Nanthawan Laithong

พาส่องเบิ่ง ราคาเมล็ดกาแฟโลกทำลายสถิติ! “ไทย-เวียดนาม” ส่งออกพุ่งทะยาน

กาแฟแก้วโปรด…ราคาพุ่งทะยาน! วิกฤตสภาพอากาศดันราคาเมล็ดกาแฟโลกทำสถิติใหม่ คอกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อราคาเมล็ดกาแฟในตลาดโลกพุ่งสูงทำลายสถิติเป็นประวัติการณ์ โดยเมล็ดกาแฟอาราบิก้าแตะ 9 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม และโรบัสต้าอยู่ที่ 5.8 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ปรากฏการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตกาแฟ ทำให้หลายคนเริ่มหันมาชงกาแฟดื่มเองที่บ้านเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย   ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาเมล็ดกาแฟ สภาพอากาศแปรปรวน : เกิดภัยแล้งรุนแรงในบราซิล ผู้ผลิตกาแฟอาราบิก้ารายใหญ่ของโลก และยังเกิดพายุไต้ฝุ่นและภัยแล้งในเวียดนาม ผู้ผลิตกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ของโลก   ความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น : การบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศกำลังพัฒนา และจำนวนชนชั้นกลางที่มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการกาแฟสูงขึ้น     กาแฟไทย: โอกาสทองในตลาดโลก ท่ามกลางราคาพุ่งสูงและอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ราคาเมล็ดกาแฟในตลาดโลกที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับโอกาสทองในการขยายตลาดส่งออกกาแฟ โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของมูลค่าการส่งออกกาแฟไทยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 258% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า   ศักยภาพของกาแฟไทยในตลาดโลก การเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกในเดือนมกราคมแสดงให้เห็นถึงความต้องการกาแฟไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในตลาดโลก ในปี 2024 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกกาแฟอยู่ที่ 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 302 ล้านบาท ซึ่งแม้จะไม่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศผู้ผลิตรายใหญ่อื่นๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโต   ในส่วนของความหลากหลายของสายพันธุ์นั้น ประเทศไทยมีสัดส่วนการผลิตกาแฟอาราบิก้า 64% และโรบัสต้า 36% ซึ่งถือว่ามีความหลากหลายและสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดที่แตกต่างกันได้ ซึ่งกาแฟอาราบิก้าของไทยมีชื่อเสียงในเรื่องของคุณภาพและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะกาแฟจากภาคเหนือของประเทศ   ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 35 ของโลกในด้านปริมาณการผลิตกาแฟ ซึ่งแม้จะไม่ใช่อันดับต้นๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการผลิตกาแฟที่มีคุณภาพ     เวียดนาม: เจ้าแห่งโรบัสต้า ผงาดสู่ผู้นำตลาดกาแฟโลก ด้วยมูลค่าส่งออกทะยานหลักพันล้าน เวียดนาม ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดกาแฟโลก ด้วยตัวเลขการส่งออกที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะกาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่ครองส่วนแบ่งตลาดอย่างแข็งแกร่ง ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของมูลค่าการส่งออกกาแฟเวียดนามในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 83% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า   ความแข็งแกร่งของเวียดนามในตลาดกาแฟโลก ในปี 2024 ที่ผ่านมา เวียดนามมีมูลค่าการส่งออกกาแฟสูงถึง 4,242 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 142,542 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญในฐานะผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ของโลก โดยการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการกาแฟเวียดนามที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดโลก   อีกทั้งเวียดนามเป็นผู้ผลิตกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่อันดับ 2 ของโลก โดยมีสัดส่วนการผลิตโรบัสต้ามากกว่า 90% ของผลผลิตกาแฟทั้งหมด กาแฟโรบัสต้าของเวียดนามมีชื่อเสียงในเรื่องของรสชาติที่เข้มข้นและมีปริมาณคาเฟอีนสูง ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบกาแฟรสชาติเข้มข้น   ปัจจุบันเวียดนามอยู่ในอันดับที่ 2 ของโลกในด้านปริมาณการผลิตกาแฟ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการผลิตกาแฟปริมาณมากเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลก     แนวโน้มกาแฟโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร? ด้วยปัจจัยด้านสภาพอากาศที่ยังคงมีความไม่แน่นอน และความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าราคาเมล็ดกาแฟจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในระยะสั้นถึงระยะกลาง ผู้ประกอบการและผู้บริโภคจึงต้องเตรียมรับมือกับความผันผวนของตลาดกาแฟในอนาคต ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมกาแฟในระยะยาว     อ้างอิงจาก: – ศูนย์วิจัยกสิกรไทย – The International Coffee Organization (ICO) – […]

พาส่องเบิ่ง ราคาเมล็ดกาแฟโลกทำลายสถิติ! “ไทย-เวียดนาม” ส่งออกพุ่งทะยาน อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง ทุนญี่ปุ่นเบอร์ 1 ของอีสาน เปิดรายชื่อ 15 ยักษ์ใหญ่ เงินลงทุนมหาศาล

