Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

พาเปิดเบิ่ง ธุรกิจคล้ายกัน “แบรนด์จีน” เทียบ “แบรนด์ไทย” ใครคือเบอร์ 1 ในใจคุณ

สัญชาติจีน Mixue (มี่เสวี่ย) ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟและชาผลไม้ ปีก่อตั้ง ปี 2540 ⭐จุดเด่น ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายในจีนและขยายสาขาอย่างรวดเร็วทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายมาก (เริ่มต้น 15-50 บาท) ทำให้ได้รับความสนใจอย่างสูงจากผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และคนทั่วไป 📍สาขาในอีสาน ขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี อุบลราชธานี มหาสารคาม สุรินทร์ และศรีสะเกษ   Zhengxin Chicken (เจิ้งซิน ไก่ทอด) ไก่ทอดสไตล์จีน ปีก่อตั้ง ปี 2538 ⭐จุดเด่น แฟรนไชส์ไก่ทอดจากจีนที่มีสาขาจำนวนมากในประเทศจีน และเริ่มเข้ามาทำตลาดในไทยเมื่อไม่นานมานี้ เน้นไก่ทอดรสชาติเฉพาะตัว 📍สาขาในอีสาน ขอนแก่น   KKV ร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ ปีก่อตั้ง ⭐จุดเด่น เป็นร้านที่รวบรวมสินค้าหลากหลายประเภท เน้นดีไซน์และราคาที่น่าสนใจ กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นและผู้ที่ชื่นชอบสินค้าสไตล์เกาหลี/ญี่ปุ่น 📍สาขาในอีสาน นครราชสีมา   สัญชาติไทย Minkki (หมิงคิ) ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ ชา และบิงซู ปีก่อตั้ง ปี 2566 ⭐จุดเด่น ใช้วัตถุดิบในไทยเป็นหลักถึง 90% ทำให้รสชาติถูกปากคนไทย และราคาเข้าถึงง่าย ไอศกรีมเริ่มต้นที่ 15 บาท ซึ่งเป็นราคาที่จับต้องได้สำหรับลูกค้าหลากหลายกลุ่ม นอกจากไอศกรีมแล้ว ยังมีเมนูชาและบิงซูให้เลือกมากกว่า 50 เมนู 📍สาขาในอีสาน ขอนแก่น    Chicky Chic  ไก่ทอดและของทอดทานเล่น ปีก่อตั้ง ปี 2549 ⭐จุดเด่น เป็นแบรนด์ไก่ทอดที่มีชื่อเสียงและอยู่คู่คนไทยมานานกว่า 18 ปี มีการพัฒนาสูตรอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อยถูกใจคนไทย 📍สาขาในอีสาน ขอนแก่น บุรีรัมย์ มหาสารคาม นครราชสีมา บึงกาฬ เลย สุรินทร์ หนองบัวลำภู และอุดรธานี   Moshi Moshi (โมชิ โมชิ) ร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทยที่ได้รับความนิยมอย่างสูง  ปีก่อตั้ง ปี 2559 ⭐จุดเด่น เป็นแบรนด์ไทยที่นำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์หลากหลายประเภทในดีไซน์น่ารักและทันสมัย โดยเน้นที่ ราคาที่เข้าถึงได้ง่ายทำให้เป็นที่นิยมและสามารถขยายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ 📍สาขาในอีสาน อุดรธานี นครราชสีมา ขอนแก่น และอุบลราชธานี   ที่มา: เว็บไซต์ของบริษัท, Longtunman, Brand Inside, ThaiFranchiseCenter, Marketeer และ Forbes Thailand  

พาเปิดเบิ่ง ธุรกิจคล้ายกัน “แบรนด์จีน” เทียบ “แบรนด์ไทย” ใครคือเบอร์ 1 ในใจคุณ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง เปิดตลาดเสรีอย่างไม่มีเงื่อนไขให้สหรัฐฯ กระทบเกษตรกรในอีสานอย่างไร

