จาก
กาแฟแพง สู่ ทุเรียนถูก
เวียดนามล้มกาแฟโรบัสต้า ปลูกทุเรียนหวังส่งออก กลับต้องเผชิญกับทุเรียนล้นตลาดราคาถูก
เวียดนาม กาแฟแพง ทุเรียนถูก ทั้ง 2 เหตุการณ์นี้อาจมีความเกี่ยวข้องกัน และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่
เหตุการณ์ทั้งสองมีนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากเป็นผลพวงที่ต่อเนื่องกัน เนื่องจากแรงจูงใจในการปลูกทุเรียนที่เพิ่มขึ้น โดยได้อานิสงค์จากความนิยมอย่างมากในตลาดส่งออก โดยเฉพาะตลาดจีน ทำให้ทุเรียนเป็นที่ต้องการในตลาดส่งออก และการได้รับการยอมรับในตลาดจีนผลักดันให้ราคาทุเรียนเวียดนามอยู่คงในระดับสูงพอสมควรและมีแนวโน้มทำกำไรได้ดีกว่าการปลูกพืชอื่นๆ รวมถึงกาแฟโรบัสต้าที่ราคาอาจไม่จูงใจเท่า
.
จากข้อมูลของ กรมการผลิตพืช สังกัดกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท ของเวียดนามพบว่า ในปี 2023 เวียดนามมีพื้นที่ปลูกทุเรียนรวมประมาณ 131,000 เฮกตาร์ โดยเพิ่มขึ้นกว่า 20% ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี สะท้อนถึงแนวโน้มการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกหรือแม้กระทั้งการลดการปลูกกาแฟ เพื่อหันไปปลูกทุเรียนมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ในภูมิภาค Central Highlands ที่เป็นพื้นที่หลักที่เป็นแหล่งเพาะปลุกกาแฟของเวียดนาม แต่ปัจจุบันมีการปลุกทุเรียนมากขึ้น และกลายเป็นพื้นที่หลักที่เป็นแหล่งปลูกทุเรียน ด้วยสัดส่วน 40.4% ของพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนทั้งหมดในประเทศ และการปลูกทุเรียนยังเป็นที่นิยมในพื้นที่อื่นๆ พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong River Delta) 36.4% ภาคตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast) 19.4% และชายฝั่งตอนใต้ตอนกลาง (South Central Coast) 5.6%
การที่เวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ลดปริมาณการผลิตลง ส่งผลให้ปริมาณกาแฟโรบัสต้าในตลาดโลกลดน้อยลง และเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ราคากาแฟมีการปรับตัวขึ้น
ผลกระทบต่อตลาดทุเรียน: การที่เกษตรกรจำนวนมากพร้อมใจกันเปลี่ยนมาปลูกทุเรียนในช่วงเวลาใกล้เคียงกันทั่วประเทศเวียดนาม (และใช้เวลาหลายปีกว่าต้นทุเรียนจะให้ผลผลิตเต็มที่) ทำให้ในที่สุด ปริมาณผลผลิตทุเรียนในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว ผลผลิตที่ล้นตลาดนี้มีปริมาณมากกว่าความต้องการของตลาดส่งออก (โดยเฉพาะตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดหลัก) และตลาดภายในประเทศ
* ภาวะทุเรียนล้นตลาดและราคาตก: เมื่ออุปทานทุเรียนมีมากกว่าอุปสงค์อย่างมาก ผู้ขายจึงต้องแข่งขันกันระบายสินค้าที่เน่าเสียง่ายออกไป ทำให้ต้องลดราคาลงอย่างหนัก จนเกิดภาวะ “ทุเรียนล้นตลาดราคาถูก” อย่างที่พบเห็นในปัจจุบัน
✅สรุปคือ: การที่เกษตรกรเวียดนามจำนวนมากตัดสินใจทิ้งการปลูกกาแฟโรบัสต้าที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าในขณะนั้น เพื่อไปปลูกทุเรียนตามกระแสราคาดี คือ สาเหตุ ที่นำไปสู่ ผลลัพธ์ สองประการพร้อมๆ กันในช่วงเวลาที่ต่างกัน คือ
- ราคาโรบัสต้าในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น (จากอุปทานที่ลดลง)
- หลังจากผ่านไปหลายปี ทุเรียนที่ปลูกใหม่จำนวนมหาศาลก็ออกสู่ตลาดพร้อมกัน ทำให้อุปทานล้นเกินและราคาทุเรียนตกต่ำลงอย่างมาก
