August 2024

เพราะเหตุใด? การลงทุนของจีน🇨🇳ในไทย🇹🇭 หรือการเข้ามาทำธุรกิจของจีนในไทย ถึงเป็นเรื่องที่น่ากังวลกว่าชาติอื่นๆ🇮🇳🇺🇲🇯🇵🇰🇷

การที่ธุรกิจจีนได้รับการจับตามองและก่อให้เกิดความกังวลในหมู่ผู้ประกอบการไทยนั้น เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากปัจจัยหลายประการที่ซับซ้อนและเกี่ยวเนื่องกัน แม้ว่าการลงทุนในประเทศไทยทั้งค่าจ้างแรงงาน ค่าเช่า ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าประเทศอื่น แต่นักลงทุนยังคงสนใจเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในไทยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากศักยภาพด้านแรงงานไทยที่มีคุณภาพ และในภูมิภาคนี้ไทยคือคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของจีน จึงทำให้นักลงทุนจีนเข้ามาเปิดตลาดที่ใหญ่กว่า และเชื่อว่าคุ้มกับการลงทุน คลิกอ่านบทความก่อนหน้า มหาอำนาจ จีนกำลังลงทุนอะไรในอีสาน? จากบทสัมภาษณ์ตัวอย่างผู้ประกอบในอีสานของ ISAN Insight and Outlook พอจะสรุปสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยกังวลต่อการเข้ามาแข่งขันของธุรกิจ และการเข้ามาลงทุนของจีนในประเทศไทย และภาคอีสาน ดังนี้ การแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง: ธุรกิจจีนมักเข้ามาพร้อมกับทรัพยากรที่แข็งแกร่ง ทั้งในแง่ของเงินทุน เทคโนโลยี และประสบการณ์ ทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาด ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายย่อยและรายกลางในประเทศ ราคาถูกต้นทุนต่ำ: จากข้อได้เปรียบจาก Economy of Scale การทุ่มตลาดด้วยราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน ด้วยสายป่านที่ยาวจะทำให้สงครามราคาจีนได้รับชัยชนะ ก่อนกินส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่ และควบคุมราคาขึ้น-ลง ได้ในภายหลังเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างที่ขาดทุนก่อนหน้า การนำระบบและซัพพลายเออร์จากจีนมาด้วย: การไม่พึ่งพา ห่วงโซ่อุปทาน(supply chain)ของประเทศที่เข้าไปลงทุน เช่น รถยนต์ญี่ปุ่นตั้งโรงงานประกอบในไทย อะไหล่ กระจก พลาสติก ล้วนพึ่งพาซัพพลายเออร์ในไทย รวมถึงสร้างงานและการจ้างงานให้คนในประเทศ แต่ธุรกิจจีนพึ่งพาตัวเองสูง และลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์ในประเทศคู่ลงทุน เช่น เครื่องดื่ม นำเข้าวัตถุดิบจากจีน เครื่องจักรจากจีน และอาจมีการจากงานแรงงานต่างด้าวเป็นหลัก ทำให้เกิดความกังวลในการใช้ทรัพยากรของประเทศไทยแต่ผลตอบแทนในเชิงเศรษฐกิจไม่คุ้มค่า และทำให้ SME และซัพพลายเออร์ในไทยได้รับผลกระทบ การเข้าซื้อกิจการและการควบรวมกิจการ: การที่ธุรกิจจีนเข้ามาซื้อกิจการของบริษัทไทยในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการผูกขาดตลาด การสูญเสียทรัพย์สินทางปัญญา และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ: การลงทุนของธุรกิจจีนในปริมาณมากอาจส่งผลให้โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจนำมาซึ่งทั้งโอกาสและความท้าทายใหม่ ๆ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการทำงาน: ความแตกต่างทางวัฒนธรรมในการทำธุรกิจและการบริหารจัดการองค์กร อาจเป็นอุปสรรคในการปรับตัวและทำงานร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการไทยและจีน แต่ที่น่ากลัวกว่าทุนจีนอย่างถูกกฎหมาย คือ การระบาดของทุนจีนเทา ที่เกิดจากการปราบปรามในจีนแผ่นดินใหญ่ จนทำให้เกิดการหลบหนี และย้ายถิ่นการตั้งสำนักงานมาในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะไทยที่มีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและครบครัน ตัวอย่างกลุ่มอาณาจักร มาดูธุรกิจทุนจีน 10 อันดับ ได้แก่ 1. ทัวร์ศูนย์เหรียญ พามาเที่ยว มากิน มาซื้อจากร้านจีนด้วยกันเอง 2.สถานบันเทิงจีน 3. พนันออนไลน์จีน 4. อสังหาทุนจีน หมู่บ้านจีน 5. เงินกู้นอกระบบ 6. ขอทานจีนก็มา..ได้เดือนละหลายหมื่น 7. วีซ่าผิดกฎหมาย ล่าสุดเห็นพี่จีนขายสัญชาติกันแล้ว 8. ผลิตสินค้าปลอม อันนี้ถนัดเรียกว่าปลอมแท้จริง 9. ขนส่งศูนย์เหรียญที่ทำให้ขนส่งไทยจอดนอนตายรอไฟแนนซ์มายึด 10. คอลเซ็นเตอร์จีน อย่างไรก็ตาม การมองธุรกิจจีนในแง่ลบเพียงอย่างเดียวอาจไม่ครอบคลุมภาพรวมทั้งหมด การเข้ามาของธุรกิจจีนก็ได้นำมาซึ่งโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยี การสร้างงาน และการขยายตลาดส่งออก เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของตนเอง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจที่เหมาะสม นอกจากนี้ รัฐบาลควรมีนโยบายที่ส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาธุรกิจของคนไทยควบคู่ไปกับการเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ

