Nanthawan Laithong

โลกกำลังเดือด‼️ พาย้อนเบิ่ง ไทม์ไลน์ 10 ปี เมื่อ “ความอดทนหมดลง”… ก่อเกิดการจลาจลไปทั่วโลก‼️

โลกเดือด เมื่อความอดทนหมดลง – การประท้วงในฐานะภาพสะท้อนเศรษฐกิจและความมั่นคงโลก ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โลกเผชิญคลื่นการประท้วงที่ปะทุขึ้นในหลายภูมิภาค ตั้งแต่ลาตินอเมริกา ยุโรป ไปจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ความเหลื่อมล้ำ และความล้มเหลวของภาครัฐ ในการตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งนำไปสู่คำถามใหญ่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศและการเชื่อมโยงต่อเศรษฐกิจโลกในภาพรวมนั่นเอง เวเนซุเอลา (2017–2019) เศรษฐกิจล่มสลายและการเมืองล้มเหลว เวเนซุเอลาเป็นกรณีศึกษาชัดเจนของรัฐที่พึ่งพาน้ำมันมากเกินไป เมื่อราคาน้ำมันตกต่ำ เศรษฐกิจพังทลาย ประชาชนขาดแคลนอาหารและยา รัฐบาลมาดูโรถูกกดดันจากทั้งภายในและภายนอก ผลที่ตามมาคือการอพยพครั้งใหญ่สู่ประเทศเพื่อนบ้าน ก่อให้เกิดภาระทางสังคมและเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ชิลี (2019) ความเหลื่อมล้ำในประเทศที่เติบโต การขึ้นค่าโดยสารรถไฟใต้ดินในชิลีเป็นเพียง “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่จุดชนวนความไม่พอใจที่สะสมมาอย่างยาวนาน ประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจตกอยู่ในมือชนชั้นนำไม่กี่กลุ่ม จึงทำให้เกิดการประท้วง ซึ่งการประท้วงครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแรงไม่ได้การันตีเสถียรภาพทางสังคม หากความเหลื่อมล้ำยังคงสูง ผลกระทบเชื่อมโยงถึงตลาดลงทุน เพราะชิลีคือผู้ส่งออกทองแดงรายใหญ่ที่สุดของโลก ความไม่สงบจึงสั่นสะเทือนห่วงโซ่อุปทานโลหะอุตสาหกรรมระดับโลกนั่นเอง ฮ่องกง (2019) ความมั่นคงทางการเมืองและการเงินโลก การต่อต้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนสะท้อนความกังวลเรื่องอิทธิพลของจีน และนำไปสู่การเรียกร้องประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการเงินโลกถูกสั่นคลอน ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้ นักลงทุนต่างชาติทบทวนความเชื่อมั่น ในฐานะประตูการเงินสู่จีน และส่งผลต่อการจัดทัพทุนของบริษัทข้ามชาตินั่นเอง สหรัฐอเมริกา (2020): Black Lives Matter และความเหลื่อมล้ำเชิงสังคม การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ จุดประกายการประท้วง Black Lives Matter ที่สะท้อนทั้งความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ขบวนการดังกล่าวไม่ได้เพียงเขย่าสังคมอเมริกันเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อแบรนด์ระดับโลก หลายแห่งที่ต้องปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อสะท้อนความรับผิดชอบทางสังคม และทำให้ความยุติธรรมทางเชื้อชาติกลายเป็นแรงกดดันใหม่ในระบบทุนนิยมโลก คาซัคสถาน (2022): ราคาพลังงานกับการเมืองเผด็จการ การขึ้นราคาก๊าซเชื้อเพลิงเป็นตัวเร่งให้เกิดการลุกฮือทั่วประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำ แต่ยังแสดงให้เห็นว่า ราคาพลังงานคือจุดเปราะบางของความมั่นคงของภาครัฐ ความไม่สงบในคาซัคสถานซึ่งเป็นผู้ส่งออกพลังงานสำคัญ ทำให้ตลาดพลังงานโลกผันผวน และตอกย้ำความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่างการปกครองแบบเผด็จการกับการจัดการทรัพยากร ฝรั่งเศส (2023): ความรุนแรงของตำรวจและสังคมพหุวัฒนธรรม การเสียชีวิตของวัยรุ่นฝรั่งเศสที่ถูกตำรวจยิง จุดชนวนให้เกิดการประท้วงใหญ่ในชุมชนผู้อพยพ เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาการบูรณาการทางสังคม และสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป ความไม่สงบส่งผลต่อ เสถียรภาพการลงทุนในยุโรป และกระทบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักนั่นเอง   ในปี 2025 ความปั่นป่วนรอบใหม่ในหลายประเทศด้วยกัน – สหราชอาณาจักร คลื่นต่อต้านผู้อพยพสะท้อนความตึงเครียดทางสังคมจากกระแสชาตินิยม ผลทางเศรษฐกิจคือแรงงานขาดแคลน โดยเฉพาะในภาคบริการและเกษตรกรรม – เนปาล คนรุ่นใหม่ (Gen Z) ลุกฮือเพื่อต่อต้านการแบนโซเชียลมีเดียและคอร์รัปชัน สะท้อนความเปราะบางของรัฐเล็กในเอเชียใต้ที่ต้องพึ่งพาแรงงานส่งออกและเงินโอนจากต่างประเทศ – สหรัฐอเมริกา “Million March” ต่อต้านทรัมป์ แสดงให้เห็นการแบ่งขั้วการเมืองที่ลึกขึ้นในมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งอาจกระทบเสถียรภาพนโยบายการคลังและการค้าระหว่างประเทศ – อินโดนีเซีย การประท้วงปากท้องจากค่าครองชีพสูงและความไม่พอใจการเมือง เป็นสัญญาณเตือนว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (emerging market) ก็เผชิญแรงกดดันจากความเหลื่อมล้ำและต้นทุนชีวิต   การประท้วงคือสัญญาณเศรษฐกิจโลกที่เชื่อมโยงกัน การประท้วงในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นความมั่นคงภายในประเทศที่ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะของการเมืองท้องถิ่นเท่านั้น แต่คือเครือข่ายที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกอีกด้วย เมื่อรัฐไม่สามารถตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน ความไม่พอใจจะแปรเปลี่ยนเป็นแรงสั่นสะเทือนต่อการค้า การลงทุน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งการประท้วงทำให้เกิดต้นทุนแฝง ทั้งการชะงักของซัพพลายเชน […]

โลกกำลังเดือด‼️ พาย้อนเบิ่ง ไทม์ไลน์ 10 ปี เมื่อ “ความอดทนหมดลง”… ก่อเกิดการจลาจลไปทั่วโลก‼️ อ่านเพิ่มเติม »

