ทองโลกขยับ ร้านทองยิ้มหวาน คนไทยแห่ซื้อไม่พัก

ในช่วงเวลาที่ราคาทองคำโลกผันผวนหนักที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ภาพที่เกิดขึ้นในประเทศไทยกลับสะท้อนความตื่นตระหนกของนักลงทุนได้อย่างชัดเจน “ยิ่งแพง คนยิ่งแห่ซื้อลงทุน เพื่อขายเอากำไร”
ห้างทองแน่นเต็มไปด้วยผู้คนที่มาต่อคิวซื้อ-ขายทองคำ จนล้นออกมานอกร้าน โดยเฉพาะทองคำแท่งที่มียอดความต้องการพุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ จนโรงงานผลิตไม่ทัน และต้องรอการนำเข้าจากต่างประเทศหลายวัน

ในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัซ จำกัด เป็นธุรกิจที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศขึ้นนำ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่มีรายได้ 1,848 ล้านบาท จากกระแสทองคำโลกที่มีการปรับราคาขึ้นจากภาวะสงครามที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ทำให้ผู้คนหันมาซื้อทองกันมากขึ้น

นาย จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ราคาทองคำในช่วงนี้ถือว่าสูงผิดปกติและคาดเดาทิศทางได้ยาก ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ราคาจะขยับถึง 31 ครั้งภายในวันเดียว จนแตะระดับ 67,200 บาทต่อบาททองคำ ความผันผวนดังกล่าวทำให้นักลงทุนจำนวนมากแห่เข้าซื้อทองคำในฐานะ “ทรัพย์สินที่ปลอดภัย” โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากภาวะ FOMO (Fear of Missing Out) หรือ “กลัวตกรถ” จนทองคำกลายเป็น “สินทรัพย์ที่ต้องมี” ของนักลงทุนแทบทุกกลุ่ม

แรงหนุนทองคำจากวิกฤตโลก

การพุ่งขึ้นของราคาทองคำไม่ได้มาจากแรงเก็งกำไรเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากคลื่นปัจจัยเสี่ยงระดับโลกที่ซ้อนทับกัน ทำให้ทองคำกลับมามีบทบาทในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) อย่างเต็มตัว หนึ่งในปัจจัยหลัก คือ ความไม่เชื่อมั่นในเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ทำให้นักลงทุนทั้งรายย่อย รายใหญ่ และแม้แต่ธนาคารกลางหลายประเทศ หันมาซื้อทองคำเพื่อถือครองแทนเงินดอลลาร์

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่หนุนราคาทองคำให้พุ่งขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่

  • นโยบายการเงินของ Fed: ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางถึงปลายปี 2568 เพื่อพยุงเศรษฐกิจจากภาวะชะลอตัว การลดดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง และหนุนราคาทองคำให้สูงขึ้น โดยเฉพาะหากเงินเฟ้อยังทรงตัวในระดับสูง
  • วิกฤต Government Shutdown: วิกฤตรัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการ (Government Shutdown) ที่ยืดเยื้อมากกว่า 2 สัปดาห์ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเร่งให้นักลงทุนแห่หาสินทรัพย์ปลอดภัย
  • สงครามการค้าสหรัฐฯ – จีน: ความตึงเครียดระหว่างสองชาติมหาอำนาจกลับมาปะทุอีกครั้ง โดยจีนตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติเหลว น้ำมัน และรถยนต์บางประเภท พร้อมสัญญาณว่าอาจลดการพึ่งพาดอลลาร์ ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงลบต่อค่าเงินดอลลาร์
  • กระแส De-dollarization: ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะจีนและรัสเซีย เดินหน้าซื้อทองคำเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการถือครองดอลลาร์ การสะสมทองคำของภาครัฐจึงกลายเป็นแรงหนุนสำคัญที่พยุงราคาทองคำในตลาดโลก

ความกังวลเรื่อง “ฟองสบู่ทองคำ”

