Nanthawan Laithong

พาสำรวจเบิ่ง ใน 1 เดือนที่ผ่านมา คนอีสาน สูด PM2.5 เท่ากับบุหรี่กี่มวน

จากงานของ Richard A. Muller นักวิจัยชาวอเมริกันจากสถาบันวิจัยสภาพอากาศ Berkeley Earth แห่ง University of California, Berkeley ซึ่งคำนวณเปรียบเทียบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ หรือ PM2.5 กับปริมาณการสูบบุหรี่ พบว่า ค่าฝุ่น PM2.5 22 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ 1 มวน ซึ่งหากนำค่าฝุ่นแบบค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมงในแต่ละวันของ 1 เดือนที่ผ่านมา (26 ธ.ค. 67 – 25 ม.ค. 68) มาคำนวณเปรียบเทียบตามเกณฑ์ของ Richard A. Muller จะพบว่า   ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา คนอีสานสูดดมฝุ่นพิษ PM2.5 เทียบเท่าการสูบบุหรี่ทั้งหมด 60-61 มวน หรือคิดเป็น 3 ซองเลยทีเดียว   หลายวันนี้ ระดับ PM2.5 เป็นสีแดงในหลายจังหวัดทั่วภาคอีสาน คนอีสานทุกคน ทั้งที่สูบและไม่สูบบุหรี่ต้องสูด PM2.5 จากฝุ่นพิษในอากาศทั้งเดือน    อย่างไรก็ตาม ควันบุหรี่มีสารที่ก่อมะเร็งที่มีเฉพาะในใบยาสูบ (Tobacco specific carcinogen) และนิโคติน ที่มลพิษในอากาศไม่มี   ส่วนบุหรี่ไฟฟ้าที่เห็นเป็นไอเหมือนหมอกทึบนั้น มีฝุ่นที่ขนาดเล็กกว่า PM2.5 ลงไปถึงขนาด PM1.0 จำนวนมาก ที่เข้าถึงส่วนลึกที่สุดของปอด ก่อนที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดพาไหลเวียนไปทั่วร่างกาย   คนไทยที่สูบบุหรี่ เฉลี่ยสูบวันละ 9 – 10 มวน ซึ่งคนเหล่านี้จึงได้รับอันตรายจากฝุ่น PM2.5 สองเด้ง คือจากมลพิษในอากาศและจากการสูบบุหรี่นั่นเอง   มลพิษทางอากาศย่อมส่งผลกระทบทางตรงต่อระบบสาธารณสุขภาพรวม สิ่งแวดล้อม และในที่สุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือมักส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และ PM2.5 ยิ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากด้วยอนุภาคที่เล็กมากของ PM2.5 จึงสามารถเดินทางผ่านกระแสเลือด ปอด รวมไปถึงหัวใจได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสการเกิดโรคทางเดินหายใจและโรคหัวใจและหลอดเลือดของประชากรในประเทศอีกด้วย   ในขณะนี้เองประเทศไทยก็กำลังเจอปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก จากข้อมูล 3 ปีที่ผ่านมา พบมีแหล่งกำเนิดฝุ่นมาจากไฟป่า การเผาในพื้นที่เกษตร หมอกควันข้ามแดน การจราจร ขนส่ง และโรงงาน ประกอบกับสภาพอุตุนิยมวิทยาช่วงต้นปีที่ความกดอากาศสูง แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้อากาศปิด ลมสงบ ฝุ่นละอองไม่ฟุ้งกระจาย และสะสมในพื้นที่ จนเกินมาตรฐาน    การเผาในประเทศที่เป็นหนึ่งสาเหตุหลักของปัญหา PM 2.5 ในไทยเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ส่งผลให้เกิด …

พาสำรวจเบิ่ง ใน 1 เดือนที่ผ่านมา คนอีสาน สูด PM2.5 เท่ากับบุหรี่กี่มวน อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง จุดเผาใน GMS หนึ่งในสาเหตุ PM 2.5

