‘สามเหลี่ยมมรกต อุบลราชธานี’ ชายแดนสามเส้า ไทย – ลาว – กัมพูชา กับแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่บรรลุผล

หลังเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาในช่วงวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ณ บริเวณพื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทำให้ประเด็นข้อพิพาทเรื่องดินแดนของทั้ง 2 ประเทศได้รับการพูดถึงมากขึ้นในช่วงนี้ โดยพื้นที่ช่องบกนี้ เป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ “สามเหลี่ยมมรกรต” รอยต่อระหว่างประเทศไทย – ลาว – กัมพูชา โดยบทความนี้ อีสาน อินไซต์ จะพามาสำรวจเรื่องราวของพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งเต็มไปด้วยนัยยะทางประวัติศาสตร์ การเมือง และเศรษฐกิจที่หลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อน 

 

สามเหลี่ยมมรกตคืออะไร?

หลายคนคงรู้จัก ‘สามเหลี่ยมทองคำ’ ซึ่งเป็นพื้นที่บรรจบกันระหว่างชายแดนไทย – ลาว – เมียนมา แต่ก็ยังมีอีกพื้นที่ชายแดนสามเส้า ที่กำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในช่วงนี้อย่าง ‘สามเหลี่ยมมรกต’  (Emerald Triangle) หรือ ช่องบก ครอบคุลมพื้นที่ประมาณ 12 ตร.กม.  เป็นจุดบรรจบของสามประเทศ ได้แก่

  • ประเทศไทย: อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
  • สปป.ลาว: เมืองมูนปะโมก แขวงจำปาสัก
  • กัมพูชา: อำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหาร

ในอดีตประมาณ 40 ปีก่อนนั้น พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นความขัดแย้งทางอุดมการณ์และการสู้รบอย่างดุเดือดช่วงสงครามเย็น โดยเฉพาะ สมรภูมิช่องบก

ภาพ สามเหลี่ยมมรกต – อุทยานแห่งชาติภูจองนายอย

จากชายแดนเงียบสงบ สู่สมรภูมิร้อนของสงครามอินโดจีนครั้งที่สาม

ในช่วงสงครามเย็น ช่องบกไม่ได้เป็นเพียงเส้นเขตแดนทางภูมิศาสตร์ แต่กลายเป็นแนวหน้าในสงครามอุดมการณ์ระหว่างโลกทุนนิยมกับสังคมนิยม พื้นที่นี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่กองทัพเวียดนามใช้เป็นทางผ่านในการไล่ล่ากลุ่มเขมรแดงที่ถอยร่นมาจากกัมพูชาเข้าเขตไทย โดยกองทัพเวียดนามได้ก้าวล่วงเข้ามายังเขตแดนอธิปไตยของไทยเป็นระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร ตามรายงาน เป้าหมายคือ ตีโอบวงกว้าง เพื่อตัดการลำเลียงยุทธปัจจัยและป้องกันไม่ให้เขมรแดงวิ่งกลับเข้าไทยแล้วย้อนกลับกัมพูชา

ซึ่งในขณะนั้นกองทัพของเวียดนามมีความเชี่ยวชาญในยุทธวิธีเป็นอย่างมาก ประกอบกับมีระบบโลจิสติกส์และเส้นทางลำเลียงที่เชื่อมโยงกับ สปป.ลาว ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิด และอาวุธที่สหรัฐอเมริกาเหลือทิ้งไว้ก็ทำให้เวียดนามมีความได้เปรียบเป็นอย่างมาก 

ทหารไทย ภายใต้การบัญชาการของกองกำลังสุรนารี (กองทัพภาคที่ 2) เข้าต่อต้านการรุกล้ำของเวียดนาม ซึ่ง เกิดการสู้รบอย่างหนักบริเวณ ช่องบก – เนิน 500 – แนวชายแดนไทย-กัมพูชา จ.อุบลราชธานีการปะทะกันระหว่างทหารเวียดนามและกองทัพไทยในพื้นที่ช่องบกเกิดขึ้นอย่างดุเดือดในช่วงปี พ.ศ. 2528 – 2530 

