Nanthawan Laithong

ชวนเบิ่ง GPP แต่ละจังหวัดในภาคอีสาน เป็นจังใด๋แหน่

ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (Gross Provincial Product : GPP) หมายถึง มูลค่าการผลิตสินค้าและ บริการขั้นสุดท้ายของจังหวัด ซึ่งมีค่าเท่ากับมูลค่าเพิ่ม (value added) จากกิจกรรมการผลิตสินค้าและบริการทุกชนิดที่ผลิตขึ้นในขอบเขตของจังหวัด ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อคน (Per capita GPP) เป็นตัวเลขท่ีแสดงถึงความสามารถในการสร้างรายได้ของจังหวัดเฉลี่ยต่อคน ข้อมูลนี้ใช้เปรียบเทียบกันระหว่างจังหวัด เพื่อดูระดับความแตกตางของความสามารถในการสร้าง รายได้ (Generated of factor income) จังหวัดที่มีค่าเฉลี่ยสูงแสดงถึงความสามารถ หรือศักยภาพในการสร้างรายได้ท่ีสูงกว่าจังหวัดที่มีค่าเฉลี่ยตํ่า ในปี 2563 มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคอีสาน หรือที่เรียกว่า GRP (Gross Regional Product) มีมูลค่าเท่ากับ 1,590,894 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าในส่วนนี้ คิดเป็นสัดส่วนได้เพียง 10.2% ของมูลค่า GDP ของประเทศไทยทั้งประเทศ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 16 ล้านล้านบาท ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อคนของประชากรในภาคอีสาน เท่ากับ 86,233 บาทต่อปี หรือ 7,186 บาทต่อเดือน ซึ่งน้อยที่สุดในบรรดาภูมิภาคทั้ง 6 ภาคของประเทศไทย และเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยต่อคนประชากรไทย ที่เท่ากับ 224,962 บาท จะเห็นว่า รายได้เฉลี่ยต่อคนของประชากรในภาคอีสานน้อยกว่ารายได้เฉลี่ยต่อคนประชากรไทยเกือบ 3 เท่า หรือ 38.3% ของรายได้เฉลี่ยต่อคนประชากรไทย 5 อันดับจังหวัดที่มี GPP สูงสุด 1. นครราชสีมา มีมูลค่าเศรษฐกิจเท่ากับ 294,604 ล้านบาท 2. ขอนแก่น มีมูลค่าเศรษฐกิจเท่ากับ 208,472 ล้านบาท 3. อุบลราชธานี มีมูลค่าเศรษฐกิจเท่ากับ 129,081 ล้านบาท 4. อุดรธานี มีมูลค่าเศรษฐกิจเท่ากับ 108,113 ล้านบาท 5. บุรีรัมย์ มีมูลค่าเศรษฐกิจเท่ากับ 92,023 ล้านบาท จะเห็นว่า จังหวัดที่กล่าวมา มีมูลค่าเศรษฐกิจรวมกันกว่า 832,293 ล้านบาท หรือ 52.3% ของมูลค่าเศรษฐกิจของภาคอีสาน แสดงให้เห็นว่า ความมั่งคั่งของคนในภาคอีสานมีความกระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่จังหวัด ทำให้เกิดปัญหาที่ตามมา คือ แรงงานจากจังหวัดในภาคอีสานจำนวนมากไปทำงานใน 5 จังหวัดที่มั่งคั่งดังกล่าว และบางส่วนอาจย้ายเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ เพื่อหาโอกาสในชีวิตที่ดีขึ้น นี่คือสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมของภาคอีสานไม่ได้ถูกขับเคลื่อนให้กระจายไปแต่ละพื้นที่ได้ดีเท่าที่ควร ดังนั้น ทุกภาคส่วนควรกระตุ้นให้เศรษฐกิจภาคอีสานเติบโตมากขึ้นกว่านี้ และส่งเสริมให้ประชากรอีสานมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างทั่วถึง เมื่อภาคอีสานมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ก็จะทำให้เศรษฐกิจทั้งประเทศไทยดีขึ้นตามทั้งทางตรงและทางอ้อม อ้างอิงจาก: https://www.nesdc.go.th/ewt_dl_link.php?nid=12388… https://www.longtunman.com/25407 #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #GPPแต่ละจังหวัดในภาคอีสาน #ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด #ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อคน