🔥จุดความร้อน หรือ Hot Spot คืออะไร?   จุดความร้อน พูดง่ายๆก็คือ จุดที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลก ซึ่งส่วนมากก็คือความร้อนจากไฟ แสดงในรูปแบบแผนที่เพื่อนำเสนอตำแหน่งที่เกิดไฟในแต่ละพื้นที่แบบคร่าวๆ การได้มาซึ่งข้อมูลจุดความร้อนอาศัยหลักการที่ว่า ดาวเทียมสามารถตรวจวัดคลื่นรังสีอินฟาเรดหรือรังสีความร้อนที่เกิดจากไฟ (อุณหภูมิสูงกว่า 800 องศาเซลเซียส) บนพื้นผิวโลก จากนั้นก็ประมวลผลแสดงในรูปแบบจุด ซึ่งปัจจุบันทุกคนสามารถตรวจสอบจุดความร้อนเหล่านี้ได้ด้วยตัวเองจากเว็บไซต์เหล่านี้ (http://bit.ly/2OalZnU)   ในช่วงนี้บ้านเมืองเราในหลายพื้นที่ยังคงเกิดไฟป่าอย่างต่อเนื่อง กลุ่มควันปกคลุมเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด โดยแผนภาพที่นำเสนอจุดแดง📛คือ จุดความร้อนที่กระจายอยู่ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา   จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าการเผามีการกระจายตัวทั้งประเทศ แต่ภาคอีสานจะมีการการเผาที่กระจายตัวหนาแน่นทั่วอีสาน ซึ่งสาเหตุการเผานั้นก็มาจากการเผาตอซังและฟางข้าวของชาวนา หรือเผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเกิดขึ้นค่อนข้างมาก โดยต้นทุนในการที่จะจ้างรถไถกลบก็จะใช้เงินจำนวนมาก การเผาจะประหยัดกว่าการจ้างรถไถมาไถกลบหรือทำการไถกลบเอง เมื่อเกิดมลพิษทางอากาศย่อมส่งผลกระทบทางตรงต่อระบบสาธารณสุขภาพรวม สิ่งแวดล้อม และในที่สุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือมักส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และ PM 2.5 ยิ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากด้วยอนุภาคที่เล็กมากของ PM 2.5 จึงสามารถเดินทางผ่านกระแสเลือด ปอด รวมไปถึงหัวใจได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสการเกิดโรคทางเดินหายใจและโรคหัวใจและหลอดเลือดของประชากรใน ประเทศ   ในขณะนี้เองประเทศไทยก็กำลังเจอปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก จากข้อมูล 3 ปีที่ผ่านมา พบมีแหล่งกำเนิดฝุ่นมาจากไฟป่า การเผาในพื้นที่เกษตร หมอกควันข้ามแดน การจราจร ขนส่ง และโรงงาน ประกอบกับสภาพอุตุนิยมวิทยาช่วงต้นปีที่ความกดอากาศสูง แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้อากาศปิด ลมสงบ ฝุ่นละอองไม่ฟุ้งกระจาย และสะสมในพื้นที่ จนเกินมาตรฐาน    การเผาในประเทศที่เป็นหนึ่งสาเหตุหลักของปัญหา PM 2.5 ในไทยเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ส่งผลให้เกิด PM 2.5 ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ ความหนาแน่นของประชากร หรือการจราจร นอกจากนี้ การเผาจากประเทศเพื่อนบ้านยังมีผลกระทบต่อ PM2.5 ด้วยเช่นกัน   ปริมาณการเกิดไฟไหม้สูงพบเห็นได้ที่ชายแดนติดกับกัมพูชา จากรูปแสดงให้เห็นความถี่การเกิดการเผาไหม้ซึ่งมักมีจุดเกิดการเผาไหม้ในประเทศเพื่อนบ้านบริเวณใกล้กับชายแดนประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้ภาคอีสานของประเทศไทยได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากนั้นยังมีลมมรสุมประจำปี และร่องความกดอากาศต่ำในช่วง พ.ย.-ม.ค. ในช่วงหน้าหนาวทำให้ฝุ่นควันถูกพัดตามกระแสลมเข้าสู่ภูมิภาคต่างๆ ในประเทศไทยมากขึ้น ข้อมูลระบบคลังข้อมูลสุขภาพ Health Data Center (HDC) รายงานผ่านระบบเดือน ม.ค. 2568 ที่ยังไม่เป็นข้อมูลปัจจุบัน โดยรวมกว่า 1.44 แสนราย เป็นกลุ่มโรคผิวหนังอักเสบมากที่สุด รองลงมา กลุ่มโรคตาอักเสบ กลุ่มโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหืด และโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งสถิติเผยว่า อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา มีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปอดจำนวนสูงสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งสอดคล้องกับพื้นที่หลักที่มีการเพาะปลูกอ้อย หรือมีการเผาที่มีความถี่มากกว่าพื้นที่อื่นๆ ในภูมิภาคนั้นเอง พามาเบิ่งจำนวนสะสมผู้ป่วยมะเร็งปอดแต่จังหวัดภาคอีสาน ปี 2566     ที่มา:  – กรุงเทพธุรกิจ – Thai …

พาสำรวจเบิ่ง จุดเผาใน GMS หนึ่งในสาเหตุ PM 2.5 อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง อีสานผลิตข้าวนาปรัง กว่า 1.1 ล้านตัน กระจายอยู่ไหนบ้าง

