Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

สังคมคนโสด Solo Society – เปิดสถิติคนไทยวัยเจริญพันธุ์ โสด เกือบเท่าตัวของค่าเฉลี่ยทุกช่วงวัย

ฮู้บ่ว่า10 ปีผ่านไป คนไทยโสดเยอะขึ้นปานใด๋?เปิดสถิติคนไทยวัยเจริญพันธุ์ โสด เกือบเท่าตัวของค่าเฉลี่ยทุกช่วงวัย.สถิติคนโสดภาคอีสานของไทยข้อมูลจำนวนคนโสด:ปี 2561: สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่า มีคนโสดวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) ในภาคอีสานอยู่ที่ ร้อยละ 41.2 ของประชากรทั้งหมด แบ่งเป็นเพศชาย ร้อยละ 39.7 และเพศหญิง ร้อยละ 42.7ปี 2564: สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศค.) ประเมินว่า สัดส่วนคนโสดในภาคอีสานน่าจะอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 43-44ข้อมูลเพิ่มเติม:เพศ: พบว่าผู้หญิงโสดมีจำนวนมากกว่าผู้ชายโสดในภาคอีสานอายุ: คนโสดส่วนใหญ่ในภาคอีสานมีอายุอยู่ระหว่าง 20-39 ปีการศึกษา: พบว่าคนโสดในภาคอีสานมีการศึกษาสูงขึ้น โดยเฉพาะวุฒิปริญญาตรีอาชีพ: คนโสดในภาคอีสานส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมสถานะการสมรส: สาเหตุที่คนอีสานโสดมากขึ้น มาจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ผู้หญิงมีการศึกษาสูงขึ้น มุ่งเน้นการทำงาน ค่านิยมการแต่งงานเปลี่ยนแปลง ฯลฯ.ประเทศไทยปี 2566: คนโสดในไทยมีมากกว่าร้อยละ 26.1% เป็นคนโสดหรืออยู่คนเดียว (ครอบครัวบุคคล) กว่า 7 ล้านครัวเรือนคนโสดวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) ทั้งประเทศ 40.5%.โลกคาดการณ์ ปี 2573 จะมีคนโสด มากกว่า ร้อยละ 39.#ปัจจัย ที่ส่งผลต่อการเป็นคนโสด1) ค่านิยมทางสังคม ได้แก่ “SINK” (Single Income, No Kids) คนโสดรายได้ดีไม่เน้นมีลูก เน้นใช้จ่ายเพื่อตนเอง“PANK” (Professional Aunt, No Kids) ผู้หญิงโสดอายุ 30+ รายได้ดี ไม่เน้นมีลูก ให้ความสำคัญกับหลาน และครอบครัว“Waithood” คนโสดรอการมีความรัก อันเนื่องจากสถานะทางเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคง2) ความต้องการ/ความคาดหวังไม่สอดคล้องกันวัฒนธรรมเอเชีย ที่ความคาดหวังต่อผู้หญิงทั้งการหาเงินและการเป็นแม่บ้าน รวมถึงปัญหาการอยู่ร่วมกันของครอบครัวใหญ่ความต้องการหรือสเปคที่ต่างกัน เช่น ผู้หญิงต้องการแฟนที่ตัวสูงกว่า ในขณะที่ผู้ชายไม่คบผู้หญิงที่สูงกว่า เป็นต้น3) โอกาสพบปะผู้คนน้อยลงคนโสดทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 43.2 ชม./สัปดาห์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยรวมที่ 42.3 ชม./สัปดาห์4) ขาดนโยบายส่งเสริมหรือเอื้อต่อการมีคู่ การสร้างครอบครัว และการมีบุตรสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และสถานะทางการเงินของประชากรไทย ทำให้การสมรส และการสร้างครอบครัวเป็นไปได้ยากมากขึ้น#ผลกระทบ จากสังคมคนโสด ข้อเสีย: โครงสร้างประชากรประเทศและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุข้อดี: คนโสดมีการใช้จ่ายเพื่อตัวเองในสัดส่วนที่สูงกว่าคนที่มีครอบครัว.อย่างไรก็ตาม ยังมี โอกาส ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ ความท้าทาย ดังนี้โอกาสทางธุรกิจ: สินค้าและบริการสำหรับคนโสดที่สูงอายุ, บ้านพักคนชรา เพราะคนโสดจะพึ่งพาตนเอง และไม่มีลูกหลานเลี้ยงตูยามแก่เฒ่าโอกาสในการพัฒนาทักษะ: ทักษะดิจิทัล, การท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์จะตอบโจทย์กลุ่มคนโสดโอกาสในการสร้างสังคมใหม่: การทำธุรกิจจัดหาคู่, การทำ matching date ในไทยยังไม่มีหรือไม่เป็นที่นิยมเหมือนในต่างประเทศคาดการณ์การเติบโตด้านค่าใช้จ่ายครัวเรือนบุคคล ปี ค.ศ.2040 มูลค่าค่าใช้ของครัวเรือนบุคคล(ที่อยู่คนเดียว) ของไทยจะเติบโตขึ้น 140% จากปัจจุบัน.ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ต่างใช้วิธีการแก้ไข ปัญหาที่เกิดขึ้นจาก สังคมคนโสดซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรของประเทศทั้งสังคมผู้สูงอายุ การเกิดที่ต่ำ […]