⏰”iPhone 17″ มาแล้ว พาย้อนเบิ่ง 10 ปีที่ผ่านมา ต้องทำงานกี่วันถึงจะได้ iPhone หนึ่งเครื่อง?📱

จากกระแสการเปิดตัว iPhone 17 Pro Max ปี 2568 ได้สร้างกระแสทั้งในแง่เทคโนโลยีและเศรษฐกิจ แต่หากมองผ่านมุมมองเชิงธุรกิจและเศรษฐศาสตร์เชิงลึก จะเห็นความเหลื่อมล้ำของอำนาจซื้อที่สะท้อนชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบระหว่างราคาสินค้าและการเติบโตของค่าแรงขั้นต่ำของภาคอีสานในช่วง 10 ที่ผ่านมา หากย้อนกลับไปปี 2559 ช่วงการเปิดตัว iPhone 7 Plus ที่มีราคา 31,500 บาท มาถึงปี 2568 ราคาของ iPhone 17 Pro Maxพุ่งขึ้นไปที่ 48,900 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 17,400 บาท คิดเป็น 55.2% ในเวลา 10 ปี ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำกลับขยับขึ้นจาก 300 บาท มาอยู่ที่เพียง 347-359 บาท เพิ่มขึ้นเพียง 15.7%–19.7% เท่านั้น ซึ่งความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นว่า ราคาสินค้าเทคโนโลยีระดับพรีเมียมเติบโตเร็วกว่ารายได้แรงงานขั้นพื้นฐานอย่างมาก หากแรงงานรายวันต้องการซื้อ iPhone เครื่องใหม่ อาจจะต้องทำงานนานขึ้นกว่าที่เคย ตัวอย่างเช่น ในปี 2559 ใช้เวลาราว 105 วัน เพื่อเก็บเงินซื้อ iPhone 7 Plus แต่ในปี 2568 ต้องใช้เวลาระหว่าง 137-141 วัน เพื่อซื้อ iPhone 17 Pro Max ทั้งที่ค่าแรงเพิ่มขึ้น แต่กลับไม่ทันต่อราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงกว่า ส่งผลให้เทคโนโลยีกลายเป็น “ของหรู” สำหรับผู้มีรายได้สูง มากกว่าจะเป็น “ของใช้” ที่เข้าถึงได้เหมือนที่ Apple เคยผลักดันในอดีตนั่นเอง สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึง กลยุทธ์การตลาดของ Apple ที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์สินค้าพรีเมียม เน้นนวัตกรรมและความต้องการเชิงอารมณ์ มากกว่าความจำเป็นในการใช้งานจริง แต่ก็เปิดช่องให้ตลาด สมาร์ตโฟนมือสอง และสมาร์ตโฟนรุ่นเก่า มีบทบาทสำคัญต่อกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่สามารถเข้าถึงรุ่นใหม่ได้ทันที ขณะเดียวกัน สมาร์ตโฟนแอนดรอยด์เอง ก็กลายเป็นคู่แข่งเชิงทางเลือกที่ตอบโจทย์ด้านราคาและฟังก์ชันพื้นฐานได้ดีกว่าในกลุ่มรายได้ปานกลางถึงล่างนั่นเอง อีกทั้งยังชี้ให้เห็นปัญหาเชิงลึกของ ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ที่ยังไม่ถูกแก้ไข แม้สินค้าเทคโนโลยีใหม่จะสะท้อนถึงความก้าวหน้าของโลกธุรกิจ แต่แรงงานจำนวนมากยังต้องเลือกระหว่างการ “ทำงานหนักขึ้นเพื่อได้มาซึ่งสินค้า” หรือ “หันไปเลือกทางเลือกที่ถูกกว่า” ปรากฏการณ์นี้จึงไม่เพียงเป็นเรื่องของ iPhone เท่านั้น แต่ยังเป็น ภาพสะท้อนของเศรษฐกิจในรอบ 10 ปีที่การเติบโตของรายได้แรงงานยังตามไม่ทันกับการขยายตัวของราคาสินค้าในตลาดโลก   อ้างอิงจาก: – เว็บไซต์ของบริษัท Apple – กระทรวงแรงงาน   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน

⏰”iPhone 17″ มาแล้ว พาย้อนเบิ่ง 10 ปีที่ผ่านมา ต้องทำงานกี่วันถึงจะได้ iPhone หนึ่งเครื่อง?📱 อ่านเพิ่มเติม »

ความภาคภูมิใจของคนอีสาน‼️ พามาเบิ่ง “ขอนแก่น” ขึ้นแท่นอันดับ 1 ของไทย ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน

ขอนแก่น ภาคอีสานสู่บทพิสูจน์การพัฒนาที่ยั่งยืนของไทย ผลการจัดอันดับ ดัชนีการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับจังหวัด (Thailand Provincial SDG Index) ล่าสุด ทำให้ “ขอนแก่น” ก้าวขึ้นมาเป็นจังหวัดอันดับ 1 ของประเทศด้วยคะแนน 62.38 นับเป็นความสำเร็จที่สะท้อนภาพใหญ่ของภูมิภาคอีสานในฐานะห้องทดลองเชิงนโยบาย ที่ผสมผสานการเติบโตทางเศรษฐกิจกับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลนั่นเอง การประเมินครั้งนี้จัดทำโดยศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับคณะทำงานระดับภาคทั้ง 6 ภาค ภายใต้การสนับสนุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)โดยอ้างอิงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ ครอบคลุมกรอบ 5 มิติ ได้แก่ – Planet (สิ่งแวดล้อม) คะแนนเฉลี่ย 66.58 – Peace (สันติภาพและสถาบัน) 66.24 – Prosperity (เศรษฐกิจ) 51.6 – People (สังคม) 48.21 – Partnership (หุ้นส่วนการพัฒนา) 34.42 เมื่อพิจารณาเชิงเปรียบเทียบ จุดแข็งของไทยคือการจัดการสิ่งแวดล้อมและสันติภาพ ขณะที่ “ช่องว่าง” อยู่ที่เศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะ Partnership ที่ยังอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าประเทศจำเป็นต้องพัฒนาเครือข่ายหุ้นส่วนการพัฒนา ทั้งในและนอกพื้นที่ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่า “ขอนแก่น” โดดเด่นเพราะสามารถสร้างสมดุลการพัฒนา ผ่านโครงสร้างพื้นฐานเมืองสมัยใหม่ อย่างเช่น โครงการรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และการวางระบบบริการสาธารณะให้เข้าถึงประชาชนได้จริง อีกทั้งยังมีโมเดล “ขอนแก่นพัฒนาเมือง” ที่แสดงพลังความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชนท้องถิ่นได้อย่างชัดเจน นี่คือการตอบโจทย์ Partnership ที่หลายจังหวัดยังไม่สามารถทำได้ดีนักนั่นเอง อันดับจังหวัดที่มีผลการพัฒนาโดดเด่น (Top 10) และจังหวัดที่ยังมีความท้าทายสูง (Bottom 10) อย่างชัดเจน ดังนี้ อันดับ 1 ขอนแก่น 62.38 คะแนน (ภาคอีสาน) อันดับ 2 ตราด 62.20 คะแนน (ภาคตะวันออก) อันดับ 3 จันทบุรี 61.73 คะแนน (ภาคตะวันออก) อันดับ 4 บึงกาฬ 60.72 คะแนน (ภาคอีสาน) อันดับ 5 มหาสารคาม 60.42 คะแนน (ภาคอีสาน) อันดับ 6 นนทบุรี 60.31 คะแนน (ภาคกลาง) อันดับ 7 ฉะเชิงเทรา