เกษตรกรในอีสานอาจได้รับผลกระทบมากกว่าที่คิด หากไทยมีการเปิดตลาดนำเข้าอย่างไม่มีเงื่อนไขให้กับสินค้าจากสหรัฐฯ . ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึงการใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ในอัตรา 36% กับสินค้าส่งออกของไทย โดยจะเริ่มมีการประกาศใช้ภายในวันที่ 1 ส.ค. 2568 ที่อาจสะเทือนการส่งออกของไทยอย่างหนักหน่วง จากมูลค่าการส่งออกที่มากและ สัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯในการส่งออกสินค้าที่สูงถึง 18% (ปี 2567) เพื่อหาทางออกและลดภาระทางภาษีดังกล่าว หนึ่งในข้อเสนอที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือการที่ไทยต้อง “เปิดตลาด” สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเป็นแนวทางเดียวกันกับประเทศที่ได้การพิจารณาปรับลดอัตราภาษีอย่าง เวียดนาม (จากเดิม 46% เป็น 20%) โดยแลกกับการเปิดตลาดและการเร่งการนำเข้าสินค้าหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น การลดภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ (เหลือ 0%) การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะเครื่องบิน พลังงาน และสินค้าเกษตร รวมถึงการจัดการปัญหาการสวมสิทธิ์ของสินค้าจีนที่ใช้เวียดนามเป็นทางผ่านในการส่งไปสหรัฐฯ จากการแลกเปลี่ยนทั้งหมดที่กล่าวมาส่งผลให้เวียดนาม เป็นประเทศแรกในอาเซียนได้รับการพิจารณาปรับลดอัตราภาษีจากสหรัฐฯ จากเดิม ที่ 46% เป็น 20% ในปัจจุบัน ซึ่งน้อยกว่าประเทศคู่แข่งอย่างไทย ถึง 16% และอาจเป็นผลทำให้ผู้ประกอบการไทยที่มีการส่งออกไปสหรัฐฯ สามารถแข่งขันด้านต้นทุนและราคาต่อประเทศคู่แข่งได้ลำบาก แต่ในขณะเดียวกันหากมองผลกระทบในอีกฟากนึง การเปิดตลาดเสรีสินค้าจากสหรัฐฯ โดยไม่มีเงื่อนไขอาจกระทบต่ออุตสาหกรรม กราฟด้านซ้าย แสดงต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ แม้ว่าจะรวมค่าขนส่งมาไทยแล้ว สิ่งที่หลายคนเข้าใจผิด? หมูที่ขายในห้าง หรือร้านสะดวกซื้อ ทั้งหมดไม่ได้มาจากฟาร์มเจ้าสัว 100% แต่มาจากเกษตรกรขนาดกลาง และขนาดย่อม ที่ทั้งทำ เกษตรพันธสัญญา หรือ คอนแทรคฟาร์มมิ่ง (contract farming), และ เกษตรกรรายย่อยแบบครัวเรือน เป็นสัดส่วนมากกว่า 60-70% ในไทย โดยเกษตรกรทั่วไทยที่ผลิต 4 ผลผลิตเหล่านี้ ได้แก่ สุกร, ไก่, เนื้อวัว, และ ข้าวโพด เป็น 4 ผลผลิตทางการเกษตรที่สหรัฐฯ อาจใช้เป็นข้อต่อรอง และจะส่งผลกระทบต่อเกษตรในภาคอีสานโดยตรง ดังนี้ . สุกร/เนื้อหมู อัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจากสหรัฐฯ ปัจจุบัน 40% จำนวนเกษตรกรเลี้ยงสุกรในภาคอีสาน 66,124 ราย คิดเป็น 46% ของทั้งประเทศ . เนื้อไก่/ไก่เนื้อ อัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจากสหรัฐฯ ปัจจุบัน 30-40% จำนวนเกษตรกรเลี้ยงไก่เนื้อในภาคอีสาน 13,543 ราย คิดเป็น 52% ของทั้งประเทศ จำนวนเกษตรกรเลี้ยงไก่เนื้อพื้นเมืองในภาคอีสาน 1,367,012 ราย คิดเป็น 52% ของทั้งประเทศ . เนื้อวัว อัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจากสหรัฐฯ ปัจจุบัน 30-50% จำนวนเกษตรกรเลี้ยงวัวเนื้อ/โคเนื้อในภาคอีสาน 949,733 ราย คิดเป็น

พามาเบิ่ง เปิดตลาดเสรีอย่างไม่มีเงื่อนไขให้สหรัฐฯ กระทบเกษตรกรในอีสานอย่างไร อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนเบิ่ง สถิติคนหมดใจใน 14 ปีที่ผ่านมา สัญญาณเตือน ชาวอีสาน “รักน้อยลง แต่งน้อยลง แยกมากขึ้น” กระทบอัตราการเกิด

รักน้อยลง? เมื่อการแต่งงานลดฮวบ – หย่าร้างพุ่ง สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของครอบครัวยุคใหม่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สังคมไทยกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้านโครงสร้างครอบครัว จากสถิติปี 2567 พบว่า ภาคอีสานมียอดการจดทะเบียนสมรสใน 20 จังหวัดของภาคอีสานมีเพียงประมาณ 66,567 คู่ ซึ่งถือเป็นตัวเลขต่ำที่สุดในรอบ 14 ปี ขณะที่ยอดการหย่าร้างยังคงสูงถึงเกือบ 40,000 คู่ สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงลึกในพฤติกรรมของผู้คน ที่หันมาใช้ชีวิตแบบโสดมากขึ้น หรือเลือกจะอยู่ร่วมกันแบบไม่ผูกมัดตามกฎหมาย ซึ่งปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเขตเมืองใหญ่เท่านั้น แต่กำลังค่อยๆ แทรกซึมสู่ชุมชนชนบททั่วอีสาน หากลงไปดูในแต่ละจังหวัดจะเห็นแนวโน้มที่น่าตกใจ อย่างเช่น จังหวัดขอนแก่น ที่มียอดจดทะเบียนสมรสเพียง 6,142 คู่ ขณะที่การหย่าร้างอยู่ที่ 3,889 คู่ คิดเป็นอัตราการหย่าร้างกว่า 63% ของคู่ที่แต่งงานในปีเดียวกัน หรือจะในจังหวัดนครราชสีมาเอง ที่แม้จะมีคู่สมรสสูงถึง 9,499 คู่ แต่ก็มียอดหย่าถึง 5,876 คู่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงในชีวิตคู่กำลังถูกตั้งคำถามอย่างหนักในยุคปัจจุบัน ปัจจัยที่ทำให้คน “แต่งงานน้อยลง” ก็มีหลากหลายปัจจัยด้วยกัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมามุ่งมั่นด้านการงาน การศึกษาหรือการออกไปทำงานนอกภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือแม้กระทั่งต่างประเทศ ซึ่งก็ทำให้ความสัมพันธ์ระยะยาวถูกลดความสำคัญลง นอกจากนี้ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และภาระการเลี้ยงดูลูกยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายคนเลี่ยงการแต่งงานหรือการมีครอบครัว อีกทั้งความคาดหวังต่อชีวิตคู่ในยุคนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คนรุ่นใหม่ต้องการความเข้าใจและอิสรภาพมากกว่าความผูกพันทางกฎหมายแบบเดิมนั่นเอง   อีกทั้ง การหย่าร้างในภาคอีสานไม่ได้เกิดเฉพาะในเมืองใหญ่ แต่พบได้ในหลายจังหวัดชนบท ไม่ว่าจะเป็น ศรีสะเกษ ยโสธร หนองบัวลำภู หรืออำนาจเจริญ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีอัตราการหย่าร้างเฉลี่ยสูงเมื่อเทียบกับจำนวนสมรส สาเหตุสำคัญ คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ความไม่เข้าใจในชีวิตคู่ และการเปลี่ยนแปลงทางค่านิยมของคนรุ่นใหม่ที่เลือกจะไม่ทน ในความสัมพันธ์ที่ไม่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตอีกต่อไป   อีกหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจของการเปลี่ยนแปลงต่อสถานการณ์นี้นั่นคือ เทรนด์ทางสังคมที่กำลังเติบโตอย่างชัดเจนในทั่วโลกและสังคมไทย ในรูปแบบ “การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแทนการมีลูก” หรือที่เรียกว่า “Pet Humanization” เทรนด์นี้สะท้อนชัดในกลุ่มคนวัยทำงานและผู้สูงอายุจำนวนมากเริ่มหันมาเลี้ยงสัตว์ อย่างเช่น สุนัขและแมว ด้วยความผูกพันในระดับสมาชิกในครอบครัวมากกว่าการมีลูกอย่างจริงจัง ข้อมูลจาก The 1 Insight และ CRC VoiceShare ระบุว่า กว่า 65% ของคนไทยที่เลี้ยงสัตว์ มองว่าสัตว์เลี้ยงคือเสมือนลูกหรือสมาชิกในครอบครัว และกลุ่มผู้คนเหล่านี้ยินดีที่จะทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อแลกมาด้วยคุณภาพชีวิตสัตว์เลี้ยงที่ดี ไม่ว่าจะเป็นทั้งค่าอาหาร ค่ารักษา สปา โรงแรมสัตว์ หรือแม้แต่คลินิกเฉพาะทาง ทำให้ธุรกิจในกลุ่ม Pet Economy ในประเทศไทยเริ่มได้รับความสนใจและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากพฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนว่า คนรุ่นใหม่กำลังเคลื่อนตัวออกจากค่านิยมครอบครัวแบบเดิม ที่มีทั้งชาย-หญิง-ลูก และก้าวเข้าสู่รูปแบบ “แฟมิลี่ทางเลือก” หรือครอบครัวที่มีเฉพาะสัตว์เลี้ยง ซึ่งตอบโจทย์ทั้งอารมณ์ ความรัก ความผูกพัน และอิสระในชีวิตโดยไม่ต้องแบกรับภาระทางสังคมแบบครอบครัวดั้งเดิมอีกต่อไปนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – สำนักงานสถิติแห่งชาติ – สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล – สำนักบริหารการทะเบียน