สังคมคนโสด Solo Society – เปิดสถิติคนไทยวัยเจริญพันธุ์ โสด เกือบเท่าตัวของค่าเฉลี่ยทุกช่วงวัย อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง อีสานมีบ้านหลายสำได่ รวมข้อมูลสถิติจำนวนบ้านในแต่ละจังหวัดของอีสานบ้านเฮา!

ฮู้บ่ว่ามากกว่า 1 ใน 4 ของสิ่งปลูกสร้างอยู่ที่ภาคอีสาน โดยในภาคอีสานมีบ้านกว่า 7.5 ล้านหลัง จาก 27.7 ล้านหลังทั่วไทย ISAN Insight and Outlook พาส่องเบิ่ง อีสานมีบ้านหลายสำได่ รวมข้อมูลสถิติจำนวนบ้านในแต่ละจังหวัดของอีสานบ้านเฮา! . มื่อนี่เฮามาพร้อมข้อมูลที่น่าสนใจหลายเด้อ! รู้บ่ว่าแต่ละจังหวัดในอีสานมีจำนวนบ้านเท่าไหร่บ้าง? จากเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความคึกคักอย่างนครราชสีมา ไปจนถึงชุมชนอันเงียบสงบในบึงกาฬ ทุกพื้นที่ต่างมีลักษณะบ้านเรือนที่สะท้อนถึงความหลากหลายและวิถีชีวิตของคนอีสานที่ไม่เหมือนกัน . ข้อมูลสถิติเหล่านี้บ่ได้มีแค่ตัวเลข แต่ยังสะท้อนภาพการเติบโตของชุมชน ความหนาแน่นของประชากร และแนวโน้มของการพัฒนาเมืองในอนาคต หากเฮามองลึกลงไป การรู้ว่าจังหวัดใดมีบ้านหลายหรือหน่อย ยังสามารถช่วยในเรื่องการวางแผนโครงสร้างพื้นฐาน การจัดสรรทรัพยากร และการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อีกด้วย . ที่มา กรมการปกครอง สำนักงานสถิติ . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #จำนวนบ้านในอีสาน

พาส่องเบิ่ง อีสานมีบ้านหลายสำได่ รวมข้อมูลสถิติจำนวนบ้านในแต่ละจังหวัดของอีสานบ้านเฮา! อ่านเพิ่มเติม »

🔎ชวนเบิ่ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ปี 2567 ในอีสานสูงกว่า 24,389 ล้านบาท