ความภาคภูมิใจของคนอีสาน‼️ พามาเบิ่ง “ขอนแก่น” ขึ้นแท่นอันดับ 1 ของไทย ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง “ชัยภูมิ” คว้าแชมป์หนี้เกษตร เปิดยอดหนี้เฉลี่ย “ครัวเรือนเกษตรอีสาน” ทะลุ 4.5 แสนบาท

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กำลังเผชิญโจทย์ใหญ่ด้านหนี้ครัวเรือนเกษตร โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 ระบุว่า ครัวเรือนเกษตรในภาคอีสานมีหนี้เฉลี่ย 286,735 บาทต่อครัวเรือน และส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับ “การผลิตทางการเกษตร” คิดเป็นกว่า 59.3% ขณะที่อีกก้อนใหญ่คือหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค ครัวเรือนจำนวนไม่น้อยจึงติดกับดักวงจรหนี้ที่ยืดเยื้อ เพราะรายได้ไม่สอดคล้องกับต้นทุนที่สูงขึ้นทุกปี หากเจาะลึกลงไปในระดับจังหวัด จะพบความน่าสนใจ คือ “ชัยภูมิ” กลายเป็นจังหวัดที่มีหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนเกษตรสูงที่สุดในอีสาน อยู่ที่ราว 450,981 บาทต่อครัวเรือน สูงกว่าค่าเฉลี่ยภาคเกือบเท่าตัว รองลงมาคือ นครราชสีมาและอำนาจเจริญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจการเกษตรในแต่ละจังหวัดมีผลอย่างยิ่งต่อภาระหนี้ โดยชัยภูมิเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ ข้าว มันสำปะหลัง และอ้อยโรงงาน ซึ่งพืชเหล่านี้ต้องการเงินทุนหมุนเวียนสูง ทั้งค่าปุ๋ย สารเคมี เมล็ดพันธุ์ แรงงาน และค่าเชื้อเพลิงในการขนส่ง ผลผลิตจึงขึ้นอยู่กับเงินกู้เป็นหลัก หากราคาตกต่ำ เกษตรกรก็ยิ่งยากที่จะปลดหนี้นั่นเอง อีกปัจจัยที่ทำให้หนี้ขยายตัว คือความผันผวนด้านต้นทุนปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะราคาปุ๋ยและพลังงานที่พุ่งสูงในรอบหลายปีที่ผ่านมา แม้ผลผลิตเกษตรจะขายได้ แต่รายได้สุทธิกลับถูกหักออกไปกับต้นทุนเกือบทั้งหมด จึงทำให้เกิดพฤติกรรม “กู้ใหม่เพื่อใช้หนี้เก่า” หรือหมุนหนี้จากหลายแหล่ง ทั้งในระบบ อย่างเช่น ธ.ก.ส., สหกรณ์การเกษตร และนอกระบบ การกู้ลักษณะนี้แม้จะช่วยพยุงการผลิตระยะสั้น แต่กลับซ้ำเติมภาระหนี้ระยะยาว หนี้ครัวเรือนเกษตรในอีสานส่งผลต่อศักยภาพการบริโภคและการลงทุนในภูมิภาคโดยตรง เมื่อรายได้ครัวเรือนจำนวนมากถูกผูกไว้กับหนี้ การใช้จ่ายในท้องถิ่นย่อมลดลง ส่งผลต่อธุรกิจรายย่อย ร้านค้า และตลาดแรงงานในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งนี่อาจเป็น “ช่องว่างเชิงธุรกิจ” ที่รอการออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ อย่างเช่น สินเชื่อฤดูกาล ระบบประกันผลผลิต หรือการลงทุนในภาคแปรรูปเกษตร เพื่อลดความเสี่ยงด้านราคาและสร้างรายได้ที่มั่นคงกว่าเดิม การที่ชัยภูมิเป็น “แชมป์หนี้ครัวเรือนเกษตร” เป็นผลสะท้อนจากโครงสร้างพืชเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ใช้ต้นทุนสูง ความผันผวนของตลาดสินค้าเกษตร ตลอดจนพฤติกรรมการเงินของครัวเรือน หากไม่เร่งหาทางออกในเชิงโครงสร้าง ทั้งนโยบายและกลไกทางธุรกิจ ภาคอีสานอาจต้องแบกรับภาระหนี้ที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ และกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาวนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – สำนักงานสถิติแห่งชาติ – ธนาคารแห่งประเทศไทย – TDRI – PIER (สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ป๋วย อึ๊งภากรณ์) – ThaiPublica   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #หนี้ครัวเรือนเกษตรอีสาน #หนี้ครัวเรือน #หนี้  

ชวนมาเบิ่ง “ชัยภูมิ” คว้าแชมป์หนี้เกษตร เปิดยอดหนี้เฉลี่ย “ครัวเรือนเกษตรอีสาน” ทะลุ 4.5 แสนบาท อ่านเพิ่มเติม »