“ข้าวนาปรัง” คือ ข้าวที่ถูกเพาะปลูกในฤดูแล้งซึ่งต้องอาศัยน้ำจากระบบชลประทาน โดยเพาะปลูกช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายนของปีถัดไป ส่วนใหญ่นิยมปลูกในภาคกลางและภาคเหนือ   ในปีเพาะปลูก 2566 ประเทศไทยมีผลผลิตข้าวนาปรัง อยู่ที่ 6,917,771 ตัน และมีผลผลิตต่อไร่อยู่ 654 กิโลกรัม/ไร่ แล้วเคยรู้หรือไหมว่าภาคอีสานมีผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ของข้าวนาปรังมากแค่ไหน?   โดยในภาคอีสานของเรามีผลผลิตข้าวนาปรังอยู่ 1,094,978 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 15.8% ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมดในประเทศ และมีผลผลิตต่อพื้นที่เก็บเกี่ยวอยู่ 576 กิโลกรัม/ไร่   จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า ผลผลิตข้าวนาปรังส่วนใหญ่มาจากจังหวัดในอีสานตอนกลาง อย่างจังหวัดกาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และขอนแก่น ซึ่งเพียง 4 จังหวัดนี้ก็มีผลผลิตข้าวนาปรังมากกว่า 523,485 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 47.8%   ทำไมถึงกระจุกตัวอยู่จังหวัดในอีสานตอนล่าง?   ข้าวนาปรังจะปลูกในฤดูแล้งซึ่งต้องอาศัยน้ำจากระบบชลประทาน โดยอีสานตอนกลางก็มีแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ 3 แห่งในเขตรับผิดชอบด้วยกัน คือ เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนอุบลรัตน์ และเขื่อนลำปาว อีกทั้งยังมีแหล่งน้ำต่างๆ ที่กระจายอยู่ในพื้นที่ประมาณ 60 กว่าแห่งใน 4 จังหวัดนี้อีกด้วย ทำให้ประชากรในบริเวณอีสานกลางนิยมปลูกข้าวนาปรังกันมาก เนื่องจากมีปริมาณน้ำที่เพียงพอต่อการเพาะปลูกข้าว อีกทั้งข้าวได้รับน้ำและแร่ธาตุที่เพียงพอเป็นผลทำให้มีผลผลิตต่อไร่ที่มากเช่นกัน   “ถึงแม้ภาคอีสานจะมีผลผลิตข้าวนาปรังที่น้อยกว่าภูมิภาคอื่นๆ แต่ภาคอีสานมีผลผลิตข้าวนาปรังมากเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศ ซึ่งมากกว่า 13 ล้านตันเลยทีเดียว”   สาเหตุที่ภาคอีสานปลูกข้าวนาปรังน้อยเนื่องจากมีระบบชลประทานที่ไม่ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และด้วยสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ทำให้การปลูกข้าวของคนในภาคอีสานส่วนใหญ่กว่า 95% ของพื้นที่เพาะปลูก เป็นการปลูกข้าวแบบนาปีที่สามารถทำได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น    อีกทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในที่ราบสูง และมีความแห้งแล้ง ทำให้การปลูกข้าวจึงต้องพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก เนื่องจากระบบชลประทานยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีปัญหาดินเค็มในบางพื้นที่ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอีกด้วย     อ้างอิงจาก:  – สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร – วิจัยกรุงศรี – กรมวิชาการเกษตร   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightandOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ข้าวนาปรัง #อุตสาหกรรมข้าว #อุตสาหกรรมข้าวในอีสาน #ข้าวนาปรังในอีสาน #ข้าว

พาสำรวจเบิ่ง 4 ยักษ์ใหญ่แห่งแดนภูธรที่ครองสิทธิบริหาร 7-Eleven

การเข้ามาของร้าน “เซเว่น-อีเลฟเว่น” มากกว่า 35 ปีที่ นอกจากพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล “ซีพี ออลล์” ต้องการบุกตลาดต่างจังหวัดควบคู่ไปด้วย “กลุ่มซีพี” จึงให้ “Sub-Area License” กับ 4 กลุ่มทุนรายใหญ่ใน 4 พื้นที่ ได้แก่ กลุ่มตันตราภัณฑ์ กลุ่มงานทวี กลุ่มยิ่งยง และกลุ่มศรีสมัย   การเติบโตของ “4 กลุ่มทุนเก่าแก่” มีต้นกำเนิดจากร้านโชห่วย-ขายของชำ ก่อนแตกไลน์ธุรกิจไปยังเซกเมนต์อื่นๆ โดยกลุ่มตันตราภัณฑ์โด่งดังจาก “ห้างตันตราภัณฑ์” กลุ่มยิ่งยงโตจาก “ยิ่งยงสรรพสินค้า” กลุ่มศรีสมัยมีรากฐานจาก “ศรีสมัยค้าส่ง” ส่วนกลุ่มงานทวีมีธุรกิจหลากหลาย จากร้านของชำพลิกไปทำเหมืองแร่-สวนยางพารา   ทั้ง “4 กลุ่มทุน” มีรายได้จากการถือ “Sub-Area License” หลักพันล้านบาททุกปี     ภาคเหนือ – กลุ่มตันตราภัณฑ์ กลุ่มตันตราภัณฑ์ของตระกูล “ตันตรานนท์” มีต้นตระกูลเป็นชาวจีนชื่อว่า “เถ้าแก่ง่วนชุน” เริ่มต้นจากการเปิดร้านขายของชำเรือนไม้ 2 ชั้น ริมถนนวิชยานนท์ ใกล้กับตลาดต้นลำไยและตลาดวโรรสหรือที่คนในพื้นที่เรียกว่า “กาดหลวง” เมื่อธุรกิจร้านโชห่วยเติบโตมากขึ้น ลูกชายอย่าง “ธวัช ตันตรานนท์” จึงคิดหาลู่ทางขยายกิจการ-ขยับสู่การทำห้างสรรพสินค้า “ตันตราภัณฑ์”   จุดเปลี่ยนสำคัญของ “กลุ่มตันตราภัณฑ์” เกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 2530 “กลุ่มเซ็นทรัล” และบรรดา “ดิสเคาต์สโตร์” เริ่มขยายตลาดมายังภูมิภาคอื่นๆ มากขึ้น เมื่อดำเนินกิจการไปสักระยะก็พบว่า ศูนย์การค้าไม่ใช่เกมที่ตนถนัดประกอบกับห้างตันตราภัณฑ์เริ่มถูก “ดิสรัปต์” จากค้าปลีกเซ็นทรัลมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจขายศูนย์การค้า “แอร์พอร์ตพลาซ่า” ให้กับกลุ่มเซ็นทรัล เหลือไว้เพียง “ริมปิงซุปเปอร์มาร์เก็ต” ที่เป็นจุดแข็งมาจนถึงปัจจุบัน   นอกจากธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้ว “กลุ่มตันตราภัณฑ์” ยังมีรายได้หลักจาก “บริษัท ชอยส์ มินิ สโตร์ จำกัด” บริษัทที่ประกอบกิจการร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น-อีเลฟเว่น” ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคเหนือได้แก่ จ.เชียงใหม่ จ.ลำพูน และ จ.แม่ฮ่องสอน ผลประกอบการย้อนหลังตั้งแต่ปี 2556 ถึง 2565 พบว่า บริษัทฯ มีรายได้หลัก “พันล้านบาท” ทุกปี และ ในปี 2566 ทำรายได้ “หลักหมื่นล้าน” เลยทีเดียว และยังเป็นกิจการที่สร้างเม็ดเงินให้กับ “กลุ่มตันตราภัณฑ์” สูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ในเครือด้วย     ภาคอีสาน – กลุ่มยิ่งยง ย้อนกลับไป 30 …