พามาเบิ่ง ศึกธุรกิจบุฟเฟ่ต์ชาบูดังในจังหวัดขอนแก่น

หลายคนอาจจะเริ่มเห็นร้านบุฟเฟ่ต์ชาบูเปิดใหม่ขึ้นมากมาย และมีการแข่งขันอย่างดุเดือดของธุรกิจนี้ แต่เมื่อนึกถึงบุฟเฟ่ต์ชาบูในขอนแก่น หลายๆคนต้องนึกถึง “ร้านปลาวาฬใจดี สุกี้แอนด์ชาบู” และ “ร้านคินส์ เดอะ บูตะ” ทั้ง 2 ร้านเป็นที่นิยมของคนในขอนแก่นนั่นเอง เส้นทางของอาณาจักรบุฟเฟ่ต์ชาบูแต่ละรายนี้ เป็นมาอย่างไร? จุดเริ่มต้นของ “ร้านปลาวาฬใจดี สุกี้แอนด์ชาบู” มาจากคุณอวิรุทธ์ ทรัพย์วิวัฒนา เดิมเป็นพนักงานบริษัท ตำแหน่งผู้จัดการขายของร้านเฟอร์นิเจอร์แห่งหนึ่งมานานกว่า 5 ปี และชอบรับประทานชาบูเป็นทุนเดิมและมีความคิดอยากจะลองเปิดร้าน จึงได้ตัดสินใจลาออกจากงานมาทดลองเปิดร้านสุกี้ร้านเล็ก ๆ เป็นธุรกิจครอบครัว โดยได้คิดค้นเมนูอาหารเองจากประสบการณ์ และมีการพัฒนาต่อยอดเป็นของตัวเอง เริ่มแรกร้านมีเพียง 12 โต๊ะ หลังเปิดร้านได้ประมาณ 3-4 เดือน ผลประกอบการทางร้านดีมาก ต่อมาภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี ทางร้านได้ขยายโต๊ะมากถึง 70 โต๊ะ และขยายสาขาไปตามจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งร้านมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยมี “ปลาวาฬ” เป็นมาสคอตของร้านที่สื่อให้เห็นถึงความบุฟเฟต์จากรูปร่างของปลาวาฬที่ตัวใหญ่ และขยายความด้วยคำว่า “ใจดี” เพราะที่ร้านจะเน้นความหลากหลาย อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของร้านปลาวาฬใจดี สุกี้แอนด์ชาบู คือ มีน้ำซุปมากถึง 15 น้ำซุปและยังมีน้ำจิ้มถึง 8 รสชาติ น้ำซุปสามารถเลือกได้ 2 แบบภายในหม้อเดียว ร้านยังใส่ใจในเรื่องวัตถุดิบทั้งหมูทั้งผัก โดยทางร้านสั่งวัตถุดิบจากบริษัทนำเข้าชื่อดังในประเทศไทยเท่านั้น ในขณะที่ “ร้านคินส์ เดอะ บูตะ” คือ แบรนด์ร้านอาหารประเภทหม้อไฟ ที่มุ่งเน้นให้การรับประทานอาหารเป็นมากกว่าการรับประทานอาหารเพื่อดำรงชีพ การรับประทานอาหารแบบหม้อไฟ มีลักษณะเฉพาะตัวในการแบ่งปัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเวลาระหว่างผู้ร่วมรับประทาน โดยทางร้านจัดเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นน้ำซุบ น้ำจิ้มสูตรพิเศษ รวมถึงการคัดสรรวัตถุดิบที่ดีโดยการนำเสนอและจัดวางในรูปแบบที่เอื้ออำนวยต่อการใช้เวลาร่วมกัน ดำเนินการด้วยความจริงใจและซื่อสัตย์ ซึ่งจุดเด่นของร้าน คือ “อร่อย จัดเต็ม เหมือนทำกินเองที่บ้าน” โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ คือ อร่อย คือ อาหารที่อร่อยประกอบไปด้วยการมีรสชาติที่ดีโดยสูตรเฉพาะตัวที่ทางร้านคิดค้นและพัฒนาขึ้นมา เพื่อให้ถูกปากของคนไทย โดยถูกปรุงขึ้นอย่างสะอาดและมีคุณค่าทางโภชนาการด้วยอาหารที่สดแทบไม่ผ่านการปรุงแต่ง จัดเต็ม คือ ลักษณะการทานอาหารของลูกค้าที่ทางร้านคาดหวังให้ลูกค้าทุกคนที่เข้ามาทานอาหารของทางร้าน จะต้องได้คุณภาพและปริมาณที่จัดเต็ม ส่งผลต่อการนำเสนออาหารการจัดจานที่มีขนาดใหญ่เต็มจานทั้งแบบ A la carte และ Buffet เหมือนทำกินเองที่บ้าน คือ ทางร้านมุ่งหวังให้ลูกค้าได้รับประทานอาหารที่มีความสะอาดปลอดภัยเหมือนการทำอาหารทานเองในบ้าน รวมถึงบรรยากาศการทานอาหารที่มีความผ่อนคลายไม่แออัดและเป็นกันเอง ตกแต่งอย่างสวยงามสบายตา ร้านคินส์ เดอะ บูตะ เปิดดำเนินการครั้งแรกวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2013 และปัจจุบันได้ทำการขยายสาขาไปยังต่างจังหวัดในลักษณะแฟรนไชส์ รวมทั้งหมด 7 สาขา ซึ่งร้านเหมาะกับลูกค้าที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนหรือคู่รัก อาหารของทางร้านเน้นเรื่องความสะอาดและปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยไม่ใช้วัตถุกันเสียและผงชูรส นอกจากจะตอบสนองเรื่องการรับประทานอาหารแล้ว ยังตอบสนองเรื่อง ไลฟ์ไตล์ด้วยการตกแต่งร้านที่โดดเด่นเป็นที่จดจำ …