พามาเบิ่ง “แรมซาร์ไซต์”  พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศในภาคอีสาน🏔️🌳🍃

“พื้นที่ชุ่มน้ำ” ว่าคืออะไร? มื้อนี้ ISAN Insight & Outlook สิมาเว้าสู่ฟัง …    แรมซาร์ไซต์หรือพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศนี้ ถือเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นตัวแทนหายากหรือมีลักษณะพิเศษเฉพาะ ซึ่งพบในเขตชีวภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม มีความสำคัญระหว่างประเทศสำหรับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับชนิดพันธุ์และชุมชนประชากรทางนิเวศของนกน้ำและปลา ภายใต้อนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) หรืออนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งเป็นอนุสัญญาที่จัดขึ้นที่เมืองแรมซาร์ ประเทศอิหร่านในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2514    อนุสัญญาฯ นับเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาลเพื่อกำหนดกรอบการทำงานสำหรับความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2518 และเพื่อให้เกิดความตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ มีการกำหนดให้ทุกวันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นวันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก (World Wetlands Day)   ในประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำกว่า 15 พื้นที่ที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (Ramsar Sites) โดยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอยู่ทั้งหมด 3 แห่งด้วยกัน ได้แก่   พื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง📍จังหวัดบึงกาฬ ขึ้นทะเบียนเมื่อ 5 กรกฎาคม 2544 ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นลำดับที่ 1,098 ของโลก เป็นบึงน้ำจืดธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่มีขนาดพื้นที่รวมกว่า 13,837.5 ไร่ ตั้งแต่ตำบลบ้านต้อง, ตำบลโสกก่าม อำเภอเซกา และ ตำบลบึงโขงหลง, ตำบลโพธิ์หมากแข้ง อำเภอบึงโขงหลง มีลักษณะแคบยาวเกิดจากลำห้วยหลายสายไหลมารวมกันน้ำมีความยาวประมาณ 13 กิโลเมตร ความกว้าง 2 กิโลเมตร ในบึงมีความลึกโดยเฉลี่ยประมาณ 0.5 – 1 เมตร โดยส่วนที่ลึกสุดประมาณ 6 เมตร บึงโขงหลงเป็นส่วนที่ราบน้ำท่วมถึงของแม่น้ำสงคราม น้ำจากบึงไหลลงสู่แม่น้ำสงครามก่อนออกแม่น้ำโขง   ปัจจุบันพื้นที่การเกษตรโดยรอบมีการเปลี่ยนแปลงเป็นสวนยางพารา ไร่ยาสูบ และสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 3.12 ล้านบาท/ปี โดยจำแนกเป็นมูลค่าจากการประมง 1.73 ล้านบาท/ปี การท่องเที่ยว 0.19 ล้านบาท/ปี และการบริการ 1.20 บาท/ปี     พื้นที่ชุ่มน้ำกุดทิง📍จังหวัดบึงกาฬ ขึ้นทะเบียนเมื่อ 19 มิถุนายน 2552 ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นลำดับที่ 1,926 ของโลก ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง ที่มีขนาดพื้นที่รวม 13,750 ไร่ เป็นแหล่งธรรมชาติที่มีความสำคัญมีคุณค่าการใช้ประโยชน์ด้านเป็นแหล่งประกอบอาชีพและการท่องเที่ยว ได้แก่ ด้านการประมง จัดเป็นแหล่งประมงปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดของชาวบึงกาฬ สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนปีละจำนวนมาก ด้านการปศุสัตว์ เนื่องจากเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ของพืชอาหารและน้ำเหมาะสำหรับการเลี้ยงโคและกระบือด้วยวิธีธรรมชาติ ด้านการเกษตร พื้นที่เป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดต่างๆ ปัจจุบันพื้นที่โดยรอบบางส่วนมีการทำสวนยางพารามากขึ้น และด้านการท่องเที่ยว มีสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณโดยรอบ ได้แก่ หลวงพ่อใหญ่ วัดโพธาราม ศาลเจ้าแม่สองนาง หาดทรายตามริมน้ำโขง หนองกุดทิง และหนองบึงกาฬ …

พามาเบิ่ง “แรมซาร์ไซต์”  พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศในภาคอีสาน🏔️🌳🍃 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🥇🥈🥉ความภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ 🇹🇭 สุดยอดนักกีฬาผู้พิชิตเหรียญ โอลิมปิก 2024 และ สรุปผลการแข่งขัน #โอลิมปิก2024