พาสำรวจเบิ่ง 4 ยักษ์ใหญ่แห่งแดนภูธรที่ครองสิทธิบริหาร 7-Eleven อ่านเพิ่มเติม »

🔎พาส่องเบิ่ง ตัวอย่าง “โรงน้ำตาล” เจ้าใหญ่แห่งภูธรอีสาน🏭

📈📊ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ของโลก โดยในปี 2566 ไทยครองตำแหน่งผู้ส่งออกน้ำตาลอันดับ 2 ของโลก ด้วยมูลค่าการส่งออกสูงถึง 4,506 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นรองเพียงบราซิลที่เป็นผู้นำด้านการส่งออกน้ำตาลของโลกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 15,982 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับคู่แข่งที่สำคัญที่มีมูลค่าการส่งออกน้ำตาลใกล้เคียงกับไทย ได้แก่ อินเดียและเยอรมนี ซึ่งมูลค่าการส่งออกของทั้งสองประเทศมีการเปลี่ยนแปลงลำดับกันในแต่ละปีขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิตและการส่งออกในช่วงเวลานั้น ๆ    ภาคอีสานถือเป็นแหล่งผลิตน้ำตาลจากอ้อยที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย โดยในฤดูกาลผลิตปี 2567/2568 ประเทศไทยมีปริมาณอ้อยรวมทั้งหมด 93.2 ล้านตัน ซึ่งภาคอีสานมีปริมาณอ้อยถึง 45.9 ล้านตัน หรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50% ของปริมาณอ้อยทั้งประเทศเลยทีเดียว ภายในภาคอีสานมีโรงงานน้ำตาลทั้งหมด 23 แห่ง โดยส่วนใหญ่เป็นของกลุ่มธุรกิจน้ำตาลรายใหญ่ในประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังมีบางโรงงานที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มทุนใหญ่ เช่น บริษัท โรงงานน้ำตาลทรายขาวเริ่มอุดม จำกัด, บริษัท โรงงานน้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน), และบริษัท น้ำตาลเอราวัณ จำกัด เป็นต้น   กลุ่มธุรกิจน้ำตาลที่เลือกตั้งโรงงานในภาคอีสานส่วนใหญ่นั้นเป็นแบรนด์ที่เราคุ้นเคยกันดี อย่างกลุ่มมิตรผล, กลุ่มวังขนาย, กลุ่มไทยรุ่งเรือง, กลุ่ม Thai Sugar Mill หรือ รู้จักกันในนาม GOOD SUGAAAR, กลุ่มน้ำตาลครบุรี (KBS) และน้ำตาลขอนแก่น (KSL) ซึ่งการเลือกตั้งโรงงานในภาคอีสานก็สามารถแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของภาคอีสานในฐานะพื้นที่ผลิตที่มีบทบาทสำคัญต่อกลยุทธ์ของบริษัท การตั้งโรงงานในพื้นที่ผลิตอ้อยช่วยลดต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบ ซึ่งเป็นต้นทุนส่วนสำคัญในการผลิตน้ำตาล     🏬จากข้อมูลอันดับข้างต้นก็จะพบว่า บริษัท รวมเกษตรกรอุตสาหกรรม จำกัด มีมูลค่ารายได้รวมมากที่สุดในอีสาน ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัทน้ําตาลมิตรผล ที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ําตาลรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนั่นเอง “มิตรผล” ได้เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัท รวมเกษตรกรอุตสาหกรรม จํากัด ซึ่งปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 490 ลานบาท และเป็นเจาของโรงงานน้ําตาล 2 แห่ง คือ  – โรงงานน้ําตาลมิตรภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ มีอัตราการผลิตอ้อย 25,000 ตัน/วัน และสามารถผลิตน้ําตาลทรายขาวบริสุทธิ์ได้ 1,500 ตัน/วัน โรงงานผลิตน้ําตาล 4 ประเภท คือ น้ําตาลทรายดิบ น้ําตาลทรายดิบคุณภาพสูง (VHP) น้ําตาลทรายขาว และน้ําตาลทรายขาวบริสุทธิ์    – โรงงานน้ําตาลมิตรภูเวียง จังหวัดขอนแกน มีอัตราการผลิตอ้อย 24,000 ตัน/วัน และสามารถผลิตน้ําตาลทรายขาวบริสุทธิ์ได้ 700 ตัน/วัน โรงงานผลิตน้ําตาล 5 ประเภท คือ น้ําตาลทรายดิบ น้ําตาลทรายดิบคุณภาพสูง (VHP) น้ําตาลทรายขาว น้ําตาลปี๊บ และน้ําตาลทรายแดง นอกจากนี้โรงงานสามารถผลิตกระแสไฟฟา และจําหน่ายให้แก่การไฟฟาแห่งประเทศไทย โดยมีอัตราการผลิต …

🔎พาส่องเบิ่ง ตัวอย่าง “โรงน้ำตาล” เจ้าใหญ่แห่งภูธรอีสาน🏭 อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง ตัวอย่าง “เถ้าแก่น้อยร้อยล้าน” แห่งภูธรอีสาน