พาเลาะเบิ่ง ตัวอย่าง “ภูเขาสูง” แดนอีสาน ที่ซ่อนความลับระดับ Unseen Thailand

ภูหมันขาว ที่จังหวัดเลยและเพชรบูรณ์ มีความสูง 1,820 เมตร ภูลมโล ที่จังหวัดเลย, พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ มีความสูง 1,664 เมตร ภูหลวง ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,571 เมตร เนิน 1408 ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,408 เมตร ภูเรือ ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,365 เมตร ภูกระดึง ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,316 เมตร ภูผาจิต ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,271 เมตร ภูบักได ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,200 เมตร เขาแถบอีสาน ตั้งแต่สันเขาของเลยถึงแนวเพชรบูรณ์ ไม่ได้เป็นเพียงภูมิทัศน์งดงามเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นสินทรัพย์เศรษฐกิจเชิงนิเวศที่สามารถสร้างมูลค่าหลายอย่าง ทั้งรายได้ท่องเที่ยวตรง บริการระบบนิเวศ และทุนทางวัฒนธรรม หากมองเชิงธุรกิจ ภูกระดึง ภูเรือ ภูลมโล และภูสูงอื่นๆ คือ “คลัสเตอร์ท่องเที่ยวอากาศเย็น” ที่ดึงดูดผู้คนตามฤดูกาลนั่นเอง โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปกว่า 2,500-3,500 บาท จากผู้มาเยือนหลักแสนต่อปี ก่อให้เกิดเงินสะพัดหลายร้อยล้านบาท และกระจายสู่โฮมสเตย์ ร้านอาหาร รถท้องถิ่น และสินค้า OTOP นั่นเอง รายได้จากการท่องเที่ยวภูเขาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงผู้ประกอบการโฮมสเตย์หรืออุทยานเท่านั้น แต่ยังสามารถเชื่อมโยงไปถึงเกษตรกรที่ขายผลผลิตให้ร้านอาหาร ร้านค้าเล็กๆ ที่จำหน่ายอุปกรณ์เดินป่า รถรับจ้างท้องถิ่น ไปจนถึงกลุ่มแม่บ้านที่ผลิตผ้าทอและงานหัตถกรรม การไหลเวียนของเงินเหล่านี้สร้างตัวคูณทางเศรษฐกิจที่ทำให้เงิน 1 บาทจากนักท่องเที่ยว ขยายผลเป็นรายได้ 1.5–2 บาทในระบบเศรษฐกิจของชุมชน ถือเป็นพลังที่ช่วยหล่อเลี้ยงคนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริงนั่นเอง อีกหนึ่งจุดแข็งของการท่องเที่ยวภูเขาในอีสานคือความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้กัน อย่างเช่น นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเชื่อมต่อจากภูกระดึงไปภูเรือ หรือจากภูหลวงไปภูลมโลได้ในเวลาไม่นาน หากมีการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวเป็น “วงแหวนภูเขา” นักท่องเที่ยวจะอยู่ค้างคืนยาวขึ้น รายได้ก็จะกระจายไปยังหลายหมู่บ้าน และช่วยให้เศรษฐกิจท้องถิ่นเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากธรรมชาติแล้ว วัฒนธรรมท้องถิ่นยังเป็นมูลค่าเพิ่มที่ทำให้ภูเขาเหล่านี้แตกต่างจากภูเขาในภาคอื่น นักท่องเที่ยวไม่ได้เพียงมาดูวิว แต่ยังได้สัมผัสอาหารอีสาน งานหัตถกรรม ผ้าทอ และประเพณีพื้นถิ่น ประสบการณ์เหล่านี้ช่วยให้การท่องเที่ยวมีราคาสูงขึ้น นักท่องเที่ยวยินดีใช้จ่ายมากขึ้น และสร้างรายได้เสริมแก่ชุมชนที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับอุทยานนั่นเอง   ในปัจจุบัน “การเดินป่า-ท่องเที่ยวภูเขา” กำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของคนรุ่นใหม่และคนเมือง เพราะผู้คนเริ่มโหยหาความสงบและธรรมชาติ หลังจากใช้ชีวิตท่ามกลางความเร่งรีบและตึกสูงในเมืองใหญ่ การขึ้นภูเขาจึงไม่ใช่เพียงการท่องเที่ยว แต่เป็นการพักผ่อนเชิงสุขภาพ ทั้งกายและใจ บางคนมองว่าเป็นการ ชาร์จพลังชีวิต ขณะที่บางกลุ่มเห็นเป็นโอกาสในการออกกำลังกายแบบผจญภัย ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่กำลังเติบโตทั่วโลก เทรนด์นี้ช่วยเปิดตลาดใหม่ให้กับการท่องเที่ยวภูเขา นักท่องเที่ยวที่นิยมเดินป่า มักต้องการประสบการณ์มากกว่าที่พักหรูหรา แต่จะใช้จ่ายกับอุปกรณ์เดินป่า ไกด์ท้องถิ่น เส้นทางศึกษาธรรมชาติ และสินค้าพื้นถิ่นที่สะท้อนเอกลักษณ์ของพื้นที่ ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการรายเล็ก อย่างเช่น ร้านเช่าเต็นท์ ร้านขายอุปกรณ์เดินป่า ร้านกาแฟชุมชน และกลุ่มชาวบ้านที่จัดกิจกรรมเชิงเรียนรู้

พาเลาะเบิ่ง ตัวอย่าง “ภูเขาสูง” แดนอีสาน ที่ซ่อนความลับระดับ Unseen Thailand อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่งไทม์ไลน์ 100 ปี! “เขากระโดง” ที่ดิน 5,083 ไร่ การต่อสู้เพื่อทวงคืน “สมบัติชาติ” จะจบลงอย่างไร?

