Nanthawan Laithong

ชวนเบิ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมภาคอีสาน

ภาคอีสาน มีดัชนีความเชื่อมั่นในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 อยู่ที่ระดับ 100.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 98.1 ในเดือนมกราคม ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 101.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากระดับ 99.7 ในเดือนมกราคม โดยปัจจัยบวก เกิดจากอุปสงค์ในประเทศขยายตัวต่อเนื่อง จาการบริโภคและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการขยายตัวของภาคการก่อสร้าง ในขณะที่ปัจจัยลบ เกิดจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ที่ส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินของ SMEs อุตสาหกรรมในภาคอีสานที่ส่งผลด้านบวก มีอะไรบ้าง?? 1.อุตสาหกรรมน้ำตาล (ผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย มีคำสั่งซื้อในประเทศเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศและความต้องการใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ขณะที่อุป สงค์ในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น) 2.อุตสาหกรรมแกรนิตและหินอ่อน (ผลิตภัณฑ์แกรนิตและหินอ่อน มียอดขายในประเทศ เพิ่มขึ้น จากความต้องการใช้ในภาคการก่อสร้างที่อยู่อาศัย และอสังหาริมทรัพย์) 3.อุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ (ผลิตภัณฑ์กล่องกระดาษลูกฟูก บรรจุภัณฑ์กระดาษมี ยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้นด้านการส่งออกมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากตลาดอาเซียน) อ้างอิงจาก: – สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์#ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมภาคอีสาน #ดัชนีความเชื่อมั่น #ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม#อุตสาหกรรมภาคอีสาน

ชวนเบิ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

มาส่องเบิ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ เป็นจั่งใด๋แหน่

ดัชนีความเชื่อมั่นฯ จำแนกตามรายภูมิภาค พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 100.7 เพิ่มขึ้นจากระดับ 96.6 ภาคเหนือ อยู่ที่ 86.6 เพิ่มขึ้นจากระดับ 82.6 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ 100.7 เพิ่มขึ้นจากระดับ 98.1 ในเดือนมกราคม ขณะที่ดัชนีความ เชื่อมั่นฯ ของภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 96.9 ลดลงจากระดับ 97.7 และภาคใต้ 87.2 ลดลงจากระดับ 88.3 ในเดือนมกราคม ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการผลิต ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ใน ประเทศ การบริโภคและภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวชัดเจน และอานิสงส์การเปิดประเทศของจีน ขณะเดียวกันการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านโครงการต่าง ๆ ตลอดจนการเร่งการใช้จ่ายภาครัฐ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่ต้นทุนประกอบการประเภทราคาวัตถุดิบปรับตัว ลดลงจากเดือนก่อน สำหรับปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในเดือนนี้ มาจากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่หดตัวลง เศรษฐกิจโลกเข้าสู่สภาวะถดถอย ขณะที่สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ยังยืดเยื้อ รวมถึงปัญหาเงินเฟ้อในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯและยุโรป รวมทั้งความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนยังเป็นความเสี่ยงต่อการค้าระหว่างประเทศของไทย อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของภาคเอกชน ดัชนีความเชื่อมั่นฯ จำแนกตามขนาดของอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมขนาดย่อม อยู่ที่ระดับ 84.9 เพิ่มขึ้นจากระดับ 80.0 อุตสาหกรรมขนาดย่อมที่มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์, อุตสาหกรรมเซรามิก, อุตสาหกรรมแกรนิตและหินอ่อน, อุตสาหกรรมแก้วและกระจก, และอุตสาหกรรมหล่อโลหะ เป็นต้น อุตสาหกรรมขนาดกลาง อยู่ที่ 102.9 เพิ่มขึ้นจากระดับ 99.8 ในเดือนมกราคม อุตสาหกรรมขนาดกลางที่มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม, อุตสาหกรรมน้ำตาล, อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง, อุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษ, และอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ขณะที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อยู่ที่ระดับ 96.2 ลดลงจากระดับ 100.8 ในเดือนมกราคม อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีความเชื่อมั่นลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม, อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและทำความเย็น, อุตสาหกรรมพลาสติก, และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น ดัชนีความเชื่อมั่นฯ จำแนกตามตลาด พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ตลาดในประเทศอยู่ที่ระดับ 100.5 เพิ่มขึ้นจากระดับ 90.5 ในเดือนมกราคม ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ตลาดต่างประเทศ อยู่ที่ระดับ 82.9 ลดลงจากระดับ 83.8 ในเดือนมกราคม อ้างอิงจาก: – สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์#ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม #ดัชนีความเชื่อมั่น #ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม#อุตสาหกรรม