พาย้อนเบิ่ง สถิติคนหมดใจใน 14 ปีที่ผ่านมา สัญญาณเตือน ชาวอีสาน “รักน้อยลง แต่งน้อยลง แยกมากขึ้น” กระทบอัตราการเกิด อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ไทยต้องแบก “ค่ารักษาต่างด้าว” กว่า 2.3 พันล้าน ภาระนี้ ชายแดนไทย-กัมพูชา อ่วมหนัก 277 ล้าน

วิกฤตหนี้สะสมจากค่ารักษาพยาบาลแรงงานต่างด้าว ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบสาธารณสุขชายแดนไทย ในปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา ข้อมูลจากระบบสาธารณสุขของประเทศไทยได้เปิเผยตัวเลขที่น่าจับตามอง นั่นคือภาระหนี้สะสมจากค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้จากกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ซึ่งแตะตัวเลขสูงถึง 2,315 ล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนและหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัดส่วนกว่า 76.3% ของหนี้ก้อนนี้มาจากพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นจุดที่มีการเคลื่อนย้ายแรงงานมากที่สุด มีแรงงานต่างด้าวที่เข้ารับบริการมากกว่า 8.7 แสนครั้ง มีถึง 52.8% ที่ไม่สามารถชำระค่ารักษาได้ทั้งหมดหรือไม่มีสิทธิรองรับใดๆ สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางทางเศรษฐกิจของกลุ่มประชากรนี้ แม้ว่าจะมีระบบการคัดกรองและบริหารจัดการ แต่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งตัวแรงงานและครอบครัว การที่แรงงานส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำและไม่สามารถเข้าถึงสิทธิการรักษาที่ครอบคลุมได้ นำไปสู่การเข้าไม่ถึงบริการที่จำเป็นหรือการเข้าถึงเมื่ออาการหนักแล้ว ซึ่งย่อมส่งผลให้การรักษาซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามมา ก่อให้เกิดวงจรหนี้สินที่ไม่สิ้นสุด และในทางกลับกัน ภาระหนี้ก้อนใหญ่นี้ได้กลายเป็น “ต้นทุนทางสังคม” ที่สถานพยาบาลในพื้นที่ต้องแบกรับ โดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็กในพื้นที่ชายแดนที่ต้องรับมือกับความต้องการบริการที่สูงเกินขีดความสามารถ   ผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขไทย ภาระหนี้ 2,315 ล้านบาท ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการของโรงพยาบาลอย่างรุนแรง งบประมาณที่ต้องนำมาใช้เพื่อทดแทนค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้ อาจส่งผลให้งบลงทุนด้านการพัฒนาศักยภาพทางการแพทย์ การจัดซื้อเครื่องมือ การบริหารจัดการบุคลากรต้องชะลอตัวลง หรือแม้แต่การขยายบริการพื้นฐานต้องถูกตัดทอนลง สถานพยาบาลขนาดเล็กหลายแห่งที่ตั้งอยู่ใน 31 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ ไม่เพียงต้องทำงานเกินขีดความสามารถ แต่ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วย่อมกระทบต่อคุณภาพการบริการที่ประชาชนชาวไทยจะได้รับในที่สุดนั่นเอง   สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เรียกเก็บไม่ได้จากคนต่างด้าว 🇲🇲ชายแดนไทย–เมียนมา 76.3% เรียกเก็บไม่ได้ 1,800 ล้านบาท 🇰🇭ชายแดนไทย–กัมพูชา 12% เรียกเก็บไม่ได้ 277 ล้านบาท 🇱🇦ชายแดนไทย–ลาว 7.8% เรียกเก็บไม่ได้ 180 ล้านบาท 🇲🇾ชายแดนไทย–มาเลเซีย 4% เรียกเก็บไม่ได้ 93 ล้านบาท จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า แรงงานจากกัมพูชามีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เรียกเก็บไม่ได้สูงสุดที่ 277 ล้านบาท ตามมาด้วยลาว 180 ล้านบาท และเมียนมา 160 ล้านบาท ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างทางสิทธิประโยชน์และนโยบายการคุ้มครองสุขภาพระหว่างประเทศ แม้ว่าภาพรวมหนี้จะมาจากชายแดนเมียนมาเป็นหลัก แต่การเจาะลึกข้อมูลทำให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงกลไกความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเข้าใจและร่วมมือกันในมิติของการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ภาระหนี้ก้อนโตจากค่ารักษาพยาบาลแรงงานข้ามชาติไม่ใช่เพียงเรื่องของงบประมาณที่ขาดหายไปเท่านั้น แต่เป็นกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของระบบสาธารณสุขชายแดนไทย ที่มีทั้งมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง การแก้ไขปัญหาจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อร่วมกันสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืนและเป็นธรรมสำหรับทุกคนในสังคมอย่างแท้จริงนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – กรุงเทพธุรกิจ – ข่าวคนจริง   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ระบบสาธารณสุขไทย #สาธารณสุขไทย #ค่ารักษาต่างด้าว #แรงงานต่างด้าว