เรื่องราวของ “เขากระโดง” จังหวัดบุรีรัมย์ คือมหากาพย์ข้อพิพาทที่ยืดเยื้อมากว่า 100 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2462 ที่รัฐออกพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางรถไฟสายภาคอีสาน เส้นนครราชสีมา-บุรีรัมย์-อุบลราชธานี โดยมีการกันพื้นที่จำนวนหนึ่งไว้ล่วงหน้าเพื่อใช้ในการก่อสร้าง แม้จะยังไม่ได้วางรางจริงก็ตาม แต่ได้ประกาศห้ามบุกรุกหรือออกเอกสารสิทธิ์ใดๆ บนพื้นที่ดังกล่าว แต่เมื่อเวลาผ่านไปทำให้พื้นที่เขากระโดงค่อยๆ กลายเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชน มีการตั้งถิ่นฐาน สร้างบ้านเรือน โรงเรียน และวัด อีกทั้งยังมีความพยายามออกโฉนดและซื้อขายเปลี่ยนมืออย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นปัญหาสะสมที่ไม่เคยถูกแก้ไขอย่างเด็ดขาดนั่นเอง จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2513 เมื่อการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หารือกับนายชัย ชิดชอบ นักการเมืองท้องถิ่นผู้ทรงอิทธิพล โดยมีการระบุในบันทึกประชุมว่า รฟท. ยอมให้ครอบครัวชิดชอบและผู้เกี่ยวข้องอาศัยอยู่ต่อชั่วคราวในรูป “สัญญาอาศัย” แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มีการดำเนินการจริง ไม่นานหลังจากนั้นก็มีการออกโฉนดแปลงหนึ่งและถูกซื้อขายหมุนเวียนในกลุ่มตระกูลเดียวกัน โดยเหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าที่ดินเขากระโดงไม่ได้เป็นเพียงแค่พื้นที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังกลายเป็น “ทุนทางการเมือง” ที่เชื่อมโยงอำนาจท้องถิ่นและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น เมื่อเข้าสู่ปลายทศวรรษ 2540 รัฐเริ่มเข้ามาจัดการแบบจริงจัง คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยชัดเจนว่าที่ดินเขากระโดงเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ และต่อมา ศาลแพ่งจนถึงศาลฎีกาก็ตัดสินไปในทิศทางเดียวกันว่าประชาชนไม่มีสิทธิครอบครอง อย่างไรก็ตาม การชนะคดีในเชิงกฎหมายไม่ได้หมายความว่ารฟท. จะได้ที่ดินคืนทันที เนื่องจากความจริงในพื้นที่มีประชาชนอาศัยอยู่จำนวนมาก หลายแปลงถูกพัฒนาเป็นวัด โรงเรียน หรือที่ทำการเอกชน การบังคับคดีจึงเต็มไปด้วยข้อจำกัด ทั้งในด้านมนุษย์และในด้านสังคม โดยปัญหานี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ข้อพิพาทด้านสิทธิครอบครองเท่านั้น เพราะเขากระโดง 5,083 ไร่ ถูกบรรจุในแผนพัฒนาเป็น “สถานีขนถ่ายสินค้า” หรือ Dry Port ของภาครัฐ หากโครงการนี้เกิดขึ้นจริง บุรีรัมย์จะถูกยกระดับจากเมืองกีฬาและท่องเที่ยวให้กลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอีสานใต้ เชื่อมการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว กัมพูชา และเวียดนาม ผลประโยชน์ที่จะตามมาไม่เพียงลดต้นทุนการขนส่งเท่านั้น แต่ยังดันมูลค่าอสังหาริมทรัพย์โดยรอบให้พุ่งสูงขึ้น และสร้างโอกาสใหม่ให้กับภาคธุรกิจท้องถิ่นและนักลงทุนจากภายนอก ดังนั้น การช่วงชิงกรรมสิทธิ์ที่ดินในบริเวณนี้จึงเท่ากับการช่วงชิงอนาคตทางเศรษฐกิจของทั้งจังหวัดและภูมิภาคนั่นเอง เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคการเมืองร่วมสมัย หลังปี พ.ศ. 2566 ศาลปกครองกลางสั่งให้กรมที่ดินสอบสวนเพื่อพิจารณาการเพิกถอนโฉนดที่ดินที่ออกทับซ้อน ผลการสอบสวนกลับสรุปว่า “ไม่ควรเพิกถอน” เพราะยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าพื้นที่ทั้งหมดเป็นของการรถไฟฯ อย่างไรก็ตาม รฟท. ไม่ยอมแพ้ และเมื่อเข้าสู่ปี พ.ศ. 2568 สถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนไป พรรคภูมิใจไทยและตระกูลชิดชอบไม่ได้มีส่วนร่วมในรัฐบาล การสะสางปัญหานี้จึงถูกเร่งเดินหน้าโดยกรมที่ดิน แต่ในเวลาเดียวกัน กลุ่มทุนท้องถิ่น ทนายความ และชาวบ้านก็รวมตัวคัดค้าน โดยอ้างว่าหลักฐานแผนที่ของรฟท. ไม่ใช่ของแท้จาก พ.ร.ฎ. 2462 และคำพิพากษาศาลไม่อาจผูกพันบุคคลที่ไม่ใช่คู่ความ ข้อพิพาทเขากระโดงจึงไม่ใช่เพียงการแย่งสิทธิครอบครองเท่านั้น แต่เป็นการปะทะกันของกฎหมาย การเมือง และเศรษฐกิจในระดับลึก หากมองในเชิงธุรกิจ ที่ดินแห่งนี้คือทุนพัฒนาที่สามารถยกระดับภูมิภาคได้ทันทีหากได้รับการบริหารจัดการที่ชัดเจน แต่หากรัฐใช้วิธีเวนคืนโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนทางสังคม ก็อาจสร้างแรงต่อต้านใหม่และบั่นทอนเสถียรภาพการลงทุน ในทางกลับกัน หากปล่อยให้ทุนท้องถิ่นควบคุมโดยไม่จัดการ ความเหลื่อมล้ำเชิงอำนาจก็จะยิ่งรุนแรงและบิดเบือนตลาดที่ดินหรือไม่?    อ้างอิงจาก: – THAIRATH – SUM UP   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน

พาเปิดเบิ่งไทม์ไลน์ 100 ปี! “เขากระโดง” ที่ดิน 5,083 ไร่ การต่อสู้เพื่อทวงคืน “สมบัติชาติ” จะจบลงอย่างไร? อ่านเพิ่มเติม »

นี่คือเงินภาษีคุณ‼️ พาส่องเบิ่ง “งบประมาณจังหวัด” ที่คนท้องถิ่นต้องรู้ เมืองที่คุณอยู่ได้งบเท่าไหร่⁉️ งบปี 69