พามาเบิ่ง ศึกธุรกิจบุฟเฟ่ต์ชาบูดังในจังหวัดขอนแก่น อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง สถานการณ์ด้านอุปทานตลาดที่อยู่อาศัยของภาคอีสาน ไตรมาส 1 ปี 2565

การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน ในไตรมาส 1/2565 มีโครงการที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศรวม 121 โครงการ 12,915 หน่วย ลดลงทั้งจำนวนโครงการและจำนวนหน่วย  -9.7% และ -17.7% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 ที่มี 134 โครงการ มีจำนวน 15,699 หน่วย นอกจากนั้น จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศในไตรมาสนี้ ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 ปี (2558 – 2562) ซึ่งมีจำนวนโครงการที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินเฉลี่ยไตรมาสละ 26,000 หน่วย สำหรับประเภทที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดิน พบว่า ทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วน จำนวนหน่วยมากที่สุด 37.5% รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว 34.5%, บ้านแฝด 18.9%, ที่ดินเปล่าจัดสรร 7.8% และอาคารพาณิชย์ 1.3% ตามลำดับ  หากพิจารณาเฉพาะภาคอีสาน พบว่า ภาคอีสานมีจำนวนหน่วยที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินมีจำนวน 14 โครงการ ลดลงจากปีก่อนหน้า -12.5% และ 1,295 หน่วย เพิ่มขึ้น 14.2% จังหวัดท่ีมีหน่วยได้รับใบอนุญาตจัดสรรท่ีดินสูงสุดในภาคอีสาน คือ นครราชสีมา ซึ่งมีจำนวน 5 โครงการ และ 946 หน่วย(คิดเป็น 7.3% ของประเทศ) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองนครราชสีมาและบัวใหญ่   การออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย ในช่วงไตรมาส 1/2565 มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ทั้งประเภท บ้านที่ประชาชนสร้างเอง และบ้านในโครงการจัดสรร จำนวนประมาณ 85,858 หน่วย เพิ่มขึ้น 1.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 ที่มีจำนวน 84,261 หน่วย ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสแรกหลังจากที่มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างลดลงต่อเนื่องมาถึง 8 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 1/2563 อย่างไรก็ตาม จำนวนหน่วยที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างในไตรมาสนี้ ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 (2558 – 2562) ซึ่งมีจํานวนที่ได้ใบอนุญาตก่อสร้างเฉลี่ย 86,282 หน่วย เมื่อแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย พบว่า ที่อยู่อาศัยแนวราบได้รับใบอนุญาตก่อสร้างเพิ่มขึ้น แต่อาคารชุดได้รับใบอนุญาตก่อสร้างลดลง โดยที่อยู่อาศัยแนวราบได้รับอนุญาตก่อสร้างจำนวน 70,192 หน่วย เพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2564 และอาคารชุดมีจำนวน 15,666 หน่วย ลดลง -12.5% เมื่อพิจารณาเฉพาะภาคอีสาน พบว่า การออกใบอนุญาตก่อสร้างท่ีอยู่อาศัยแนวราบมีจำนวน 14,748 หน่วย …

พาส่องเบิ่ง สถานการณ์ด้านอุปทานตลาดที่อยู่อาศัยของภาคอีสาน ไตรมาส 1 ปี 2565 อ่านเพิ่มเติม »

