่างธรรมชาติให้สอดคล้องกับประวัติความเป็นมาของภูเขาแสนกวาง ภายใต้อัตลักษณ์ของสวนสัตว์ขอนแก่น หรือ The Land of deer 3. สวนสัตว์อุบลราชธานี City Education Jungle Park ศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติและสัตว์ป่า กลางเมืองอุบลราชธานี เราจะเห็นป่ายางขนาดใหญ่ที่แสนร่มรื่น ภายในสวนสัตว์เป็นลักษณะเป็นป่าโปร่ง เต็มไปด้วยป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ มีการจัดแสดงสัตว์ในรูปแบบ Jungle Park ให้สัตว์ได้อยู่กับป่าไม้ โดยสัตว์ถูกเลี้ยงในพื้นที่อย่างเป็นอิสระ และให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมเที่ยวชมอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย จนนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาที่สวนสัตว์มากขึ้น วันนั้นสวนสัตว์แต่ละแห่งก็คงจะไปเต็มไปด้วยความสุข ความสนุกและเสียงหัวเราะ จากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เหมือนที่ผ่านมา อ้างอิงจาก: …

พามาเบิ่ง สวนสัตว์ใหญ่ในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ราคาน้ำมันแต่ละจังหวัดในภาคอีสาน เป็นหยังคือบ่ส่ำกัน

หลังจากที่ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวขึ้นไม่มีหยุดไปแล้วหลายครั้งตั้งแต่ช่วงต้นปีเป็นต้นมา “ราคาน้ำมัน” เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกพูดถึงบ่อยมากในช่วงนี้ วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพามาดูสาเหตุที่ราคาน้ำมันแต่ละจังหวัดไม่เท่ากันและโครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศไทยทุก 1 ลิตรประกอบด้วยอะไรบ้าง สาเหตุหลักที่ราคาน้ำมันแต่ละจังหวัดไม่เท่ากันนั้น เนื่องจากมีค่าขนส่งน้ำมัน จังหวัดที่มีระยะทางที่ไกลและมีพื้นที่เป็นภูเขาสูงชัน ทำให้มีค่าขนส่งที่แพงกว่าจังหวัดอื่น และมาจากภาษีบำรุงท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งสาเหุต คือ สถานีบริการน้ำมันแต่ละแห่งมีข้อตกลงที่แตกต่างกันไปกับแต่ละบริษัทเจ้าของยี่ห้อน้ำมันที่ส่งมาให้ขาย ส่งผลเกี่ยวเนื่องกับต้นทุนของน้ำมันสำเร็จรูปที่เปลี่ยนไปในแต่ละครั้ง ซึ่งหมายความว่าจะมีระยะห่างของเวลานับจากวันที่โรงกลั่นจ่ายค่าน้ำมันดิบ จนถึงวันที่ได้รับเงินจากผู้ที่รับน้ำมันสำเร็จรูปไปขาย ระยะเวลาที่ต่างนี้จึงส่งผลกับการปรับราคาน้ำมัน โครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศไทยในน้ำมันทุก 1 ลิตรนั้น จะประกอบด้วยดังนี้ 1. ต้นทุนเนื้อน้ำมัน ( 40 –60%) คือ ต้นทุนราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงกลั่น ซึ่งอ้างอิงราคาตามตลาดกลางภูมิภาคเอเชีย 2. ภาษีต่างๆ ( 30 –40%) ได้แก่ ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อนำมาใช้เป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศ และบำรุงท้องถิ่น โดยภาษีที่จัดเก็บ ได้แก่ – ภาษีสรรพสามิต : จัดเก็บโดยกระทรวงการคลัง ตาม พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต นำมาใช้เพื่อพัฒนาประเทศ – ภาษีเทศบาล : จัดเก็บโดยกระทรวงการคลัง ในอัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต ตาม พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต มาตรา 150 และจัดส่งให้กระทรวงมหาดไทยเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาท้องถิ่น – ภาษีมูลค่าเพิ่ม : จัดเก็บ 7% ของราคาขายส่งน้ำมันเชื้อเพลิง และจัดเก็บอีก 7% ของค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด 3. กองทุนต่างๆ (5 –20%) เช่น – กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง : จัดเก็บตามประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไม่ให้เกิดความผันผวน – กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน : จัดเก็บตามประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อส่งเสริมสนับสนุนพลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน 4. ค่าการตลาด (10 –18%) คือ ส่วนที่เป็นต้นทุน ค่าใช้จ่าย และกำไรของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันทั้งระบบ ตั้งแต่การจัดการคลังน้ำมัน การขนส่งน้ำมันมายังสถานีบริการ รวมถึงการให้บริการของสถานีบริการที่เติมน้ำมันแต่ละลิตรให้กับประชาชน โครงสร้างราคาน้ำมันของไทยในปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ เป็นส่วนประกอบและปัจจัยที่มีผลต่อการปรับขึ้นและลงราคาน้ำมันภายในประเทศ ส่งผลให้ราคาน้ำมันของไทยแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน และมีความผันผวนตลอดเวลา ซึ่งองค์ประกอบราคาน้ำมันเป็นเหมือนภาระที่ประชาชนต้องแบกรับ ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่ภาครัฐกำหนดขึ้น แนวโน้มราคาน้ำมันหลังจากนี้ ราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในปีหน้า เนื่องจากคาดว่าจะมีปริมาณน้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดมากขึ้น หลังกลุ่มประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก(โอเปก) เตรียมทยอยปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเดือนละ 6 แสนบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้จนถึงสิ้นปี จะมีปริมาณน้ำมันดิบป้อนเข้าสู่ตลาดอีก 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจโลกไม่ได้เติบโตมากนัก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันมีปริมาณน้อย …