“งบประมาณจังหวัด” ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจท้องถิ่นทุกระดับ ตั้งแต่คุณภาพชีวิตของประชาชนไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ภาคธุรกิจใช้ในการขยายตัว ปีงบประมาณ 2569 หากเจาะลึกลงไปในแต่ละจังหวัด จะพบความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน จะเห็นได้ว่านครราชสีมาได้งบมากที่สุดถึง 442 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.1% ของงบอีสานทั้งหมด ขณะที่จังหวัดเล็กอย่างบึงกาฬกลับได้รับเพียง 190 ล้านบาท หรือแค่ 3.5%  งบประมาณจังหวัดเปรียบเสมือนแรงขับเคลื่อนแรกเริ่มที่กระจายเงินลงสู่ท้องถิ่น เมื่อโครงการสาธารณูปโภค ถนน โรงพยาบาล โรงเรียน หรือระบบน้ำประปาได้รับการสนับสนุน เม็ดเงินที่รัฐจัดสรรลงไปจะหมุนเวียนต่อในระบบธุรกิจท้องถิ่น ทั้งการจ้างแรงงานท้องถิ่น การจัดซื้อวัตถุดิบ การสร้างงานบริการ และการกระตุ้นกำลังซื้อในตลาด อย่างเช่น ขอนแก่นแม้งบประมาณจะอยู่ที่ 333 ล้านบาทซึ่งน้อยกว่านครราชสีมา แต่ด้วยศักยภาพของการเป็นศูนย์กลางมหาวิทยาลัยและการแพทย์ งบประมาณที่ได้รับกลับสร้างผลทวีคูณสูง เพราะสามารถต่อยอดไปสู่การลงทุนภาคเอกชนและดึงดูดทุนใหม่เข้าสู่ภูมิภาคได้อย่างต่อเนื่องนั่นเอง อย่างไรก็ตาม การได้งบมากหรือน้อยไม่ได้หมายความว่าคุณภาพการพัฒนาจะสูงหรือต่ำตามไปด้วย จังหวัดใหญ่อย่างนครราชสีมามีภาระประชากรจำนวนมากและพื้นที่กว้าง การใช้งบแม้จะมากแต่ก็ต้องกระจายครอบคลุมหลายด้าน ต่างจากจังหวัดขนาดเล็ก อย่างเช่น ยโสธรหรือมุกดาหารที่แม้งบเพียงราว 200 ล้านบาท แต่หากมีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ อาจสร้างผลลัพธ์ที่ตรงจุดและเห็นผลเร็วกว่า จะเห็นได้ว่า งบประมาณไม่ได้เป็นเพียง “ขนาดเงิน” แต่คือ “คุณภาพการใช้เงิน” ที่เป็นตัวชี้วัดสำคัญกว่า ในมุมมองธุรกิจนั้น เมืองที่ได้รับงบมากมักจะกลายเป็นศูนย์กลางการพัฒนาที่ดึงดูดโครงสร้างพื้นฐานและกำลังซื้อ ขณะที่เมืองงบน้อยกลับซ่อนโอกาสสำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือ SME ที่สามารถเข้าไปเติมเต็มในสิ่งที่ภาครัฐไม่สามารถทำได้ครบถ้วน เมืองชายขอบ อย่างเช่นบึงกาฬ มุกดาหาร หรือหนองคาย แม้งบไม่สูง แต่มีความได้เปรียบด้านการค้าชายแดนที่สามารถเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นช่องว่างทางธุรกิจที่น่าจับตานั่นเอง งบประมาณจังหวัดคือภาพสะท้อนของนโยบายการพัฒนาและการกระจายทรัพยากรของรัฐที่ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตประชาชน การที่บางจังหวัดได้มากบางจังหวัดได้น้อยก็เหมือนเป็นการกำหนดทิศทางอนาคตภูมิภาคอย่างชัดเจน คนท้องถิ่นเองก็ควรตระหนักว่าเงินเหล่านี้คือภาษีของประชาชน และควรติดตามตรวจสอบว่า งบประมาณถูกนำไปใช้กับโครงการที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์จริงหรือเพียงแค่ผ่านตัวเลขในเอกสารราชการ หากสามารถใช้เงินอย่างคุ้มค่า งบประมาณปี 2569 ก็อาจกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ผลักดันให้อีสานก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ และกลายเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจไม่แพ้ส่วนอื่นของประเทศได้     อ้างอิงจาก: – สำนักงบประมาณ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ # #เศรษฐกิจอีสาน #งบประมาณจังหวัด #งบประมาณในอีสาน  #งบประมาณ #งบประมาณปี2569  

นี่คือเงินภาษีคุณ‼️ พาส่องเบิ่ง “งบประมาณจังหวัด” ที่คนท้องถิ่นต้องรู้ เมืองที่คุณอยู่ได้งบเท่าไหร่⁉️ งบปี 69 อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง “เงินเดือนคนไทย”  ตัวเลขล่าสุดเผย คนกว่า 2.7 ล้านคน ได้ไม่ถึง 1.1 หมื่นบาท‼️

ข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคมล่าสุดพบว่า ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งส่วนใหญ่คือแรงงานในระบบเอกชน มีจำนวนกว่า 12.1 ล้านคน อีกทั้งยังพบว่า แรงงานจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเงินเดือน 9,001-11,000 บาทต่อเดือน มากถึงกว่า 2.7 ล้านคน หรือคิดเป็น 23.05% ของทั้งหมดเลยทีเดียว รองลงมาคือกลุ่มที่มีรายได้ 13,001-15,000 บาท จำนวนกว่า 1.7 ล้านคน หรือ 14.07% และกลุ่ม 11,001-13,000 บาท กว่า 12.3% สะท้อนให้เห็นว่าแรงงานไทยกว่าครึ่งหนึ่งยังอยู่ในระดับรายได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งก็ถือว่าเป็นฐานค่าจ้างขั้นต่ำถึงระดับปานกลางที่ยังไม่สูงเมื่อเทียบกับค่าครองชีพปัจจุบันนั่นเอง รายได้ของแรงงานนั่น สามารถสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการบริโภคของครัวเรือนไทยอย่างชัดเจน เนื่องจากกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนมีสัดส่วนมาก ทำให้กำลังซื้อโดยรวมของประเทศยังคงอยู่ในระดับจำกัด ส่งผลต่อการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนด้านบริการที่ต้องพึ่งพาฐานผู้บริโภคจำนวนมากนั่นเอง ขณะเดียวกันกลุ่มที่มีรายได้สูงกว่า 30,000 บาทขึ้นไปมีเพียง 12% ของแรงงานในระบบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มชนชั้นกลางระดับสูงและชนชั้นบนมีจำนวนน้อย อีกประเด็นสำคัญคือ ความเหลื่อมล้ำที่ปรากฏจากโครงสร้างรายได้ คนไทยจำนวนกว่า 2.7 ล้านคน มีรายได้เพียง 9,000-11,000 บาท ขณะที่มีเพียงประมาณ 289,000 คน หรือ 2.38% เท่านั้นที่มีรายได้เกิน 80,000 บาทต่อเดือน สังเกตได้ว่าระหว่างแรงงานรายได้ต่ำกับแรงงานรายได้สูงจึงกว้างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจ การกระจุกตัวของรายได้ในเมืองใหญ่ และความเปราะบางของครัวเรือนที่พึ่งพาค่าแรงขั้นต่ำ และข้อมูลนี้ยังชี้ให้เห็นทิศทางการวางกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน โดยบริษัทที่ทำธุรกิจแมสจำเป็นต้องออกแบบสินค้าและบริการให้มีราคาที่เข้าถึงได้ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมีกำลังซื้อต่ำอยู่ ขณะที่ธุรกิจที่เน้นเจาะตลาดพรีเมียมหรือชนชั้นกลางถึงระดับสูง แม้จะเผชิญฐานลูกค้าที่เล็กกว่า แต่มีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงหากเจาะตรงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง การที่ผู้ประกันตนที่มีรายได้เกิน 17,500 บาท ต้องเริ่มจ่ายเงินสมทบเพิ่มจาก 750 บาทเป็น 875 บาทตั้งแต่ปี 2569 ก็สะท้อนความพยายามของรัฐในการปรับสมดุลกองทุนประกันสังคมให้สอดคล้องกับรายได้ที่สูงขึ้น แต่ในอีกมิติหนึ่งก็อาจเป็นภาระต่อแรงงานระดับกลางที่ยังไม่ได้มีฐานะมั่นคงมากนัก สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายของระบบประกันสังคมที่ต้องดูแลทั้งแรงงานรายได้น้อยจำนวนมาก และแรงงานรายได้ปานกลางที่กำลังเผชิญค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น   อ้างอิงจาก:  – สำนักงานประกันสังคม (ข้อมูล ณ วันที่ 17 ส.ค. 68) – กรุงเทพธุรกิจ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #เงินเดือนคนไทย #เงินเดือน #ประกันสังคม