มาส่องเบิ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ เป็นจั่งใด๋แหน่ อ่านเพิ่มเติม »

ชวนเบิ่ง 5 ทำเล ที่มีจำนวนหน่วยเหลือขายมากที่สุดในอีสาน

5 อันดับทำเลที่มีจำนวนหน่วยเหลือขายมากที่สุดใน 5 จังหวัดภาคอีสาน มีอิหยังแหน่? อันดับ 1 ทำเลจอหอ จำนวน 1,337 หน่วย และมีมูลค่า 4,239 ล้านบาท อันดับ 2 ทำเลในเมืองนครราชสีมา จำนวน 1,219 หน่วย และมีมูลค่า 5,252 ล้านบาท อันดับ 3 ทำเลบึงแก่นนคร จำนวน 843 หน่วย และมีมูลค่า 2,224 ล้านบาท อันดับ 4 ทำเล ม.ขอนแก่น จำนวน 815 หน่วย และมีมูลค่า 1,620 ล้านบาท อันดับ 5 ทำเลบ้านใหม่ – โคกกรวด จำนวน 808 หน่วย และมีมูลค่า 2,233 ล้านบาท โดยระดับราคาที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุดคือ 3.01-5.00 ล้านบาท มีจำนวนถึง 3,332 หน่วย มูลค่า 13,310 ล้านบาท อุปสงค์โดยรวม พบว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2565 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 2,312 หน่วย มูลค่า 8,325 ล้านบาท ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 1,843 หน่วย มูลค่า 6,936 ล้านบาท และอาคารชุดเพียง 469 หน่วย มูลค่า 1,389 ล้านบาท สำหรับทำเลที่มีหน่วยขายได้สูงสุด 5 อันดับ มีอิหยังแหน่?? อันดับ 1 บึงแก่นนคร จำนวน 281 หน่วย และมีมูลค่า 751.3 ล้านบาท อันดับ 2 จอหอ จำนวน 216 หน่วย และมีมูลค่า 688.6 ล้านบาท อันดับ 3 ในเมืองนครราชสีมา จำนวน 188 หน่วย และมีมูลค่า 636.0 ล้านบาท อันดับ 4 บ้านใหม่ – โคกกรวด จำนวน 152 หน่วย และมีมูลค่า 444.3 ล้านบาท อันดับ 5 บ้านเป็ด จำนวน

ชวนเบิ่ง 5 ทำเล ที่มีจำนวนหน่วยเหลือขายมากที่สุดในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ไอเดียสุดปัง สร้างอาชีพ โมบาย “ดอกสะแบง” สร้างรายได้เดือนละ 3 หมื่น