พามาเบิ่ง ราคาน้ำมันแต่ละจังหวัดในภาคอีสาน เป็นหยังคือบ่ส่ำกัน อ่านเพิ่มเติม »

ชวนเบิ่ง ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือนในภาคอีสาน มีอิหยังแหน่

ในปี 2564 ครัวเรือนในภาคอีสาน มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นเฉลี่ยเดือนละ 16,869 บาท ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเป็น 78.1% ของรายได้ (รายได้เฉลี่ย 21,587 บาท/เดือน) โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 16,553 บาท ในปี 2562 เพิ่มขึ้น 1.9% โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มในกลุ่มค่าใช้จ่ายอุปโภคบริโภคที่ครัวเรือนไม่ได้ซื้อหรือ จ่ายเงินเอง เนื่องจากโครงการต่าง ๆ ของรัฐ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละครึ่ง เราชนะ รวมถึงมาตรการการลดค่าสาธารณูปโภค ที่เป็นค่าน้ําประปาและค่าไฟฟ้า เป็นต้น ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครัวเรือนในภาคอีสาน สามารถแบ่งได้ดังนี้ ค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค 14,935 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายอาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ สูงสุดถึง 6,441 บาท รองลงมาเป็นค่าเดินทางและการสื่อสาร 3,372 บาท ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เครื่องแต่งบ้าน และเครื่องใช้ 3,361 บาท ตามลําดับ ส่วนค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภค (เช่น ค่าภาษี ของขวัญ เบี้ยประกันภัย ซื้อสลากกินแบ่ง/หวย ดอกเบี้ย เป็นต้น) มีจํานวน 1,934 บาท อย่างไรก็ตาม แม้ในปีนี้จะมีสัญญาณที่ดีจากการสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 แต่สถานการณ์เศรษฐกิจก็ยังมีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น บวกกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ครัวเรือนไทยต้องผจญปัจจัยเสี่ยงทางศรษฐกิจ ซึ่งยิ่งมีความเสี่ยง ก็ยิ่งต้องมีการวางแผนให้รอบคอบในเรื่องค่าใช้จ่ายของครัวเรือน ดังนั้น การวางแผนใช้จ่ายครัวเรือนไทยปี 2565 จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพราะทิศทางราคาสินค้าหลายรายการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งในโครงสร้างการใช้จ่ายรายเดือนของครัวเรือนไทยยังมีค่าใช้จ่ายบางส่วนที่แอบแฝงอยู่ที่อาจต้องอยู่ในรายการที่ต้องตัดทิ้ง เช่น ค่าบุหรี่ ค่าเหล้า ค่าเบียร์ ค่าอาหารบริโภคนอกบ้าน (ข้าวราดแกง) อาหารตามสั่ง เป็นต้น แม้การตัดค่าใช้จ่ายรายเดือนจะเป็นเรื่องง่ายในทางการคำนวน แต่ในทางปฎิบัติถือว่ายากมากเพราะค่าใช้จ่ายเกือบทุกรายการล้วนแต่มีความจำเป็น ทั้งเพื่อการดำรงชีวิตอยู่และเพื่อการอยู่อย่างรื่นรมณ์ ขณะที่การหารายได้เพิ่มก็เป็นอีกความท้าทายในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ การวางแผนเพื่อการดำรงชีพในปีใหม่ที่จะมาถึงนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน อ้างอิงจาก: http://www.nso.go.th/sites/2014/Pages/สำรวจ/ด้านสังคม/รายได้รายจ่ายครัวเรือน/ภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน.aspx https://www.bangkokbiznews.com/business/977069 #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ค่าใช้จ่ายครัวเรือน