เมื่อพูดถึงการลงทุนจากต่างประเทศในประเทศไทย ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่มีบทบาทสำคัญมายาวนาน ด้วยการลงทุนมหาศาลในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วประเทศ ภาคอีสานแม้จะเป็นพื้นที่ที่เคยเน้นเกษตรกรรม แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้กลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนแห่งใหม่ที่ดึงดูดทุนญี่ปุ่นได้อย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลล่าสุด พบว่ามีบริษัทญี่ปุ่นรายใหญ่กว่า 15 บริษัท ที่เข้ามาลงทุนในภาคอีสาน โดยมีเม็ดเงินลงทุนรวมกันหลายพันล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของภูมิภาคนี้ในการรองรับอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีและแรงงานทักษะสูง   ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในปี 2567 เผยให้เห็นว่าญี่ปุ่นได้ทุ่มเงินลงทุนกว่า 7,533 ล้านบาทในภูมิภาคนี้   อีสานอินไซต์จะพาเปิดรายชื่อ 15 ยักษ์ใหญ่ ที่ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลในอีสาน   บจก.คาสิโอ (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตนาฬิกา โดยมีมูลค่าการลงทุน 1,020 ล้านบาท   บจก.โคยามา แคสติ้ง (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การหล่อเหล็ก โดยมีมูลค่าการลงทุน 855 ล้านบาท   บจก.นิชิกาว่า เตชาพลาเลิศ คูปเปอร์📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตผลิตภัณฑ์ยาโดยมีมูลค่าการลงทุน 490 ล้านบาท   บจก.เจวีซีเคนวูด ออพติคัล อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์โดยมีมูลค่าการลงทุน 488 ล้านบาท   บจก.สตาร์ ไมโครนิคส์ (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไป โดยมีมูลค่าการลงทุน 406 ล้านบาท   บจก.คายาม่า เอ็นจิเนียริ่ง📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตเครื่องทำความเย็นโดยมีมูลค่าการลงทุน 380 ล้านบาท   บจก.ฮอนด้า เฟาดรี (เอเซียน)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมสำหรับยานยนต์ โดยมีมูลค่าการลงทุน 327 ล้านบาท   บจก.ฟูจิคูระ ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตสายไฟฟ้า, เคเบิลและอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีมูลค่าการลงทุน 261 ล้านบาท   บจก.ไทย อะคิบะ📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การหล่อโลหะ โดยมีมูลค่าการลงทุน 238 ล้านบาท   บจก.แอลป์ส ทูล (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตเครื่องจักร โดยมีมูลค่าการลงทุน 224 ล้านบาท   บจก.ฮิตาชิ แอสเตโม โคราช📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมสำหรับยานยนต์ โดยมีมูลค่าการลงทุน 217 ล้านบาท   บจก.แอดเดอรานสไทย📍บุรีรัมย์ ประกอบธุรกิจ การผลิตเครื่องประดับ โดยมีมูลค่าการลงทุน 210 ล้านบาท   บจก.ยานอส (ไทยแลนด์)📍นครราชสีมา

พาส่องเบิ่ง ทุนญี่ปุ่นเบอร์ 1 ของอีสาน เปิดรายชื่อ 15 ยักษ์ใหญ่ เงินลงทุนมหาศาล อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง .. ทุนมังกรผงาดอีสาน 15 โรงงานจีนที่พลิกโฉมเศรษฐกิจภาคอีสาน