ผู้นำชุมชนและชาวบ้านหัวนา หมู่ที่ 3 ต.จระเข้ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น กำลังช่วยกันนำดอกสะแบงสดที่เก็บมาจากต้นสะแบงที่เกิดตามท้องทุ่งนา และผ่านการคัดเลือกดอกที่สวยและสมบูรณ์แล้ว มาร้อยเข้ากันเป็นพวงให้ได้ความยาวประมาณ 3 เมตร ก่อนจะนำไปตากแดดให้แห้ง เมื่อแห้งแล้วจึงนำพวงดอกสะแบงไปเย็บเข้ากับหมวกที่ทำจากไม้ไผ่จักสาน กลายเป็นโมบายดอกสะแบงสำหรับแขวนตกแต่งตามอาคาร บ้านเรือน หรือตามสถานที่ต่างๆ ได้ตามใจชอบ ซึ่งโมบายดอกสะแบงที่กลุ่มชาวบ้านกำลังทำอยู่นี้ ส่วนหนึ่งจะถูกนำไปประดับตกแต่งที่เฮือนโบราณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 12-16 เมษายน 2566 เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เก็บความประทับใจ และส่วนหนึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์และสินค้าใหม่ของชาวบ้าน ที่ทำไว้เพื่อจำหน่าย สร้างอาชีพและรายได้ให้ชุมชน แม้ว่าขณะนี้จะเพิ่งเริ่มต้นทำ แต่หลังจากที่ชาวบ้านมีการโพสต์ภาพโมบายดอกสะแบงลงในโลกโซเชียล ปรากฏว่า มีคนให้ความสนใจสั่งซื้อไปประดับตกแต่งตามสถานที่ต่างๆ เป็นจำนวนมาก นายกองโทพิชัย วันตา นายอำเภอหนองเรือ จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ดอกสะแบง เป็นดอกของไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง 8 – 30 เมตร เกิดขึ้นตามท้องทุ่งนาในพื้นที่ภาคอีสาน มีดอกเป็นสีแดงเข้ม โดยจะออกดอกในช่วงหน้าแล้ง ซึ่งปกติเมื่อออกดอกก็จะปล่อยให้ร่วงหล่นไปตามธรรมชาติ แต่ปีนี้ จังหวัดขอนแก่น ได้กำหนดจัดงานเทศกรานต์สงกรานต์วิถีไทบ้าน ที่เฮือนโบราณอีสาน บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ระหว่างวันที่ 12-16 เมษายน 2566 ซึ่งจะมีกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของงานทางผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น จึงได้ให้แต่ละอำเภอนำดอกสะแบง ซึ่งเป็นต้นไม้พื้นถิ่น มีสีแดงสวยงามและหาได้ง่าย มาร้อยเรียงให้สวยงามและนำมาประดับตกแต่งในเฮือนโบราณ ของแต่ละอำเภอให้สวยงาม ทำให้เกิดเป็นไอเดียให้กับชาวบ้านนำไปต่อยอดความคิด สร้างรายได้และเป็นอาชีพใหม่ให้กับชุมชน โดยเฉพาะอำเภอหนองเรือขณะนี้ผลิตได้มากกว่า 3,000 เส้น และเมื่อรวมทั้งจังหวัดอาจจะมีมากถึง 1 แสนเส้น นั่นหมายถึงทั่วบริเวณจัดงานจะเต็มไปด้วยดอกสะแบงบานสะพรั่งทั้งงานให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงามและเก็บภาพความประทับใจ หลังจากที่ชาวบ้านได้รวมกลุ่มกันผลิตโมบายดอกสะแบงแล้ว ได้มีผู้ที่สนใจอยากได้โมบายดอกสะแบงขนาดเล็ก เพื่อไปประดับตกแต่งบ้านพัก หรือร้านค้ากันเข้ามาจำนวนมากจนผลิตไม่ทัน โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่เส้นละ 300 บาท หรือขึ้นอยู่กับขนาดและความต้องการของลูกค้า ทำให้ชาวบ้านมีรายได้เฉลี่ยคนละ 1,000 บาทต่อวัน ถือเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในช่วงหน้าแล้งได้อีกทางหนึ่ง อ้างอิงจาก: https://www.bangkokbiznews.com/business/1059491 #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์#ขอนแก่น #สงกรานต์ขอนแก่น #สงกรานต์ #โมบายดอกสะแบง #ดอกสะแบง

ไอเดียสุดปัง สร้างอาชีพ โมบาย “ดอกสะแบง” สร้างรายได้เดือนละ 3 หมื่น อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง ธุรกิจ “หมอลำ” เวทีความบันเทิงที่ฟื้นตัวกลับมาแล้วอย่างเต็มรูปในภาคอีสาน เป็นจั่งใด๋แหน่??

