May 2022

ปีงบฯ 2563 องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ภาคอีสานมีรายได้เท่าไร ?

องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ภาคอีสาน ประจำปีงบประมาณ 2563 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 178,217 ล้านบาท (-2.7% จากปีงบฯ 2562) . แหล่งรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย . 1. รายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บเอง ได้แก่ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีป้าย อากรฆ่าสัตว์ อากรรังนกอีแอ่น ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต ค่าปรับ ภาษีบำรุงท้องที่ที่จัดเก็บจากยาสูบ น้ำมัน ค่าธรรมเนียมเข้าพักโรงแรม รวม 5,856 ล้านบาท (-27.3%) . 2. รายได้ที่รัฐจัดสรร เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีสุราและสรรพาสามิต ภาษีค่าธรรมเนียมรถยนต์ เป็นต้น และภาษีที่รัฐแบ่งให้ คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม รวม 71,720 ล้านบาท (-7.5%) . 3. เงินอุดหนุน แบ่งเป็น เงินอุดหนุนทั่วไปและเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ รวม 100,642 ล้านบาท (3.2%) . จะเห็นได้ว่า อปท. ยังคงต้องพึ่งพาเงินจากรัฐบาลเป็นหลัก คือ เงินอุดหนุน ในการนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการสาธารณะ การสาธารณสุขต่าง ๆ ในขณะที่ รายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บเองนั้น ยังอยู่ในสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมด . จังหวัดที่มีรายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บเองสูงสุดในอีสาน ได้แก่ 1. จังหวัดนครราชสีมา 901 ล้านบาท 2. จังหวัดขอนแก่น 605 ล้านบาท 3. จังหวัดอุบลราชธานี 518 ล้านบาท . จังหวัดที่มีรายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บเองต่ำสุดในอีสาน ได้แก่ 1. จังหวัดมุกดาหาร 84 ล้านบาท 2. จังหวัดอำนาจเจริญ 99 ล้านบาท 3. จังหวัดหนองบัวลำภู 117 ล้านบาท . การพัฒนาประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของ อปท. เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่รัฐพยายามปรับปรุงและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งมีการจัดเก็บได้น้อย ไม่เพียงพอสำหรับการบริหารจัดการภายในท้องถิ่นของตนเอง . จึงมีแนวคิดในการจัดหารายได้ให้แก่ อปท.เพิ่มขึ้น โดยการยกเลิกภาษีบำรุงท้องที่ โรงเรือนและที่ดิน แล้วตราพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ขึ้นมาบังคับใช้แทน โดยหวังว่าภาษีดังกล่าวจะช่วยสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง และลดการพึ่งพาจากรัฐบาลกลางให้ได้มากที่สุด . อย่างไรก็ตาม รัฐควรกำหนดตัวชี้วัดของการจัดเก็บรายได้เองของ อปท. เพื่อกระตุ้นให้ท้องถิ่นพัฒนาประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ของตนเอง และควรส่งเสริมให้ท้องถิ่นสามารถหาแหล่งรายได้ใหม่ ๆ ได้ด้วยตัวเอง . . อ้างอิงจาก: https://kku.world/pp249 …

ปีงบฯ 2563 องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ภาคอีสานมีรายได้เท่าไร ? อ่านเพิ่มเติม »