พามาเบิ่ง🥇🥈🥉ความภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ 🇹🇭สุดยอดนักกีฬาผู้พิชิตเหรียญ โอลิมปิก 2024 . สรุปผลการแข่งขัน #โอลิมปิก2024 ขอขอบคุณนักกีฬาไทย ผู้ฝึกสอน และผู้อยู่เบื้องหลังทุกคน ที่สร้างผลงานและชื่อเสียงให้ประเทศไทยในมหกรรมโอลิมปิก 2024 ทุกคนเก่งมาก 👏👏 🥇1 เหรียญทอง 🥈3 เหรียญเงิน 🥉2 เหรียญทองแดง ยินดีกับนักกีฬาทุกคนที่คว้าเหรียญรางวัล 🥇🥈🥉และส่งกำลังใจให้นักกีฬาที่ไม่ได้เหรียญรางวัล คุณเก่งมากๆ เดินหน้าพัฒนาต่อไป เพื่อคนที่คุณรักและแฟนกีฬาทุกคน . 🥋เทควันโด 🥇พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ // เหรียญทอง 👏บัลลังก์ ทับทิมแดง // ตกรอบ 16 คนสุดท้าย 👏ศศิกานต์ ทองจันทร์ // ตกรอบชิงเหรียญทองแดง รอบแรก _____________________________________________________________________ 🥊มวยสากล 🥉จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง (66 กก.หญิง) // เหรียญทองแดง 👏ธิติสรรณ์ ปั้นโหมด (51 กก.ชาย) // ตกรอบ 16 คนสุดท้าย 👏บรรจง สินศิริ (63 กก.ชาย) // ตกรอบ 8 คนสุดท้าย 👏วีระพล จงจอหอ (80 กก.ชาย) // ตกรอบ 32 คนสุดท้าย 👏จุฑามาศ รักสัตย์ (50 กก.หญิง) // ตกรอบ 8 คนสุดท้าย 👏จุุฑามาศ จิตรพงศ์ (54 กก.หญิง) // ตกรอบ 16 คนสุดท้าย 👏ธนัญญา สมนึก (60 กก.หญิง) // ตกรอบ 32 คนสุดท้าย 👏ใบสน มณีก้อน (75 กก.หญิง) // ตกรอบ 16 คนสุดท้าย _____________________________________________________________________ 🏋️‍♂️ยกน้ำหนัก 🥈ธีรพงศ์ ศิลาชัย (61 กก.ชาย) // เหรียญเงิน 🥈วีรพล วิชุมา (73 กก.ชาย) // เหรียญเงิน 🥉สุรจนา คำเบ้า (49 กก.หญิง) // เหรียญทองแดง 👏ดวงอักษร ใจดี (+81 กก.หญิง) …

พามาเบิ่ง🥇🥈🥉ความภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ 🇹🇭 สุดยอดนักกีฬาผู้พิชิตเหรียญ โอลิมปิก 2024 และ สรุปผลการแข่งขัน #โอลิมปิก2024 อ่านเพิ่มเติม »

มหาอำนาจ จีนกำลังลงทุนอะไรในอีสาน?

จับตา “ทุนจีน”รุกหนัก สร้างนอมินีถือหุ้นลงทุนและเดินเกมทุ่มตลาด หากไทยยังไม่ตื่นตัวจะไม่ทันการณ์ นักวิชาการแนะเร่งพัฒนาทักษะแรงงานสู้ ผลิตสินค้าที่จีนยังไม่มีและทำไม่ได้ ผศ.ประเสริฐ วิจิตรนพรัตน์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการและวางแผน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น การเข้ามาลงทุนในไทยของ 2 ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา และจีนนั้น ผศ.ประเสริฐ วิจิตรนพรัตน์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการและวางแผน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มองว่า ส่วนใหญ่การเข้ามาลงทุนของทั้ง 2 ประเทศจะอยู่ในพื้นที่การท่องเที่ยว พื้นที่อุตสาหกรรม โดยเฉพาะจีน เลือกลงทุนในพื้นที่ท่องเที่ยวเป็นหลัก เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ในรูปแบบของร้านอาหาร ทัวร์และที่พัก เป็นต้น ขณะที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาลงทุนในด้านเทคโนโลยีเป็นหลัก “ภาคอีสานจะต่างออกไป ตลาดการท่องเที่ยวที่ยังไม่โดดเด่น พื้นที่การลงทุนที่เข้ามาเป็นปกติมีแต่เดิมอยู่แล้ว เพิ่มเติมจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการค้าการลงทุน คือ จังหวัดขนาดใหญ่ จังหวัดติดชายแดน และจังหวัดที่มีรถไฟเชื่อมต่อไปยังประเทศอื่น ๆ การเข้ามาลงทุนในภาคอีสานจึงมาในรูปแบบภาคการผลิต เช่น โรงงานน้ำตาล การขนส่ง บรรจุภัณฑ์ ที่มีความเชื่อมโยงการโครงสร้างของเศรษฐกิจอีสาน การลงทุนของอเมริกาและจีนจะลงทุนต่างกัน อเมริกาเน้นการลงทุนด้านเทคโนโลยี แต่มูลค่าการลงทุน ก็ยังไม่มากเมื่อเทียบกับภูมิภาคหรือประเทศอื่น ผศ.ประเสริฐ ยังบอกอีกว่า กระแสการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาตินั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจจะทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบ บางส่วนอาจยุติปิดกิจการ ผู้ประกอบการไทยหายไป ถือเป็นปรากฎการณ์กลไกด้านการแข่งขัน แต่สิ่งสำคัญคือ ผู้ประกอบการไทยต้องมีการปรับตัวทั้งด้านสินค้า บริการ และต้องหาวิธีเพิ่มมูลค่าสินค้า ไม่เน้นการแข่งเรื่องราคา พัฒนาสินค้าให้มีความเฉพาะ มีความพิเศษ การรักษามาตรฐานสินค้า การบริการหลังการขาย เป็นต้น เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในสินค้าเกิดการใช้ต่อ ใช้ซ้ำ และรักษาคุณภาพสินค้า ส่วนในระยะยาวผู้ประกอบการต้องมีการวางแผนทั้งการคิดค้นวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มีความชัดเจนเชิงยุทธศาสตร์แต่ละจังหวัด “นอกจากผู้ประกอบการไทยแล้ว หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ควรมีมาตรการรองรับช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย โดยในระยะสั้นควรเข้ามาดูแลความเหมาะสมของการเข้ามาลงทุนว่ามีความเป็นธรรมหรือไม่ ออกแบบการลงทุนในระหว่างที่มีการเตรียมตัว ในระยะยาวหากปล่อยให้ผู้ประกอบการไทยจัดการกันเอง จะทำให้โดดเดี่ยว สู้ไม่ไหว และล้มหายออกจากระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวม ควรผลักดันผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้เข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในธุรกิจ” แม้ว่าการลงทุนในประเทศไทยทั้งค่าจ้างแรงงาน ค่าเช่า ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าประเทศอื่น แต่นักลงทุนยังคงสนใจเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในไทยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากศักยภาพด้านแรงงานไทยที่มีคุณภาพ และในภูมิภาคนี้ไทยคือคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของจีน จึงทำให้นักลงทุนจีนเข้ามาเปิดตลาดที่ใหญ่กว่า และเชื่อว่าคุ้มกับการลงทุน ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในปี 2566 ประเทศไทยมีมูลค่าการร่วมลงทุนกับนักลงทุนจีนรวมกว่า 916,475 ล้านบาท แล้วรู้หรือไหมว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีมูลค่าการร่วมลงทุนกับนักลงทุนจีนมากแค่ไหน?.โดยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเรามีมูลค่าการร่วมลงทุนกับนักลงทุนจีนกว่า 6,551 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.7% ของมูลค่าการร่วมลงทุนกับนักลงทุนจีนทั้งหมดในประเทศ.   5 อันดับจังหวัดที่มีมูลค่าการร่วมลงทุนกับนักลงทุนจีนมากที่สุด – นครราชสีมา มีมูลค่าการร่วมลงทุนกับนักลงทุนจีนกว่า 2,271 ล้านบาท– กาฬสินธุ์ มีมูลค่าการร่วมลงทุนกับนักลงทุนจีนกว่า 828 ล้านบาท– อุบลราชธานี มีมูลค่าการร่วมลงทุนกับนักลงทุนจีนกว่า 793 ล้านบาท– อุดรธานี มีมูลค่าการร่วมลงทุนกับนักลงทุนจีนกว่า 534 ล้านบาท– เลย มีมูลค่าการร่วมลงทุนกับนักลงทุนจีนกว่า 525 ล้านบาท …