กำลังครึกครื้นทั่วไทยสำหรับกิจกรรมการแสดงหมอลำ หนึ่งในเวทีความบันเทิงที่ฟื้นตัวกลับมาแล้วอย่างเต็มรูปแบบหลังเกิดโควิด-19 โดยเฉพาะเวทีหมอลำใหญ่ “ลำเรื่องต่อกลอน” ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากทุกเพศทุกวัย รวมยอดคนดูนับหมื่นคนต่อคืน สร้างรายได้และเงินสะพัดหลายล้านบาทต่อเดือน รูปแบบการแสดงหมอลำ มีอะไรบ้าง?? 1.ลำกลอนแบบดั้งเดิมที่ใช้คนเพียง 4 คน มีหมอแคน 2 คน หมอลำ 2 คน หรือเรียกว่าลำกลอนแคนเต้าเดียวไม่มีดนตรีอื่น 2.หมอลำซิ่งหรือหมอลำกลอน ปัจจุบันจะก้ำกึ่งเรียกว่าลำกลอนประยุกต์ มีตั้งแต่ 10-20 คน แต่ไม่ถึง 100 คน 3.หมอลำวงใหญ่หรือลำเรื่องต่อกลอน มีสมาชิกวง 200-400 คน หมอลำเงินดีกว่าค่าแรงขั้นต่ำ จริงไหม?? เฉพาะในจังหวัดขอนแก่น 26 อำเภอ ที่เป็นเมืองหมอแคนแดนหมอลำมาตั้งแต่บรรพบุรุษ มีวงหมอลำกระจายอยู่เกือบทุกอำเภอ ช่วงการแสดงคือออกพรรษา-ช่วงเข้าพรรษา ระยะเวลารวมประมาณ 9 เดือน หลังจากนั้นถึงจะหยุดพักงาน โดย “หมอลำกลอนแบบดั้งเดิม” ราคาจ้างอยู่ที่ 20,000-30,000 บาท/งาน/วัน “หมอลำซิ่งหรือหมอลำกลอนประยุกต์” ราคาอยู่ที่ 40,000-60,000 บาท/งาน/วัน ถัดมาเป็น “หมอลำเรื่องต่อกลอน” ซึ่งเป็นหมอลำวงใหญ่และได้รับความนิยมมากที่สุด ในจังหวัดมีเกือบ 20 วง ทั้งวงเล็กวงใหญ่ ราคาเริ่มต้นที่ 200,000 บาทขึ้นไป คณะใหญ่ที่มีชื่อเสียงหากไม่มีคนจ้างงานก็สามารถแสดงแบบเก็บบัตรหน้างานได้ เพราะมักจะมีแฟนคลับ มีพ่อยก แม่ยก เป็นจำนวนมาก สำหรับหมอลำที่โด่งดังที่สุดในภาคอีสานขณะนี้ จะเป็นหมอลำเรื่องต่อกลอน 3 อันดับแรก คือ ระเบียบวาทะศิลป์ ปฐมบันเทิงศิลป์ และรัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์ ราคาจ้างงานขั้นต่ำจะอยู่ที่ 250,000 บาท/งาน/วัน บุคลากร 300-400 คน/วง คณะที่เหลือก็รองลงมา ทั้งคนและราคาจ้างก็ลดหลั่นลงตามลำดับ เรียกได้ว่าในธุรกิจหมอลำสร้างเงินสะพัดได้หลายร้อยบาทต่อเดือนต่อปี แต่ประเมินค่อนข้างยากเพราะแต่ละวงมีขนาดไม่เท่ากัน อัตราการจ้างงานก็ต่างกัน ความถี่การรับงานหรือการแสดงก็เฉลี่ยไม่ได้ อาชีพหมอลำหากมีชื่อเสียงจะหาเงินได้มากกว่าเงินเดือนค่าแรงขั้นต่ำ อาจได้มากถึง 20,000-30,000 บาท/เดือน ระดับแดนเซอร์เฉลี่ยขั้นต่ำ 500 บาท/คืน ยิ่งช่วงเทศกาลจะได้มากเป็นพิเศษ โดยคณะหมอลำใหญ่ที่มีชื่อเสียง เมื่อหักค่าใช้จ่ายหลังการแสดงและแบ่งค่าแรงในวงแล้ว จะได้กำไรไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท/วัน แต่อาชีพนี้มีความเสี่ยงคือความไม่แน่นอน เพราะไม่ใช่งานประจำที่มีเงินเดือนตลอด เป็นอาชีพที่กอบโกยได้เฉพาะในช่วงนี้เท่านั้น อ้างอิงจาก: ประชาชาติธุรกิจ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์#ธุรกิจหมอลำ #หมอลำ