ย้อนดู มูลค่าการค้าชายแดน – ผ่านแดน ภาคอีสาน ปี 63

ปี 2563 ภาคอีสานมีมูลค่าการค้าชายแดนรวม 175,400 ล้านบาท (+4.1% จากปี 2562) . หากแบ่งตามพื้นที่ตั้งด่านศุลกากร การค้าชายแดนภาคอีสานประมาณ 90% เป็นการค้ากับสปป.ลาว มีมูลค่าการค้า 157,100 ล้านบาท ส่วนอีก 10% เป็นการค้ากับกัมพูชา มีมูลค่า 18,300 ล้านบาท . โดยเป็นมูลค่าการส่งออกรวม 106,500 ล้านบาท และมูลค่าการนำเข้ารวม 68,800 ล้านบาท . ทั้งนี้ ภาคอีสานได้เปรียบดุลการค้ามาโดยตลอด เช่นเดียวกับปี 2563 ยังคงได้เปรียบดุลการค้ารวม 37,700 ล้านบาท (ทั้งกับสปป. ลาว และกัมพูชา) แม้เป็นการได้เปรียบดุลการค้าที่ลดลง 24.3% จากปี 2562 เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 . . สำหรับมูลค่าการค้าผ่านแดนรวม 209,100 ล้านบาท (+25.2% จากปี 2562) ซึ่งเป็นการค้าผ่านแดนกับจีนตอนใต้ และเวียดนาม ที่มีมูลค่าการค้าผ่านแดนเป็นอันดับ 1 ของไทย . โดยเป็นมูลค่าการส่งออกผ่านแดนรวม 96,500 ล้านบาท และมูลค่าการนำเข้าผ่านแดนรวม 112,600 ล้านบาท . น่าสนใจว่า ปี 2563 ภาคอีสานเสียเปรียบดุลการค้าผ่านแดนรวม 16,100 ล้านบาท (เสียเปรียบดุลการค้ากับจีน 44,700 ล้านบาท ได้เปรียบดุลการค้ากับเวียดนาม 28,600 ล้านบาท) . มุกดาหาร จังหวัดในภาคอีสานที่มีมูลค่าการค้าผ่านแดนกับจีนตอนใต้ และเวียดนามสูงที่สุด โดยมีมูลค่าการค้าผ่านแดนรวม 152,600 ล้านบาท ก็ยังเสียเปรียบดุลการค้าผ่านแดนรวม 59,800 ล้านบาท (เสียเปรียบดุลการค้ากับจีน 62,000 ล้านบาท ได้เปรียบดุลการค้ากับเวียดนาม 2,200 ล้านบาท) . . อย่างไรก็ดี โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมการค้าชายแดนไทย รวมถึงภาคอีสาน ยกตัวอย่าง สะพานข้ามแม่น้ำโขง จังหวัดนครพนม (ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2554) ที่มีส่วนสำคัญทำให้มูลค่าการขนส่งผ่านด่านศุลกากรนครพนมไปยังเวียดนาม และส่งต่อไปจีนตอนใต้เพิ่มขึ้น . โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 “บึงกาฬ-บอลิคำไซ” ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง หากแล้วเสร็จจะเป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างไทย-เวียดนามที่สั้นที่สุด ระยะทางเพียง 150 กิโลเมตร . และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ขอนแก่น – หนองคาย (ระยะที่ 2) ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขออนุมัติโครงการ หากแล้วเสร็จจะสามารถเชื่อมต่อการขนส่งทางรางระหว่างไทย กับทางรถไฟ สปป.ลาว – จีนได้สะดวกขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสในด้านการค้าและการลงทุนใหม่ …

ย้อนดู มูลค่าการค้าชายแดน – ผ่านแดน ภาคอีสาน ปี 63 อ่านเพิ่มเติม »

จ่อเปิดด่านเดินรถข้ามไทย-ลาว มั่นใจกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว

ในช่วงเดือน พ.ค. 2565 ตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย ได้รายงานจำนวนบุคคลเดินทางเข้าออกประเทศระหว่างวันที่ 1-3 พ.ค. 65 พบว่ามีคนไทยเดินทางเข้าออก 205 คน คนลาว 506 คน คนต่างชาติ 46 คน ทั้งนี้การเดินทางยังมีข้อจำกัด แม้ว่าจะมีการเปิดด่านสากลแล้วก็ตาม แต่การเดินทางออกนอกประเทศของคนไทยเข้าไปยัง สปป.ลาว ยังไม่สามารถนำรถยนต์ส่วนบุคคลเข้าไปได้ โดยจะสามารถเดินทางไปได้เฉพาะในลักษณะคนทำงานหรือนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์เท่านั้น . ส่วนการเดินทางเข้าประเทศของคนลาวนั้นเมื่อเข้าระบบไทยแลนด์พาสต์ และมีเอกสารบอร์เดอร์พาส และใบรับรองวัคซีนครบโดส สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องตรวจ RT-PCR หรือ ATK แต่หากมีผู้ประสงค์ต้องการตรวจ ATK แบบสมัครใจ ขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจ เจ้าหน้าที่คิดค่าตรวจ 250 บาท เงินทุกบาทนำเข้ารัฐ . สำหรับการกรอกข้อมูลในระบบไทยแลนด์พาส ที่ผ่านมาพบว่าคนลาวติดขัดในการกรอกข้อมูลจากภาษาอังกฤษและภาษาไทย ทำให้เป็นช่องทางสำหรับบริษัทเอกชนรับจ้างกรอกข้อมูลให้แล้วเก็บเงินค่าดำเนินการสูงถึง 4,000 บาท/คน ทำให้คนลาวส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นเงินที่แพง จึงยังไม่ค่อยมีการเดินทางเข้าไทยมากนัก . นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รับทราบปัญหาทั้งหมด และจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมโดยด่วน โดยเฉพาะการพิจารณาอนุญาตให้รถยนต์ส่วนบุคคลเดินทางเข้าออกประเทศได้เมื่อทุกฝ่ายมีความพร้อม และสปป.ลาว เองก็พร้อมที่จะให้รถยนต์ฝั่งลาวเข้าไทย และรถยนต์ไทยเข้าลาว ก็ไม่มีปัญหาติดขัด สามารถแก้ไขคำสั่งได้ . ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการพิจารณาอนุญาตในเร็ววัน เดิมจะอนุญาตเฉพาะรถบรรทุกสินค้า แต่หากอนุญาตให้รถยนต์ส่วนบุคคลเข้าออกได้นั้นจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะระดับภูมิภาค เพราะหลายปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวชาวลาวถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของภาคอีสาน อย่างช่วงปี 2562 ก่อน COVID-19 อีสานมีนักท่องเที่ยวต่างชาติชาวลาวสูงที่สุด คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 14.3% ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางเข้ามาในอีสาน . . อ้างอิงจาก : https://kku.world/gez68 https://kku.world/uxsph . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ด่านพรมแดน

ฮู้จัก ราชาผลไม้ไทยดินแดนอีสาน ทุเรียนภูเขาไฟ VS ทุเรียนโอโซน

ทุเรียนได้รับฉายาว่าเป็น “ราชาแห่งผลไม้” (King of fruits) ด้วยรสชาติที่หวาน มัน และกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นที่ชื่นชอบของทั้งคนไทยและคนต่างชาติ (บางส่วน) ในปี 2564 สามารถส่งออกทำรายได้ให้ประเทศกว่า 3,854 ล้านดอลลาร์สหรัฐ . ปัจจุบัน จังหวัดศรีสะเกษเป็นแหล่งปลูกทุเรียนที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน “ทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ” ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญมีชื่อเสียง ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เป็นการยกระดับมาตรฐานของสินค้า สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ผู้ค้า ในด้านของคุณภาพและความปลอดภัย . ปี 2564 มีเนื้อที่เพาะปลูกทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ 8,404 ไร่ เนื้อที่ให้ผล 3,479 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 4,213 ตัน/ปี โดยมีเกษตรกรผู้ปลูกที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 1,220 ราย . ด้านต้นทุนการผลิต เฉลี่ย 18,430 บาท/ไร่/ปี (เริ่มให้ผลผลิตในปีที่ 5) เกษตรกรจะปลูกช่วงเดือนพฤษภาคม ผลผลิตจะออกสู่ตลาดช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม ให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,200 กิโลกรัม/ไร่/ปี ผลตอบแทนเฉลี่ย 204,000 บาท/ไร่/ปี คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยสุทธิ (กำไร) 185,570 บาท/ไร่/ปี ราคาที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยอยู่ที่ 160 – 180 บาท/กิโลกรัม . สำหรับ “ทุเรียนโอโซน” ต.บ้านไร่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ นั้นเน้นการรวมกลุ่มการผลิต และให้เกษตรกรเป็นผู้บริหารจัดการแบบครบวงจร ทั้งด้านการผลิต แปรรูปและการตลาด เพื่อให้ได้สินค้าเกษตรที่ให้ผลตอบแทนสูง และคุ้มค่า โดยในปี 2565 นี้อยู่ระหว่างการดำเนินการขอรับรองมาตรฐาน GAP ในนามเกษตรแปลงใหญ่ . ปี 2564 มีเนื้อที่ปลูกทั้งหมด 1,063 ไร่ เนื้อที่เก็บเกี่ยว 655 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 1,611 ตัน/ปี ปัจจุบันมีสมาชิก 51 ราย . ด้านต้นทุนการผลิต เฉลี่ย 27,196 บาท/ไร่/ปี (เริ่มให้ผลผลิตในปีที่ 6 และ เก็บเกี่ยวได้ระยะยาว) เกษตรกรนิยมปลูกในช่วงต้นฤดูฝน (เดือนเมษายน – พฤษภาคม ของทุกปี) เก็บเกี่ยวผลผลิตช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม ให้ผลผลิตเฉลี่ย 2,460 กิโลกรัม/ไร่/ปี ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 150 บาท/กิโลกรัม ผลตอบแทนเฉลี่ย 369,000 บาท/ไร่/ปี คิดเป็นผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย (กำไร) 341,804 …