คุณณิชกานต์ พัฒนพีระเดช📍สาวขอนแก่น เจ้าของ “แฟรี่พลาซ่า” , “ตลาดต้นตาล” และ “ศูนย์ค้าส่ง อู้ฟู่ ขอนแก่น” “ตลาดต้นตาล” แลนด์มาร์คเมืองของแก่น ที่มีทายาทรุ่นสาม เข้ามาร่วมพลิกโฉมจังหวัดขอนแก่นให้มีสีสันทั้งกลางวันและกลางคืน จากครอบครัวที่ทำธุรกิจเปิด “ห้างแฟรี่พลาซ่า” เปิดให้บริการมายาวนานกว่า 50 ปี จนกลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของขอนแก่น แต่ต้องเผชิญการแข่งขันในตลาดที่รุนแรงและธุรกิจห้างไม่ได้อยู่ในช่วงขาขึ้น จึงนำไปสู่การทำไนท์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ในจังหวัด   ซึ่งกลยุทธ์ของตลาดต้นตาลจะมุ่งจัดกิจกรรมทางด้านบันเทิงอย่างเข้มข้น เพื่อทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทุกคนต้องมาเยือน และร่วมกระตุ้นค้าปลีก จากการดึงผู้ประกอบการท้องถิ่นเข้ามาเปิดร้านค้า ร่วมสร้างการเติบโตให้แก่เศรษฐกิจของจังหวัด   นอกจากนี้ ยังมุ่งพัฒนาธุรกิจค้าปลีกกับ “ห้างแฟรี่พลาซ่า” ที่อยู่ในตลาดมากกว่า 50 ปี โดยเป็นห้างบุกเบิกของจังหวัดขอนแก่น ได้มีการวางแผนจัดกิจกรรมการตลาดและอีเว้นท์อย่างเข้มข้นเช่นกัน ร่วมเพิ่มยอดทราฟฟิกของห้างให้ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางตลาดค้าปลีกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว!      คุณจิรเดช เนตรวงค์📍หนุ่มร้อยเอ็ด เจ้าของ “ร้านตำกระเทย” ที่เริ่มต้นจากศูนย์ ด้วยหนี้สินก้อนโต ทำให้ประสบปัญหาทางด้านการเงินในชีวิต จนต้องหาที่พึ่งพิงสุดท้ายจากครอบครัว ยืมเงินจากบัตรเครดิตของน้องชายมา 400,000 บาท และมาเริ่มต้นใหม่ในการทำธุรกิจร้านอาหาร โดยใช้ปลาร้าสูตรของคุณแม่ที่ทำกินเองที่บ้าน นำมาต่อยอดปรับสูตร ทำให้ได้รสชาติที่คิดว่าคนส่วนใหญ่ชอบทาน แม้ว่าในช่วงแรกที่เริ่มต้นจะขาดทุนกว่า 6 เดือน แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ด้วยการขายสร้อยทองชิ้นสุดท้ายของคุณแม่ในการพัฒนาธุรกิจ   จากร้านส้มตำเล็กๆ คุณจิรเดชได้พัฒนาร้านโดยใช้สื่อโซเชียลในการโปรโมทร้านจนเริ่มเป็นที่รู้จัก จนทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยใช้เวลา 10 ปี ในการพาร้านอาหารขยายสาขาไปทั่วอีสาน 11 สาขาทั่วอีสาน เปิดในกรุงเทพฯ 1 สาขา และเปิดในกัมพูชาอีก 1 สาขา สร้างยอดขาย 300 ล้านบาท   ในปัจจุบัน ตำกระเทย สาเกต ได้ขยายธุรกิจจากแดนอีสานเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ย่านสีลม และขยายไปต่างประเทศที่กัมพูชา โดยเป็นฝีมือการทำอาหารจากชาว LGBTQ ที่ไม่ได้รับโอกาส แต่ที่ร้านตำกระเทยเป็นผู้ให้โอกาสได้โชว์ฝีมือการทำอาหาร และเมนูที่ขายดี คือ ส้มตำ ที่ใช้น้ำปลาร้าในการปรุงอาหารทำให้รสชาติอร่อยมากยิ่งขึ้น ที่ทำรายได้กว่า 50% ของยอดขาย ซึ่งในปีที่ผ่านมาตำไปแล้วว่า 1 ล้านครก   คุณภูดิศ ประดับโชติ📍หนุ่มบุรีรัมย์ หนุ่มบุรีรัมย์ที่เรียนจบเลือกมาทำงานในกรุงเทพ ฯ ทำงานมาหลายอาชีพ ตั้งแต่เป็นคนจัดตารางวิทยุ พนักงานออฟฟิศ ขายไก่ย่างห้าดาว และเป็นตัวแทนจำหน่ายไอศกรีม จนในที่สุดเลือกที่จะมาทำธุรกิจของตัวเอง ใช้เงินลงทุนเพียงหลักพัน ขายเฉาก๊วยริมถนนในจังหวัดหนองคาย    จนกระทั่งมีคนมาเหมาไปเป็นของว่างงานประชุมตามบริษัทต่าง ๆ ทำให้คุณภูดิศเห็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจแฟรนไชส์ หลังจากนั้นคุณภูดิศได้มีไปออกงานแสดงสินค้าประจำปี งานบุญพระธาตุหลวงเวียงจันทร์ที่ สปป.ลาว ขายทั้งหมด 7 วัน ได้วันละ 2,000 แก้ว ทำให้มีคนสนใจธุรกิจแฟรนไชส์ โดยใช้เวลากว่า 5 …