🇨🇳นักลงทุนชาวจีนเข้ามาลงทุนธุรกิจในภาคอีสานมูลค่ากว่า 1,846 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.4% ของมูลค่าที่นักลงทุนชาวจีนเข้ามาลงทุนทั้งหมดในประเทศ    ไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีการพึ่งพาสินค้าจากจีนสูง โดยที่ผ่านมาไทยมีการนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้จีนมองเห็นโอกาสในการขยายฐานการผลิตออกมาในไทย เพื่อลดต้นทุนและตอบสนองความต้องการของสินค้าจีนที่มีมากในตลาด ประเทศไทยเนื้อหอม ดึงดูดนักลงทุนจีน ตั้งโรงงานผลิตในไทย   การลงทุนจากจีนในโรงงานของไทยรวมไปถึงการตั้งโรงงานของจีน มักจะกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไทยมีการพึ่งพาสินค้าจากจีนสูง อย่างเช่น  อุตสาหกรรมการผลิตพลาสติก การผลิตยาง และโลหะที่มีจำนวนการตั้งใหม่ของโรงงานที่มีจีนลงทุนอยู่ด้วยมาก รวมถึงภาคการค้า ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่มีการลงทุนสูงถึง 56% เลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายส่งยางพาราและพลาสติก การขายส่งแร่โลหะ การขายส่งเสื้อผ้า และปลีกอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคม   การเข้ามาลงทุนของนักลงทุนชาวจีนในภาคอีสานกำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่น่าจับตามอง ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าปี 2567 เผยให้เห็นถึงการลงทุนของนิติบุคคลสัญชาติจีน 15 แห่ง ในหลากหลายอุตสาหกรรม สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของภาคอีสานที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ บจก.ซีแอนด์ดี รับเบอร์ (ประเทศไทย) 📍สกลนคร ธุรกิจการขายส่งยางพาราและพลาสติก มูลค่าการลงทุน 484 ล้านบาท   บจก.เซรีโค รับเบอร์ (ประเทศไทย) 📍เลย ธุรกิจการผลิตยางแผ่นและยางแท่ง มูลค่าการลงทุน 144 ล้านบาท   บจก.ไชน่า โคล นัมเบอร์ 3 ไมน์นิ่ง (ไทยแลนด์) 📍นครราชสีมา ธุรกิจการก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย มูลค่าการลงทุน 127 ล้านบาท   บจก.ฮั้วเซิ่งไทยรับเบอร์ 📍อุบลราชธานี ธุรกิจการขายส่งยางพาราและพลาสติก มูลค่าการลงทุน 74 ล้านบาท   บจก.ฮัวไท่ ไมนิ่ง อินดัสตรี้ 📍เลย ธุรกิจการขายส่งแร่โลหะ มูลค่าการลงทุน 59 ล้านบาท   บจก.ซี.แอล.เอส.อินดัสเทรียล 📍นครราชสีมา ธุรกิจการผลิตอุปกรณ์เครื่องเขียน มูลค่าการลงทุน 46 ล้านบาท   บจก.ธงทอง รับเบอร์ 📍มุกดาหาร ธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่าการลงทุน 42 ล้านบาท   บจก.อาร์ที สกลนคร เทคโนโลยี 📍สกลนคร ธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก มูลค่าการลงทุน 30 ล้านบาท   บจก.ไทยคาลิ 📍นครราชสีมา ธุรกิจการขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ มูลค่าการลงทุน 26 ล้านบาท   บจก.ต้าทง พลาสติก (ไทยแลนด์) 📍นครราชสีมา ธุรกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก มูลค่าการลงทุน 25 ล้านบาท   บจก.ฮงพลาสแพค 📍นครราชสีมา ธุรกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก มูลค่าการลงทุน

ชวนมาเบิ่ง .. ทุนมังกรผงาดอีสาน 15 โรงงานจีนที่พลิกโฉมเศรษฐกิจภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง ภาพรวม 2024 ธุรกิจ Delivery เติบโตขึ้น 20% แต่ร้านอาหารใหม่ 50% เจ๊งตั้งแต่ปีแรก

นายธนพงศ์ วงศ์ชินศรี หรือ “ต่อเพนกวิน” ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร บริษัท เพนกวินเอ็กซ์ จำกัด ระบุว่า อัตราการปิดตัวของธุรกิจร้านอาหารในปี 2567 สูงถึง 60% ปัจจัยหลักมาจากต้นทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 15-20% ของยอดขาย นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนวัตถุดิบ 35% ค่าแรง 15-20% และค่า GP เดลิเวอรี 30% ซึ่งทำให้เจ้าของร้านแทบจะขาดทุนตั้งแต่ยังไม่เริ่ม   ทีมต่อเพนกวินได้เปิดเผยเทรนด์ธุรกิจอาหารที่น่าสนใจ โดยพบว่า “Economy of Scale” เป็นเรื่องของแบรนด์ใหญ่ที่แบรนด์เล็กสู้ไม่ได้ แต่ “Economy of Style” จะเป็นสิ่งที่ทำให้ SME ไปต่อได้ในอนาคต โดยร้านอาหารยุคใหม่ต้อง “Small but Style” คือร้านไม่ใหญ่แต่สไตล์ชัดเจน นอกจากนี้ “Specialty” ไม่ได้จำกัดอยู่ที่วงการกาแฟ แต่กระจายเข้าสู่วงการ Street Food โดย Street Food บ้านๆ แต่รสชาติและกระบวนการทำต้องไม่บ้าน และต้องเปิดใจเรียนรู้ความ Specialty มากขึ้น   ในยุคที่ Labor Cost สูงมาก การลดค่าใช้จ่ายโดยไม่กระทบ Quality Service กับ Product เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่ง “Lean Management” และการใช้เทคโนโลยีจะช่วยลดการทำงานซ้ำซ้อนได้ นอกจากนี้ การเพิ่มมูลค่าจากสินค้าเดิมๆ เช่น การเสิร์ฟในรูปแบบใหม่ๆ หรือการเพิ่มท็อปปิ้งพิเศษ จะช่วย “ทุบเพดาน” และเพิ่มโอกาสในการเติบโต   การตลาดแบบเดิมๆ ไม่เพียงพออีกต่อไป การสร้างสื่อของตัวเอง เช่น Jones Salad และ After Yum จะช่วยเปลี่ยนจากการขายใกล้เป็นการขายไกล โดยลูกค้าเลือกสั่งร้านที่อยู่ในรัศมี 3-4 กม. เท่านั้น ดังนั้น การต่อยอดเป็น Retail Product ส่งทั่วประเทศ จะช่วยเพิ่มช่องทางการขายโดยที่ Fixed Cost เท่าเดิม . แบรนด์ใหญ่ในกรุงเทพฯ ไปตีต่างจังหวัดมากขึ้น แต่สิ่งเดียวที่สู้ไม่ได้คือ Localize “From Local Heritage to a Unique Brand Identity” ร้านประจำจังหวัดไม่ใช่ร้านที่อยู่มานาน แต่เป็นร้านที่เอาอัตลักษณ์ของจังหวัดนั้นมาบวกกับตัวตนของตัวเอง   TikTok เปิดให้ขาย Affiliate Voucher โรงแรมแล้ว