พาเปิดเบิ่ง “เงินเดือนคนไทย”  ตัวเลขล่าสุดเผย คนกว่า 2.7 ล้านคน ได้ไม่ถึง 1.1 หมื่นบาท‼️ อ่านเพิ่มเติม »

ก่อนเป็นจังหวัด อีสานมีชื่อที่ถูกลืม! พาย้อนเวลาเบิ่ง “ชื่อเก่า” ที่คนท้องถิ่นเองยังไม่เคยรู้

ภาคอีสานในปัจจุบันมี 20 จังหวัด แต่หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ จะพบว่าดินแดนเหล่านี้เคยถูกเรียกขานด้วย “ชื่อเก่า” ที่สะท้อนทั้งเอกลักษณ์ วัฒนธรรม และสภาพสังคมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งต่อมาได้ถูกปรับเปลี่ยนเมื่อมีการจัดระเบียบการปกครองใหม่จาก “เมือง” สู่ “จังหวัด” โดยเฉพาะในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการปฏิรูปการปกครองหัวเมือง ส่งผลให้ชื่อเก่าเหล่านี้ค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงในเอกสารเก่าและความทรงจำของผู้คนท้องถิ่นนั่นเอง การเปลี่ยนชื่อจาก “เมือง” ไปสู่ “จังหวัด” ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนคำเรียกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนที่มุ่งรวมศูนย์อำนาจและสร้างมาตรฐานเดียวกัน อย่างเช่น เมืองขามแก่น ซึ่งกลายเป็น “จังหวัดขอนแก่น” ในปี 2459 หรือบ้านหลวงที่กลายมาเป็น “จังหวัดชัยภูมิ” ในปี 2476 ก็สะท้อนให้เห็นถึงการขยายอำนาจรัฐเข้าสู่ท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีบางจังหวัดที่ได้รับการยกฐานะช้ากว่า อย่างเช่น จังหวัดบึงกาฬ ที่เพิ่งแยกจากหนองคายในปี 2554 ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากระบวนการจัดการพื้นที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องตามความจำเป็นและความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ การเมือง และภูมิศาสตร์ ในแง่เศรษฐกิจ เมื่อลองมองย้อนกลับไปก็จะเห็นว่าการเปลี่ยนสถานะจาก “เมือง” เป็น “จังหวัด” ได้สร้างความมั่นคงทางการปกครองและเศรษฐกิจให้แก่ท้องถิ่น เช่น จังหวัดนครพนม (เดิม “เมืองมรุกขนคร”) และสกลนคร (เดิม “เมืองสกลทวาปี”) ก็กลายเป็นศูนย์กลางการค้าริมแม่น้ำโขงที่มีบทบาทเชื่อมโยงกับลาวและเวียดนาม ขณะที่มหาสารคาม (เดิมคือ “บ้านลาดกุดยางใหญ่”) ได้กลายเป็นเมืองการศึกษาในอีสานตอนกลาง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการยกฐานะเมืองเป็นจังหวัดไม่เพียงแต่ช่วยให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นระบบ แต่ยังถือเป็นการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมให้เติบโตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันอีกด้วยดังนั้น “ชื่อเก่า” ของเมืองอีสานจึงไม่ได้เป็นแค่ความทรงจำท้องถิ่นเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเมืองเล็กๆ ที่พึ่งพาธรรมชาติและภูมิศาสตร์ สู่การเป็นจังหวัดที่มีบทบาทเชื่อมโยงเศรษฐกิจระดับภูมิภาค อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของผู้คนในแต่ละถิ่น ที่แม้ชื่อเมืองจะเปลี่ยนไป แต่รากเหง้าและตัวตนของชุมชนก็ยังคงปรากฏในวิถีชีวิตของชาวอีสานจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง   ทำไมถึงต้อง “อีสาน” คำว่า “อีสาน” มีรากมาจากภาษาสันสกฤตว่า “อีศาน” ซึ่งหมายถึงพระศิวะ เทพผู้ประจำทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ราวพุทธศตวรรษที่ 11 คำนี้ถูกใช้ทั้งในชื่อรัฐ “อีศานปุระ” และพระนามกษัตริย์ “อีศานวรมัน” ก่อนจะแผลงเป็นรูปบาลีว่า “อีสาน” ที่ภาษาไทยนำมาใช้เรียกภูมิภาคแห่งนี้ต่อมา ดังนั้น “อีสาน” จึงไม่ใช่เพียงชื่อภูมิศาสตร์ แต่ยังสะท้อนรากเหง้าทางวัฒนธรรมและคติความเชื่อของผู้คนด้วยนั่นเอง อย่างไรก็ตาม “คนอีสาน” ไม่ได้หมายถึงชนชาติหนึ่งโดยตรง แต่เป็นชื่อที่ใช้เรียกผู้คนในภูมิภาคนี้ซึ่งมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมร่วมกัน อัตลักษณ์ของคนอีสานจึงเกิดจากการผสมผสานของชนหลายกลุ่มทั้งคนดั้งเดิมและผู้คนที่อพยพเข้ามาในช่วงเวลาต่าง ๆ จนก่อรูปเป็นเครือข่ายเครือญาติทางภาษาและวัฒนธรรมที่สลับซับซ้อน หากย้อนกลับไปกว่า 5,000 ปี พื้นที่อีสานมีคนพื้นเมืองดั้งเดิมตั้งถิ่นฐานอยู่แล้ว หลักฐานทางโบราณคดีที่ภูเวียง จังหวัดขอนแก่น แสดงให้เห็นการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และการตั้งบ้านเรือนมาแต่โบราณ คนพื้นเมืองเหล่านี้แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือ พวกที่สูง ซึ่งทำไร่เลื่อนลอยแบบ “เฮ็ดไฮ่” ใช้ไฟเผาป่าและหยอดเมล็ดพืชโดยไม่ไถพรวน มีผลผลิตจำกัด แต่ชำนาญการถลุงโลหะ ส่วนพวกที่ราบนั้นตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ มีความรู้ด้านการจัดการน้ำเพื่อเกษตรกรรม ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์เกินพอก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนจนพัฒนาจากหมู่บ้านไปสู่เมืองและรัฐ ต่อมาเริ่มมีผู้คนจากภายนอกเคลื่อนย้ายเข้ามา จนผสมกลมกลืนกับคนพื้นเมือง ราว 3,000 ปีก่อน