มหาอำนาจ จีนกำลังลงทุนอะไรในอีสาน? อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง “สุราท้องถิ่นแดนอีสาน” มีมากแค่ไหนในแต่ละจังหวัด

“สุรา” ก้าว(หน้า)ไปทางไหน ? . “สุราก้าวหน้า” เป็นโยบายที่หวังสร้างรายได้ขยายการเติบโตของ SME รายย่อยของไทย โดยการแก้ พ.ร.บ.สรรพสามิต เปิดทางให้การผลิตเหล้าเบียร์ทำได้อย่างเปิดกว้างมากขึ้น ลดการผูกขาดของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ซึ่งอาจจะช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับผู้ประกอบการรายย่อย สร้างเม็ดเงินให้กับประเทศ และสามารลดการผูกขาดธุรกิจสุราในกลุ่มนายทุนใหญ่เพียงไม่กี่กลุ่ม . . สุรากลั่นท้องถิ่นในภาคอีสาน . รายได้และการจำหน่ายสุรากลั่นท้องถิ่นมีความสัมพันธ์อย่างมากกับการท่องเที่ยว เนื่องจากรูปแบบการจัดจำหน่ายที่ยังถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่ผู้ผลิตเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการจำหน่ายหน้าร้านโดยตรง การจำหน่ายในลักษณะนี้จำกัดโอกาสในการเข้าถึงตลาดกว้างขวาง อีกทั้งการผลิตสุรากลั่นท้องถิ่นยังคงไม่สามารถผลิตในปริมาณมากและมีราคาที่ถูกกว่าสุรากลั่นจากแบรนด์ใหญ่ในตลาดได้ ส่งผลให้ตลาดสุรากลั่นท้องถิ่นยังไม่สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงได้ในเร็ว ๆ นี้ รายได้ของสุรากลั่นท้องถิ่นจึงยังคงขึ้นอยู่กับกระแสการบริโภคของนักดื่มเป็นหลัก นอกจากนี้ ความจำเป็นในการพัฒนารสชาติและการตลาดอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำเพื่อรักษาความน่าสนใจในตลาด แตกต่างจากแบรนด์ใหญ่ที่มีโอกาสติดตลาดได้ง่ายกว่าและสามารถจัดจำหน่ายได้อย่างทั่วถึง ซึ่งส่งผลให้แบรนด์ใหญ่มีรายได้ที่มั่นคงและสามารถคาดการณ์ได้มากกว่าสุรากลั่นท้องถิ่น . โดยสินค้าเกษตรที่นิยมนำไปใช้ผลิตสุรากลั่นในภาคอีสาน ได้แก่ ข้าวเหนียว และ อ้อย ซึ่งเป็นผลผลิตที่นิยมปลูกเป็นอย่างมากในภาคอีสาน ถ้าหากนำผลผลิตทางการเกษตรที่ไม่ได้ก่อให้เกิดมูลค่าส่งให้แก่โรงกลั่นเพื่อผลิตสุรากลั่นท้องถิ่นจะเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร . และธุรกิจสุรากลั่นท้องถิ่นจะส่งผลในทางบวกต่อ supply chian ทั้งต้นน้ำอย่างเกษตรกร และปลายน้ำอย่างร้านอาหารที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นหลัก . . ในปัจจุบันอุตสาหกรรมเบียร์ในบ้านเราเกือบทั้งหมดถูกครอบครองโดยผู้ผลิตรายใหญ่เพียง 2 รายเท่านั้น คือ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดยมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันราว 95% ของปริมาณจำหน่ายเบียร์ทั้งหมดในประเทศ  . ในขณะที่อุตสาหกรรมสุรา มีการแข่งขันที่น้อยกว่าเบียร์มาก เนื่องจากมีข้อจำกัดของกฎหมายที่ส่งผลให้ผู้ผลิตรายใหม่เข้าสู่ธุรกิจได้ยาก และถึงแม้จะเข้ามาได้ก็ไม่สามารถที่จะแข่งขันได้ ตลาดจึงถูกผูกขาดโดย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 80% ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีผลิตภัณฑ์สุราสำหรับตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกระดับกว่า 30 แบรนด์ . ปัจจุบัน ทิศทางของนโยบายสุราก้าวหน้ายังไม่แน่ชัดว่า ท้ายที่สุดจะไปทางไหน แต่ข้อกังวลและความท้าทายที่ละเลยไม่ได้ คือ การควบคุมการบริโภค โดยเฉพาะในเยาวชน รวมทั้งการติดตามและเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทย โดยเฉพาะการดื่มในระดับอันตราย การดื่มแล้วขับขี่ยานพาหนะ และผลกระทบทางสุขภาพระยะยาวที่อาจจะเป็นผลเกิดขึ้นตามมา จากการเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบทางสุขภาพกาย สุขภาพจิตและภาวะทางอารมณ์ รวมไปถึงสุขภาพสังคมด้วยเช่นกัน . . ในปัจจุบันสุราท้องถิ่นแดนอีสานมีการกระจายอยู่ทั่วภาคอีสาน ดังนี้ 📍กาฬสินธุ์ – พัวร์ (PUR) – สุราตรางูทอง 📍ขอนแก่น – คูน (Koon) 📍ชัยภูมิ – The Spirit of Chaiyaphum  – ไร่ฟ้าเปลี่ยนสี เหล้าเตยหอม  – Spirit of Laen kha 📍นครพนม – เหล้าอุเรณูนคร 📍นครราชสีมา – Red jungle  📍บุรีรัมย์ …