2 โรงพยาบาลเอกชนใหญ่ในภาคอีสาน ที่อยู่ในตลาดหุ้น

วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพามาดูเส้นทางของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนแต่ละรายนี้ เป็นมาอย่างไร? โรงพยาบาลราชพฤกษ์ หรือ RPH เริ่มก่อตั้งในปี 2536 ในนามของบริษัท สีฐานการแพทย์ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจการให้บริการทางการแพทย์ ในนามโรงพยาบาลราชพฤกษ์ ซึ่งนับเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มี ชื่อเสียงในจังหวัดขอนแก่น ด้านคุณภาพการรักษาพยาบาลภายใต้ราคาที่เหมาะสม ก่อตั้งโดยกลุ่มแพทย์และอาจารย์แพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทนาลัยขอนแก่น ในปี 2559 ได้เปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชน และเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท โรงพยาบาลราชพฤกษ์ จำกัด (มหาชน)” ต่อมาได้มองเห็นความต้องการของบริการทางด้านสาธารณสุขของประชาชนในบริเวณจังหวัดขอนแก่น โดยทางผู้ก่อตั้งได้เล็งเห็นว่าการให้บริการของสถานพยาบาลต่าง ๆ ในเขตอำเภอเมือง และจังหวัดใกล้เคียงยังมีจำนวนไม่มากและไม่เพียงพอต่อความต้องการดังกล่าว จึงได้ตัดสินใจก่อตั้งโรงพยาบาลราชพฤกษ์ขึ้นในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในทำเลที่มีการเติบโตสูง และอยู่บนถนนสายหลัก คือ ถนนมิตรภาพ โดยได้เริ่มเปิดดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2537 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชนในจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดใกล้เคียงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ในปัจจุบัน(วันที่ 31 ธันวาคม 2564) โรงพยาบาลราชพฤกษ์มีทุนจดทะเบียนรวม 546 ล้านบาท มีจำนวนเตียงผู้ป่วย จำนวน 198 เตียง โดยมีห้องตรวจทั้งหมด 36 ห้อง และศูนย์การแพทย์ครบวงจร จำนวน 5 ศูนย์ ซึ่งบริษัทมีพันธกิจในการดำเนินธุรกิจ คือ “มุ่งมั่นพัฒนาและให้บริการด้านสุขภาพที่มีความปลอดภัยระดับ มาตรฐานสากล ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ค่าบริการที่เป็นธรรม เป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อการเยียวยา มุ่งเน้นให้เกิดประสบการณ์ที่เป็นเลิศแก่ผู้รับบริการ” โดยบริษัทได้ยึดถือและปฏิบัติมานับตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินงานโรงพยาบาลตั้งแต่ปี 2537 ซึ่งเป็นพันธกิจหลักที่บริษัทให้ความสำคัญเสมอมา โดยเป็นที่มาของการให้บริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ทำให้ บริษัทได้รับความไว้วางใจ ความเชื่อมั่นและศรัทธาจากประชาชนในพื้นที่ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นเหตุผลหลักประการหนึ่งที่ทำให้ผลการดำเนินงานบริษัทสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่โรงพยาบาลนอร์ทอีสเทอร์นวัฒนา หรือ NEW ก่อตั้งโดยกลุ่มครอบครัวตั้งสืบกุล เมื่อปี 2528 โดยได้รวบรวมกลุ่มแพทย์เพื่อจัดตั้งเป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาด 25 เตียง ต่อมาในปี 2533 ได้ขยายและจดทะเบียนเป็น โรงพยาบาลขนาด 100 เตียงจนปัจจุบัน และในปี 2539 บริษัทฯได้เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท และมีทุนเรียกชำระแล้ว 100 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯมีความมุ่งมั่นดำเนินงานตามหลักการกำกับกิจการที่ดีเพื่อเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือ การเติบโตอย่างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับกิจการ ด้วยการคำนึงถึงความรับผิดชอบและการสร้างคุณค่าร่วมกันระหว่างบริษัทฯ กับผู้มีส่วนได้เสียทุกส่วนตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ พร้อมมุ่งสู่การยกระดับการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่แท้จริง ด้วยการผนวกการบริหารจัดการประเด็นต่างๆ ด้านความยั่งยืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานในทุกภาคส่วนให้ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจและสอดคล้องกับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไปในอนาคต นับจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกแรกในปี 2563 ส่งผลให้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งได้รับผลกระทบหนัก ทำให้ผลดำเนินงานที่ผ่านมาหดตัวอย่างหนัก ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มาจากมาตรการปิดเมือง(ล็อกดาวน์) ทำให้จำนวนคนไข้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติลดลงอย่างมาก ขณะที่จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในไทยไม่มากนัก และส่วนใหญ่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐเป็นส่วนใหญ่ …

2 โรงพยาบาลเอกชนใหญ่ในภาคอีสาน ที่อยู่ในตลาดหุ้น อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง  แนวทางพัฒนาและยกระดับของการเกษตรกรรมของภาคอีสาน ปี 2566-2570