พาสำรวจเบิ่ง ภาพรวม 2024 ธุรกิจ Delivery เติบโตขึ้น 20% แต่ร้านอาหารใหม่ 50% เจ๊งตั้งแต่ปีแรก อ่านเพิ่มเติม »

อีสานบ่ธรรมดา! ต่างชาติทุ่มทุนมหาศาล พาส่อง ต่างชาติแห่ลงทุน มูลค่ารวมทะลุสองหมื่นล้าน

ข้อมูลการลงทุนจากต่างชาติในภาคอีสาน สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญของภูมิภาคนี้ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งผลิตสินค้าเกษตรอีกต่อไป แต่กำลังก้าวสู่การเป็นหมุดหมายใหม่ของการลงทุนจากทั่วโลก ด้วยมูลค่ารวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท จาก 22 ประเทศทั่วทั้งเอเชีย ยุโรป และโอเชียเนีย   (1) อีสาน…ไม่ใช่แค่แหล่งข้าว: เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ชี้ชัดศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ซ่อนอยู่ ข้อมูลการลงทุนจากต่างประเทศในภาคอีสาน สะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระจุกตัวของการลงทุนในบางจังหวัด ซึ่งบ่งชี้ถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ซ่อนอยู่ และโอกาสในการเติบโตที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่   5 อันดับจังหวัดที่มีนักลงทุนต่างชาตินิยมลงทุนมากสุด นครราชสีมา มูลค่าการลงทุน 17,267 ล้านบาท ​​อุดรธานี มูลค่าการลงทุน 983 ล้านบาท ขอนแก่น มูลค่าการลงทุน 595 ล้านบาท สกลนคร มูลค่าการลงทุน 559 ล้านบาท บุรีรัมย์ มูลค่าการลงทุน 406 ล้านบาท. นครราชสีมา: แม่เหล็กดึงดูดเม็ดเงินลงทุน นครราชสีมาครองแชมป์จังหวัดที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดอย่างทิ้งห่าง คิดเป็นสัดส่วนถึง 81% ของการลงทุนทั้งหมดในภาคอีสาน มีมูลค่าการลงทุนกว่า 17,267 ล้านบาท นครราชสีมาเป็นประตูสู่ภาคอีสาน มีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และเป็นศูนย์กลางคมนาคมที่สำคัญ มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน มีตลาดแรงงานขนาดใหญ่ และมีศักยภาพในการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง อีกทั้งยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ และนิคมอุตสาหกรรม ทำให้จังหวัดนี้มีความน่าสนใจในการลงทุนมากขึ้น ที่สำคัญนครราชสีมามีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม การค้า และบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว     กลุ่มจังหวัดที่มีศักยภาพ อย่างอุดรธานี ขอนแก่น สกลนคร และบุรีรัมย์  กลุ่มจังหวัดเหล่านี้มีมูลค่าการลงทุนรองลงมา โดยแต่ละจังหวัดมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน อุดรธานี: เป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน และมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ ขอนแก่น: เป็นศูนย์กลางการศึกษา การแพทย์ และการบริการของภาคอีสาน สกลนคร: มีศักยภาพในภาคเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตยางพารา บุรีรัมย์: เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงกีฬา และมีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว   (2) ภาคอุตสาหกรรม ถือหัวใจหลักของการลงทุน ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมสำหรับยานยนต์ มูลค่า 5,639 ล้านบาท และ การผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 913 ล้านบาท ครองอันดับต้นๆ ของการลงทุน สิ่งนี้บ่งชี้ว่าภาคอีสานกำลังก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญในระดับโลก การลงทุนนี้จะช่วยสร้างงานและพัฒนาทักษะแรงงานในท้องถิ่น รวมถึงส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี อุตสาหกรรมแปรรูป การผลิตสตาร์ชมันสำปะหลัง มูลค่า 2,095 ล้านบาท และ การผลิตผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่า 717 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของภาคเกษตรแปรรูปในภาคอีสาน การลงทุนนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรในท้องถิ่น และส่งเสริมการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานในภาคเกษตร อุตสาหกรรมเครื่องจักร การผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ในทางการแพทย์ มูลค่า

อีสานบ่ธรรมดา! ต่างชาติทุ่มทุนมหาศาล พาส่อง ต่างชาติแห่ลงทุน มูลค่ารวมทะลุสองหมื่นล้าน อ่านเพิ่มเติม »

พามาฮู้จัก ..  เปิดตัว “Sip Song” สูตรลับข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ โดย ‘เปียโน THE SIS’ ผู้เนรมิตสาโทไทยบินไกลเวียนนา! 