แม้ไทยจะประสบความสำเร็จในการขับไล่กองทัพเวียดนาม และทางเวียดนามได้ถอนกองกำลังออกจากกำพูชาอย่างเป็นทางการในปี 2530 แต่การประทะกันในครั้งนั้นก็ส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก (รายงานอย่างไม่เป็นทางการรายงานว่าทหารไทยเสียชีวิต 109 – 200 นาย บาดเจ็บ 600 กว่านาย) และรัฐไทยในเวลานั้น หลีกเลี่ยงการเปิดเผยรายละเอียด เนื่องจากผลลัพธ์ไม่ใช่ชัยชนะเด็ดขาด และอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

 

ความพยายามพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตที่ไม่บรรลุผล

หลังสงครามอินโดจีนสิ้นสุดลง ปี พ.ศ. 2532 พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้น ได้ประกาศคำขวัญ  “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ซึ่งสะท้อนการปรับยุทธศาสตร์ระดับชาติจากการป้องกันภัยสงคราม มาเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับเพื่อนบ้านหลังสงครามเย็น 

พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อปี 2540 (ภาพจาก AFP PHOTO/Pornchai KITTIWONGSAKUL)

พื้นที่ช่องบกซึ่งเคยเป็นสมรภูมิร้อนกลับถูกตั้งเป้าใหม่ให้กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของไทย ลาว และกัมพูชา ภายใต้ชื่อว่า “สามเหลี่ยมมรกต” โดยคำว่า ‘มรกต’ (Emerald) สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์และคุณค่า มีนัยบวกเพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของพื้นที่ที่เคยเป็นสนามรบในอดีต ให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความหวัง โอกาสทางการค้า และความร่วมมือระดับภูมิภาค

ภายใต้นโยบายของรัฐไทยและกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Greater Mekong Subregion: GMS) รัฐบาลไทยร่วมกับรัฐบาลลาวและกัมพูชาได้กำหนดพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตให้เป็นหนึ่งใน “กลุ่มจังหวัดเป้าหมาย” เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดนกับโครงข่ายระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก–ตะวันตก (East – West Economic Corridor) โดยมีโครงการสำคัญ อาทิ

  • การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่ง เช่น แผนก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 6 (นาตาล–ละคอนเพ็ง)
  • การพัฒนาด่านการค้าชายแดน เช่น ช่องเม็ก (อ.สิรินธร), ช่องอานม้า (อ.น้ำยืน)
  • การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในพื้นที่สมรภูมิช่องบก และการอนุรักษ์ความทรงจำผ่านอนุสรณ์สถาน

ทั้งนี้ ภาครัฐยังพยายามกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อบูรณาการความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ การค้าชายแดน และการบริการด้านสาธารณสุขให้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในบริบทของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

แม้จะมีความพยายามอย่างจริงจังจากภาครัฐ แต่แผนพัฒนาพื้นที่ สามเหลี่ยมมรกต ดังกล่าวดูจะไม่ประสบความสำเร็จในแง่ของเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับอีกพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงอย่าง สามเหลี่ยมทองคำ 

สาเหตุที่การส่งเสริมเศรษฐกิจบริเวณสามเหลี่ยมมรกต ไม่ประสบความสำเร็จ

เนื่องมาจากความท้าทายหลายประการ ได้แก่

 

  • ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน

พื้นที่ช่องบกยังขาดระบบคมนาคมและสาธารณูปโภคพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับศูนย์กลางเศรษฐกิจในจังหวัด ไม่ใช่แค่ฝั่งไทย ทาง สปป.ลาว และกัมพูชาเองก็ขาดถนนหนทางที่สะดวกเข้ามายังพื้นที่เช่นเดียวกัน ทำให้ไม่สามารถรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ 

 

  • ข้อพิพาทและความไม่ชัดเจนด้านเขตแดน

พื้นที่บางส่วน เช่น ช่องอานม้า ยังไม่สามารถยกระดับเป็นด่านถาวรได้ เนื่องจากปัญหาการปักปันเขตแดนที่ยังตกลงกันไม่ได้ระหว่างไทย – กัมพูชา

ช่องบก (ภาพกองทัพบก)