พามาเบิ่ง ไทยต้องแบก “ค่ารักษาต่างด้าว” กว่า 2.3 พันล้าน ภาระนี้ ชายแดนไทย-กัมพูชา อ่วมหนัก 277 ล้าน อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง ครึ่งปีแรก 2568 “อีสานโกยรายได้ท่องเที่ยว” พุ่งทะลุ 5.8 หมื่นล้าน‼️ เติบโตเกือบ 7%

ท่องเที่ยวอีสานฟื้นแรง‼️รายได้ครึ่งปีทะลุ 5.8 หมื่นล้าน เปิดโอกาสธุรกิจใหม่กลางแดนอีสาน ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2568 ภาคอีสานของเรา มีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมทั้งภูมิภาคพุ่งทะลุ 58,057 ล้านบาท เติบโตขึ้นเกือบ 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน โดยถือเป็นสัญญาณเชิงบวกอย่างยิ่งสำหรับเศรษฐกิจฐานรากของภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง การพักผ่อน และการใช้จ่ายในระดับชุมชน 4 จังหวัดหลักกุมสัดส่วนรายได้กว่า 54% จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าพื้นที่ 4 จังหวัดหลักของอีสาน อย่างเช่น นครราชสีมา, ขอนแก่น, อุดรธานี และอุบลราชธานี ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้านรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างมั่นคง โดยสร้างรายได้รวมกันถึงกว่า 31,600 ล้านบาท หรือคิดเป็นกว่า 54.4% ของทั้งภูมิภาคเลยทีเดียว ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทในฐานะประตูเศรษฐกิจอีสานที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน สายการบิน การคมนาคมทางถนน และระบบสาธารณูปโภคที่รองรับการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบนั่นเอง นครราชสีมา ยังคงเป็นแชมป์ด้วยรายได้กว่า 11,197 ล้านบาท จากความหลากหลายด้านการท่องเที่ยว ทั้งวัฒนธรรม ธรรมชาติ และเมืองพักผ่อนปลายทางอย่างเขาใหญ่ ตามมาด้วย ขอนแก่น และ อุดรธานี ทำรายได้ไล่หลังมาติดๆ ด้วยบทบาทศูนย์กลางเศรษฐกิจตอนบนของอีสาน มีทั้งมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลชั้นนำ และธุรกิจ MICE (การจัดประชุม/สัมมนา) และ อุบลราชธานี แม้จะอยู่ชายแดน แต่ก็เติบโตจากทั้งการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และศักยภาพของสนามบินที่เชื่อมต่อกับเมืองใหญ่ทั่วประเทศ   หนองคาย ดาวรุ่งชายแดนลุ่มน้ำโขง ในอันดับที่ 5 อย่าง หนองคาย กวาดได้กว่า 4,779 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเกิดจากบทบาทของการเป็นเมืองหน้าด่านติด สปป.ลาวโดยเฉพาะสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่เปิดช่องทางให้การค้าชายแดนคึกคัก รวมถึงการเดินทางของนักท่องเที่ยวลาวและเวียดนาม ที่นิยมต่อรถเข้ามาชอปปิ้ง รักษาสุขภาพ หรือพักผ่อนในฝั่งไทย โดยเฉพาะที่จังหวัด อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬซึ่งมีศูนย์การค้า โรงพยาบาลเอกชน และคลินิกความงามครบครัน พฤติกรรมการท่องเที่ยวลักษณะนี้ทำให้ธุรกิจบริการข้ามแดน อย่างเช่น ศัลยกรรม เช่าเหมารถ การจัดทัวร์รายวัน และธุรกิจร้านอาหาร-ร้านขายของฝาก ได้อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงจำนวนมากเลยทีเดียว   อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือ “ค่าใช้จ่ายต่อคนในการท่องเที่ยว” ซึ่งชี้ให้เห็นพฤติกรรมและกำลังซื้อของนักเดินทาง โดยจังหวัดที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสูง ได้แก่ – ขอนแก่น มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว 3,190 บาท/คน – อุดรธานี มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว 2,753 บาท/คน – หนองคาย มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว 2,488 บาท/คน – นครราชสีมา มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว 2,445 บาท/คน จากข้อมูลนี้แสดงให้เห็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ การศึกษา และการคมนาคม มักมีนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากกว่านักท่องเที่ยวแบบประหยัด เพราะจุดหมายเหล่านี้ดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังจ่ายสูง ทั้งชาวไทยและเพื่อนบ้าน ทำให้ธุรกิจระดับกลางถึงบน ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรู สปา คลินิกเวชกรรม