พาส่องเบิ่ง ธุรกิจ “หมอลำ” เวทีความบันเทิงที่ฟื้นตัวกลับมาแล้วอย่างเต็มรูปในภาคอีสาน เป็นจั่งใด๋แหน่?? อ่านเพิ่มเติม »

พามาฮู้จัก อาณาจักร “โบนันซ่า เขาใหญ่” มีอิหยังแน่??

ครอบครัวเตชะณรงค์ โดยคุณพ่อไพวงษ์ เตชะณรงค์ ซึ่งเป็นคุณพ่อของคุณสงกรานต์ เตชะณรงค์ ได้เริ่มบุกเบิกธุรกิจ โบนันซ่า เขาใหญ่ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 โดยอาณาจักรแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 5,000 ไร่ ทำธุรกิจครอบคลุมทั้งโรงแรม รีสอร์ต สนามกอล์ฟ และสถานที่ท่องเที่ยวแนว Adventure โดยมีแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์แนวคาวบอยเรื่อง Bonanza นั่นเอง โดยปัจจุบันธุรกิจในเครือโบนันซ่า เขาใหญ่ มีด้วยกัน ดังนี้ 1.บริษัท โบนันซ่า รีสอร์ท โฮเต็ล จำกัด ประกอบธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต โดยใรปี 2563 มีมูลค่าบริษัท 14 ล้านบาท และมีรายได้ 26 ล้านบาท 2.บริษัท โบนันซ่า กอล์ฟ แอนด์ คันทรี่ คลับ จำกัด ประกอบธุรกิจสนามกอล์ฟ โดยปี 2563 มีมูลค่าบริษัท -22 ล้านบาท และมีรายได้ 11 ล้านบาท 3.บริษัท ชูเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ประกอบธุรกิจพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยในปี 2563 มีมูลค่าบริษัท 87 ล้านบาท และมีรายได้ 103 ล้านบาท 4.บริษัท ซับม่วง จำกัด ประกอบธุรกิจพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยว โดยในปี 2563 มีมูลค่าบริษัท 46 ล้านบาท และมีรายได้ 6 ล้านบาท 5.บริษัท โบนันซ่า เอ็กโซติก ซู จำกัด ประกอบธุรกิจสวนสัตว์หายาก โดยในปี 2561 มีมูลค่าบริษัท 816,325 บาท และมีรายได้ 21 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า ในปี 2563 รายได้รวมทั้ง 4 บริษัท อยู่ที่ 146 ล้านบาท แม้บริษัทส่วนใหญ่ในเครือโบนันซ่า จะมีผลประกอบการขาดทุน แต่ถ้ามองในแง่สินทรัพย์นับว่าไม่ใช่น้อย ๆ เลย เพราะในปี 2563 สินทรัพย์รวมกันแล้ว คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,182 ล้านบาท . . . อ้างอิงจาก: – www.sanook.com – กรมพัฒนาธุรกิจการค้า #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์#โบนันซ่าเขาใหญ่ #โบนันซ่า #เขาใหญ่ #เตชะณรงค์