ในนามวง THE SIS หลายคนรู้จักเธอในฐานะศิลปินกลุ่มทรีโอ ที่ประกอบไปด้วย 3 พี่น้อง แต่ปัจจุบัน เธอคือผู้ประกอบการไทย เจ้าของร้านอาหาร Mamamon Thai Eatery และ Sip Song Bar ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ที่พาข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งเป็นข้าว GI ไปสู่สายตาชาวโลก ด้วยการแปรรูปเป็น ‘สาโท’ หมักด้วยน้ำแร่จากเทือกเขาแอลป์ เสิร์ฟให้ชาวต่างชาติได้ลิ้มลองความเป็นไทย     จาก ‘เสียงเพลง’ สู่ ‘รสชาติไทย’ ในเวียนนา   “คุณเปียโน” ได้พลิกผันชีวิตหลังแต่งงานกับชาวสวีเดน ย้ายถิ่นฐานสู่เวียนนาในปี 2010 แม้จะเผชิญกับความท้าทายด้านภาษาและวัฒนธรรม แต่ด้วยพรสวรรค์ด้านอาหารที่ซึมซับมาจากคุณแม่ตั้งแต่เด็ก เธอได้เริ่มต้นธุรกิจร้านอาหารไทยรถเข็น “Mamamon Thai Eatery” ในปี 2011 โดยมีคุณแม่เป็นผู้รังสรรค์สูตรอาหารไทยรสชาติต้นตำรับ ความสำเร็จของ Mamamon นำไปสู่การขยายธุรกิจในปี 2016 ด้วยร้านอาหารไทยเต็มรูปแบบ และในปี 2022 เธอได้เปิด “Sip Song Bar” บาร์ยาดองไทยสุดฮิปใจกลางกรุงเวียนนา ที่นำเสนอเครื่องดื่มไทยโบราณในรูปแบบค็อกเทลสุดสร้างสรรค์ พร้อมดนตรีไทยสดๆ สร้างสีสันให้ค่ำคืน ล่าสุด เธอได้เปิด “Sip Song Bar” สาขาใหม่ที่ใหญ่ขึ้น ตอกย้ำความสำเร็จในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยผ่านรสชาติและเสียงเพลงสู่สายตาชาวโลก   เรื่องราวของเปียโน THE SIS ไม่เพียงแต่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงไทยทั่วโลก แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความคิดสร้างสรรค์ที่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้     จากสาเกสู่สาโท ของ ‘เปียโน THE SIS’ สร้างสรรค์เครื่องดื่มไทยโกอินเตอร์   จากความหลงใหลในรสชาติสาเก สู่แรงบันดาลใจจากข้าวหมาก เปียโน THE SIS หันมาศึกษาและทดลองทำสาโทที่เวียนนา ด้วยความมุ่งมั่นและเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ เธอสามารถรังสรรค์ “Sip Song Sato” สาโทข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ด้วยความร่วมมือจากอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ กรุงเวียนนา เธอได้นำข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาฯ GI มาเป็นวัตถุดิบหลัก สร้างสรรค์สาโท 3 รูปแบบ: ดราฟต์, สุก, และ Pet Nat เสิร์ฟในร้าน “Sip Song Bar” และร้านอาหารชั้นนำในเวียนนา ไม่เพียงแต่สร้างสรรค์เครื่องดื่มรสเลิศ เปียโนยังนำกากสาโทมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ สร้างมูลค่าเพิ่ม และเผยแพร่วัฒนธรรมไทยสู่สายตาชาวโลก ด้วยรสชาติที่ถูกปากชาวต่างชาติ และความภาคภูมิใจในความเป็นไทย เปียโน THE SIS ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการเครื่องดื่มในยุโรป    

พามาฮู้จัก ..  เปิดตัว “Sip Song” สูตรลับข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ โดย ‘เปียโน THE SIS’ ผู้เนรมิตสาโทไทยบินไกลเวียนนา!  อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนเบิ่ง คะแนน O-NET ปี 66 เด็กอีสานเก่งภาษาอังกฤษมากแค่ไหน