💸ภาคอีสานมีมูลค่าการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรอยู่ 47,417 ล้านบาท โดยภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นประเภทภาษีที่มีมูลค่าการจัดเก็บภาษีได้มากที่สุดในอีสานกว่า 24,389 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 52% โดยเหตุผลที่ทำให้สามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้มากที่สุด สาเหตุมาจากภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีทางอ้อมที่ผู้บริโภคทุกคนต้องจ่ายเพิ่ม เมื่อมีการซื้อสินค้าและบริการ จึงทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่มมีการจัดเก็บได้มากที่สุด    5 อันดับจังหวัดที่มีการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มมากที่สุด – นครราชสีมา 5,410 ล้านบาท – ขอนแก่น 4,368 ล้านบาท – อุบลราชธานี 2,357 ล้านบาท – อุดรธานี 1,730 ล้านบาท – บุรีรัมย์ 1,236 ล้านบาท . จะเห็นได้ว่าจังหวัดที่มีการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มมากที่สุดจะอยู่ใน 2 จังหวัดหลักของอีสาน อย่างนครราชสีมาและขอนแก่น เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีประชากรหนาแน่นและมีรายได้เฉลี่ยค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสาน ทำให้มีกำลังซื้อสินค้าและบริการสูงตามไปด้วย ซึ่งส่งผลให้เกิดการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น   ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการคมนาคมขนส่ง ทำให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลายและเกิดการซื้อขายสินค้าและบริการจำนวนมาก ซึ่งเป็นฐานภาษีมูลค่าเพิ่มที่สำคัญ    อีกทั้งยังมีภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การผลิตสินค้าในปริมาณมาก ส่งผลให้เกิดการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มในขั้นตอนการผลิตและการจำหน่ายสินค้า   นอกจากภาคอุตสาหกรรมแล้ว ภาคบริการในทั้ง 2 จังหวัดก็เติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น ภาคการท่องเที่ยว ภาคการค้าปลีก และภาคบริการอื่นๆอซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าและบริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม     อ้างอิงจาก: – กรมสรรพากร   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ภาษีมูลค่าเพิ่ม #ภาษี #ภาษีเงินได้นิติบุคคล #ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา #สรรพากร

🔎ชวนเบิ่ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ปี 2567 ในอีสานสูงกว่า 24,389 ล้านบาท อ่านเพิ่มเติม »

🔎พาเปิดเบิ่ง ปี 2567 คนอีสานจ่ายภาษีกว่า 47,417 ล้านบาท มาจากจังหวัดไหนบ้าง💸

💸ภาคอีสานมีมูลค่าการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรทั้งหมดรวมกัน อยู่ที่ 47,417 ล้านบาท โดยภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นประเภทภาษีที่มีมูลค่าการจัดเก็บภาษีได้มากที่สุดในอีสานกว่า 24,389 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 52% รองลงมาภาษีที่จัดเก็บได้ คือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล 11,636 ล้านบาท และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 8,913 ล้านบาท ตามลำดับ   5 อันดับจังหวัดที่มีการจ่ายภาษีมากที่สุด – นครราชสีมา 11,930 ล้านบาท – ขอนแก่น 7,664 ล้านบาท – อุบลราชธานี 4,228 ล้านบาท – อุดรธานี 3,289 ล้านบาท – บุรีรัมย์ 2,678 ล้านบาท   จะเห็นได้ว่าจังหวัดที่มีการจ่ายภาษีมากที่สุดจะกระจุกตัวอยู่ใน 5 จังหวัดหลักของอีสาน เนื่องจากจังหวัดเหล่านี้มีขนาดเศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการจ้างงานและเพิ่มรายได้ให้กับคนในจังหวัด ซึ่งนำไปสู่การจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ประชากรในจังหวัดเหล่านี้ยังมีจำนวนมากทำให้ฐานผู้เสียภาษีที่กว้างขึ้นตามไปด้วย   อีกทั้งยังมีทั้งภาคอุตสาหกรรม การค้า การบริการ และเกษตรกรรมที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดนครราชสีมาที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญของภาคอีสาน ทำให้มีการขนส่งสินค้าและบริการจำนวนมาก ซึ่งส่งผลให้เกิดการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องที่มากกว่าจังหวัดอื่นๆ   ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า อุตสาหกรรมในนครราชสีมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง    โดยศักยภาพของจังหวัดนครราชสีมาที่เป็นจังหวัดที่มีกำลังซื้อสูงและเป็นเมืองท่องเที่ยว เมืองแห่งอารยธรรมหลาย ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไทย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่นักลงทุนภาคเอกชนจะไม่ยอมปล่อยโอกาสให้เสียเปล่าไปแบบไร้ประโยชน์ โดยปัจจุบันนครราชสีมามีการลงทุนจากภาคเอกชนซึ่งได้ทุ่มเม็ดเงินจำนวนมากมายังจังหวัดหัวเมืองภาคอีสานอย่างนครราชสีมา และยังมีการลงทุนของกลุ่มทุนค่าปลีกต่างๆอีกมากมาย ซึ่งส่งผลให้เกิดการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมากกว่าจังหวัดอื่นๆ ถือเป็นแหล่งรายได้ภาษีที่สำคัญในภาคอีสานเลยทีเดียว     อ้างอิงจาก: – กรมสรรพากร – Terrabkk.com   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ภาษีมูลค่าเพิ่ม #ภาษี #ภาษีเงินได้นิติบุคคล #ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา #สรรพากร