พามาฮู้จัก อาณาจักร “โบนันซ่า เขาใหญ่” มีอิหยังแน่?? อ่านเพิ่มเติม »

ชวนเบิ่ง ซี่รีย์เงินทองของต้องฮู้ ตอน วางแผนการเงินแบบพุทธ vs แบบสมัยใหม่

“การเงินแบบพุทธเศรษฐศาสตร์ คือ การใช้เงินและการเสพเสวย บริโภค การจัดการการเงินอย่างรู้เท่าทันขอบเขตของตัวเอง ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นตัวสื่อนำให้เราไปใช้เงิน ดังนั้น เราต้องมีภูมิคุ้มกันด้วย” “การเงินแบบสมัยใหม่ มองเรื่องการหารายได้ การใช้จ่าย การรู้จักเก็บออม ไม่สร้างหนี้เกินตัว หรือ อาจจะมีหนี้พอประมาณ การเงินยังแบ่งออกเป็น 2 กระแสด้วยกัน มุมมองกระแสหลัก มองว่าคนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจ คือ คนมีเหตุมีผล ดังนั้นการลงทุนมุ่งผลตอบแทนสูงสุดถายใต้ความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ ในขณะที่มุมมองเศรษฐศาตร์พฤติกรรม (กระแสรอง) มองว่าคนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจ คือ ไม่มีเหตุผล มีความโลภ โกรธ หลงได้ ซึ่งจะตัดสินทางการเงินแบบไม่มีเหตุผล ผศ.ดร.จักรกฤช เจียวิริยบุญญา จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ รศ.ดร.รัตนะ ปัญญาภา จาก มรภ.อุบลราชธานี เป็นผู้นำเรื่อง ซีรี่ย์เงินทองของต้องรู้ ตอน ” วางแผนการเงินแบบพุทธ vs แบบสมัยใหม่ ” มาถ่ายทอดในรายการ Econ Talk สามารถฟังข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/esanbiz/videos/191343966925041/?vh=e #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #econtalk#มข #ความรู้การเงิน

ชวนเบิ่ง ซี่รีย์เงินทองของต้องฮู้ ตอน วางแผนการเงินแบบพุทธ vs แบบสมัยใหม่ อ่านเพิ่มเติม »