  • ความไม่สอดคล้องระหว่างรัฐกับภาคเอกชน

ภาครัฐมุ่งเน้นพัฒนาเฉพาะจุดชายแดน ขณะที่ภาคเอกชนเสนอว่าควรขยายการพัฒนาไปยังเมืองใกล้เคียงที่มีศักยภาพด้านบริการและตลาดแรงงาน เช่น อ.เดชอุดม

เริ่มแล้ว!.นิคมอุตสาหกรรมอุบลราชธานี อ.เดชอุดม ก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน งบประมาณ 5,000 ล้านบาท หากแล้วเสร็จตำแหน่งงานมากกว่า 20,000 อัตรา

 

นอกจากนั้นพื้นที่ชายแดนสามเส้าแห่งนี้มีภาพลักษณ์ที่สีเทา เนื่องจากเคยเป็นเขตขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย โดยเฉพาะ ไม้เถื่อน รวมไปถึงการเคยมีระเบิดถูกฝังอยู่ที่อาจจะยังไม่ถูกเก็บกู้ นอกจากนี้ แม้ว่าพื้นที่แห่งนี้จะมีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติเป็นอย่างมาก แต่กรมป่าไม้ของไทยยังแสดงความเห็นว่าไม่สมควรจะส่งเสริมให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งท่องเที่ยวเนื่องจากส่งผลกระทบต่อธรรมชาติ

 

ความตึงเครียดจากเหตุปะทะ ช่องบก จะกระทบเศรษฐกิจระหว่าง 2 ประเทศอย่างไร?

 

ตามสถิติการค้าปี ค.ศ.2024 กัมพูชาส่งออกสินค้ามูลค่ากว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มายังประเทศไทย ในขณะที่ไทยส่งออกสินค้ามายังกัมพูชามากกว่า 5.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่า การส่งออกของไทยเกินมูลค่าของกัมพูชามากกว่า 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้เพียงปีเดียว กัมพูชาส่งออกสินค้ามูลค่ากว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มายังประเทศไทย ขณะที่ไทยส่งสินค้ามูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มายังกัมพูชา

กัมพูชา ที่ยังต้องการดึงกระแสชาตินิยม และอาศัยเครื่องมือการเจรจาระหว่างประเทศเป็น ศาลโลก ในขณะที่ ไทย ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 หลังสิ้นสุดคดีความตัดสิน “เขาพระวิหาร” และจะใช้เวทีเจรจาระหว่างประเทศ JCB ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่กัมพูชาเป็นเจ้าภาพ แม้กัมพูชาจะยืนยันจะไม่คุยเรื่องพื้นที่เขตแดน และจะคุยเฉพาะเหตุการณ์การปะทะที่ช่องบก เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เท่านั้น

ทางทีมงานก็คงได้แต่รอติดตามสถานการณ์ต่อไป ว่า ไทย จะเลือกใช้มาตรการใดบ้างในการกดดัน กัมพูชา ให้ยอมเจรจาต่อไป….และเศรษฐกิจสามเหลี่ยมมรกตจะดำเนินไปในทิศทางไหนในสมรภูมิทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้ง 3 ประเทศ ก็เป็นเรื่องที่ทั้ง 3 ประเทศร่วมมือกันเท่านั้นจึงจะสำเร็จได้

 

สรุป

พื้นที่ช่องบก หรือที่รู้จักในชื่อ ‘สามเหลี่ยมมรกต’ เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีนัยสำคัญทั้งในมิติทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ แม้ภาครัฐของทั้งสามประเทศจะได้พยายามส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่ชายแดนมาอย่างต่อเนื่อง หากแต่ข้อจำกัดเชิงโครงสร้างและความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ได้ส่งผลให้กระบวนการพัฒนาชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้น ความตึงเครียดและข้อพิพาทชายแดนที่ปะทุขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ อาจสะท้อนถึงแนวโน้มการถดถอยของความร่วมมือในเขตสามเหลี่ยมมรกตอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่?

 

ที่มา

ไฟใต้เถ้าแห่งพรมแดน กรณีปะทะไทย–กัมพูชา “ช่องบก” พาย้อนรอยร้าวประวัติศาสตร์ข้อพิพาทชายแดน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top