ก่อนเป็นจังหวัด อีสานมีชื่อที่ถูกลืม! พาย้อนเวลาเบิ่ง “ชื่อเก่า” ที่คนท้องถิ่นเองยังไม่เคยรู้ อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนรอยเบิ่ง ค่ายอพยพผู้ลี้ภัย และความเจ็บปวดที่เขมรแดงฝากไว้ให้คนไทย

ความโหดร้ายของเขมรแดงและผลกระทบต่อไทย หากเอ่ยถึงโศกนาฏกรรมทางประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่มีเหตุการณ์ใดสะเทือนใจเท่ากับยุคเขมรแดงในกัมพูชา ระหว่างปี พ.ศ. 2518-2522 ภายใต้การนำของพลพต กัมพูชาถูกผลักเข้าสู่การทดลองทางอุดมการณ์ที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในศตวรรษที่ 20 รัฐบาลปฏิวัติยกเลิกเงินตรา ห้ามเทคโนโลยี และกวาดต้อนผู้คนจากเมืองไปทำเกษตรแบบยังชีพในชนบท ทำให้มีประชากรกว่า 2 ล้านคน เสียชีวิตจากความอดอยาก การทำงานหนักเกินมนุษย์ และการสังหารหมู่โดยรัฐ การสูญเสียครั้งนั้นไม่เพียงพรากชีวิต แต่ยังทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจและทุนมนุษย์ของกัมพูชาอย่างมหาศาล ผลกระทบของเขมรแดงไม่ได้หยุดอยู่แค่ภายในพรมแดนกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นภัยคุกคามต่อประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศไทย ในปี 2520 เพียงปีเดียว เขมรแดงบุกโจมตีชายแดนไทยกว่า 400 ครั้ง หนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนใจที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2520 ที่อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสระแก้ว) เมื่อทหารเขมรแดงบุกฆ่าล้างหมู่บ้านชาวไทยถึง 21 คน เผาบ้านเรือน ข่มขืน และทำลายชุมชนอย่างป่าเถื่อน เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้รัฐไทยต้องเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงและขยายกำลังทหารเพื่อรับมือกับภัยคุกคาม ส่งผลให้พื้นที่ทางเศรษฐกิจในแนวชายแดนจำนวนมากถูกทิ้งร้าง ที่สำคัญสงครามและความอดอยากทำให้ชาวกัมพูชาหลั่งไหลเข้ามายังชายแดนไทย ในปี 2518 มีผู้อพยพเพียง 17,000 คน แต่เมื่อเวลาผ่านไปถึงปี 2522 ตัวเลขพุ่งขึ้นเป็นกว่า 137,000-200,000 คน ผู้ลี้ภัยจำนวนมากอิดโรยจากความหิวโหย ต้องนำทองคำและเงินตรามาแลกอาหารกับชาวบ้านไทย แต่ขณะเดียวกัน ไทยก็ต้องแบกรับภาระทางสาธารณสุขและความมั่นคงจำนวนมหาศาล เพราะเขมรแดงได้ฝังทุ่นระเบิดไว้ตามแนวชายแดน ทิ้ง “มรดกสงคราม” ที่คร่าชีวิตผู้คนไปอีกหลายสิบปีนั่นเอง จึงเกิดเป็นการตั้งค่ายผู้ลี้ภัยมากถึง 18 ค่าย อย่างเช่น ไซต์ทูและไซต์ทรี ซึ่งบางแห่งมีผู้อพยพหลายหมื่นคนจนกลายเป็น “เมืองเศรษฐกิจเฉพาะกิจ” ที่มีการค้าขาย ตลาดอาหาร และแรงงานราคาถูก อย่างไรก็ตาม ค่ายผู้ลี้ภัยก็สร้างผลกระทบทางลบ โดยเฉพาะต่อโบราณสถาน ไม่ว่าจะเป็นปราสาทสด๊กก๊อกธม ที่ถูกใช้เป็นแหล่งน้ำและเชื้อเพลิงจนเกิดความเสียหายทางวัฒนธรรมอย่างใหญ่หลวง ขณะเดียวกันงบประมาณที่ไทยต้องใช้ในการดูแลผู้อพยพก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2523 เพียงปีเดียว รัฐบาลไทยใช้งบประมาณมากถึง 20.9 ล้านบาท แม้ได้รับการสนับสนุนจาก UNHCR แต่ไทยก็ยังต้องเป็นผู้แบกรับต้นทุนหลักดังกล่าว ตลอดเวลากว่าสองทศวรรษ ไทยต้องอยู่กับวิกฤตผู้อพยพที่ไม่เพียงเป็นปัญหาความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังเป็นทั้งภาระและโอกาสทางเศรษฐกิจ  ไทยเสียโอกาสจากพื้นที่เกษตรและการท่องเที่ยวในชายแดนที่ถูกทำลายจากสงครามและทุ่นระเบิด แต่อีกในมุมมอง การที่ไทยยื่นมือช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกลับยกระดับภาพลักษณ์ประเทศในเวทีโลก ทำให้ได้รับการยอมรับในฐานะประเทศที่มีบทบาทสร้างสันติภาพและมนุษยธรรมในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวันที่ 3 มีนาคม 2536 ผู้อพยพกลุ่มสุดท้ายจำนวน 199 คน ได้กลับประเทศจากศูนย์อพยพเขาอีด่าง จังหวัดสระแก้ว ถือเป็นการปิดฉากมหากาพย์การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยกัมพูชาของไทยที่ยาวนานเกือบ 20 ปี ประวัติศาสตร์ช่วงนี้สะท้อนให้เห็นว่า อุดมการณ์ที่สุดโต่งสามารถทำลายชาติหนึ่งชาติได้อย่างสิ้นเชิง และยังส่งแรงสะเทือนข้ามพรมแดนมาสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย   อ้างอิงจาก: – LUEhistory.com   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business

พาย้อนรอยเบิ่ง ค่ายอพยพผู้ลี้ภัย และความเจ็บปวดที่เขมรแดงฝากไว้ให้คนไทย อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top