มันคือวัฏจักรของพืชผลทางการเกษตรที่มักเกิดขึ้น เมื่อราคาสินค้าเกษตรชนิดใดดี เกษตรกรจำนวนมากจะหันไปปลูก ทำให้ในอีกไม่กี่ปีต่อมาผลผลิตล้นตลาดและราคาตก จากนั้นเกษตรกรอาจจะหันไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ราคากำลังดีแทน วนเวียนไปเช่นนี้
ผลจากกาแฟโรบัสต้าที่ผลิตลดลง กลับส่งผลดีต่อเกษตรกรที่เพาะปลูกกาแฟในไทย
การที่เวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ลดปริมาณการผลิตลง ส่งผลให้ปริมาณกาแฟโรบัสต้าในตลาดโลกลดน้อยลง และเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ราคากาแฟมีการปรับตัวขึ้น ประกอบกับการส่งออกของกาแฟบราซิลที่ลดลง และความต้องการในตลาดที่สูง ทำให้ราคากาแฟในช่วงต้นปี 2025 มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในช่วงต้นปี แต่เริ่มปรับตัวลงเล็กน้อยในเดือนเมษายนเนื่องจากการเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวของทั้งเวียดนามและบราซิล
ผลจาก กาแฟโรบัสต้า ส่งผลดีต่อเกษตรกรชาวไทยที่เพาะปลูกกาแฟเป็นอย่างมาก เพราะ ในขณะที่ผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ราคาตกต่ำ แต่กาแฟโดยเฉพาะโรบัสต้ากับมีราคาพุ่งสูงขึ้นเกือบเทียบเท่ากับสายพันธุ์อาราบิก้า ที่ก่อนหน้านี้มีราคามากกว่า 60-80% แต่ตอนนี้ปรับตัวในราคาที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะเกษตรกรภาคเหนือ ส่วนใหญ่ปลูกพันธุ์อาราบิก้าในที่สูง และปลูกโรบัสต้าในที่ราบลุ่มแม่น้ำระหว่างภูเขา
ส่วนภาคอีสานบริเวณจังหวัดเลย, โคราชกาแฟวังน้ำเขียว, และพื้นที่อีสานใต้ เนื่องจากภาคอีสานมีพื้นที่ราบสูง แต่ก็ไม่สูงมากพอจะเพาะปลูกพันธุ์อาราบิก้า จึงต้องปลูกพันธุ์โรบัสต้าที่เหมาะสมกับภูมิประเทศ และภูมิอากาศ ทำให้ได้ผลดีจาก การกำลังการผลิตกาแฟโรบัสต้า ในตลาดโลกลดลงเพราะเวียดนามที่ถือว่าเป็นผู้ส่งออกกาแฟอันดับ 2 ของโลกรองจากบราซิล ลดลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับความต้องการการบริโภคกาแฟที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี
ฮู้บ่ว่า❓ครั้งหนึ่งจีนเคยนำเข้าทุเรียนสดทั้งหมดจากไทยเพียงประเทศเดียว แต่ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี ทุเรียนจากเวียดนามได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ และกลายเป็นคู่แข่งหลักของไทย โดยครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 42%
ในขณะเดียวกันความต้องการทุเรียนในตลาดที่มีสูงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดจีนที่เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ของโลก เป็นผลให้เวียดนามเริ่มหันมารุกตลาดดังกล่าวมากขึ้น โดยสะท้อนผ่านส่วนแบ่งการตลาดของจีน ที่เคยนำเข้าทุเรียนปริมาณมากจากไทยเพียงเจ้าเดียว แต่ด้วยระยะเวลาเพียง 3 ปี ทุเรียนจากเวียดนามได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ และกลายเป็นคู่แข่งหลักของไทย โดยเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 2022 เป็น 32% และล่าสุดแตะระดับ 42% ส่งผลให้ไทยซึ่งเคยเป็นผู้ส่งออกรายเดียวต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของทุเรียนไทย
และด้วยอัตราการผลิตที่สูงขึ้น ประกอบกับอุปสงค์ที่มีจำกัดทั้งในตลาดภายในประเทศ และตลาดส่งออกที่ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่แข็งแรงอย่างประเทศไทย เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวที่ทำให้มีผลผลิตในตลาดปริมาณมาก และการระบายสินค้าที่เป็นผลไม้สดที่มีระยะเวลาจำกัด ส่งผลให้ราคาของทุเรียนมีการปรับตัวลดลง จนอาจเกิดเป็นสภาวะทุเรียนล้นตลาด