ชวนมาเบิ่ง ตัวอย่าง “เถ้าแก่น้อยร้อยล้าน” แห่งภูธรอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง “ป่า” แต่ละจังหวัดในอีสานมีมากแค่ไหน

ภาคอีสานของเรามีขนาดพื้นที่รวมกันทั้งหมดเกือบ 105 ล้านไร่ แล้วเคยรู้หรือไม่ว่าพื้นที่ป่าในภาคอีสานมีมากแค่ไหน?   โดยในภาคอีสานของเรามีพื้นที่ป่าเกือบ 16 ล้านไร่ หรือคิดเป็นสัดส่วน 14.9% ของขนาดพื้นที่ทั้งหมดในภาคอีสาน ซึ่งลดลงจากปี 2565 เท่ากับ 87,576 ไร่ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน (Land Use Change) จากพื้นที่ที่มีสภาพเป็นป่าไปเป็นพื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ชุมชนหรือสิ่งปลูกสร้าง หรือเกิดจากปัญหาไฟป่าที่มีความรุนแรงขึ้น (Forest Fire)   การตัดไม้ทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่ายังคงเกิดขึ้นในอัตราที่น่าตกใจ ซึ่งก่อให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมา   การขยายตัวทางการเกษตรยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มีการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของป่า และทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไม้ การเกษตรเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ (โดยเฉพาะการเลี้ยงปศุสัตว์) และเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพในท้องถิ่น     5 จังหวัดที่มีสัดส่วนพื้นที่ป่ามากที่สุด อันดับที่ 1 มุกดาหาร คิดเป็น 32.%% หรือ 8.5 แสนไร่ อันดับที่ 2 เลย คิดเป็น 32.2% หรือ 21.1 แสนไร่ อันดับที่ 3 ชัยภูมิ คิดเป็น 31.5%  หรือ 25.0 แสนไร่ อันดับที่ 4 อุบลราชธานี คิดเป็น 17.7% หรือ 17.3 แสนไร่ อันดับที่ 5 สกลนคร คิดเป็น 16.9% หรือ 10.1 แสนไร่   หากดูสัดส่วนของพื้นที่ป่าต่อพื้นที่จังหวัดจะเห็นได้ว่า มุกดาหาร มีสัดส่วนป่ามากสุดในอีสาน ซึ่งมีพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดเป็นภูเขาสูง ติดต่อมาจากเทือกเขาภูพาน อีกทั้งในจังหวัดยังให้ความสำคัญในการปลูกป่าโดยมีการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการปลูกฟื้นฟูสภาพป่าในทุกๆปี     หมายเหตุ: พื้นที่ป่าไม้ คือ “พื้นที่ปกคลุมของพืชพรรณที่สามารถจำแนกได้ว่าเป็นไม้ยืนต้น ปกคลุมเป็นผืนต่อเนื่องขนาดไม่น้อยกว่า 3.125 ไร่ และรวมถึงทุ่งหญ้า และลานหินที่มีอยู่ตามธรรมชาติที่ปรากฏล้อมรอบด้วยพื้นที่ที่จำแนกได้ว่าเป็นพื้นที่ป่าไม้ โดยไม่รวมสวนยูคาลิปตัส พื้นที่วนเกษตร สวนผลไม้ สวนยางพารา และสวนปาล์ม”     อ้างอิงจาก:  – กรมสารสนเทศ กรมป่าไม้ – มูลนิธิสืบนาคะเสถียร – Salika.co – กรุงเทพธุรกิจ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ …

พาสำรวจเบิ่ง “ป่า” แต่ละจังหวัดในอีสานมีมากแค่ไหน อ่านเพิ่มเติม »