ฮู้จัก ราชาผลไม้ไทยดินแดนอีสาน ทุเรียนภูเขาไฟ VS ทุเรียนโอโซน อ่านเพิ่มเติม »

ของดีแดนอีสาน ผ้าไหมสาเกต – สับปะรดศรีเชียงใหม่ ขึ้นทะเบียน GI ไทยแล้ว

ปัจจุบันกรมทรัพย์สินทางปัญญา มีสินค้าที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI ไทยแล้ว 156 รายการ ซึ่งครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 40,000 ล้านบาท โดยความสำเร็จดังกล่าวช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนในพื้นที่ด้วยสินค้า GI . สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าชุมชนท้องถิ่น ช่วยผู้ประกอบการและเกษตรกรรายย่อยไม่ให้ถูกกดราคาสินค้าเกษตร ยกระดับกระบวนการผลิตสินค้าอัตลักษณ์พื้นถิ่นของไทยให้มีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค . นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เพิ่มอีก 2 สินค้า คือ “ผ้าไหมสาเกต” และ “สับปะรดศรีเชียงใหม่” ซึ่งเป็นสินค้าท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค . ผ้าไหมสาเกต มีการผลิตในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด เป็นผ้าไหมมัดหมี่ที่ทอด้วยลายพื้นบ้านโบราณ 5 ลาย ทอต่อกันในผืนเดียว เริ่มจากลายโคมเจ็ด ลายนาคน้อย ลายคองเอี้ย ลายค้ำเพา และลายหมากจับ ตามลำดับ โดยมีเอกลักษณ์สำคัญ คือ ลายนาคน้อย 12 ตัวอยู่ตรงกลาง และลายหมากจับ 3 ลำเป็นช่องไฟของลายพื้น และแต่ละลายจะทอคั่นด้วยผ้าสีชมพูอมม่วงของดอกอินทนิลบก ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดร้อยเอ็ด . สำหรับ สับปะรดศรีเชียงใหม่ ปลูกในเขตพื้นที่ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย เป็นสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย มีผลทรงรี ร่องตาตื้น ก้านสั้น เปลือกบาง เนื้อสับปะรดมีเส้นใยละเอียดและมีสีเหลืองเข้มหรือสีน้ำผึ้ง มีกลิ่นหอม รสชาติหวานฉ่ำ แกนหวานกรอบ รับประทานแล้วไม่กัดลิ้น . โดยในปี 2565 กรมฯ ได้ตั้งเป้าหมายขึ้นทะเบียน GI ไทยเพิ่มอีก 18 สินค้า พร้อมผลักดันให้มีการจัดทำระบบควบคุมมาตรฐานสินค้า GI เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค ตลอดจนส่งเสริมช่องทางการจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดยุคใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้สินค้า GI ไทยสามารถเข้าถึงผู้บริโภคอย่างทั่วถึง สร้างรายได้สู่ชุมชน และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน . . อ้างอิง: https://kku.world/2gdgm . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ผ้าไหมสาเกต #สับปะรดศรีเชียงใหม่