จากข้อมูลจะพบว่า ส่วนแบ่งการตลาดในการนำเข้าทุเรียนของจีน ที่สัดส่วนการนำเข้าจากไทยลดลง มีแนวโน้มที่จะไม่ได้เกิดจากปริมาณการนำเข้าที่ชะลอตัว แต่อาจเกิดจากการหันไปเพิ่มการนำเข้าทุเรียนจากเวียดนามเพิ่มขึ้น หรือแม้กระทั่งโอกาสที่อุปทานของการปลูกทุเรียนในไทย ที่อาจเริ่มถึงจุดอิ่มตัว
ซึ่งในอนาคตการแข่งขันในตลาดทุเรียนอาจยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ด้วยจุดแข็งด้านคุณภาพ และชื่อเสียงของทุเรียนไทยในตลาดต่างประเทศ ซึ่งอาจเป็นกำแพงที่ทุเรียนเวียดนามต้องเผชิญ
ความท้าทายของการปลูก ทุเรียน ที่แตกต่างจากพืชอื่นๆ
อีกหนึ่งข้อท้าทายของเกษตรกรเวียดนาม ที่หันมาปลูกทุเรียนมากขึ้น คือเรื่องของคุณภาพของทุเรียน และกรรมวิธีในการเพาะปลูกทุเรียนที่มีความเฉพาะและยุ่งยากมากกว่ากาแฟ เนื่องจากทุเรียนเป็นพืชที่อ่อนไหวต่อสภาวะอากาศดินและน้ำ เช่นในบางฤดูเกิดความแห้งแล้งต้นอาจจะกำลังตายก็เตรียมตัวจะผลัดผลทิ้งทันที หรือในบางปีฝนเยอะเกินไปทำให้ลูกทุเรียนที่ออกและดอกทุเรียนที่ออกนั้นร่วงหมดจนไม่ติดผล
ด้วยเหตุนี้ทุเรียนจึงถือเป็นพืชปราบเซียน ที่แม้เวียดนามจะใช้สายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับไทย หรือสายพันธุ์ที่พัฒนาต่อยอด ก็ยังต้องเผชิญกับสภาวะอากาศของประเทศเวียดนามที่ติดกับชายฝั่งของทะเลอินโดจีนและมีพายุกระหน่ำมากกว่าประเทศไทย ซึ่งนอกจากการเพาะปลูกเพื่อควบคุมปริมาณผลผลิตแล้ว ยังต้องควบคุมคุณภาพเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาด เช่นกัน
แม้ไทยจะยังคงเป็นผู้นำในการส่งออกทุเรียนไปจีน และมีจุดแข็งในการแข่งขันมากกว่า แต่การแข่งขันจากเวียดนามทำให้ไทยต้องปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับคุณภาพสินค้า การพัฒนาเทคโนโลยีการเก็บรักษาเพื่อขยายช่วงเวลาส่งออก และการทำตลาดเชิงรุกเพื่อรักษาฐานลูกค้าในจีน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดทุเรียนจีนกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และผู้ส่งออกไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในอนาคต
ทุเรียนเวียดนามบุกตลาดจีน คู่แข่งสำคัญของไทยในเวลาเพียง 3 ปี
ทุเรียนเวียดนามส่งออกไปไทยมากถึง 26% ของส่งออกรวม
.
🚚ยอดส่งออกทุเรียนของเวียดนามไตรมาสแรกปีนี้ลดลงจากปีก่อนถึง 53% ในแง่ปริมาณน้ำหนัก เนื่องจากจีนลดการซื้อลงแต่กระนั่นตัวเลขการส่งออกหลักของเวียดนามยังเป็นประเทศจีน ถึง 51% ของภาพรวม ลำดับสองทุเรียนเวียดนามส่งไปไทย 26% และลำดับสามส่งไปฮ่องกง 11% ราคาเฉลี่ยสามเดือนแรกปีนี้ 3,655 USD/ตัน, ต่ำกว่าปีก่อน 18%
.
🤔เป็นที่น่าแปลกใจว่าไทยและเวียดนามต่างเป็นผู้ผลิตทุเรียนเหมือนกันแต่มีทุเรียนเวียดนามส่งไปไทยแล้วถึง 26% ของการส่งออกรวม
ที่มา: https://nguoiquansat.vn/gia-sau-rieng-di-trung-quoc-giam-manh-hagl-doi-mat-bai-toan-giu-bien-loi-nhuan-cho-vua-sau-2-000ha-219615.html
จับทุเรียนเวียดนาม 40 ตันสวมไทย
แหล่งข่าวจากวงการส่งออกทุเรียนเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 68 ทางการไทยได้จับกุมทุเรียนเวียดนามขนส่งทางเรือเข้ามายังประเทศไทย แม้จะมีหลักฐานชัดเจนว่ามีการขออนุญาตถูกต้องในการนำเข้าเนื้อทุเรียนแกะมาทางท่าเรือแหลมฉบัง แจ้งว่าจะนำเข้าโรงงานแช่แข็งที่ จ.ระยองแต่มาฝากแช่ไว้ที่โกดังไม้ยางพารา อ.แกลง จ.ระยอง ที่เจ้าของเป็นคนจีนก่อน แต่ไม่มีเอกสารแสดงการเคลื่อนย้ายมาสำแดง
… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/local-economy/news-1816806