เศรษฐกิจอีสานยังเผชิญความเปราะบางจากหลายปัจจัย ทั้งแผลเศรษฐกิจที่ลากยาวจาก COVID-19 รวมถึงเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งกระทบต่อค่าครองชีพและปัญหาหนี้ครัวเรือน รวมถึงการฟื้นตัวของตลาดแรงงานที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างชัดเจนกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แนวทางพัฒนาภูมิภาคจึงเป็นสิ่งสำคัญในการวางรูปแบบและเป้าหมายของภูมิภาค โดยอีสานมุ่งเป้าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง ผ่านการยกระดับการเกษตร (Green) ส่งเสริมคุณภาพชีวิตพร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว (Growth) และการวางตัวเป็นฐานหลักของการค้าลุ่มแม่น้ำโขง (Gate) วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพามาดูการยกระดับการเกษตร (Green) ว่าเป็นอย่างไร? จากปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ภาคเกษตรกรรมกำลังมีบทบาทกับชีวิตของคนในอีสานมากขึ้น อีกทั้งจากแรงงานที่ไหลเข้าสู่การเกษตรเป็นจำนวนมาก และอีสานยังถือครองพื้นที่เพาะปลูกการเกษตรสูงที่สุดในประเทศ อย่างไรก็ตามอีสานยังเผชิญปัญหาในด้านการเกษตรอยู่หลายด้าน ทั้งผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ที่ต่ำ รวมถึงส่วนใหญ่ยังเป็นการทำเกษตรที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยน้อย ดังนั้นการมุ่งเป้าให้อีสานเป็นแหล่งผลิตเกษตรอินทรีย์ที่มีมูลค่าสูง จึงเป็นแนวทางที่ถูกเลือกเพื่อให้พัฒนาและยกระดับการเกษตรกรรมของอีสาน ภาคการเกษตรกำลังมีบทบาทกับแรงงานมากขึ้น แต่ค่าจ้างที่ต่ำอาจสะท้อนความไม่มั่นคงทางการเงินของแรงงานที่จะสูงขึ้น แรงงานเกือบครึ่งในอีสานอยู่ในภาคเกษตรกรรม และจากปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้แรงงานมีการไหลเข้าสู่ภาคเกษตรกรรมมากขึ้น แต่แรงงานในภาคเกษตรกรรมยังเผชิญปัญหาค่าจ้างที่ต่ำซึ่งสะท้อนประเด็นพัฒนาสำคัญที่ต้องมี “การยกระดับภาคเกษตร” เพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้กับโครงสร้างแรงงานหลักของภาค #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #แนวทางพัฒนาและยกระดับของการเกษตรกรรมของภาคอีสาน #การเกษตรกรรมของภาคอีสาน

พามาเบิ่ง สินค้าส่งออกหลักของผู้ประกอบการ SMEs ชายแดนอีสาน-สปป.ลาว

การค้าชายแดนของรายย่อย มีสินค้าส่งออกหลักเป็นกลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็น ทำให้ชะลอตัวไวกว่าและมีแนวโน้มหดตัวลงชัดเจน การส่งออกชายแดนกับ สปป.ลาว ส่วนใหญ่ยังเป็นการส่งออกสินค้าจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสินค้าอุตสาหกรรมเข้มข้น โดยกลุ่มผู้ส่งออก SMEs มีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 20% สินค้าส่งออกหลักของผู้ประกอบการ SMEs คือกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ โดยมีปริมาณการนำเข้าอย่างมากในช่วงก่อนที่จะเกิดเงินเฟ้อ แต่ทันทีที่ปัญหาเงินเฟ้อใน สปป.ลาว เริ่มรุนแรง การนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็นจึงหยุดชะงักและเริ่มหดตัว อ้างอิงจาก: สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #สินค้าส่งออกชายแดน #SMEs

พามาเบิ่ง รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนในภาคอีสาน เป็นจังใด๋แหน่

จากผลการสํารวจ ในปี 2564 ครัวเรือนภาคอีสานมีรายได้ทั้งสิ้นเฉลี่ยเดือนละ 21,587 บาท โดยพบว่ารายได้เพิ่มขึ้นจาก 20,600 บาท ในปี 2562 เพิ่มขึ้น 4.8% โดยพบว่ารายได้ครัวเรือนภาคอีสาน ส่วนใหญ่มีรายได้จากการทํางาน 11,934 บาท ซึ่งได้แก่ ค่าจ้างและเงินเดือน 6,378 บาท กําไรสุทธิจากการทําธุรกิจ 3,211 บาท และกําไรสุทธิจากการทําการเกษตร 2,345 บาท ส่วนรายได้ที่ไม่เป็นตัวเงินซึ่งอยู่ ในรูปสวัสดิการ/สินค้า บริการต่าง ๆ ที่ได้รับมาโดยไม่ต้องซื้อ (รวมประเมินค่าเช่าบ้าน/ บ้านของตนเอง) 4,267 บาท รายได้ที่ไม่ได้เกิดจากการทํางาน เช่น รายได้จากเงิน ที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐหรือบุคคลอื่นนอกครัวเรือน 4,838 บาท ส่วนรายได้ไม่ประจําและจากทรัพย์สิน 415 บาท และ 134 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้หากพิจารณารายได้ของครัวเรือนภาคอีสานในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้ ปี 2554 อยู่ที่ 18,217 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ปี 2556 อยู่ที่ 19,181 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ปี 2558 อยู่ที่ 21,094 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ปี 2560 อยู่ที่ 20,271 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ปี 2562 อยู่ที่ 20,600 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ปี 2564 อยู่ที่ 21,587 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน จะเห็นได้ว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาเฉพาะในช่วงปี 2564 ครัวเรือนภาคอีสานมีรายได้ทั้งสิ้นสูงสุด ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการช่วยเหลือต่าง ๆ ที่รัฐอุดหนุน ท้ังที่รัฐจ่ายเงินเข้าบัญชี ให้แก่ประชาชน และการอุดหนุนในรูปแบบที่ไม่เป็นตัวเงินผ่านแอปพลิเคชัน คูปอง หรือในรูปแบบการลดค่าสาธารณูปโภค (ค่าน้ําประปา ค่าไฟฟ้า ฯลฯ) 5 อันดับจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยครัวเรือนมากที่สุด มหาสารคาม 26,542 บาท เพิ่มขึ้น 19.6% เลย 26,532 บาท เพิ่มขึ้น 4.4% นครราชสีมา 24,779 บาท ลดลง -3.7% บึงกาฬ 24,345 บาท เพิ่มขึ้น 6.8% สุรินทร์ 24,009 บาท เพิ่มขึ้น 18.6% จะเห็นได้ว่าจังหวัดมหาสารคามมีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนมากที่สุดในภาคอีสาน เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตพืช …

พามาเบิ่ง รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนในภาคอีสาน เป็นจังใด๋แหน่ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง สวนสัตว์ใหญ่ในภาคอีสาน

ผลกระทบจากสถานการณ์โควิดนับตั้งแต่รอบแรกมาจนถึงขณะนี้ หลายองค์กรต่างได้รับผลกระทบและต้องปรับตัว เช่นเดียวกับสวนสัตว์ต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับหลายองค์กร เพราะที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาติถือเป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญของธุรกิจนี้ จากสถานการณ์โควิด19 ระบาดรอบแรก หลายสวนสัตว์ในความดูแลขององค์การสวนสัตว์ ต้องปิดบริการ กระทบต่อรายได้ ในปี 2563 อยู่ที่ 980 ล้านบาท ซึ่งในปี 2564 เหลือเพียง 915 ล้านบาท (ลดลง 6.6%) และเมื่อกลับมาเปิดให้บริการเหมือนเดิม ก็พบว่าสวนสัตว์หลายแห่ง จำนวนนักท่องเที่ยวก็ลดน้อยลงไปมาก ขณะที่รายจ่ายต่างๆ ยังคงมีเช่นเดิม โดยในปี 2564 สวนสัตว์ขาดทุน 365 ล้านบาท การท่องเที่ยวในสวนสัตว์ ถือว่าเป็นการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย เนื่องจากเป็นสถานที่กลางแจ้ง เปิดโล่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และยังมีมาตรการต่างๆ ที่สวนสัตว์ปฎิบัติตามนโยบายของภาครัฐในเรื่องโควิด 19 อย่างเข้มงวด เช่น ให้ผู้เข้าเที่ยวชมต้องใส่หน้ากากตลอดเวลาที่เข้าชมสวนสัตว์ การสแกนไทยชนะ วัดอุณหภูมิ มีเจลแอลกอฮอล์ การรักษาระยะห่าง มีมาตรการเข้มข้นในการทำความสะอาดทุกสวน เป็นต้น จุดเด่นของทั้ง 3 สวนสัตว์ในภาคอีสาน 1. สวนสัตว์นครราชสีมา Top Secret Mystery Nature of Thailand ความลับธรรมชาติของประเทศไทยแห่งภาคอีสาน ชมการจัดแสดงสัตว์จากแอฟริกาหรือ “บิ๊กไฟว์” ไปดูช้างแอฟริกาตัวเดียวในประเทศไทย และนกกะเรียนพันธุ์ไทยที่ใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งเปิดมายาวนานกว่า 20 ปี บนพื้นที่ทั้งหมด 545 ไร่ มีสัตว์นานาชนิดกว่า 1,889 ตัว บรรยากาศร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ มีโซนต่างๆที่เป็นสัดส่วน พร้อมเดินชมบรรยากาศแบบทุ่งหญ้าสะวันนาและสัตว์จากแอฟริกา และมีสวนน้ำที่เต็มไปด้วยเครื่องเล่นหลากหลายรูปแบบให้สนุกกันได้ทั้งวัน 2. สวนสัตว์ขอนแก่น The Good Adventure Park & Camping สวนแห่งการผจญภัยในดินแดนแห่งความสุข บนที่ราบสูงทุ่งแสนกวาง ไปชมกวางจำนวนมาก มีผาเรียงหนึ่งให้ท่องเที่ยว อีกทั้งยังเป็นสวนสัตว์ที่เสริมสร้างความรู้และความเพลิดเพลิน มีสัตว์มากกว่า 100 ชนิด ทั้งสัตว์ป่าหายากและสัตว์ป่าที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศ มีกิจกรรมหลากหลายแบบ โดยเฉพาะสัตว์ในตระกูลกวางซึ่งนำมาจัดแสดง และรวมกันอยู่เป็นฝูงขนาดใหญ่ อย่างธรรมชาติให้สอดคล้องกับประวัติความเป็นมาของภูเขาแสนกวาง ภายใต้อัตลักษณ์ของสวนสัตว์ขอนแก่น หรือ The Land of deer 3. สวนสัตว์อุบลราชธานี City Education Jungle Park ศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติและสัตว์ป่า กลางเมืองอุบลราชธานี เราจะเห็นป่ายางขนาดใหญ่ที่แสนร่มรื่น ภายในสวนสัตว์เป็นลักษณะเป็นป่าโปร่ง เต็มไปด้วยป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ มีการจัดแสดงสัตว์ในรูปแบบ Jungle Park ให้สัตว์ได้อยู่กับป่าไม้ โดยสัตว์ถูกเลี้ยงในพื้นที่อย่างเป็นอิสระ และให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมเที่ยวชมอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย จนนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาที่สวนสัตว์มากขึ้น วันนั้นสวนสัตว์แต่ละแห่งก็คงจะไปเต็มไปด้วยความสุข ความสนุกและเสียงหัวเราะ จากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เหมือนที่ผ่านมา อ้างอิงจาก: …