🔎พาเปิดเบิ่ง ปี 2567 คนอีสานจ่ายภาษีกว่า 47,417 ล้านบาท มาจากจังหวัดไหนบ้าง💸 อ่านเพิ่มเติม »

38 ปีของความไว้วางใจ ไปที่ไหนกี่ครั้งก็สุขหัวใจทุกครั้ง เมื่อไปกับ…นครชัยแอร์

เมื่อพูดถึงการเดินทางไปยังต่างจังหวัด เรามีตัวเลือกที่หลากหลายให้เลือกใช้ แต่หากพูดถึงการเดินทางด้วยรถทัวร์ เชื่อว่าหนึ่งในชื่อที่หลายคนจะนึกถึงและพูดถึงในวงสนทนาอย่างแน่นอนก็คือ “นครชัยแอร์” บริษัทที่เป็นที่รู้จักและได้รับความไว้วางใจมาอย่างยาวนาน นครชัยแอร์เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดยคุณจักรินทร์ วงศ์เบญจรัตน์ ทายาทของนายซง วงศ์เบญจรัตน์ ผู้ก่อตั้ง “นครชัยขนส่ง” โดยเริ่มดำเนินกิจการเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2529 ด้วยเส้นทางเดินรถระหว่างกรุงเทพฯ-ขอนแก่น และกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี โดยใช้รถโดยสารเพียง 20 คันในระยะแรก เพียงหนึ่งปีต่อมา บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ใหม่ด้วยการเป็นเจ้าแรกที่ใช้คำว่า “รถนอนพิเศษ” พร้อมลดจำนวนที่นั่งในรถจาก 42 เหลือเพียง 32 ที่นั่ง โดยเน้นความกว้างขวางและสามารถปรับเอนนอนได้ แม้จะส่งผลให้ต้นทุนต่อรอบสูงขึ้น แต่กลยุทธ์นี้ช่วยดึงดูดลูกค้าที่มองหาความสะดวกสบายในการเดินทางระยะไกล แม้ค่าบริการจะสูงกว่าคู่แข่งก็ตาม ในปี พ.ศ. 2535 นครชัยแอร์ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม ด้วยการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจองตั๋วและสำรองที่นั่ง ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) และเพิ่มความสะดวกให้ทั้งผู้โดยสารและพนักงาน ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 บริษัทได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการขนส่ง ด้วยการเปิดตัวบริการ “NCA First Class” ที่มีที่นั่งเพียง 21 ที่เท่านั้น มอบประสบการณ์การเดินทางที่เป็นส่วนตัวและสะดวกสบายอย่างเหนือชั้น บริการนี้ได้รับการตอบรับอย่างดี แม้ราคาจะสูงกว่าตั๋วโดยสารทั่วไปประมาณ 100-200 บาท เนื่องจากผู้โดยสารยอมจ่ายเพื่อความสบายและคุณภาพที่ดีขึ้น ในปัจจุบัน นครชัยแอร์ยังคงพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง โดยนำรถลำตัวยาว 15 เมตร (safety coach) มาใช้ในบริการ First Class เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวก นอกจากนี้ ทุกที่นั่งของนครชัยแอร์ยังติดตั้งหน้าจอความบันเทิงส่วนตัว ซึ่งเป็นจุดเด่นที่หลายบริษัทคู่แข่งยังไม่มี เนื่องจากต้นทุนที่สูง ทั้งในด้านการติดตั้ง ค่าลิขสิทธิ์เนื้อหา และค่าบำรุงรักษาระยะยาว แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลงทุนเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ผู้โดยสาร   นครชัยแอร์แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตและการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยในปี พ.ศ. 2556 บริษัทได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังอาคารที่ 109 ถนนวิภาวดีรังสิต เขตจตุจักร เพื่อรองรับการขยายตัวของกิจการ และล่าสุด เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ได้ย้ายสำนักงานใหญ่อีกครั้งไปยัง 21/88 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ เพื่อสอดรับกับการเติบโตและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 นครชัยแอร์ยังแสดงถึงความสามารถในการปรับตัวตามสถานการณ์ โดยปรับปรุงภายในรถโดยสารให้รองรับมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อลดความใกล้ชิดระหว่างผู้โดยสาร และเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการอาหารจากการรับประทานบนรถ เป็นการจอดพักให้ผู้โดยสารลงไปรับประทานอาหารแทน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ   วิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบรุนแรงต่อหลากหลายธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนส่งมวลชน ซึ่งพึ่งพาผู้โดยสารในการสร้างรายได้ แต่สถานการณ์โรคระบาดที่บีบบังคับให้ผู้คนต้องกักตัวอยู่บ้าน ลดการเดินทาง และทำงานแบบ Work from Home ส่งผลให้ความต้องการใช้บริการขนส่งมวลชนลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ การปิดประเทศในหลายพื้นที่ทั่วโลกเพื่อควบคุมการระบาด ยังส่งผลให้การเดินทางเพื่อธุรกิจและการท่องเที่ยวแทบหยุดชะงัก ส่งผลให้ธุรกิจขนส่งหลายแห่งต้องเผชิญกับปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน บางรายต้องปลดพนักงาน