พาเลาะเบิ่ง “โครงการที่กำลังจะเกิดขึ้น” ในอีสาน

ศูนย์มะเร็งและรังสีรักษา จ.นครราชสีมา โดยมีลักษณะงานก่อสร้างเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง 6 ชั้น และห้อง LINAC จำนวน 2 ห้อง รวมถึงลานจอดรถ และทางเชื่อมระหว่างอาคาร ประกอบด้วย งานโครงสร้าง งานสถาปัตยกรรม งานระบบไฟฟ้า-สื่อสาร งานระบบสุขาภิบาล งานป้องกันอัคคีภัย งานปรับอากาศและระบายอากาศ งานระบบก๊าซทางการแพทย์ งานระบบขนส่งแนวดิ่ง(ลิฟต์) งานตกแต่งภายใน และงานครุภัณฑ์ทางการแพทย์ มูลค่ารวม 900 ล้านบาท  ระยะเวลาก่อสร้าง 990 วัน   ศูนย์ฝึกกีฬาคนพิการแห่งชาติ จ.นครราชสีมา งบประมาณในการก่อสร้าง 344 ล้านบาท โดยในตอนนี้ศูนย์ฝึกกีฬาคนพิการหลักอยู่ที่ จ.นครราชสีมา, สุพรรณบุรี และมีบางส่วนที่ จ.ชลบุรีด้วย เป็นการสร้างศูนย์ใหญ่ที่ครบวงจรเลยที่นครราชสีมา เพราะมีความพร้อมที่้ครบครั่น เช่น วีลแชร์เรซซิ่งก็จะมีลู่ที่ได้มาตรฐสากล รวมถึงวิทยาศาสตร์การกีฬาสำหรับนักกีฬาคนพิการโดยเฉพาะ   สะพานข้ามอ่างเก็บน้ำลำปาว จ.กาฬสินธุ์ งบประมาณในการก่อสร้าง 950 ล้านบาท มีจุดเริ่มต้นบริเวณบ้านดงน้อย ต.ภูสิงห์ อ.สหัสขันธ์ ข้ามอ่างเก็บน้ำลำปาว ไปยังจุดสิ้นสุดสะพานบริเวณบ้านโนนทัน ต.สำราญใต้ อ.สามชัย ความยาวประมาณ 1,325 เมตร และเมื่อโครงการดังกล่าวเสร็จสิ้น จะทำให้การคมนาคมทางรถยนต์เชื่อมระหว่าง อ.สหัสขันธ์ กับ อ.สามชัย และอีกหลายๆ อำเภอใน จ.กาฬสินธุ์ รวมถึงการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างจังหวัด จะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนผู้ที่ใช้เส้นทางสายดังกล่าว   ก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 2169 สายยโสธร – อ.กุดชุม ตอน 1 และก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 2169 สายยโสธร – อ.กุดชุม ตอน 2 จ.ยโสธร งบประมาณในการก่อสร้างรวมกว่า 1,134 ล้านบาท โดยมีระยะทางกว่า 28 กม. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงสายเอเชีย AH121 เชื่อมเวียดนาม – สปป.ลาว – ไทย – กัมพูชา มายังเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC ของไทย คาดแล้วเสร็จปี 70   จากสถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ที่มีฝนตกหนักในพื้นที่พม่า จีน และ สปป.ลาว ในปริมาณมาก ทำให้น้ำจำนวนมหาศาลไหลเข้ามายังประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดริมน้ำโขงที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ครั้งนี้อย่างมาก จึงเกิดแผนโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งและซ่อมแซ่มตลิ่งในพื้นที่จังหวัดที่ได้ผบกระทบ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 790 ล้านบาท ได้แก่  – สร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมห้วยบางทราย จ.มุกดาหาร  – สร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมหนองค้า จ.มุกดาหาร – …

พาเลาะเบิ่ง “โครงการที่กำลังจะเกิดขึ้น” ในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง .. “อีสาน” อันดับที่ 1 ปลูกข้าวนาปีมากที่สุดในไทยกว่า 38 ล้านไร่

การปลูกข้าวจะเน้นพึ่งน้ำฝน มีช่วงเวลาเพาะปลูกสำคัญตั้งแต่ช่วงเข้าหน้าฝน (เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคมของทุกปี) และเก็บเกี่ยวในช่วงปลายปี (เดือนตุลาคม) เรียกว่า “ข้าวนาปี” มีผลผลิตทั้งข้าวขาว ข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียว ซึ่งมีปริมาณรวมกันกว่า 81% ของผลผลิตข้าวรวมทั้งประเทศในแต่ละรอบปีการเพาะปลูก ส่วนที่เหลือประมาณ 19% เป็น “ข้าวนาปรัง” . ในปีเพาะปลูก 2566/67 ประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปี อยู่ที่ 62 ล้านไร่ และมีผลผลิต 27 ล้านตัน แล้วรู้หรือไหมว่าภาคอีสานมีพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตข้าวนาปีมากแค่ไหน?   โดยในภาคอีสานของเรามีพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีมากกว่า 38 ล้านไร่ หรือคิดเป็นสัดส่วน 61.5% ของขนาดพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีทั้งหมดในประเทศ และมีผลผลิตมากกว่า 13 ล้านตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 49.7% ของผลผลิตปลูกข้าวนาปีทั้งหมดในประเทศ ซึ่งทั้งพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตข้าวนาปีในอีสานมากเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศ   หากลงไปดูข้อมูลรายจังหวัดจะเห็นได้ว่า พื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่จังหวัดในอีสานตอนล่าง อย่างจังหวัดอุบลราชธานี นครราชสีมา สุรินทร์ และศรีสะเกษ ซึ่งเพียง 4 จังหวัดนี้ก็มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีมากกว่า 13.8 ล้านไร่ หรือคิดเป็นสัดส่วน 36% เลยทีเดียว   ทำไมถึงการปลูกข้าวนาปีส่วนใหญ่ถึงปลูกมากในอีสานตอนล่าง?   อีสานตอนล่างที่ลักษณะพื้นที่ราบลุ่ม ซึ่งเป็นบริเวณที่เหมาะแก่การปลูกข้าว ทำให้พื้นที่ปลูกข้าวของอีสานตอนล่างมากกว่าพื้นที่อื่นๆ และยังเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมดอกมะลิ 105 และกับข้าว กข.15 ที่มีคุณภาพดีที่สุดในประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ อีกทั้งการปลูกข้าวเป็นอาชีพหลักของชาวนาในพื้นที่     แนวโน้มอุตสาหกรรมข้าวจะเป็นอย่างไร?   ในปี 2568-2569 ผลผลิตมีทิศทางขยายตัวจากการเข้าสู่ลานีญาในไตรมาส 3 ของปี 2567 ทำให้ไทยได้อานิสงส์จากปริมาณฝนที่มากขึ้น ประกอบกับแรงจูงใจด้านราคาทำให้เกษตรกรหันกลับมาเพาะปลูก อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตยังเผชิญต้นทุนที่ทรงตัวสูง   ด้านความต้องการบริโภคข้าวในประเทศปี 2567-2569 มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นตามการฟื้นตัวของธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม และอุตสาหกรรมอาหาร   ด้านการส่งออกอาจเข้าสู่ภาวะหดตัวในปี 2568-2569 จากแนวโน้มการกลับมาส่งออกของอินเดีย ท่ามกลางอุปทานของโลกที่เพิ่มขึ้นจากคู่แข่งที่ได้เปรียบด้านราคา ขณะที่ราคาข้าวของไทยยังมีแนวโน้มทรงตัวสูงในปี 2567 ก่อนจะเริ่มปรับลดลงตามผลผลิตที่ทยอยออกมากขึ้นในช่วงปี 2568-2569     อ้างอิงจาก:  – สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร – วิจัยกรุงศรี – กรมวิชาการเกษตร   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightandOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ข้าวนาปี #อุตสาหกรรมข้าว …

