เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 บริเวณช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เกิดเหตุความตึงเครียดระหว่างหน่วยปฏิบัติการของทั้งสองฝ่ายในช่วงเวลากลางวัน โดยสื่อรายงานเหตุการณ์ว่าเวลาประมาณ 12.03 น. ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธปืนกลมือและเครื่องยิงลูกระเบิดยิงเข้ามายังแนวป้องกันของไทย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ฝั่งไทยจะมีการตอบโต้ด้วยอาวุธชนิดเดียวกันและสถานการณ์คลี่คลายลงในประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา อย่างไรก็ตาม เพจอย่างเป็นทางการของกองทัพบกได้ออกแถลงการณ์ว่าเป็นการ “ยิงยั่วยุ” จากฝั่งกัมพูชา และยืนยันว่าไทยไม่ได้เปิดการปะทะในเชิงยุทธศาสตร์ พร้อมขอให้ประชาชนเชื่อถือข้อมูลจากช่องทางทางการเท่านั้น
พฤติกรรมการใช้ปืนกลและเครื่องยิงลูกระเบิดในช่วงเวลากลางวัน รวมทั้งการตั้งกล้องบันทึกภาพบริเวณฐานปฏิบัติการ ของกัมพูชานั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการปะทะครั้งนี้อาจมีเป้าประสงค์ทางการประชาสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างภาพเหตุการณ์สาธารณะหรือไม่? ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่าเป็นความพยายาม “สร้างเงื่อนไข” ให้สอดคล้องกับการเดินทางของคณะสังเกตการณ์ระหว่างประเทศ (IOT) แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ชายแดนในตอนนี้ไม่ได้เป็นเพียงการปะทะเชิงทหารเท่านั้น แต่ยังผูกโยงกับการต่อสู้ในมิติสื่อและการเมืองระหว่างประเทศ
โดยเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ก็ส่งผลกระทบในระดับท้องถิ่นที่ชัดเจน ชุมชนชายแดน/ตลาดชายแดน พ่อค้าแรงงานรายวัน เกษตรกรที่นำผลผลิตมาจำหน่าย และผู้ประกอบการขนส่ง จะได้รับผลกระทบทันทีจากการชะงักของกิจกรรมการค้าข้ามพรมแดน การปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว หรือการจำกัดการสัญจรของประชาชนย่อมทำให้รายได้วันต่อวันลดลง โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดเล็กและแรงงานนอกระบบซึ่งมีสภาพคล่องน้อย ผลกระทบเหล่านี้แม้จะไม่นำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจระดับชาติ แต่สำหรับชุมชนชายแดนแล้วสามารถแปลเป็นการสูญเสียทางรายได้ และแรงกดดันต่อการดำรงชีพภายในพื้นที่ได้ทันทีนั่นเอง
ระยะเวลาของความตึงเครียดและระดับการบานปลายเป็นตัวกำหนดขนาดของความเสียหาย หากเหตุการณ์คลี่คลายเร็วและการสื่อสารทางการเป็นไปอย่างโปร่งใส ผลกระทบจะจำกัดอยู่ที่การชะงักชั่วคราวของการค้าและการท่องเที่ยวท้องถิ่น แต่หากมีการปะทะซ้ำหรือยืดเยื้อ จะเกิดค่าใช้จ่ายทางการทหารที่เพิ่มขึ้น งบประมาณท้องถิ่นต้องถูกเบียดบังไปสู่การรักษาความปลอดภัย การลงทุนหรือโครงการพัฒนาพื้นที่จะชะลอหรือลดขนาด นอกจากนี้ความไม่แน่นอนที่ยาวนานย่อมเพิ่ม “ความเสี่ยง” ทำให้ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศชะลอการตัดสินใจในโครงการที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ใกล้ชายแดน ส่งผลต่อการจ้างงานและการเติบโตของเศรษฐกิจระดับภูมิภาคนั่นเอง
เหตุการณ์ช่องอานม้าที่เกิดขึ้นเมื่อ 27 กันยายน 2568 แม้จะมีลักษณะจำกัดวง แต่สะท้อนความเปราะบางของพื้นที่ชายแดนที่ผูกโยงกันทั้งมิติทหาร สื่อสาร และเศรษฐกิจ ผลกระทบทางเศรษฐกิจแม้จะเน้นหนักในระดับท้องถิ่น แต่หากปล่อยให้ความไม่แน่นอนสะสมก็ย่อมขยายเป็นปัญหาระดับภูมิภาคได้ การสร้างความรัดกุมด้านความมั่นคง การสื่อสารเชิงรับผิดชอบ และมาตรการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับชุมชนชายแดน จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ต่อไป
อ้างอิงจาก:
– กองทัพบก ทันกระแส
– ประชาชาติธุรกิจ
– ข่าวช่อง8
– PPTVHD 36
ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่
https://linktr.ee/isan.insight
#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ช่องอานม้า #ชายแดนไทยกัมพูชา #กัมพูชา