38 ปีของความไว้วางใจ ไปที่ไหนกี่ครั้งก็สุขหัวใจทุกครั้ง เมื่อไปกับ…นครชัยแอร์ อ่านเพิ่มเติม »

โรงไฟฟ้าพลังงานขยะขอนแก่น ต้นแบบด้านความยั่งยืนและพลังงานแห่งอีสาน

การนำขยะมาผลิตเป็นไฟฟ้า เป็นแนวคิดด้านความยั่งยืนที่เริ่มนิยมขึ้นในยุคสมัยใหม่ซึ่งผู้คนใส่ใจและให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และการใช้พลังงานทดแทนนอกเหนือจากฟอสซิล ซึ่งภาคอีสานได้มีการนำขยะ มาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าแล้วที่ “โรงไฟฟ้าขยะชุมชนขอนแก่น” ตั้งอยู่ที่ บ้านคำบอน หมู่ 7 ต.โนนท่อน อ.เมืองขอนแก่น โรงไฟฟ้าขยะชุมชนขอนแก่น เดิมเป็นสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยของทน.ขอนแก่น ต่อมาได้มีการร่วมมือกับเอกชนอย่างบริษัท อัลไลแอนซ์ คลีน เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) (ACE) ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ของประเทศ และเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดของไทย โรงไฟฟ้าขยะนี้เปิดดำเนินการเมื่อพ.ศ.2558 ภายใต้พื้นที่ 24 ไร่ โดยสามารถกำจัดขยะได้ 450 ตันต่อวัน โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าสูงสุด 6 เมกะวัตต์ต่อวัน  กระบวนการผลิตไฟฟ้าจากขยะทำได้โดยขนขยะจากชุมชนขอนแก่นเข้ามายังโรงไฟฟ้า จากนั้นทำการเผาขยะด้วยอุณหภูมิ 850 – 1,050 องศาเซลเซียส ไอร้อนจากการเผาจะถูกนำไปใช้ในการปั่นเครื่องเครื่องผลิตไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จะถูกนำไปจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและกระจายสู่ชุมชนรอบๆ เทศบาลขอนแก่นเป็นแห่งแรกๆ ในอีสานที่มีการนำขยะมาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า การร่วมมือกับเอกชนเป็นเรื่องดีในด้านงบประมาณและการจัดการ แต่ก็ยังมีอุปสรรคและปัญหา หลักๆคือปริมาณขยะจากชุมชนตกค้างที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้กำจัดขยะได้ไม่ทัน นอกจากนั้นชุมชนรอบๆได้มีการร้องเรียนเรื่องมลพิษทางกลิ่นและน้ำเสียที่มาจากโรงไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าชุมชนขอนแก่น ถือได้ว่ามาถูกทางและเป็นกรณีศึกษาสำคัญในการใช้พลังงานทดแทนในอีสาน เป็นผลดีแก่การจัดตั้งและจัดการโรงไฟฟ้าขยะที่จะเกิดขึ้นในภาคอีสานและประเทศไทยในอนาคตต่อไป #โรงไฟฟ้าขยะ #สิ่งแวดล้อม   อ้างอิงจาก ระบบสารสนเทศ ด้านการกำจัดขยะมูลฝอยชุมชน Absolute Clean Energy Public Company Limited ศูนย์ข่าวพลังงาน Thai PBS ศูนย์ข่าวภาคอีสาน  