พามาเบิ่ง .. “อีสาน” อันดับที่ 1 ปลูกข้าวนาปีมากที่สุดในไทยกว่า 38 ล้านไร่ อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนเบิ่ง ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา “ไฟป่า” เผาวอดพื้นที่ป่าอีสานไปมากกว่า 5 แสนไร่🔥

จากเหตุไฟป่าลุกลามรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ลอสแองเจลิส ผลาญพื้นที่ไปแล้ว 125 ตารางกิโลเมตร มีผู้เสียชีวิต 7 ราย และอาจเพิ่มขึ้นอีก อพยพคนแล้ว 180,000 คน และเตือนภัยอีก 200,000 คน ด้านแอคคิวเวเธอร์เพิ่มตัวเลขประมาณการความเสียหายเป็น 4.6-5.1 ล้านล้านบาท   และในไทยเองในขณะนี้มีการเกิดไฟป่าที่ดงพญาเย็น สำหรับเหตุการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นในครั้งนี้นั้นนับเป็นครั้งที่ 4 แล้วในห้วงหลังปีใหม่มา ได้มีการประเมินพื้นที่เสียหายในเบื้องต้นนั้นมีพื้นที่เสียหายกว่า 200 ไร่ รวมแล้วมีพื้นที่ป่าเสียหายเกือบ 1,000 ไร่ และที่สำคัญคือชีวิตสัตว์ป่าน้อยใหญ่ ที่อยู่ในป่าเขาใหญ่   อีสานอินไซต์เลยถือโอกาสพาย้อนเปิดสถิติไฟป่าย้อนหลัง 20 ปี ในภาคอีสานของเรามีพื้นที่ที่ถูกไฟไหม้ไปมากแค่ไหน?   เหตุการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ล้วนเกิดจากฝีมือของมนุษย์แทบทั้งสิ้น สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการเก็บหาของป่า เป็นปัญหาระดับชาติที่กลับมาวนเวียนทุกปี   ส่วนในภาคอีสานรวมเวลากว่า 20 ปี ดับไฟป่าไปแล้วทั้งสิ้น 28,978 ครั้ง และรวมพื้นที่ถูกไฟไหม้ทั้งสิ้น 522,460 ไร่ หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 836 ตารางกิโลเมตรเลยทีเดียว   5 อันดับจังหวัดที่มีพื้นที่ไฟไหม้ป่ามากที่สุดในอีสาน – ชัยภูมิ 142,334 ไร่ – เลย 67,757 ไร่ – นครราชสีมา 52,777 ไร่ – อุดรธานี 46,646 ไร่ – ขอนแก่น 46,065 ไร่   จะเห็นได้ว่าจังหวัดชัยภูมิเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ไฟไหม้ป่ามากที่สุดในอีสาน โดยในช่วงเดือน ก.พ. 2567 ชัยภูมิได้เกิดเหตุไฟไหม้บนเทือกเขาภูแลนคา ซึ่งเป็นแนวเขาที่ทอดยาว ครอบคลุมตั้งแต่ อำเภอภูเขียว แก้งคร้อ เมืองชัยภูมิ เกษตรสมบูรณ์ หนองบัวแดง และอำเภอบ้านเขว้า ไฟป่าที่เกิดขึ้นคาดเกิดจากฝีมือชาวบ้านที่เก็บหาของป่าจำพวกผักหวานป่าชาวบ้านต่างจะพากันเผาป่า เพื่อให้ไหม้ต้นผักหวานป่า และจะได้แตกยอดอ่อนขึ้นมาอีก ก่อนจะพากันออกหาเก็บหาผักหวานแล้วไปขายกันทุกปี ซึ่งนับว่าเกิดไฟป่าไหม้รุนแรงหนักสุดในรอบ 10 ปีเลยทีเดียว   แม้ว่าตัวเลขสัดส่วนพื้นที่ป่าที่ถูกไฟไหม้จะไม่ได้ดูมากหากเทียบกับพื้นที่ป่าทั้งหมดในภาคอีสาน แต่ป่าถือไเป็นแหล่งกำเนิดของธรรมชาติ พืชพรรณ ป่าไม้ สัตว์ป่านานาชนิด จากสถิติ ในปัจจุบันสาเหตุการเกิดไฟไหม้ป่าเกือบทั้งหมดเกิดมาจากฝีมือของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่การทำเกษตร การเผาป่าเพื่อล่าสัตว์ หรือการพักแรม เป็นต้น ซึ่งความประมาทของมนุษย์นั้นไม่เพียงแต่เป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอันทรงคุณค่า ยังเป็นการทำลายบ้านและพรากชีวิตของสัตว์ป่าไปด้วย     อ้างอิงจาก: – Thai PBS – ประชาชาติธุรกิจ – ไทยรัฐออนไลน์ – Thecitizen.plus – มูลนิธิสืบนาคเสถียร – กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช   …

พาย้อนเบิ่ง ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา “ไฟป่า” เผาวอดพื้นที่ป่าอีสานไปมากกว่า 5 แสนไร่🔥 อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top