ทำไมต้องสอบ O-NET? การสอบ O-NET (Ordinary National Educational Test) เป็นการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน เพื่อวัดความรู้และความคิดของนักเรียน โดย O-NET เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในระดับประเทศ เพื่อให้ทราบถึงมาตรฐานการศึกษาในภาพรวม และผลการสอบ O-NET จะถูกนำไปใช้ในการวิเคราะห์และปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในบางสถาบันอุดมศึกษา อาจใช้ผลการสอบ O-NET เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการพิจารณารับนักศึกษาเข้าเรียน ผลการสอบ O-NET นี้สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบในการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้ ดังนั้น การสอบ O-NET จึงมีความสำคัญต่อนักเรียน ครู โรงเรียน และระบบการศึกษาโดยรวม   ในปี 2566 คะแนน O-NET ภาษาอังกฤษเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 26.19 คะแนน เมื่อเปรียบเทียบกับคะแนนเฉลี่ยทั้งประเทศ จะเห็นได้ว่าจังหวัดในภาคอีสานมีทั้งจังหวัดที่ได้คะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ย และต่ำกว่าค่าเฉลี่ย จังหวัดที่มีคะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ย คือ มุกดาหาร, สุรินทร์, อำนาจเจริญ, และนครพนม ​   จังหวัดที่มีคะแนนสูงสุดในภาคอีสาน อย่างมุกดาหาร และสุรินทร์ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางการศึกษาของจังหวัดเหล่านี้ อาจมีปัจจัยสนับสนุนหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพการเรียนการสอนในด้านภาษาอังกฤษ, การบริหารจัดการศึกษา หรือโรงเรียนหรือครูในจังหวัดที่มีความเชี่ยวชาญในการสอนภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ มีเทคนิคการสอนที่เน้นการสื่อสารและปฏิบัติจริงซึ่งสอดคล้องกับการวัดผลของ O-NET   จังหวัดส่วนใหญ่ในภาคอีสานมีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสนใจและหาแนวทางแก้ไข อาจมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบ อย่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา หรือปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม ปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างทั่วถึง   อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นเท่านั้น ทั้งนี้อาจจะมีการร่วมมือกันของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน ให้มีเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเด็กในภาคอีสานให้ก้าวหน้าต่อไป     อ้างอิงจาก: – สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #คะแนนONET #ONET #คะแนนสอบ

พาย้อนเบิ่ง คะแนน O-NET ปี 66 เด็กอีสานเก่งภาษาอังกฤษมากแค่ไหน อ่านเพิ่มเติม »

พาเลาะเบิ่ง ห้างสรรพสินค้า อาณาจักร กลุ่มเซ็นทรัล ใน GMS

(1) 76 ปี หลังจากคุณเตียงและคุณสัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ เปิดร้านหนังสือเล็กๆ แห่งแรกในเมืองไทย ปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัล ก้าวสู่ผู้นำธุรกิจห้างสรรพสินค้าลักชัวรีระดับโลกอย่างเต็มตัว    โดยกลุ่มเซ็นทรัลได้กว้านซื้อกิจการห้างหรูอายุกว่า 1 ศตวรรษเข้าพอร์ต ก้าวสู่ผู้นำห้างสรรพสินค้าลักชัวรีระดับโลกเต็มตัว ด้วยเครือข่ายมากที่สุดใน 7 ประเทศ รวม 40 สาขา ให้บริการนักช้อป นักท่องเที่ยว โกยยอดขายมากกว่า 2.6 แสนล้าน   ชื่อของ “เซ็นทรัล” กิจการภายใต้ตระกูลจิราธิวัฒน์ ไทคูณแห่งเมืองไทย ก่อร่างสร้างอาณาจักรธุรกิจมายาวนานกว่า 7 ทศวรรษในประเทศไทย เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเจ้าของห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า “เซ็นทรัล” ที่มีเครือข่ายสาขาให้บริการอยู่ทั่วประเทศ     กลุ่มเซ็นทรัล ขับเคลื่อนธุรกิจผงาดผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกและบริการทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ดำเนินธุรกิจหลากหลายแขนง นอกจากเรือธง อย่าง “ห้างเซ็นทรัล” ยังครอบคลุมธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีหัวหอก คือ “ศูนย์การค้าเซ็นทรัล” ธุรกิจบริหารและการตลาดสินค้าแฟชั่น ธุรกิจโรงแรมและ รีสอร์ท ธุรกิจร้านอาหาร รวมถึงธุรกิจดิจิทัลไลฟ์สไตล์     อาณาจักรเซ็นทรัลในภาคอีสาน (2) “กลุ่มเซ็นทรัล” ได้มาเริ่มลงทุนในภาคอีสานในกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าครั้งแรกเมื่อเดือน เมษายน 2552 ครั้งนั้นเป็นการเข้ามาซื้อกิจการของกลุ่มเจริญศรีและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “เซ็นทรัลอุดรธานี” นับเป็นศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่าแห่งแรกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเลยทีเดียว ต่อมาเริ่มขยายกิจการและเปิดเพิ่มอีก 3 แห่งคือ เซ็นทรัลขอนแก่น เดือนธันวาคม 2552 เซ็นทรัลอุบลราชธานี เดือนเมษายน 2556 และเซ็นทรัลนครราชสีมา ในเดือนพฤศจิกายน 2560    นับเป็นการเข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของ 4 จังหวัดหัวเมืองขนาดใหญ่ ในแต่ละที่มีการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกอาคารที่แตกต่างกัน โดยการดึงความโดดเด่นของแต่ละจังหวัดออกมา เพื่อให้เป็นแลนด์มาร์กอีกด้วย    💚Robinson Lifestyle นอกจากเซ็นทรัลแล้ว ยังมี “โรบินสันไลฟ์สไตล์” การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ตลอดจนการเกิดขึ้นของผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ และแลนด์สเคปของเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นแรงผลักสำคัญให้ศูนย์การค้าต้องปรับกลยุทธ์และรูปแบบในการนำเสนอให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจร   ภายใต้การทำตลาดศูนย์การค้าขนาดเล็ก และขนาดกลางของกลุ่มเซ็นทรัลนั้น จะบริหารโดยเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือซีอาร์ซี ที่มี 2 แบรนด์หลักคือท็อปส์ พลาซ่า ที่เปิดในจังหวัดขนาดเล็ก ที่มีกำลังซื้อไม่มากพอสำหรับศูนย์การค้าขนาดกลาง-ใหญ่ ส่วนศูนย์การค้าขนาดกลางจะมีแบรนด์โรบินสันไลฟ์สไตล์ ที่ถูกส่งเข้ามาปักหมุดในจังหวัดขนาดกลาง และอำเภอขนาดใหญ่ โดย “โรบินสันไลฟ์สไตล์” มีการปักหมุดในภาคอีสานบ้านเรา ที่จังหวัดชัยภูมิ, บุรีรัมย์, สุรินทร์, สกลนคร, มุกดาหาร และร้อยเอ็ด    กลุ่มเซ็นทรัลมีแผนการลงทุนในจังหวัดนครพนมและหนองคายเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและท่องเที่ยวในภูมิภาค อย่างจังหวัดนครพนม ด้วยงบลงทุน 2,000 ล้านบาท โดยจังหวัดนครพนมเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เมืองหน้าด่านการค้าและการท่องเที่ยว เชื่อมโยงไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน อีกทั้งยังมีสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 รองรับการเดินทาง