พามาเบิ่ง “สุราท้องถิ่นแดนอีสาน” มีมากแค่ไหนในแต่ละจังหวัด อ่านเพิ่มเติม »

เทียบโครงสร้างประชากรไทย ในอีก 20 ปีข้างหน้า ในวันที่คนไทยเหลือ 60 ล้านคน

ฮู้บ่ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเหลือประชากรเพียง 60 ล้านคนเท่านั้น . #โลกในขณะที่ประชากรโลกกำลังเพิ่มช้าลง จำนวนและสัดส่วนของประชากรสูงอายุกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในปี พ.ศ.2565 ทั่วทั้งโลกมีประชากรสูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มากถึง 1,109 ล้านคนคิดเป็นร้อยละ 14 ของประชากรโลก 8,000 ล้านคน . #อาเซียน ในปี พ.ศ.2565 มี 7 ใน 10 ของประเทศสมาชิกอาเซียนที่ก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” ที่มีสัดส่วนของประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินกว่าร้อยละ 10 เหลือเพียง 3 ประเทศได้แก่ลาวกัมพูชาและฟิลิปปินส์เท่านั้นที่ยังไม่เป็นสังคมผู้สูงอายุ . #ประเทศไทย ปี 2564 เป็นครั้งแรกที่อัตราการเกิดของเด็กไทยต่ำกว่าอัตราการตาย และอัตราการเกิดมีเเนวโน้มลดลงในทุกๆ ปีเเละคาดการณ์ว่าจะลดลงโดยไม่มีทีท่าจะเพิ่มขึ้น ผนวกกับอัตราการตายที่ลดลง ทำให้อัตราการเปลี่ยนเเปลงของประชากรตามธรรมชาติมีเเนวโน้มลดลงตามไปด้วย ซึ่งการที่อัตราการเปลี่ยนเเปลงของประชากรตามธรรมชาตินี้ลดลง ทำให้ประชากรในอนาคตจะมีอายุเฉลี่ยที่มากขึ้นเรื่อยๆ . จากวิถีชีวิตของหนุ่มสาวที่เปลี่ยนไป สถานะภาพทางสังคม และการศึกษาที่สูงขึ้น ผู้หญิงอยู่เป็นโสดมากขึ้น ทำงานนอกบ้านมากขึ้น แต่งงานช้าลง ความต้องการมีบุตรลดลง และผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์มีจำนวนน้อยลง ทำให้อัตราการเกิดลดต่ำลง และก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ #สังคมคนโสด โดยสัดส่วนคนโสดของประชากรวัยเจริญพันธุ์(อายุ 15-49 ปี) เป็นโสดกว่า 40.5% และหากเจาะจงเฉพาะ ช่วงอายุ 15-25 ปี เป็นโสดมากถึง 50.9% . ปัจจุบันสัดส่วนผู้สูงอายุของภาคกลาง และภาคเหนือ อยู่ในระดับสูง บางจังหวัดอยู่ในภาวะสังคมผู้สูงอายุ เกิน 25% ของประชากร . #อีสาน 𝗜𝗦𝗔𝗡 𝗣𝗼𝗽𝘂𝗹𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสานมีประชากรมากถึง 21.7 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ โดยภาคอีสานมีสัดส่วนเฉลี่ยรวมผู้สูงอายุกว่า 17.80% ของประชากรทั้งหมด และหากมองเทียบในระดับภูมิภาค ภาคอีสานมีสัดส่วนผู้สูงอายุน้อยเป็นรองเพียงภาคใต้เท่านั้น . ประเทศที่มีประชากรลดลง และเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เผชิญกับ ผลกระทบ ดังนี้ ด้านเศรษฐกิจ แรงงานลดลง: ส่งผลต่อภาคการผลิต ภาคบริการ เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว ขาดแคลนแรงงานทักษะสูง: ส่งผลต่อการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น: เงินบำนาญ สวัสดิการผู้สูงอายุ การบริโภคภายในประเทศลดลง: กำลังซื้อลดลง การออมและการลงทุนลดลง: กระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ . ด้านสังคม ปัญหาครอบครัว: ผู้สูงอายุอยู่คนเดียว ภาระดูแลผู้สูงอายุตกอยู่กับคนรุ่นหลัง ปัญหาสุขภาพ: โรคเรื้อรัง อุบัติเหตุ ปัญหาช่องว่างระหว่างวัย: ความเข้าใจ ความสัมพันธ์ ปัญหาอาชญากรรม: …

เทียบโครงสร้างประชากรไทย ในอีก 20 ปีข้างหน้า ในวันที่คนไทยเหลือ 60 ล้านคน อ่านเพิ่มเติม »

เปิดประวัติ “เวฟ” วีรพล วิชุมา หนุ่มพลังช้างจาก สุรินทร์ เหรียญเงินที่ 3 ของไทย จากยกน้ำหนักชาย รุ่น 73 กก.