ข้าวโพดหวานแดงกินฝักสดพันธุ์แรกของโลก อร่อยดี มีประโยชน์ ตลาดยังกว้าง

ข้าวโพดหวานแดงราชินีทับทิมสยาม (Siam Ruby Queen) เป็นข้าวโพดสายพันธุ์กินฝักสดชนิดแรกของโลก ที่มี ดร.ทวีศักดิ์ ภู่หลำ นักปรับปรุงพันธุ์พืชชั้นนำของไทยเป็นผู้คิดค้น โดยเกิดจากการนำข้าวโพดข้าวเหนียวแดงไปผสมกับข้าวโพดหวานสีเหลืองจนได้ออกมาเป็นข้าวโพดหวานแดงราชินีทับทิมสยามเมื่อปี 2555 ซึ่งเป็นการผสมสายพันธุ์แบบดั้งเดิม (Conventional Breeding) ไม่ใช่การตัดแต่งพันธุกรรม . ข้าวโพดหวานแดงสายพันธุ์นี้มีสารแอนโทไซยานิน (anthocyanin) ที่มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง บำรุงสายตา บำรุงหัวใจ แต่จะสูญเสียไปหากนำไปต้ม จึงแนะนำให้กินเมล็ดจากฝักสด เพราะจะอร่อย (หวานกรอบในตัว) มีกลิ่นหอม และได้ประโยชน์มากกว่า ส่วนไหมกับซังที่คนนิยมทิ้งก็สามารถนำมาต้มเพื่อสกัดสารตัวนี้เก็บไว้ดื่มได้เช่นกัน . ปา ไชยปัญหา ปราชญ์เกษตรบ้านกุดปลาเข็ง ต.โนนค่า อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา เจ้าของไร่อรหันต์ เล่าต่อไปถึงสูตรสำเร็จการปลูกข้าวโพดหวานแดงราชินีทับทิมสยาม ข้าวโพดกินฝักสดที่อร่อย แถมอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ . ข้าวโพดชนิดนี้ระยะเวลาปลูกถึงเก็บเกี่ยวผลผลิต 65-70 วันนับตั้งแต่หยอดเม็ด ระยะห่างระหว่างหลุม 30 ซม. ส่วนระยะห่างระหว่างแถว แล้วแต่ความสะดวกและพื้นที่ของผู้ปลูก การเตรียมหลุมปลูกเหมือนการปลูกข้าวโพดปกติทั่วไป ขุดหลุม 1 หน้าจอบ ขนาด 30×30×30 ซม. ใส่อินทรียวัตถุหรือมูลสัตว์ที่หมักแล้ว (ที่นี่ใช้มูลไส้เดือนกับแกลบดำ) คลุกเคล้ากับดิน รดน้ำให้ชุ่ม แล้วหยอดเมล็ดลงหลุมละ 2 เมล็ด ไม่เกิน 5 วัน เมล็ดจะงอก . ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 เป็นต้นไป ให้หมั่นดูแลและระมัดระวังเรื่องของหนอนที่เข้ามาเจาะข้าวโพด โดยที่นี่จะเน้นที่การเดินดูแลแปลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะช่วงกลางคืน ให้ใช้ไฟส่องดูต้น ถ้ามีหนอนเมื่อหนอนเจอแสงมันจะขยับตัว ให้ใช้ไม้คีบหนอนออกจากกอต้นข้าวโพดไปทำลาย พร้อมกับใช้น้ำหมักชีวภาพบำรุงและป้องกันร่วมไปด้วย . ผ่านเข้าสัปดาห์ที่ 3 ต้นจะเริ่มสูงประมาณ 1 ฟุต เริ่มให้ปุ๋ยยูเรียหลุมละครึ่งช้อนโต๊ะ สัปดาห์ที่ 4 และ 5 เพิ่มปุ๋ยเป็นหลุมละ 1 ช้อนโต๊ะ เข้าสัปดาห์ที่ 6 เปลี่ยนเป็นปุ๋ยสูตรเสมอ และพอถึงสัปดาห์ที่ 7 และ 8 เปลี่ยนเป็นปุ๋ยสูตร 8-24-24 ปริมาณเท่าเดิมเพื่อเพิ่มความหวาน จนถึงวันเก็บเกี่ยว . สำหรับเคล็ดลับการปลูกให้ได้ผลผลิตดีมีคุณภาพ ควรรดน้ำข้าวโพดอย่างสม่ำเสมอ หมั่นรดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าแฉะ ต้นละ 1-2 ฝักเท่านั้น เพื่อให้ต้นนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงฝักที่เก็บเอาไว้ได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญหมั่นดูแลต้นข้าวโพดป้องกันหนอนเจาะข้าวโพดอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ไปจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิต . ทั้งนี้ หากคำนวณง่าย ๆ 1 ไร่ หยอดเมล็ดหลุมละ 2 เมล็ด จะได้ต้นข้าวโพดทั้งหมด 9,600 ต้น ประมาณการเสียหายในการปลูก 10% ไว้ต้นละ …