ปังคักหลาย ยูนิโคล่โรดไซด์สโตร์สาขาแรกในภาคอีสาน เป็นจั่งใด๋แหน่

ยูนิโคล่ แบรนด์เครื่องแต่งกายระดับโลก เดินหน้าขยาย ยูนิโคล่โรดไซด์สโตร์ หรือร้านสาขานอกศูนย์การค้า 3 สาขาใหม่ทั้ง ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ได้แก่ ยูนิโคล่โรดไซด์ ลาดกระบัง, ยูนิโคล่ โรดไซด์ บุญถาวร บางนา และครั้งแรกสำหรับยูนิโคล่โรดไซด์ในต่างจังหวัด และภาคอีสานที่ยูนิโคล่โรดไซด์ ขอนแก่น นับตั้งแต่การเปิดยูนิโคล่โรดไซด์สโตร์สาขาแรกในประเทศไทยและอาเซียนในปี 2561 ณ. ยูนิโคล่โรดไซด์สโตร์ พัฒนาการ ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ในฐานะศูนย์กลางของชุมชนที่ทำให้ลูกค้าสะดวกสบายในการเข้าถึงเสื้อผ้า LifeWear นับจากนั้น รูปแบบร้านแบบโรดไซด์สโตร์ จึงถูกขยายไปตามย่านต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ รวมกว่า 6 สาขา ประกอบด้วย ยูนิโคล่โรดไซด์ พัฒนาการ ตามมาด้วยยูนิโคล่โรดไซด์ ลาซาล อเวนิว, ยูนิโคล่โรดไซด์ บุญถาวร ปิ่นเกล้า, ยูนิโคล่โรดไซด์ มีนบุรี, ยูนิโคล่โรดไซด์ อินเด็กซ์ชัยพฤกษ์ และยูนิโคล่โรดไซด์ นวมินทร์ ตามลำดับ ส่งผลให้ภายในครึ่งปีแรกของปี 2566 นี้ ยูนิโคล่จึงมีแผนเปิดยูนิโคล่โรดไซด์สโตร์ใหม่ 3 สาขา เพื่อขยายการเข้าถึงของลูกค้าและตอบโจทย์ในด้านความสะดวกสบายและรวดเร็ว สำหรับคนที่อยากซื้อสินค้าโดยไม่ต้องเดินทางไปยังห้างสรรพสินค้า แต่ยังได้รับประสบการณ์และการบริการเช่นเดียวกัน สำหรับยูนิโคล่โรดไซด์ ลาดกระบัง เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา นับเป็นยูนิโคล่โรดไซด์สาขาล่าสุดที่ตั้งอยู่ในเขตที่พักอาศัยและชุมชนอย่างย่านลาดกระบัง ใกล้กับมหาวิทยาลัย และสนามบินสุวรรณภูมิ นอกจากนั้นในกรุงเทพฯ ยังมีกำหนดเปิดยูนิโคล่โรดไซด์สโตร์สาขาใหม่ที่ ยูนิโคล่โรดไซด์ บุญถาวร บางนา ในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งยูนิโคล่โรดไซด์ บุญถาวร บางนา ตั้งอยู่ที่บุญถาวร บางนา บนถนนบางนา-ตราด ที่เพิ่งได้รับการ รีโนเวทโฉมใหม่ ให้ทันสมัย เข้าถึงง่าย สำหรับชาวบางนาที่แวดล้อมด้วยโครงการบ้านและห้างสรรพสินค้า นอกจากนั้น ในวันที่ 6 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา ยูนิโคล่ได้เปิดยูนิโคล่โรดไซด์สโตร์ สาขานอกกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกกับยูนิโคล่โรดไซด์ ขอนแก่น ซึ่งนับเป็นสาขาแรกในต่างจังหวัดและภาคอีสาน โดยยูนิโคล่โรดไซด์ ขอนแก่น ตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้าอู้ฟู่ขอนแก่น ใกล้แหล่งช้อปปิ้งและตลาดท้องถิ่น รองรับความต้องการของนักช้อปในจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียง เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นให้กับชาวขอนแก่น อ้างอิงจาก: www.ryt9.com www.punpro.com #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์#ยูนิโคล่โรดไซด์สโตร์ #ยูนิโคล่ #Uniqlo #ขอนแก่น

ปังคักหลาย ยูนิโคล่โรดไซด์สโตร์สาขาแรกในภาคอีสาน เป็นจั่งใด๋แหน่ อ่านเพิ่มเติม »

ซีรี่ย์เงินทองของต้องรู้ ตอน การเงินแบบเบสิคสะกิดใจ

ทักษะทางการเงิน ที่ขาดไม่ได้ มีอะไรบ้าง? 1.ความรู้ทางการเงินที่ดี 2.ทัศนคติทางการเงินที่ดี 3.พฤติกรรมทางการเงินที่ดี ไม่ว่า “เงินเดือนจะน้อย” ถ้ามีการออมเงิน การใช้จ่ายที่ดี รู้จักลงทุน และไม่สร้างหนี้ที่ไม่จำเป็น ก็สามารถรวยได้ สามารถฟัง “การเงินแบบเบสิคสะกิดใจ” เพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/esanbiz/videos/575531727971955 ผศ.ดร.จักรกฤช เจียวิริยบุญญา และ ผศ.ดร.นรชิต จิรสัทธรรม เป็นผู้นำเรื่อง ซีรี่ย์เงินทองของต้องรู้ ตอน “การเงินแบบเบสิคสะกิดใจ” มาถ่ายทอดในรายการ Econ Talk #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #econtalk#มข #ความรู้การเงิน