พาเปิดเบิ่ง ครึ่งปีแรก 2568 “อีสานโกยรายได้ท่องเที่ยว” พุ่งทะลุ 5.8 หมื่นล้าน‼️ เติบโตเกือบ 7% อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ธุรกิจอีสานรายได้ปังไม่แพ้ใคร ธุรกิจเหล่านี้มีรายได้ในปี 2567 เท่าไหร่?

ภาคอีสานหนึ่งภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการเป็นที่ตั้งของธุรกิจขนาดใหญ่หลากหลายแห่ง หลายบริษัทไม่เพียงเป็นที่รู้จักในระดับประเทศเท่านั้น หากแต่ยังขยายกิจการไปต่างประเทศ ทั้งในรูปแบบของการตั้งสาขา หรือในรูปแบบของการทำการค้าก็ดี ซึ่งไม่เพียงแต่จะสรา้งชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือให้บริษัท แต่ยังรวมถึงการสร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถูกให้กับประเทศด้วยเช่นกัน ในปี 2567 ที่ผ่านมา ภาคอีสานมีธุรกิจจดทะเบียนดำเนินกิจการอยู่มากกว่าหลายหมื่นราย แต่มีเพียง 6 บริษัทเท่านั้นที่สามารถสร้างรายได้แตะระดับหมื่นล้านบาทได้สำเร็จ ซึ่งน่าสนใจว่าในจำนวนนี้ถึงครึ่งหนึ่ง หรือ 3 บริษัท เป็นธุรกิจค้าทองคำ โดยสามารถทำรายได้ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่ผู้บริโภคยังคงให้ความเชื่อมั่น โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญความผันผวนจากโรคระบาดและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามในต่างประเทศ ส่งผลให้ราคาทองคำขยับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นทั้งเครื่องมือรักษามูลค่าทรัพย์สินและช่องทางในการเก็งกำไรของคนจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา หากพิจารณาธุรกิจที่มีรายได้มากกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไปในภาคอีสาน จะพบว่า ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจในภาคการผลิต ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของภาคการผลิตในฐานะหนึ่งในเครื่องยนต์หลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนธุรกิจที่มีรายได้มากกว่า 5,000 ล้านส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจภาคการผลิต แต่หากพิจารณาธุรกิจที่สามารถทำรายได้สูงสุดนั้นยังคงเป็นธุรกิจภาคการค้าและบริการ ได้แก่ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งนับเป็นธุรกิจค้าปลีกที่มีรายได้สูงที่สุดในภาคอีสาน ที่ยังคงขยายเครือข่ายสาขาครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจการค้าในภูมิภาคที่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ในภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมในภาคอีสาน รายได้รวมกว่า 70% ของภาคธุรกิจทั้งหมดมาจากกลุ่มการค้าและบริการ โดยเฉพาะในหมวดการขายส่ง-ขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นหมวดใหญ่ที่ครอบคลุมธุรกิจนับหมื่นรายทั่วภูมิภาค หากพิจารณาเชิงลึกภายในหมวดนี้ จะพบว่ากิจกรรมที่สร้างกำไรได้สูงสุด ได้แก่ “การขายปลีกเชื้อเพลิงยานยนต์ในร้านค้าเฉพาะ เช่น สถานีบริการน้ำมัน” และ “การขายยานยนต์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ รถตู้ หรือรถขนาดเล็กประเภทต่าง ๆ” ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้มีสัดส่วนรายได้และกำไรสูงที่สุดในหมวด แสดงให้เห็นถึงความต้องการใช้พลังงานและการขนส่งในชีวิตประจำวันของประชาชนที่ยังคงเติบโต แม้ว่าหากดูตัวเลขของยอดรถจดทะเบียนใหม่นั้นจะมีจำนวนที่ลดลงอย่างต่อเนื่องก็ตาม ขณะที่รายได้อีกกว่า 25% มาจากภาคการผลิต ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจอีสาน โดยกิจกรรมหลักที่สร้างรายได้สูงในกลุ่มนี้ ได้แก่ “การสีข้าว” และ “การผลิตสตาร์ชมันสำปะหลัง” ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับภาคเกษตรกรรมโดยตรง และสะท้อนถึงบทบาทของภาคอีสานในฐานะพื้นที่ผลิตวัตถุดิบสำคัญของประเทศ ทั้งในด้านข้าวและมันสำปะหลังที่มีบทบาททั้งในตลาดภายในและการส่งออก ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ภาคอีสานไม่ได้เป็นเพียง “พื้นที่ชนบท” ดังภาพจำในอดีตอีกต่อไป หากแต่กำลังกลายเป็น “ภูมิภาคเศรษฐกิจสำคัญ” ที่มีบทบาทอย่างชัดเจนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในแง่ของมูลค่าทางธุรกิจ ความหลากหลายของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และศักยภาพในการเติบโตในอนาคต ภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจที่ผสมผสานทั้งภาคการค้า ภาคการผลิต และภาคเกษตรกรรมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน การเติบโตของธุรกิจขนาดใหญ่ในอีสาน โดยเฉพาะในกลุ่มทองคำ พลังงาน ยานยนต์ และเกษตรแปรรูป ไม่เพียงแต่ตอกย้ำศักยภาพทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณชี้ว่า หากมีการวางแผนและสนับสนุนอย่างเหมาะสม ภาคอีสานอาจกลายเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว   อ้างอิง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พามาเบิ่ง🧐 ยักษ์ใหญ่แห่งที่ราบสูง ส่องบริษัทมหาชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีสาน

พามาเบิ่ง ธุรกิจอีสานรายได้ปังไม่แพ้ใคร ธุรกิจเหล่านี้มีรายได้ในปี 2567 เท่าไหร่? อ่านเพิ่มเติม »

ชายแดนเดือดอีกครั้ง‼️ พาเจาะลึกเบิ่ง “ปราสาทตาเมือนธม” 1 ใน 4 ปราสาทที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ในถิ่นไทย

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 เวลา 13:08 น. บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ได้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายและเสียงทะเลาะดังสนั่นระหว่างคนไทยกับคนกัมพูชาที่ต่างอ้างสิทธิในพื้นที่ ซึ่งแม้เหตุการณ์จะไม่ลุกลามเป็นความรุนแรง แต่ได้สะท้อนถึงรอยร้าวที่ยังคงคุกรุ่นในดินแดนชายแดน “ปราสาทตาเมือนธม” คือโบราณสถานขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มปราสาทตาเมือน ตั้งอยู่ในอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ไม่ไกลจากชายแดนไทย-กัมพูชา ตัวปราสาทสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอม ภายหลังการล่มสลายของขอมโบราณ ปราสาทหลายแห่งกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะตั้งอยู่บนพื้นที่สูง มองเห็นเส้นทางลำเลียงและแนวป้องกันทางธรรมชาติได้อย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ ปราสาทหลายแห่ง อย่างเช่น ตาเมือนธม จึงไม่ได้เป็นเพียงมรดกทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นมรดกทางยุทธศาสตร์โดยปริยาย เป็นทั้งจุดควบคุมพรมแดน เขตทหาร และเป้าหมายของความขัดแย้งเชิงสัญลักษณ์ที่ดึงเอาเรื่องวัฒนธรรมมาเป็นฉากหน้าเพื่อต่อรองด้านอื่นที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า   พรมแดนไม่เคยนิ่ง จากข้อพิพาทไทย–กัมพูชา หากย้อนไปในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา ความขัดแย้งหลักล้วนมีจุดร่วมอยู่ที่พรมแดนที่ยังไม่มีข้อยุติ และทรัพยากรทางวัฒนธรรมที่ซ้อนทับกัน ไม่ว่าจะเป็นกรณีปราสาทพระวิหาร ที่ศาลโลกตัดสินให้ตกเป็นของกัมพูชาในปี 2505 และนำไปสู่ข้อพิพาทซ้ำซ้อนในปี 2551-2554 รวมถึงการปะทะระหว่างทหารที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตและชาวบ้านต้องอพยพออกจากพื้นที่หลายพันคน ในกรณีปราสาทตาเมือนธม ความขัดแย้งเดิมสงบนิ่งหลังจากเหตุการณ์รุนแรงช่วงปี 2548-2554 แต่ในปัจจุบันกระแสของการทวงคืนวัฒนธรรมก็กลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อกัมพูชามีการขึ้นทะเบียนโบราณสถานในพื้นที่ชายแดน ซึ่งไทยมองว่าเป็นการกระทำฝ่ายเดียว และไม่ยอมรับเขตแดนตามแผนที่ฝรั่งเศสยุคล่าอาณานิคม ล่าสุดในปี 2568 กัมพูชาได้มีการจัดกิจกรรมบริเวณใกล้ปราสาท พร้อมมีป้ายเขียนภาษาเขมรและธงชาติกัมพูชาปรากฏอยู่ในพื้นที่ที่คนไทยถือว่าอยู่ฝั่งไทย จุดชนวนให้เกิดความไม่พอใจของชาวบ้าน รวมถึงการปะทะด้วยวาจาอย่างรุนแรง   โบราณสถานชายแดน อย่างเช่นปราสาทตาเมือนธม หรือแม้แต่ปราสาทพระวิหาร ไม่เพียงมีค่าในเชิงวัฒนธรรม แต่ยังเป็นทรัพยากรเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ การค้าชายแดน และการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในอาเซียน โดยหลายปีที่ผ่านมา พื้นที่เหล่านี้เคยถูกเสนอเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้เกิดการค้าระหว่างประเทศ และยกระดับชุมชนชายแดนให้พึ่งพาตนเองได้ผ่านการท่องเที่ยวและงานหัตถกรรม แต่แล้วความไม่แน่นอนของอธิปไตยทางวัฒนธรรม กลับกลายเป็นอุปสรรคหลักที่ทำให้การลงทุนระยะยาวหยุดชะงัก ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจในเสถียรภาพทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก รวมถึงช่างฝีมือท้องถิ่น นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว ชุมชนในพื้นที่ชายแดนยังเผชิญกับความไม่มั่นคงในชีวิต การค้าขายตามแนวชายแดนชะงักงัน วิถีชีวิตดั้งเดิมถูกรบกวน และความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่เคยแน่นแฟ้นระหว่างสองฝั่งต้องถดถอยลงอีกด้วย หากภาครัฐสามารถเจรจาอย่างสงบ สร้างกลไกการบริหารจัดการร่วมในลักษณะแหล่งมรดกร่วมแบบพหุภาคี อย่างเช่นเดียวกับกรณี “เคบายา” ในอาเซียน หรือแม้แต่ “โขน-ละครโขล” ในปี 2561 ที่ต่างฝ่ายต่างขึ้นทะเบียนแต่ไม่ขัดแย้ง ก็จะเป็นประตูที่เปิดให้การท่องเที่ยวชายแดนกลายเป็นสันติภาพทางเศรษฐกิจแทนการปะทะทางการเมืองนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – Matichon – True ID – Thai PBS – Spring News   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ปราสาทตาเมือนธม