ภาพจาก AFP/Miguel MEDINA“เวฟ” วีรพล วิชุมา จอมพลังไทย ยกผ่านแบบไร้ปัญหา   โดยผลงาน  “เวฟ” วีรพล ในระดับประเทศในปี 2020  คว้า 3 เหรียทอง ทั้งในการแข่งขัน EGAT ยุวชนชิงแชมป์แห่งประเทศไทย และในรายการ EGAT เยาวชนชิงแชมป์แห่งประเทศไทย ส่วนในปี 2021 คว้า 3 เหรียญทองในการแข่งขัน EGAT เยาวชนชิงแชมป์แห่งประเทศไทย ส่วนในระดับนานาชาติ ปี 2021 คว้า  3 เหรียญทอง ในศึกยกน้ำหนักยุวชนชิงแชมป์โลก ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ในปี 2022 คว้า 2 เหรียญทอง 1 เหรียญเงินในศึกยกน้ำหนักเยาวชนชิงแชมป์โลก รวมถึง 3 เหรียญทอง ในศึกยกน้ำหนักยุวชนชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ที่ประเทศอุซเบกิสถาน และอีก 3 เหรียญทองแดง ในศึกชิงแชมป์โลก ที่ประเทศโคลอมเบีย จากนั้นในปี 2023 คว้า 1 เหรียญทอง และ 1 เหรียญเงิน ในศึกชิงแชมป์เอเชีย ที่เมืองจินจู  ประเทศเกาหลีใต้ และคว้า 2 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน ในศึกชิงแชมป์โลกแห่งโลก ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย และล่าสุด เหรียญเงิน ในกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่เมืองหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน   ภาพจาก การกีฬาแห่งประเทศไทยวีรพล วิชุมา ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการมาโอลิมปิก 2024 ที่ฝรั่งเศส   โดยในโอลิมปิกครั้งแรก “เวฟ” วีรพล ก็สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการคว้าเหรียญเงิน ในรุ่น 73 กก.ชาย จากผลงานท่าสแนตช์ 148 กิโลกรัม คลีนแอนด์เจิร์ก 198 กิโลกรัม (ทำลายสถิติเยาวชนโลก) น้ำหนักรวม 346 กิโลกรัม “เวฟ” วีรพล จะมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ 10 ส.ค.2567 เป็นจอมพลังจาก จ.สุรินทร์ ก่อนจะคว้าเหรียญในโอลิมปิกหนนี้ได้สำเร็จ เขาเคยทำผลงานที่ยอดเยี่ยมมาแล้ว ด้วยการคว้า 2 เหรียญทอง และ 1 เหรียญเงิน จากยกน้ำหนักชิงชนะเลิศแห่งโลก ปี 2566 ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย “วีรพล” ยังเป็น เจ้าของเหรียญเงิน …

เปิดประวัติ “เวฟ” วีรพล วิชุมา หนุ่มพลังช้างจาก สุรินทร์ เหรียญเงินที่ 3 ของไทย จากยกน้ำหนักชาย รุ่น 73 กก. อ่านเพิ่มเติม »

บึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่ของประเทศไทยที่ไม่ธรรมดา

บึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่ของประเทศไทยที่ไม่ธรรมดา  เมืองส่งออกยางพารา สู่ดินแดนการท่องเที่ยวสายมู . . บึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่ของประเทศไทย ที่ทุกคนรู้กันว่าเป็นจังหวัดที่ 77 ของประเทศ โดยบึงกาฬก่อตั้งในปี 2554 ซึ่งถือว่าก่อตั้งมา 13 ปีแล้ว .  แต่รู้หรือไม่ว่าจังหวัดน้องใหม่จังหวัดนี้มีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับ 7 ของภาคอีสาน ซึ่งมากกว่าจังหวัดใหญ่ๆบางจังหวัดเสียอีก ถึงแม้มูลค่าทางเศรษฐกิจของจังหวัดบึงกาฬจะเป็นอันดับที่ 17 ของภาคอีสาน . ทำไมจังหวัดที่มีมูลค่าเศรษฐกิจอันดับที่ 17 ของภูมิภาค ถึงกลายเป็นจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวมากเป็นอันดับ 7 ในภาคอีสาน ? . อีสานอินไซต์จะพาไปเบิ่ง . . บึงกาฬ เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนสุดของไทย ซึ่งก่อตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติให้เป็นจังหวัดบึงกาฬ เมื่อปี พ.ศ. 2554 เป็นพื้นที่ที่แยกออกมาจาก อำเภอบึงกาฬ อำเภอเซกา อำเภอโซ่พิสัย อำเภอบุ่งคล้า อำเภอบึงโขงหลง อำเภอปากคาด อำเภอพรเจริญ และ อำเภอศรีวิไล จากการปกครองของจังหวัดหนองคาย ซึ่งถือว่าเป็นจังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย .  โดยบึงกาฬมีพื้นที่ 4,305 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับที่ 17 ของภาคอีสาน และมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 400,000 คน โดยจัดเป็นอันดับที่ 18 ของภูมิภาค . ถึงแม้จะเป็นจังหวัดที่มีประชากรเพียงไม่กี่แสนคน และมีมูลค่าเศรษฐกิจในอันดับที่ 17ของภาคอีสาน . แต่ถ้าหากลองมาดู รายได้ต่อหัวในปี 2565 จะพบว่า บึงกาฬ มีรายได้ต่อหัว 89,033 บาท เป็นรองเพียงแค่นครราชสีมา ขอนแก่น เลย หนองคาย อุดรธานี และนครพนม ซึ่งมากกว่าหลายๆจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าบึงกาฬ  . ปัจจัยที่ทำให้ บึงกาฬ มีรายได้ต่อหัวอยู่ในลำดับต้นๆของภูมิภาค มีตั้งแต่ – เป็นแหล่งเพาะปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมันที่สำคัญของภาคอีสาน – มีแหล่งท่องเที่ยวเกี่ยวกับความเชื่อและสายมูที่มีชื่อเสียง – มีชายแดนที่ติดกับประเทศลาว . . แหล่งเพาะปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมันที่สำคัญของภาคอีสาน เมื่อพูดถึงแหล่งเพาะปลูกยางพาราที่สำคัญของประเทศ ภาคอีสานของเราถือว่าเป็นแหล่งเพาะปลูกสำคัญภาคหนึ่ง จากการที่สามารถเพาะปลูกยางพาราได้ผลผลิตกว่า 1.3 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วน 27.7% ของผลผลิตยางพาราทั้งหมดในประเทศ โดยเป็นรองเพียงแค่ภาคใต้เท่านั้น . ซึ่งในปี 2565 จังหวัดบึงกาฬ ถือเป็นจังหวัดที่มีผลผลิตการเพาะปลูกยางพารามากทึ่สุดในภาคอีสาน อยู่ที่ 208,035 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 15.6% อีกทั้งมีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่สูงที่สุดในภาคอีสาน และสูงที่สุดของประเทศด้วย โดยมีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่อยู่ที่ 248 กิโลกรัม/ไร่ . และเมื่อดูสัดส่วนมูลค่าทางเศรษฐกิจ ภาคเกษตรกรรมมีมูลค่ามากที่สุด …

บึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่ของประเทศไทยที่ไม่ธรรมดา อ่านเพิ่มเติม »

‘ฟ่าง ธีรพงศ์ ศิลาชัย’ หนุ่มจอมพลังจาก ศรีสะเกษ กับเหรียญเงินในโอลิมปิก สมัยแรกของเขา

ทำความรู้จักกับ ธีรพงศ์ ศิลาชัย หลังจากคว้าเหรียญทองในการแข่งขันยกน้ำหนักชิงแชมป์โลก 2022 มาแล้ว ล่าสุดเป็นนักยกน้ำหนักชายคนแรกของไทยที่คว้าเหรียญเงินโอลิมปิกด้วย ประวัติ ฟ่าง ธีรพงศ์ ศิลาชัย ฟ่าง ธีรพงศ์ ทำผลงานที่ยอดเยี่ยมยกผ่านรวดทั้ง 6 ลิฟต์ สถิติที่ดีที่สุดของตัวเอง หลังจากเคยทำสถิติน้ำรวมของตัวเองดีที่สุดอยู่ที่ 299 กิโลกรัม ฟ่าง ธีรพงศ์ ศิลาชัย ในวัย 20 ก้าวสู่ 21 ปีเต็มในเดือนพฤศจิกายนนี้ จากเด็กน้อยบ้านนอกจากอีสานใต้ บ้านกระเบาเดื่อ ต.กระหวัน อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ฟ่างเติบโตมากับครอบครัวสู้ชีวิต พ่อขายขับรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง เร่ขายมะพร้าวน้ำหอมลูกละไม่กี่บาท ไม่แปลกใจหลังฟ่าง ธีรพงศ์ ศิลาชัย คว้าเหรียญเงิน โอลิมปิก 2024 การแข่งขันกีฬายกน้ำหนัก โอลิมปิก 2024 รุ่น 61 กิโลกรัม ด้วยการยกท่าสแนทช์ 132 กิโลกรัม ท่าคลีนแอนด์เจิร์ก 171 กิโลกรัม ทำให้ได้น้ำหนักรวม 303 กิโลกรัม ซึ่งบอกว่า จะเอาเงินไปสร้างบ้านให้พ่อ เหตุเพราะชีวิตลำบากมาเยอะ ธีรพงศ์ ศิลาชัย เริ่มต้นเส้นทางการแข่งขันยกน้ำหนักระดับยุวชนครั้งแรกในรายการกีฬานักเรียนนักศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 39 ขุนด่านเกมส์ ที่จังหวัดนครนายก เมื่อปี 2561 โดยลงแข่งขันในรุ่นน้ำหนัก 50 กิโลกรัมชาย เขายกได้ 90 กิโลกรัมในท่าสแนตช์ และ 115 กิโลกรัมในท่าคลีนแอนด์เจิร์ก รวมน้ำหนักทั้งหมดที่ยกได้ 205 กิโลกรัม ทำให้เขาคว้าเหรียญทองในการแข่งขันครั้งนี้ไปครอง ในขณะที่ยังเป็นนักยกน้ำหนักยุวชน ธีรพงศ์ ศิลาชัย คว้าเหรียญทองในการแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทย เมื่อปี 2563 ณ จังหวัดนครสวรรค์ และปี 2564 ณ จังหวัดเชียงใหม่ ยกได้ 100 กิโลกรัมในท่าสแนตช์ และ 134 กิโลกรัมในท่าคลีนแอนด์เจิร์กรวม 234 กิโลกรัมในปี 2563 ทำลายสถิติประเทศไทยในท่าคลีนแอนด์เจิร์กและน้ำหนักรวม และยกได้ 106 กิโลกรัมในท่าสแนตช์และ 125 กิโลกรัมในท่าคลีนแอนด์เจิร์กรวม 231 กิโลกรัม ในปี 2564 ในช่วงที่ยังเป็นนักยกน้ำหนักเยาวชน เขาได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 47 ในรุ่นน้ำหนัก 55 กิโลกรัม และสามารถคว้าได้ 3 เหรียญทอง (สแนตช์, คลีนแอนด์เจิร์ก และน้ำหนักรวม) ในปี 2565 ธีรพงศ์ ศิลาชัย ได้เข้าร่วมการแข่งขันยกน้ำหนักชิงแชมป์โลก 2022 เป็นครั้งแรก และสร้างผลงานอันน่าทึ่งด้วยการคว้าเหรียญทองในรุ่นน้ำหนัก 55 กิโลกรัม โดยสามารถยกน้ำหนักรวมได้ 265 กิโลกรัม ซึ่งเป็นการทำลายสถิติโลกเยาวชนทั้งในท่าคลีนแอนด์เจิร์กที่ 148 กิโลกรัม …