พามาเบิ่ง สวนสัตว์ใหญ่ในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ราคาน้ำมันแต่ละจังหวัดในภาคอีสาน เป็นหยังคือบ่ส่ำกัน

หลังจากที่ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวขึ้นไม่มีหยุดไปแล้วหลายครั้งตั้งแต่ช่วงต้นปีเป็นต้นมา “ราคาน้ำมัน” เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกพูดถึงบ่อยมากในช่วงนี้ วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพามาดูสาเหตุที่ราคาน้ำมันแต่ละจังหวัดไม่เท่ากันและโครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศไทยทุก 1 ลิตรประกอบด้วยอะไรบ้าง สาเหตุหลักที่ราคาน้ำมันแต่ละจังหวัดไม่เท่ากันนั้น เนื่องจากมีค่าขนส่งน้ำมัน จังหวัดที่มีระยะทางที่ไกลและมีพื้นที่เป็นภูเขาสูงชัน ทำให้มีค่าขนส่งที่แพงกว่าจังหวัดอื่น และมาจากภาษีบำรุงท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งสาเหุต คือ สถานีบริการน้ำมันแต่ละแห่งมีข้อตกลงที่แตกต่างกันไปกับแต่ละบริษัทเจ้าของยี่ห้อน้ำมันที่ส่งมาให้ขาย ส่งผลเกี่ยวเนื่องกับต้นทุนของน้ำมันสำเร็จรูปที่เปลี่ยนไปในแต่ละครั้ง ซึ่งหมายความว่าจะมีระยะห่างของเวลานับจากวันที่โรงกลั่นจ่ายค่าน้ำมันดิบ จนถึงวันที่ได้รับเงินจากผู้ที่รับน้ำมันสำเร็จรูปไปขาย ระยะเวลาที่ต่างนี้จึงส่งผลกับการปรับราคาน้ำมัน โครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศไทยในน้ำมันทุก 1 ลิตรนั้น จะประกอบด้วยดังนี้ 1. ต้นทุนเนื้อน้ำมัน ( 40 –60%) คือ ต้นทุนราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงกลั่น ซึ่งอ้างอิงราคาตามตลาดกลางภูมิภาคเอเชีย 2. ภาษีต่างๆ ( 30 –40%) ได้แก่ ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อนำมาใช้เป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศ และบำรุงท้องถิ่น โดยภาษีที่จัดเก็บ ได้แก่ – ภาษีสรรพสามิต : จัดเก็บโดยกระทรวงการคลัง ตาม พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต นำมาใช้เพื่อพัฒนาประเทศ – ภาษีเทศบาล : จัดเก็บโดยกระทรวงการคลัง ในอัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต ตาม พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต มาตรา 150 และจัดส่งให้กระทรวงมหาดไทยเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาท้องถิ่น – ภาษีมูลค่าเพิ่ม : จัดเก็บ 7% ของราคาขายส่งน้ำมันเชื้อเพลิง และจัดเก็บอีก 7% ของค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด 3. กองทุนต่างๆ (5 –20%) เช่น – กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง : จัดเก็บตามประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไม่ให้เกิดความผันผวน – กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน : จัดเก็บตามประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อส่งเสริมสนับสนุนพลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน 4. ค่าการตลาด (10 –18%) คือ ส่วนที่เป็นต้นทุน ค่าใช้จ่าย และกำไรของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันทั้งระบบ ตั้งแต่การจัดการคลังน้ำมัน การขนส่งน้ำมันมายังสถานีบริการ รวมถึงการให้บริการของสถานีบริการที่เติมน้ำมันแต่ละลิตรให้กับประชาชน โครงสร้างราคาน้ำมันของไทยในปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ เป็นส่วนประกอบและปัจจัยที่มีผลต่อการปรับขึ้นและลงราคาน้ำมันภายในประเทศ ส่งผลให้ราคาน้ำมันของไทยแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน และมีความผันผวนตลอดเวลา ซึ่งองค์ประกอบราคาน้ำมันเป็นเหมือนภาระที่ประชาชนต้องแบกรับ ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่ภาครัฐกำหนดขึ้น แนวโน้มราคาน้ำมันหลังจากนี้ ราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในปีหน้า เนื่องจากคาดว่าจะมีปริมาณน้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดมากขึ้น หลังกลุ่มประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก(โอเปก) เตรียมทยอยปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเดือนละ 6 แสนบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้จนถึงสิ้นปี จะมีปริมาณน้ำมันดิบป้อนเข้าสู่ตลาดอีก 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจโลกไม่ได้เติบโตมากนัก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันมีปริมาณน้อย …