พาเลาะเบิ่ง ห้างสรรพสินค้า อาณาจักร กลุ่มเซ็นทรัล ใน GMS อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคอีสาน (NeEC)

ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ NeEC ประกอบด้วย จังหวัดขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย และนครราชสีมา จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาเป็นฐานอุตสาหกรรมชีวภาพแห่งใหม่ของประเทศ (NeEC-Bioeconomy) ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ตลอดห่วงโซ่การผลิต ในระยะแรกมุ่งเน้นการส่งเสริม 2 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมชีวภาพ และ 2) อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพให้หลากหลายเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปลอดภัย รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนด้านเกษตร อุตสาหกรรมชีวภาพและอุตาหกรรมเกี่ยวเนื่องที่ใช้เทคโนโลยีมัยใหม่ และพัฒนาด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรด้านเกษตรและอุตสาหกรรมชีวภาพ นอกจากนี้ การพัฒนา NeEC จะช่วยกระจายความเจริญสู่พื้นที่สร้างอัตลักษณ์ให้พื้นที่ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ได้   ขนาดเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัด NeEC ปี 2565 มีมูลค่า 719,693 ล้านบาท มีสัดส่วนถึง 41% ของ GRP ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และคิดเป็น 4.1% ของ GDP อัตราการขยายตัวของ GPP กลุ่ม NeEC มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.4 จากปีก่อนหน้า (ปี 2564) และมีรายได้ต่อหัวของกลุ่มจังหวัด NeEC 115,424 บาท    สำหรับโครงสร้างเศรษฐกิจของกลุ่ม NeEC ประกอบด้วย ภาคการเกษตร ที่มีมูลค่า 104,607 ล้านบาท (คิดเป็น 15% ของขนาดเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัด) ถึงแม้ภาคเกษตรจะมีสัดส่วนน้อยกว่านอกภาคเกษตร แต่ก็ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งวัตถุดิบให้กับภาคอุตสาหกรรมแปรรูป การส่งเสริมการเกษตรสมัยใหม่และการแปรรูปสินค้าเกษตร จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร นอกภาคการเกษตรมูลค่า 615,085 ล้านบาท (คิดเป็น 85% ของขนาดเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัด) ได้แก่ – ภาคการบริการ เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งมีมูลค่า 294,730 ล้านบาท (คิดเป็น 41% ของขนาดเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัด) ภาคบริการเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจบริการในพื้นที่ เช่น การท่องเที่ยว การค้าปลีก-ส่ง และบริการด้านสุขภาพ การเติบโตของภาคบริการอาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจจากภาคเกษตรสู่ภาคบริการ – ภาคอุตสาหกรรม มีมูลค่า 226,959 ล้านบาท (คิดเป็น 32% ของขนาดเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัด) ภาคอุตสาหกรรมแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ การพัฒนาอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานชีวภาพ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจ – ภาคการค้า มีมูลค่า 93,396 ล้านบาท (คิดเป็น 13% ของขนาดเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัด) ภาคการค้ามีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และการค้าชายแดน จะช่วยส่งเสริมการเติบโตของภาคการค้าในพื้นที่ การค้าชายแดนมีศักยภาพในการเติบโตสูง เนื่องจาก NeEC ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และศุลกากร จะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าและส่งเสริมการเติบโตของการค้าชายแดน