‘ฟ่าง ธีรพงศ์ ศิลาชัย’ หนุ่มจอมพลังจาก ศรีสะเกษ กับเหรียญเงินในโอลิมปิก สมัยแรกของเขา อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง ตัวอย่าง “ของฝากสุดแซ่บขึ้นชื่อ” แต่ละจังหวัดในภาคอีสาน และ ตลาดของฝากไทย Gift Industry

ชวนมาเบิ่ง ตัวอย่าง “ของฝากสุดแซ่บขึ้นชื่อ” แต่ละจังหวัดในภาคอีสาน . . ของฝากเด็ดจากดินแดนอีสาน แซ่บถึงใจ! ภาคอีสานของเรานั้นขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสะท้อนออกมาในรูปแบบของสินค้าหัตถกรรมและอาหารพื้นเมืองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถ้าใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวภาคอีสานแล้วล่ะก็ ไม่ควรพลาดที่จะนำของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านไปฝากคนที่คุณรักกันนะคะ . วันนี้ ISAN Insight and Outlook จะพาไปตะลุยของฝากเด็ดจากแต่ละจังหวัดในภาคอีสานกัน กาฬสินธุ์ หมูทุบ, หมูสวรรค์ ขอนแก่น หม่ำเมืองพล, ไก่ย่างเขาสวนกวาง ชัยภูมิ หม่ำตำนานรัก นครพนม กะละแม, เหล้าอุเรณูนคร นครราชสีมา ผัดหมี่โคราช, ข้าวตัง บึงกาฬ ขนมเบื้องกรอบ บุรีรัมย์ กุ้งจ่อม, กุนเชียง มหาสารคาม โหน่งปลาร้าบอง มุกดาหาร ปอเปี๊ยะสด ยโสธร ถั่วคั่วทราย, ไข่มดแดงกระป๋อง ร้อยเอ็ด กุนเชียง, แหนม เลย มะพร้าวแก้วเชียงคาน, มะขามหวาน ศรีสะเกษ ทุเรียนภูเขาไฟ สกลนคร โคขุนโพนยางคำ, น้ำหมากเม่า สุรินทร์ กุนเชียง, กะละแมสุรินทร์ หนองคาย แหนมเนือง, หมูยอ หนองบัวลำภู ปลาส้ม อำนาจเจริญ ปลาทูหอมสมุนไพร, หมู-เนื้อแผ่น อุดรธานี แหนมเนือง, ไส้กรอกอีสาน อุบลราชธานี หมูยออุบล, ก๋วยจั๊บอุบล . นี่เป็นเพียงตัวอย่างของของฝากจากภาคอีสานเท่านั้น ยังมีอีกมากมายให้คุณได้เลือกกัน หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ในการเลือกของฝากจากภาคอีสานนะคะ . นอกจากของฝากแดนอีสานแล้ว อีสาน อินไซต์ จะพามาเบิ่ง วัฒนธรรมการให้และรับของขวัญ (Gift Giving) ถือเป็นธรรมเนียมเก่าแก่ที่เกิดมาควบคู่กับมนุษยชาติ และมีวิวัฒนาการไปตามแต่ละยุคสมัย เป็นขนบนิยมสากลทั่วโลกเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพราะนัยสำคัญคือการแสดงมิตรไมตรีจิตและการขอบคุณตอบแทนกลับ จะแตกต่างกันก็เพียงรูปแบบและวิธีการ ซึ่งยึดโยงกับประเพณีในพื้นถิ่นนั้น ๆ   แม้ว่าการให้ของขวัญจะไม่จำเป็นต้องตอบแทนกลับในรูปแบบ “สิ่งของ” เสมอไป แต่ตามธรรมเนียมปฏิบัติในหลายประเทศทั่วโลกนั้น การให้และได้รับคืนกลับ คือหลักที่พึงปฏิบัติเสมอ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของธรรมเนียมตามปกติ หรือเป็นประเพณีตามเทศกาลโอกาสพิเศษต่าง ๆ และได้กลายเป็นระบบ “เศรษฐกิจของขวัญ” (Gift Economy) ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปแล้วทั่วโลก ในขณะที่ตลาดอุตสาหกรรมของขวัญของไทย (ล้านบาท) ของที่ระลึกขายนักท่องเที่ยว 28,000 ล้านบาท คิดเป็น 43.8% ส่งออกต่างประเทศ 24,000 ล้านบาท คิดเป็น 37.5% ของชำร่วยส่งเสริมการขาย 10,000 ล้านบาท คิดเป็น 15.6% ของขวัญ 2,000 ล้านบาท คิดเป็น …

ชวนมาเบิ่ง ตัวอย่าง “ของฝากสุดแซ่บขึ้นชื่อ” แต่ละจังหวัดในภาคอีสาน และ ตลาดของฝากไทย Gift Industry อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top