ชายแดนเดือดอีกครั้ง‼️ พาเจาะลึกเบิ่ง “ปราสาทตาเมือนธม” 1 ใน 4 ปราสาทที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ในถิ่นไทย อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง 8 “ชุดไทย” พระราชนิยม ที่ถูกเสนอขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ของ ยูเนสโก ปี 2569

ไทยได้เสนอ “ชุดไทย” ขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ของยูเนสโก ปี 2569 หลังมีประเด็นกัมพูชายื่นชุดคล้ายชุดไทย ฮู้บ่ว่า? นอกจาก “ชุดไทย” แล้ว “มวยไทย” กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์ ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาขึ้นทะเบียนมรดกระดับสากลในปี 2571 เพื่อยกระดับ Soft Power ไทยบนเวทีโลกอย่างสร้างสรรค์ พามาเบิ่ง 8 “ชุดไทย” พระราชนิยม ที่ถูกเสนอขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ของ ยูเนสโก ปี 2569 หลังมีประเด็น กัมพูชา ยื่นชุดคล้ายชุดไทย . “ชุดไทย” เป็นอัตลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นไทย มีมายาวนานกว่า 1,400 ปี โดยพบว่ามีการนุ่งและห่มตั้งแต่สมัย ทวารวดี – อยุธยา – รัตนโกสินทร์ตอนต้น พัฒนาการสำคัญของชุดไทยในปี 2503 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทรงมีพระราชดำริให้ศึกษาและฟื้นฟูรูปแบบการแต่งกายสตรีไทย สร้างสรรค์ ชุดไทยสตรี 8 แบบ และ ชุดสุภาพบุรุษ 3 แบบ ใช้ฉลองพระองค์ในโอกาสเสด็จเยือน สหรัฐอเมริกา และยุโรป อย่างเป็นทางการ แสดงให้เห็นถึง “ความงาม + เอกลักษณ์ไทย” ต่อสายตาชาวโลก การใช้ชุดไทยในชีวิตประจำวัน สวมใส่ใน งานพิธีสำคัญ งานรัฐพิธี งานศาสนา เป็นแนวปฏิบัติทางสังค ของคนไทยในทุกภูมิภาค ส่งเสริม งานหัตถศิลป์ไทย เช่น การทอผ้า การตัดเย็บ การปัก และประดับลวดลาย สถานะชุดไทยในระดับชาติและสากล ในปี 2566 ขึ้นบัญชี มรดกวัฒนธรรมของชาติ 26 มี.ค. 2567 ครม.เห็นชอบเสนอขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโก ในชื่อ “ชุดไทย: ความรู้ งานช่างฝีมือ และแนวปฏิบัติการแต่งกายชุดไทยประจำชาติ” เตรียมพิจารณาในปี 2569 ในการประชุม UNESCO (สมัยที่ 21) ข่าวลือกัมพูชายื่นชุดคล้ายชุดไทย กัมพูชาจะเสนอ ‘ประเพณีแต่งงาน’ โดยสอดแทรก ‘ชุดไทย’ เป็นมรดกโลกนั้น ไม่เป็นความจริง กรมส่งเสริมวัฒนธรรมตรวจสอบแล้ว ยูเนสโกยังอยู่ในขั้นตอนให้แต่ละประเทศปรับแก้ข้อมูลข้อเสนอสำหรับปี 2025-2026 และไม่มีหลักฐานว่ากัมพูชาจะอ้างอิงถึง ‘ชุดไทย’ แต่อย่างใด ชุดไทยพระราชนิยม 8 แบบได้ถือกำเนิดขึ้นในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปและสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ เมื่อพุทธศักราช 2503 ได้พระราชทานพระราชดำริว่า สมควรที่จะสรรค์สร้างการแต่งกายชุดไทยให้เป็นไปตามประเพณีที่ดีงาม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการศึกษา ค้นคว้าเครื่องแต่งกายสมัยต่าง ๆ จากพระฉายาลักษณ์ของเจ้านายฝ่ายใน และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ แต่ให้มีการปรับปรุงพัฒนาให้เหมาะสมกับกาลสมัย ทรงเสนอรูปแบบที่หลากหลาย และได้ฉลองพระองค์อย่างงดงามเป็นแบบอย่าง

พามาเบิ่ง 8 “ชุดไทย” พระราชนิยม ที่ถูกเสนอขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ของ ยูเนสโก ปี 2569 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐 ยักษ์ใหญ่แห่งที่ราบสูง ส่องบริษัทมหาชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีสาน

ฮู้บ่ว่า? บริษัทมหาชนของไทยที่มีรายได้รวมและกำไรสูงสุดยังคงเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเลียม ไม่ว่าจะเป็น ปตท. ไทยออยล์ หรือบางจาก เป็นต้น ส่วนต่อมาเป็นของกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นต้น ที่สามารถสร้างรายได้และทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลการส่งงบการเงินปี 2567 พบว่า ประเทศไทยมีบริษัทจำกัด (มหาชน) ที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่มากกว่า 1,200 แห่ง กระจายตัวอยู่ในหลายภูมิภาคทั่วประเทศ โดยในภาคอีสาน มีบริษัทจำกัด (มหาชน) อยู่ประมาณ 15 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบธุรกิจในภาคการผลิต ซึ่งอาจจะมีจำนวนบริษัทที่ไม่มากเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นก็ตามแต่ก็ยังคงถือว่าเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีสานให้ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ การแปรสภาพมาเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) มักมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือ และเพิ่มศักยภาพในการระดมทุนจากประชาชนทั่วไปหรือนักลงทุนสถาบัน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงานและขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้ ภายใต้ข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น บริษัทมหาชนจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่เข้มงวด ทั้งด้านการเปิดเผยข้อมูล การส่งงบการเงิน และการกำกับดูแลกิจการอย่างโปร่งใส ซึ่งกลไกเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนและสาธารณชนในระยะยาว   ตารางที่ 1 รายชื่อธุรกิจที่มีการจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดในภาคอีสานปี 2567 ชื่อบริษัท ชื่อหุ้น รายได้รวม ปี 2567 (ล้านบาท) รายได้รวม %YoY กำไร ปี 2567 (ล้านบาท) กำไร %YoY ราคาหุ้น ณ วันที่ 9 ก.ค. 68 (บาท) จังหวัด กิจกรรม บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) GLOBAL 32,484 -0.13 2,115 -16.42 5.1 ร้อยเอ็ด ขายส่งวัสดุก่อสร้าง บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) NER 27,496 9.69 1,652 6.91 4.08 บุรีรัมย์ ผลิตยางแผ่นและยางแท่ง บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) UBE 3,285 5.77 675 29.2 0.5 อุบลราชธานี ผลิตเคมีภัณฑ์ บริษัท พี.ซี.เอส. แมชีน กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) PCSGH 4,008 -19.34 132 63.31

พามาเบิ่ง🧐 ยักษ์ใหญ่แห่งที่ราบสูง ส่องบริษัทมหาชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

🔎พาเปิดเบิ่ง ภาคอีสาน เบอร์ 1 ผลผลิต “มันสำปะหลัง” เยอะสุดในประเทศ กว่า 16.2 ล้านตัน

ราคามันสำปะหลังไทย “ดิ่งเหว” ต่ำสุดรอบ 10 ปี เมื่อจีนหันไปปลูกเอง และภาคอีสานต้องเป็นผู้รับกรรมหรือไม่⁉️ เมื่อพูดถึง “มันสำปะหลัง” คนส่วนใหญ่อาจมองว่าเป็นเพียงพืชเศรษฐกิจธรรมดาที่ไม่หรูหราเหมือนข้าวหอมมะลิหรือทุเรียนส่งออก แต่สำหรับภาคอีสานของเรา มันสำปะหลังถือว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจฐานรากที่สามทรถหล่อเลี้ยงครอบครัวนับล้านชีวิต  จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า อีสานคือเบอร์ 1 ของประเทศแหล่งผลิตมันสำปะหลัง กว่า 16.2 ล้านตัน และมีพื้นที่เพาะปลูกกว่า 5 ล้านไร่ โดยมีจังหวัดนครราชสีมานำมาเป็นอันดับ 1 (3.7 ล้านตัน) รองลงมาเป็น ชัยภูมิ และ อุบลราชธานีตามลำดับ แต่แล้ววันนี้ราคามันสำปะหลังในประเทศกลับตกต่ำซึ่งถือว่าต่ำสุดในรอบ 10 ปีเลยทีเดียว โดยหนึ่งในสาเหตุนั้นก็มาจาก จีน ผู้ซื้อหลักของไทยที่ได้หันไปปลูกเองเพื่อพึ่งพาตนเองทางอาหารและอุตสาหกรรม ซึ่งไทยเองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปที่คู่ค้ากำลังลดการพึ่งพาภายนอกจากไทย   📉จากสินค้าทำเงิน สู่พืชไร้ราคา เกษตรกรอีสานติดหล่มหนี้ ในภาวะที่ราคามันสำปะหลังตกต่ำ หลายครอบครัวในภาคอีสานได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะพืชชนิดนี้ไม่ใช่แค่สร้างรายได้เท่านั้น แต่คือความหวังของเกษตรกรจำนวนมากที่กู้หนี้เพื่อเตรียมพื้นที่ปลูก ซื้อปุ๋ย ยาฆ่าหญ้า ค่าน้ำมันไถนา และอื่นๆอีกมากมาย เพื่อหวังเก็บเกี่ยวแล้วขายให้มีเงินหมุนเวียนในครัวเรือน แต่แล้ววันนี้ราคาที่ตกต่ำกลับไม่สามารถแม้แต่จะคืนต้นทุนได้ ขณะเดียวกัน ภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพามันสำปะหลัง ไม่ว่าจะเป็น โรงงานผลิตแป้งมัน อาหารสัตว์ หรือเชื้อเพลิงชีวภาพ ก็เริ่มเผชิญปัญหาต้นทุนสูงขึ้น ขณะที่รายได้ลดลงตามราคาตลาด ทำให้เกิดการหดตัวทางเศรษฐกิจในหลายจังหวัดของภาคอีสาน   เกษตรกรวอนรัฐ “อย่าปล่อยให้ตายกลางไร่” เสียงของเกษตรกรดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา “เราไม่อยากได้แค่เงินเยียวยา แต่ต้องการแผนการฟื้นฟูและพัฒนาแบบยั่งยืน” ข้อเรียกร้องนี้สะท้อนว่าความช่วยเหลือแบบระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็นการรับจำนำ หรือเงินอุดหนุน ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงระบบได้   อ้างอิงจาก:  – สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร – ลงทุนแมน – Thai PBS   ติดตาม ISAN Insight ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsight #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #มันสำปะหลัง #อุตสาหกรรมมันสำปะหลัง #อุตสาหกรรมมันสำปะหลังในอีสาน #มันสำปะหลังในอีสาน

🔎พาเปิดเบิ่ง ภาคอีสาน เบอร์ 1 ผลผลิต “มันสำปะหลัง” เยอะสุดในประเทศ กว่า 16.2 ล้านตัน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top