พามาเบิ่ง เงินเฟ้อเดือนมิถุนายนของภาคอีสานเป็นจังใด๋แหน่ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้น 7.25% (YoY)

สถานการณ์ “เงินเฟ้อ” ประจำเดือน มิถุนายน 2565 สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) แถลงข้อมูลการปรับตัวสูงขึ้นของเงินเฟ้อถึง 7.66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (มิ.ย. 64) รณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย (CPI) เดือนมิถุนายน 2565 เท่ากับ 107.58 เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2565 (106.62) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.90% (MoM) ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่สูงขึ้น 1.40% (MoM) ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนนี้อยู่ที่ 7.66% (YoY) เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ดัชนีราคาผู้บริโภคในทุกภาคเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้าขยายตัวในอัตรา ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอัตราเงินเฟ้อของภาคใต้ สูงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ โดยสูงขึ้นร้อยละ 8.56 รองลงมาได้แก่ ภาคกลาง ภาคเหนือ และกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล สูงขึ้นร้อยละ 7.84 7.72 และ 7.27 ตามลำดับ ในขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สูงขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ที่ร้อยละ 7.25 เมื่อพิจารณาเป็นรายสินค้า พบว่า สินค้าสำคัญที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นในทุกภาค ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง กับข้าว สำเร็จรูป และเนื้อสุกร ส้าหรับสินค้าส้าคัญที่ราคาลดลงในทุกภาค ได้แก่ ข้าวสารเจ้า ผักสด อาทิ ขิง เงาะ ถั่วฝักยาว เป็นต้น แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ยังมีแนวโน้มขยายตัวในระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา ปัจจัยหลักยังคงเป็นราคา พลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทรงตัวในระดับสูง จากอุปทานโลกที่ตึงตัว สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครน และมาตรการคว่้าบาตรที่ยังยืดเยื้อ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ และต้นทุนการน้าเข้าของไทยสูงขึ้น นอกจากนี้ อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น จากการผ่อน คลายมาตรการป้องกันโควิด-19 การท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อขยายตัว อย่างไรก็ตาม มาตรการดูแลค่าครองชีพของกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ด้าเนินการอย่างต่อเนื่อง และด้าเนินการในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ทั้งการก้ากับดูแล การตรึงราคาสินค้าที่จ้าเป็นและราคาพลังงาน รวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากโควิด-19 ที่จ้านวนผู้ติดเชื้อรายวันเริ่มกลับมา สูงขึ้นจากสายพันธุ์ใหม่ อาจจะเป็นปัจจัยทอนที่ท้าให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัว ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป อ้างอิงจาก: https://www.price.moc.go.th/…/fileu…/file_cpi/Cpi_tg.pdf http://www.indexpr.moc.go.th/…/TableIndexG_region.asp… #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #เงินเฟ้อ

ชวนเบิ่งงาน Pride ในอีสาน การส่งเสียงของ LGBTQ+ เพื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียม

ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เป็นเดือนแห่งความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยได้เห็นปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ในการเฉลิมฉลองเดือน “ไพรด์” คือ การจัดงานไพรด์นอกเหนือไปจากเมืองหลวงกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยว แต่เกิดขึ้นในจังหวัดอุดรธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี ที่ภาคประชาชนและกลุ่ม LGBTQ+ ร่วมกันทำให้เกิดขึ้นเพื่อส่งเสียงถึงความต้องการกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่เพิ่งผ่านสภาในวาระ 1 การเดินขบวนของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ในงานบางกอกนฤมิตรไพรด์ที่จัดขึ้นบนถนนสีลม จุดประกายให้ภาคประชาชนกลุ่ม LGBTQ+ จัดกิจกรรมนี้ขึ้นมาเช่นกัน จังหวัดเหล่านี้ไม่ได้เคยมีงานไพรด์มาก่อน ธงสีรุ้ง กับขบวนของคนรุ่นใหม่ที่เดินไปตามถนนในเมือง และพิธีจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม ในเดือน มิ.ย. มีงานไพรด์เกิดขึ้นอย่างน้อย 4 จังหวัดในภาคอีสาน ได้แก่ ยูดี ไพรด์ อุดรธานี, บุญบั้งไพรด์ ศรีสะเกษ, ซะเร็นไพรด์ สุรินทร์, อุบลฯ ไพรด์ อุบลราชธานี ในอดีต งานประจำปีของจังหวัดล้วนเป็นงานที่ชูเอกลักษณ์และของดีประจำจังหวัด ขึ้นมาเป็นจุดขาย แต่ผู้ริเริ่มงานไพรด์ในสุรินทร์ และอุบลราชธานี หวังว่า นี่จะเป็นหมุดหมายสำคัญที่กลุ่มหลากหลายทางเพศจะได้แสดงออกถึงความภูมิใจในอัตลักษณ์ของกลุ่ม LGBTQ+ ซะเร็นไพรด์ งานไพรด์ของชาวสุรินทร์ เบญจมินทร์ ปันสน คณะทำงาน “ซะเร็นไพรด์” ผู้จัดงานใน จ.สุรินทร์ บอกว่า กิจกรรมดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า กลุ่มคนหลากหลายทางเพศในจังหวัดต้องการอยากจะเห็นกิจกรรมเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้มีองค์กร หรือหน่วยงานไหน ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ไหนในพื้นที่ต่างจังหวัดเป็นคนเริ่มต้น กลุ่ม LGBTQ+ ที่อยู่ในธุรกิจช่างแต่งหน้า เช่าชุด ทำคลินิกเสริมความงาม ต่างร่วมสนับสนุนงานที่จัดขึ้น เพราะต้องการเห็นจากงานไพรด์ในกรุงเทพฯ และหวังให้มีงานนี้ขึ้นมาในจังหวัดของตัวเอง นอกจากงานเดินขบวนและกิจกรรมที่เป็นสีสัน ซึ่งต้องการให้งานนี้สร้างความเข้าใจเรื่องร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ว่าให้สิทธิที่แตกต่างกันกับ พ.ร.บ.คู่ชีวิต อย่างไร ขณะที่พื้นที่สำคัญที่ใช้จัดงานคือ ศาลากลางจังหวัดหลังเก่าที่เคยล้อมรั้วเหล็กเอาไว้ ได้รับอนุญาตให้จัดงานของประชาชนได้ น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นงานสำคัญ ที่ทุกคนเห็นว่าพื้นที่ศาลากลางกลางเมืองมีประโยชน์และเหมาะสมสำหรับเป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับทุกคน อุบลฯ ไพรด์ เมืองเซฟโซนของ LGBTQ+ พิทักษ์ชัย ชาวอุบลราชธานี ซึ่งเป็น ผอ.กองประกวดมิสแกรนด์อุบลฯ ปีนี้ด้วย เห็นถึงศักยภาพของ จ.อุบลฯ ว่าเป็นอีกเมืองหนึ่งที่น่าจะจัดงานได้ยิ่งใหญ่ อีกทั้งหลายภาคส่วนก็ร่วมสนับสนุนเรื่องนี้ ทั้งหอการค้าจังหวัด เอกชนในพื้นที่ และเทศบาลนครอุบลราชธานี และยังมีกลุ่มเยาวชนและผู้ประกอบการ มาร่วมด้วย โดยหลังจากการจัดงานไพรด์ในวันที่ 29 มิ.ย. แล้ว งานแห่เทียนพรรษา ซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปีของอุบลฯ ก็จะมีการผนวกรวมขบวนพาเหรดสีรุ้งของกลุ่มหลากหลายทางเพศในอุบลฯ เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่ง โดยอุบลราชธานีจะมีการจัดทำให้อุบลฯ เป็น “เซฟโซน” หรือพื้นที่ปลอดภัยอีกหนึ่งเมืองของประเทศไทยที่รองรับ LGBTQ+ ทั่วโลกมาเที่ยว ผ่านแคมเปญ ALL FOR YOU ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มโรงแรม ห้างร้าน ร้านอาหาร ร่วมแสดงออกเชิงสัญลักษ์ว่าเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างต้อนรับ LGBTQ+ ที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะได้รับการปฏฺิบัติที่ไม่แบ่งแยกและปลอดภัย ดังนั้น เป็นการผลักดันให้อุบลฯ เป็นอีกหนึ่งเมืองที่รองรับ LGBTQ+ ทั่วโลกมาเที่ยว …