โรงไฟฟ้าพลังงานขยะขอนแก่น ต้นแบบด้านความยั่งยืนและพลังงานแห่งอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง 8 อันดับธุรกิจ ใน vs นอก ตลาดหุ้น ที่มีรายได้มากที่สุดในภาคอีสาน

พาเปิดเบิ่ง 8 อันดับธุรกิจที่มีรายได้มากที่สุดในภาคอีสาน . (1) บริษัทในตลาดหุ้น ภาคอีสานของเราก็มีหลายบริษัทที่สามารถเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ ซึ่งมีกว่า 17 บริษัทเลยทีเดียว แต่อีสานอินไซต์จะขอยกตัวอย่างมาเพียง 8 บริษัทในตลาดหุ้นที่มีรายได้รวมมากที่สุด . เมื่อพูดถึงภาคอีสานคนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงการทำเกษตรกรรมอย่างการปลูกข้าวนาปี, ยางพารา, มันสำปะหลัง และอ้อย นอกจากนี้แรงงานกว่า 37% ก็อยู่ในภาคการเกษตรด้วยเช่นกัน นั่นจึงส่งผลดีต่อธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรอย่างน้ำตาลขอนแก่น (KSL), แปรรูปมันสำปะหลัง (UBE) และ (PQS), ยางแผ่น (NER)  . โดยหุ้นที่มีรายได้มากที่สุดในภาคอีสานก็คงหนีไม่พ้น วัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน รายใหญ่ระดับประเทศอย่างโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) และดูโฮม (DOHOME)  . และก็ยังมีหุ้นน้องใหม่มาแรงในปีนี้อย่างเจ้าสัว (CHAO) อีกด้วย . แต่ความมั่งคั่งของคนภาคอีสานนั้นกลับกระจุกตัวอยู่จังหวัดหัวเมืองหลักของภาคอีสาน จึงทำให้ธุรกิจต่าง ๆ เริ่มต้นจากจังหวัดใหญ่ ๆ อย่างจังหวัดนครราชสีมาอย่างชิ้นส่วนยานยนต์ (PCSGH) . จะเห็นได้ว่าธุรกิจใหญ่หลาย ๆ ตัวมีจุดเริ่มต้นมาจากต่างจังหวัด ก็สามารถเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ ซึ่งการเริ่มต้นธุรกิจในต่างจังหวัดนี้ ก็เป็นเพียงหนึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้ธุรกิจเหล่านี้เติบโตและเป็นที่รู้จักขึ้นมาได้ แต่ก็ยังมีการทำการตลาดอื่น ๆ นอกจากนี้อีกด้วย อย่างการมีเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ชัดเจนและการทำการตลาดที่ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ . . (2) บริษัทนอกตลาดหุ้น ส่วนบริษัทนอกตลาดหุ้นที่มีรายได้รวมที่มากก็มีเยอะเช่นเดียวกัน อาจจะเป็นเพราะมีหลายปัจจัยภายในที่ยังไม่มีแพลนที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้นในเร็วๆนี้ . โดย 8 อันดับบริษัทที่มีรายได้รวมมากที่สุดในอีสาน ก็มักจะอยู่จังหวัดหัวเมืองของภาคอีสานเช่นเดียวกัน อย่างนครราชสีมา และขอนแก่น  . จังหวัดขอนแก่น มี “บจก.ห้างทองทองสวย” ที่ประกอบกิจการร้านขายทอง และ “บจก.นำรุ่งโรจน์” ที่ประกอบกิจการการขายส่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ . ส่วนจังหวัดนครราชสีมาก็หลากหลายบริษัท อย่าง “บจก.นำกิจการ” ที่ประกอบกิจการขายส่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  “บจก.เอสอีดับเบิ้ลยูที โคราช” และ “บจก.ฮิตาชิ แอสเตโม โคราช เบรก ซิสเตมส์” ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ “บจก.ศิลาบริการขนส่ง” ประกอบกิจการขายส่งสินค้าทั่วไป “บจก.คาสิโอ (ประเทศไทย)” ประกอบกิจการการผลิตนาฬิกา “บจก.ฟูไน (ไทยแลนด์)” ประกอบกิจการการผลิตเครื่องรับวิทยุเครื่องบันทึก . จะเห็นได้ว่าบริษัทที่มีรายได้รวมมากที่สุดในนครราชสีมาส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทจากต่างชาติที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตภายในจังหวัด ถึงก็แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพขอจังหวัดที่มีเหล่านักลงทุนจากหลาย ๆ ที่ให้ความสนใจในการลงทุนภายในจังหวัด  . ซึ่งก็จะปฏิเสธไม่ได้ว่า นครราชสีมาตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกต่อการคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ทางรถไฟ และทางอากาศ ทำให้การขนส่งวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปไปยังตลาดต่างๆ ทั่วประเทศและต่างประเทศทำได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ทำให้ช่วยลดต้นทุนในการกระจายสินค้า . นอกจากนี้ การที่นครราชสีมามีบริษัทที่เป็นฐานการผลิตจำนวนมาก ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของจังหวัดในด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น โรงงานอุตสาหกรรมสามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่จำนวนมาก . อย่างไรก็ตาม การมีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมได้เช่นกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการโรงงานอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น . .