พามาเบิ่ง ราคาน้ำมันแต่ละจังหวัดในภาคอีสาน เป็นหยังคือบ่ส่ำกัน อ่านเพิ่มเติม »

ชวนเบิ่ง ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือนในภาคอีสาน มีอิหยังแหน่

ในปี 2564 ครัวเรือนในภาคอีสาน มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นเฉลี่ยเดือนละ 16,869 บาท ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเป็น 78.1% ของรายได้ (รายได้เฉลี่ย 21,587 บาท/เดือน) โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 16,553 บาท ในปี 2562 เพิ่มขึ้น 1.9% โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มในกลุ่มค่าใช้จ่ายอุปโภคบริโภคที่ครัวเรือนไม่ได้ซื้อหรือ จ่ายเงินเอง เนื่องจากโครงการต่าง ๆ ของรัฐ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละครึ่ง เราชนะ รวมถึงมาตรการการลดค่าสาธารณูปโภค ที่เป็นค่าน้ําประปาและค่าไฟฟ้า เป็นต้น ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครัวเรือนในภาคอีสาน สามารถแบ่งได้ดังนี้ ค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค 14,935 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายอาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ สูงสุดถึง 6,441 บาท รองลงมาเป็นค่าเดินทางและการสื่อสาร 3,372 บาท ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เครื่องแต่งบ้าน และเครื่องใช้ 3,361 บาท ตามลําดับ ส่วนค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภค (เช่น ค่าภาษี ของขวัญ เบี้ยประกันภัย ซื้อสลากกินแบ่ง/หวย ดอกเบี้ย เป็นต้น) มีจํานวน 1,934 บาท อย่างไรก็ตาม แม้ในปีนี้จะมีสัญญาณที่ดีจากการสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 แต่สถานการณ์เศรษฐกิจก็ยังมีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น บวกกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ครัวเรือนไทยต้องผจญปัจจัยเสี่ยงทางศรษฐกิจ ซึ่งยิ่งมีความเสี่ยง ก็ยิ่งต้องมีการวางแผนให้รอบคอบในเรื่องค่าใช้จ่ายของครัวเรือน ดังนั้น การวางแผนใช้จ่ายครัวเรือนไทยปี 2565 จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพราะทิศทางราคาสินค้าหลายรายการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งในโครงสร้างการใช้จ่ายรายเดือนของครัวเรือนไทยยังมีค่าใช้จ่ายบางส่วนที่แอบแฝงอยู่ที่อาจต้องอยู่ในรายการที่ต้องตัดทิ้ง เช่น ค่าบุหรี่ ค่าเหล้า ค่าเบียร์ ค่าอาหารบริโภคนอกบ้าน (ข้าวราดแกง) อาหารตามสั่ง เป็นต้น แม้การตัดค่าใช้จ่ายรายเดือนจะเป็นเรื่องง่ายในทางการคำนวน แต่ในทางปฎิบัติถือว่ายากมากเพราะค่าใช้จ่ายเกือบทุกรายการล้วนแต่มีความจำเป็น ทั้งเพื่อการดำรงชีวิตอยู่และเพื่อการอยู่อย่างรื่นรมณ์ ขณะที่การหารายได้เพิ่มก็เป็นอีกความท้าทายในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ การวางแผนเพื่อการดำรงชีพในปีใหม่ที่จะมาถึงนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน อ้างอิงจาก: http://www.nso.go.th/sites/2014/Pages/สำรวจ/ด้านสังคม/รายได้รายจ่ายครัวเรือน/ภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน.aspx https://www.bangkokbiznews.com/business/977069 #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ค่าใช้จ่ายครัวเรือน

Scroll to Top