ชวนเบิ่งงาน Pride ในอีสาน การส่งเสียงของ LGBTQ+ เพื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียม อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง จังหวัดใด๋ มีจำนวนผู้ว่างงานหลายกว่าหมู่

ตัวเลขการว่างงาน ถือเป็นดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจได้อย่างหนึ่ง ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ชัดเจนการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น เมื่อตัวเลขการว่างงานลดลง ทำให้สามารถคาดการณ์ถึงตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น การใช้จ่ายของแรงงานที่เพิ่มขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น ประเทศไทยกำลังจะผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ที่สร้างผลกระทบกับเศรษฐกิจมายาวนานกว่า 2 ปี สถานการณ์การจ้างงานในไทยในขณะนี้หากดูในเบื้องต้นจะพบว่ามีแนวโน้มที่ “ดีขึ้น” กว่าช่วงที่เผชิญกับโควิด-19 อย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 การเปิดเมืองรับการท่องเที่ยว โดยสถานการณ์การว่างงานภาคอีสาน ในไตรมาส 1/2565 (มกราคา – มีนาคม) มีผู้ว่างงานจำนวนทั้งสิ้น 115,978 คน ลดลงจากปีก่อนหน้า 37,572 คน (ลดลง 24.5%) ซึ่งว่างงานเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ จังหวัดที่มีการว่างงานเยอะที่สุด อันดับที่ 1 บุรีรัมย์ 20,514 คน อันดับที่ 2 นครราชสีมา 13,463 คน อันดับที่ 3 ขอนแก่น 12,208 คน อันดับที่ 4 กาฬสินธุ์ 12,085 คน อันดับที่ 5 สุรินทร์ 10,630 คน จะเห็นได้ว่า จังหวัดบุรีรัมย์ มีการว่างงานสูงกว่าทุกจังหวัด ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ธุรกิจพยายามประคับประคองธุรกิจให้สามารถดำเนินต่อไปได้ โดยใช้วิธีลดจำนวนแรงงานลงเช่นเดียวกับหลายๆจังหวัด และหากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้า จนส่งผลให้หลายธุรกิจต้องปิดตัวลง จะทำให้กลุ่มคนที่ว่างงานก็จะมีจำนวนเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาตําแหน่งงานว่าง จําแนกตามประเภทอาชีพ พบว่า อาชีพพื้นฐาน มีตําแหน่งงานว่างมากที่สุด จํานวน 207 อัตรา (45.80%) รองลงมา คือ พนักงานบริการ พนักงานขายในร้านค้าและตลาด จํานวน 76 อัตรา (16.81%) ผู้ประกอบวิชาชีพต่างๆ จํานวน 52 อัตรา (11.50%) คนส่วนใหญ่มีความรู้และความสามารถไม่ถึงเกณฑ์กับตำแหน่งงานที่ว่าง จึงทำให้จำนวนการว่างงานสูงกว่าทุกจังหวัดในภาคอีสาน ดังนั้น ควรมีการเพิ่มโอกาสให้คนในพื้นที่ได้มีการศึกษาหาความรู้และเพิ่มทักษะ เกี่ยวกับด้านนี้เพื่อให้มีงานทำและสามารถทำให้จำนวนการว่างงานลดลง อ้างอิงจาก: https://www.doe.go.th/…/faab7ed29afe1e9746cf039d43dbe0d… https://www.bangkokbiznews.com/business/1006626 http://statbbi.nso.go.th/staticreport/page/sector/th/02.aspx https://buriram.mol.go.th/news/รายงานสถานการณ์แรงงานจังหวัดบุรีรัมย์-ไตรมาส-1-ปี-2565-มกราคม-มีนาคม-2565 #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #การว่างงาน#บุรีรัมย์