ข้าวโพดหวานแดงกินฝักสดพันธุ์แรกของโลก อร่อยดี มีประโยชน์ ตลาดยังกว้าง อ่านเพิ่มเติม »

ฮ่วมกัน ผลักดัน “ภูพระบาท” สู่มรดกโลก แหล่งที่ 2 ของ จ.อุดรฯ ในปี 67

กรมศิลปากร(ศก.) ร่วมกับกรมป่าไม้ จ.อุดรธานี จัดพีธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการแหล่งมรดกวัฒนธรรม ในการผลักดันการขึ้นทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทสู่มรดกโลก . สร้างการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะประชาชนในท้องถิ่น ไม่บุกรุกพื้นที่ป่าไม้ พร้อมจัดการประชาสัมพันธ์เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและแหล่งธรรมชาติทั้งจังหวัดใกล้เคียงและจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศลาวที่มีวัฒนธรรมร่วมกัน . นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า กรมศิลปากรอยู่ระหว่างการแปลเอกสารภาษาอังกฤษเสนอต่อยูเนสโก ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์นำเสนอเป็นแหล่งมรดกวัฒนธรรมแบบต่อเนื่องจำนวน 2 แหล่ง ประกอบด้วย อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท และแหล่งวัฒนธรรมสีมาวัดพระพุทธบาทบัวบาน . รวมพื้นที่นำเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลก จำนวน 3,661 ไร่ 4 งาน 89 ตารางวา พื้นที่กันชน 3,742 ไร่ 1 งาน 15 ตารางวา ขอบเขตของแหล่งวัฒนธรรมทั้ง 2 แหล่ง อยู่ภายใต้เกณฑ์คุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล . ในเกณฑ์ข้อที่ 3 คือ เอกลักษณ์ที่หายาก ไม่เคยพบที่ใดในไทย หรือแม้ในเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ และยังปรากฎหลักฐานการใช้พื้นที่ของวัฒนธรรมท้องถิ่นอีสานอย่างต่อเนื่อง . และเกณฑ์ข้อที่ 5 การปรับใช้พื้นที่ทางธรรมชาติ ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ทั้งกลุ่มเพิงหิน และลานหิน การปักใบเสมาเพื่อกำหนดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ และประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อทางพุทธศาสนา ซึ่งทั้งหมดยังคงความครบถ้วนสมบูรณ์และความเป็นของแท้ดั้งเดิมไว้ได้อย่างดีเยี่ยม . จากนั้นจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญามรดกโลก ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิจารณาก่อนนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านความเห็นชอบ เพื่อเสนอต่อยูเนสโก . เข้าสู่กระบวนการนำพิจารณารอบแรกในเดือน ก.ย. รอบที่ 2 ในเดือน ธ.ค. ปี 2566 และจะมีการพิจารณาที่กรุงปารีสในเดือน มี.ค. ปี 2567 . . อ้างอิง: https://kku.world/734t8 https://kku.world/91ovx . #ISANInsightAndOutlool #อีสาน #ภูพระบาท #มรดกโลก #อุดรธานี