พามาเบิ่ง ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคอีสาน (NeEC) อ่านเพิ่มเติม »

เลี้ยงเด็ก 1 คน ใช้จ่าย 3 ล้าน หลายคนเลือก “ไม่มีลูก” สิพามาเบิ่ง คนอีสานเกิดน้อยกว่าตาย

เมื่อก่อนเวลาเราพูดถึง “จำนวนประชากรไทย” เราอาจจะเคยจดจำกันว่า คนไทยมี 70 ล้านคน แต่จริงๆ แล้ว ประเทศไทยไม่เคยมีประชากรถึง 70 ล้านมาก่อน เพราะจำนวนสูงสุดที่เราเคยมีคือ 66.5 ล้านคนต่างหาก   ในปี 2567 มีประชากรไทยเกิดใหม่แค่ 460,000 คน เป็นตัวเลขที่ต่ำสุดในรอบ 75 ปี และแทบจะเรียกได้ว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ นับจากยุคเด็กเกิดล้านในอดีต   เมื่อการเกิดของประชากรลดลง คนไทยจึง “เกิด” น้อยกว่า “ตาย” ทำให้คนไทยหายไปปีละกว่าหมื่นคน จำนวนประชากรไทยจึงลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 แล้ว อีก 50 ปี ประชากรไทยเหลือแค่ 41 ล้านคน   ในภาคอีสานของเรานั้นมีคนเกิดใหม่น้อยกว่าคนเสียชีวิตมาตั้งแต่ ปี 2563  โดยในปี 2567 มีคนเกิดใหม่เพียง 120,217 คนเท่านั้น แต่มีคนเสียชีวิตมากถึง 186,690 คน   และนำข้อมูลในปี 2567 เปรียบเทียบกับปี 2557 พบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีคนเกิดใหม่ลดลงกว่า -43% เนื่องจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้คนส่วนใหญเลือกที่จะมีครอบครัวกันน้อยลง ครองโสดกันมากขึ้น หรืออยู่กันเป็นแฟนเท่านั้น การเลือกที่จะไม่มีลูกเพื่อเป็นการไม่เพิ่มค่าใช้จ่ายและภาระให้กับตนเอง พร้อมกับความกังวลในสภาพสังคมปัจจุบันที่ไม่แน่ใจว่าตนเองจะเลี้ยงลูกได้ดีพอหรือไม่   กลับกันคนเสียชีวิตในภาคอีสานกลับเพิ่มขึ้นกว่า 31% เนื่องจากโครงสร้างอายุของประชากรที่มีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และคาดว่าคนเสียชีวิตจะมียอดขึ้นแตะ 2 แสนคนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า   แต่การเพิ่มขึ้นและลดลงนี้เป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วงอย่างมากต่อผลที่จะตามมาในอนาคตว่ารัฐบาลจะมีมาตรการใดๆเข้ามาควบคุมและดูแลประชาชนในส่วนนี้เพิ่มขึ้นหรือไม่ เพราะคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาระดับชาติที่จะส่งผลในระยะยาว ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องตรงจุดย่อมจะส่งผลเสียในอนาคตเป็นแน่     ทำไมคนยุคใหม่ “ไม่นิยมมีลูก” เด็กเกิดใหม่น้อยลง ถึงจุดวิกฤติ วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป คนรุ่นใหม่แต่งงานช้าลง เรียนสูงขึ้น มีค่านิยมอยู่เป็นโสด มีความหลากหลายทางเพศ  ความต้องการมีบุตรและจำนวนบุตรที่ต้องการเปลี่ยนไป มองเป็นภาระ  อีกทั้ง มาตรการที่จูงใจให้คนต้องการมีบุตรมีน้อยและมาตรการที่มีอยู่ไม่สามารถจูงใจให้คนอย่างมีบุตรได้   การเลี้ยงเด็ก 1 คน ใช้เงิน 3 ล้าน ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คนไทยหลายๆ คนตัดสินใจมีลูกน้อยหรือไม่มีลูก คือ ภาระค่าใช้จ่าย ข้อมูลจากสภาพัฒน์บอกว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการเลี้ยงดูเด็ก 1 คน ตั้งแต่อายุ 0-21 ปี คือ 3 ล้านบาท บางครอบครัวใช้น้อยกว่านี้มาก บางครอบครัวใช้มากกว่านี้มาก โดยเด็กที่เกิดในครัวเรือนที่ฐานะดีที่สุด พ่อแม่จะใช้จ่ายกับเด็กมากกว่าเด็กที่เกิดในครัวเรือนฐานะด้อยสุดถึง 7 เท่า แต่หนักที่สุด คือ “ด้านการศึกษา” ที่ค่าใช้จ่ายต่างกันมากถึง 35 เท่า ซึ่งส่งผลถึงโอกาสของเด็กไปด้วย เพราะเด็กกลุ่ม 10%

เลี้ยงเด็ก 1 คน ใช้จ่าย 3 ล้าน หลายคนเลือก “ไม่มีลูก” สิพามาเบิ่ง คนอีสานเกิดน้อยกว่าตาย อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top