ซีรี่ย์เงินทองของต้องรู้ ตอน การเงินแบบเบสิคสะกิดใจ อ่านเพิ่มเติม »

พามาฮู้จัก “เอ็นเทคโพลิเมอร์” อาณาจักรผลิตภัณฑ์ยางรายใหญ่แห่งประเทศ

บริษัท เอ็นเทค โพลิเมอร์ จำกัด เป็นกิจการร่วมลงทุนกับทางยุโรป โดยได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งเป็นบริษัทดำเนินการส่งออกและแปรรูปยางธรรมชาติ ก่อตั้งมาตั้งแต่พ.ศ. 2553 ด้วยหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งของผู้ผลิตยางรถยนต์ระดับโลกและผู้แปรรูปยางธรรมชาติที่มีประสบการณ์ ทำให้เกิดการแบ่งปันวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่อนำไปสู่ความแตกต่างและการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ผ่านการผนึกกำลังร่วมกันในอุตสาหกรรมยางธรรมชาติ บริษัทฯ ประเดิมทุนครั้งแรกในปี 2553 ด้วยจำนวนเพียง 1 ล้านบาท จากนั้นเพิ่มทุนจดทะเบียนอีกในปีเดียวกัน เพิ่มเป็น 330 ล้านบาท ปี 2560 รายได้รวม 3,967 ล้านบาท และมีกำไรรวม 149 ล้านบาท ปี 2561 รายได้รวม 2,977 ล้านบาท และกำไรรวม 137 ล้านบาท ปี 2562 รายได้รวม 2,915 ล้านบาท และกำไรรวม 112 ล้านบาท ปี 2563 รายได้รวม 2,933 ล้านบาท และกำไรรวม 88 ล้านบาท ปี 2564 รายได้รวม 4,172 ล้านบาท และกำไรรวม 104 ล้านบาท หากพิจารณาจากข้อมูลการเพิ่มทุนจดทะเบียน และตัวเลขงบการเงินที่ปรากฏ จะพบว่า มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรายได้รวมในปี 2564 ที่ก้าวกระโดดไปถึงหลัก 4,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในการทำธุรกิจต่าง ๆ ต้องมีการจัดการกับความเสี่ยงที่ต้องเจอให้เหมาะสม ซึ่งต้องทําการศึกษาและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการลงทุน โดยพิจารณาพื้นที่ที่มีศักยภาพในเชิงเศรษฐกิจที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่ผู้ลงทุนควรมี คือ ความมุ่งมั่นตั้งใจ การที่เราจะประสบความสำเร็จในเรื่องใด ๆ ก็ตาม ตัวเราเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด แม้ว่าแผนการลงทุนที่ได้วางไว้จะดีเพียงใดก็ตาม แต่หากขาดความมุ่งมั่นตั้งใจ ขาดวินัย และขาดความอดทนในการออมการลงทุนแล้ว การไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้คงเป็นไปได้ยาก อ้างอิงจาก: – เว็บไซต์ของบริษัท – กรมพัฒนาธุรกิจการค้า #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #เอ็นเทคโพลิเมอร์ #NTEQ #ผลิตภัณฑ์ยาง

พามาฮู้จัก “เอ็นเทคโพลิเมอร์” อาณาจักรผลิตภัณฑ์ยางรายใหญ่แห่งประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top