โรงงานน้ำตาลแห่งใหญ่ในภาคอีสาน ที่อยู่ในตลาดหุ้น

ประเทศไทยผลิตน้ำตาลทรายได้มากเป็นอันดับ 5 ของโลก และส่งออกมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากบราซิล ปัจจุบันโรงงานน้ำตาลมีทั้งหมด 58 โรงงาน ซึ่งกระจายอยู่ตามแหล่งเพราะปลูกอ้อยที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะในภาคอีสาน มีจำนวนมากที่สุด เนื่องจากภาคอีสานมีพื้นที่ในการปลูกอ้อยมากที่สุด ทำให้ผู้ผลิตน้ำตาลทรายรายใหญ่ได้ย้ายฐานการผลิตจากภาคกลางมายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนในการผลิต วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพามาดูเส้นทางของโรงงานน้ำตาลแห่งใหญ่ที่ก่อตั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอยู่ในตลาดหุ้น ว่ามีความเป็นมาอย่างไร? บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) (“BRR”) เดิมชื่อ บริษัท โรงงานน้ำตาลสหไทยรุ่งเรือง (2506) จำกัด (ได้รับโอนกิจการมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงงานน้ำตาลสหไทยรุ่งเรือง) จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2506 ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจโรงงานน้ำตาลทรายแดง ที่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเป็นหนึ่งในบรรดาผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมน้ำตาลของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีคุณวิเชียร ตั้งตรงเวชกิจ ผู้ริเริ่มปลูกอ้อยและส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกอ้อยในจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวสีรำ และน้ำตาลทรายดิบทั้งในและต่างประเทศ นานกว่า 5 ทศวรรษ รวมถึงการนำผลพลอยได้ที่ได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาล เช่น กากอ้อย กากหม้อกรอง และกากน้ำตาล ต่อยอดธุรกิจอย่างครบวงจร ประกอบด้วยธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล ธุรกิจผลิตและจำหน่ายปุ๋ย และธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาอ้อย และธุรกิจให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นธุรกิจสนับสนุน อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ของกลุ่มบริษัทน้ำตาลบุรีรัมย์ คือ มุ่งมั่นในการสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกันก็มุ่งที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มขีดความ สามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ที่มีการทำเกษตรกรรมเป็นหลักให้มีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย มาประยุกต์ใช้ในการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ให้เป็น ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ในขณะที่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) คุณชวน ชินธรรมมิตร์ ชักชวน 2 ครอบครัวนักธุรกิจ คือ ครอบครัวโตการัณยเศรษฐ์ และครอบครัวโรจนสเถียร ร่วมกันก่อตั้งโรงงานน้ำตาลแห่งแรกในปี 2488 คือ “โรงงานน้ำตาลกว้างสุ้นหลี” ตั้งอยู่ที่ถนนพระราม 1 กรุงเทพมหานคร และมีการก่อตั้งโรงงานน้ำตาลขึ้นเป็น 6 โรงงาน แต่เมื่อปี 2517 เมื่อกลุ่มผู้ถือหุ้นมีการปรับโครงสร้างการบริหาร โดยมี คุณนันทา ชินธรรมมิตร์ เป็นประธาน มีการปรับโครงสร้างธุรกิจโดยคงไว้ซึ่งโรงงานน้ำตาลเดิม 3 แห่ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2519 ได้มีการขยายและจัดตั้งบริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด โดยลงทุนสร้างโรงงานน้ำตาลใหม่ขึ้นที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น คณะผู้บริหารกลุ่ม KSL เล็งเห็นศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจน้ำตาล ประกอบกับเพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าน้ำตาลในตลาดที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องจึงแปรสภาพ “บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด” เป็น “บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน)” ซึ่งถือเป็นบริษัทน้ำตาลแห่งแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ …

โรงงานน้ำตาลแห่งใหญ่ในภาคอีสาน ที่อยู่ในตลาดหุ้น อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top