ย้อนดู ผลการจัดเก็บภาษีสรรพากร ภาคอีสาน ปีงบฯ 63

 เงินจากการเรียกเก็บภาษีของรัฐบาลมาจากไหน? . เงินที่ได้จากการเก็บภาษีมาจาก 4 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และหน่วยงานอื่น ๆ เช่น รัฐวิสาหกิจ กรมธนารักษ์ และส่วนราชการอื่น ๆ โดยหากเทียบสัดส่วนภาษีที่เรียกเก็บได้ในแต่ละปีจะพบว่า เกินครึ่งมาจากกรมสรรพากร .  ภาษีที่กรมสรรพากรจัดเก็บ แบ่งเป็น . 1.ภาษีทางตรง เป็นภาษีที่ผู้เสียภาษีต้องจ่ายเอง ประกอบด้วย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมรดก และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม . 2. ภาษีทางอ้อม เป็นภาษีที่เก็บจากบุคคลอื่น แต่ผู้เสียภาษีต้องรับภาระในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ประกอบด้วย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ .  ผลการจัดเก็บภาษีสรรพากรในภาคอีสาน ปีงบฯ 2563 จำนวน 44,485 ล้านบาท (+0.99% จากปีงบฯ 2562) .  ภาษีที่กรมสรรพากรจัดเก็บได้มากที่สุดในอีสาน ได้แก่ . 1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม 22,720 ล้านบาท (+7.56%) 2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล 9,193 ล้านบาท (-1.88%) 3. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 8,446 ล้านบาท (-11.13%) 4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ 2,691 ล้านบาท (+8.14%) 5. อากรแสตมป์ 1,386 ล้านบาท (-7.61%) 6. รายได้อื่น ๆ* 49.31 ล้านบาท (-20.09%) . จะเห็นว่า ปีงบฯ 2563 แม้กรมสรรพากรในภาคอีสานจะจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในหมวดภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะเท่านั้น ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อากรแสตมป์ และรายได้อื่น ๆ เก็บได้ลดลง .  จังหวัดที่จัดเก็บภาษีสรรพากรได้สูงสุดในอีสาน ได้แก่ 1. นครราชสีมา 9,280 ล้านบาท 2. ขอนแก่น 6,888 ล้านบาท 3. อุบลราชธานี 3,871 ล้านบาท .  จังหวัดที่จัดเก็บภาษีสรรพากรได้ต่ำสุดในอีสาน ได้แก่ 1. อำนาจเจริญ 333 ล้านบาท 2. บึงกาฬ 390 ล้านบาท 3. ยโสธร 644 ล้านบาท . ทั้งนี้ เมื่อเทียบสัดส่วนจังหวัดที่กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีได้ “เพิ่มขึ้น …

ย้อนดู ผลการจัดเก็บภาษีสรรพากร ภาคอีสาน ปีงบฯ 63 อ่านเพิ่มเติม »

กาฬสินธุ์นำร่องปลูกกระท่อม 1.5 ล้านต้น หวังสร้างรายได้ให้เกษตรกรในอนาคต

กาฬสินธุ์ เมืองน้ำดำเดินหน้าวาระเมืองสีเขียวอัจฉริยะ เร่งส่งเสริมปลูกต้นกระท่อมพืชสมุนไพรเศรษฐกิจใหม่ “กระท่อมพารวย” สร้างงาน สร้างอาชีพ ปลดหนี้ และสร้างรายได้ให้เกษตรกร ตั้งเป้าเปิดพื้นที่ปลูกครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ 1,500 ไร่ จำนวน 1.5 ล้านต้น . นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ กล่าวในงานประชุมชี้แจง นโยบายสาธารณะวาระกาฬสินธุ์ เมืองสีเขียวอัจฉริยะ (Kalasin Smart Green City) ว่า กระท่อมเป็นพืชสมุนไพรเศรษฐกิจใหม่ เบื้องต้นในพื้นที่จะยังคงส่งเสริมเป็นรูปแบบการปลูก เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้ให้กับเกษตรกรเป็นรายได้เสริมไปก่อน ควบคู่กับการปลูกพืชหลักที่สร้างรายได้ เช่น ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และพืชชนิดต่าง ๆ . ด้านนายประภาส ยงคะวิสัย ประธานกลุ่มแปรรูปพืชกระท่อมตำบลสงเปือย กล่าวว่า ขอยืนยันและย้ำว่ากระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจที่จะสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรเป็นรูปธรรมได้แน่นอน เพราะปัจจุบันมีการปลูกได้เพียงไม่กี่ประเทศ และยังมีการความต้องการนำเอาใบไปแปรรูปเป็นสมุนไพรใช้รักษาโรคต่าง ๆ ทั้งยังใช้แปรรูปผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง มีราคารับซื้อใบกิโลกรัมละ 500 บาท . โดย จ.กาฬสินธุ์ การขับเคลื่อนนโยบาย สาธารณะวาระกาฬสินธุ์ เมืองสีเขียวอัจฉริยะ (Kalasin Smart Green City) เป็นการปลูกกระท่อมนำร่องตัวอย่างในภาคอีสาน . โดยตั้งเป้าปูพรมทั้ง 18 อำเภอ โดยได้ตั้งเป้าไว้คลอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ ปลูกทุกหมู่บ้าน อย่างน้อย 1,500 ไร่ หรือ 1.5 ล้านต้น เป็นกระท่อมพารวย ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรในอนาคตได้อย่างแน่นอน . . อ้างอิง: https://kku.world/hdjyv . . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #กระท่อม #พืชเศรษฐกิจใหม่ #กาฬสินธุ์

Scroll to Top