การปรับขึ้นของราคาทองคำในปี 2568 อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ทองคำ” รอบใหม่ โดยเฉพาะเมื่อแรงซื้อส่วนใหญ่ในตอนนี้ถูกขับเคลื่อนด้วย โมเมนตัม (Momentum-driven Buying) มากกว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจจริง หากความเชื่อมั่นเปลี่ยนไป ก็อาจเกิดแรงขายอย่างรุนแรงในระยะสั้น ด้านเทคนิคยังบ่งชี้ว่าทองคำอยู่ในภาวะ Overbought (ซื้อมากเกินไป) ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดอาจเกิดการ “พักฐาน” ได้ทุกเมื่อ

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่าแนวโน้มระยะกลางถึงยาวของทองคำยังเป็น “ขาขึ้น” โดยมีแรงหนุนที่มั่นคงจากหลายด้าน เช่น

  • แรงซื้อเชิงกลยุทธ์: ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะจีนและอินเดีย ยังคงสะสมทองคำต่อเนื่อง
  • ทิศทางดอกเบี้ยขาลง: ความคาดหวังว่า Fed จะลดดอกเบี้ยเป็นแรงหนุนสำคัญให้ดอลลาร์อ่อนค่า
  • สินทรัพย์กระจายความเสี่ยง: ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ ปริมาณจำกัด และป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ดี

ดังนั้น การปรับฐานในรอบนี้อาจเป็นเพียงช่วงพักตัวเพื่อสะสมกำลัง มากกว่าการแตกฟองสบู่ครั้งใหม่

ตลาดเกิดใหม่รับอานิสงส์ ราคาทองพุ่งหนุนเศรษฐกิจแข็งแกร่ง

ในขณะที่นักลงทุนจากประเทศพัฒนาแล้วเผชิญความไม่แน่นอนจากวิกฤต ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) กลับได้รับอานิสงส์จากราคาทองคำที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง

  • เงินทุนไหลเข้า: การอ่อนค่าของดอลลาร์และภาวะการเงินโลกที่ผ่อนคลาย ช่วยดึงดูดเงินทุนเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ ซึ่งมีสินทรัพย์ที่เชื่อมโยงกับทองคำสูง
  • ฐานะการคลังแข็งแกร่งขึ้น: ประเทศที่เป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ได้รับผลบวกจากราคาที่เพิ่มขึ้น ทำให้มูลค่าทรัพย์สินในคลังของรัฐสูงขึ้นและสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติ

ตัวอย่างที่โดดเด่น

  • แอฟริกาใต้: ตลาดหุ้นกำลังเข้าสู่ปีที่ดีที่สุดในรอบ 20 ปี หุ้นเหมืองทองรายใหญ่พุ่งขึ้นกว่า 3 เท่าในปีเดียว ขณะที่ Goldman Sachs ประเมินว่าศักยภาพของภาคเหมืองทองจะยังหนุนผลตอบแทนได้ต่อเนื่อง
  • กานา: ในฐานะผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดของแอฟริกา ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตจาก Moody’s Ratings จากรายได้ส่งออกทองที่เติบโต และค่าเงิน “เซดี (cedi)” แข็งค่ากว่า 38% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในโลกปีนี้

คาดการณ์ราคาทองปี 2568 – 2569

จากแรงขับเคลื่อนทั้งหมดนี้ นักวิเคราะห์หลายสำนักจึงได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำในปี 2568 อย่างมีนัยสำคัญ นาย จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี ประเมินว่า ราคาทองคำโลกอาจแตะ 4,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และราคาทองคำในไทยอาจพุ่งแตะ 70,000 บาทต่อบาททองคำ ภายในสิ้นปี 2568

หากราคาทองคำโลกขยับถึง 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ค่าเงินบาทอยู่ในช่วง 34–35 บาทต่อดอลลาร์ ราคาทองคำไทยก็มีโอกาสแตะระดับ 50,000 บาทต่อบาททองคำ หรือสูงกว่านั้น ขณะเดียวกัน ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง Goldman Sachs ก็ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำในเดือนธันวาคม 2569 ขึ้นไปถึง 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

อ้างอิง

ประชาชาติธุรกิจ, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, AURORA, Matichon Online, Thai PBS,Thairath Money, THE STANDARD WEALTH

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top