พาเปิดเบิ่ง 8 อันดับธุรกิจ ใน vs นอก ตลาดหุ้น ที่มีรายได้มากที่สุดในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง จำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ปี2566

“ฮู้บ่ว่า? จำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมของภาคอีสานบอกอะไรเราได้บ้าง?” . ภาคอีสาน, ดินแดนที่เปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งของแรงงาน และเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ข้อมูลจำนวนผู้ประกันตนในแต่ละประเภทในพื้นที่นี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขธรรมดา แต่สะท้อนถึงโครงสร้างการจ้างงานและทิศทางการพัฒนาอย่างแท้จริง! มาตรา 33: ตัวเลขแรงงานที่ทำงานในบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ หากมีการเปลี่ยนแปลง จะส่งผลต่อภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในอีสาน ขยายหรือหดตัว? ตัวเลขนี้ตอบได้! มาตรา 39: แสดงถึงผู้ที่ยังคงรักษาสิทธิประโยชน์ แม้จะออกจากการเป็นลูกจ้างแล้ว สะท้อนความต้องการความมั่นคงในสวัสดิการ แม้ต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้น มาตรา 40: กับยุคของแรงงานอิสระที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นสัญญาณว่าคนในภาคอีสานกำลังปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม . การเข้าใจตัวเลขเหล่านี้ช่วยให้เรามองเห็นภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจในอีสาน ว่าจะก้าวไปทางไหน และยังช่วยกำหนดทิศทางนโยบายที่จะสนับสนุนแรงงานในภูมิภาคนี้ได้อย่างตรงจุด! . “เพราะในโลกของเศรษฐกิจและสังคม ตัวเลขไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความมั่นคงและคุณภาพชีวิตให้กับคนอีสาน” . ที่มา  สำนักงานประกันสังคม . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight . . #ISANInsight #อีสานอินไซต์ #อีสาน #ผู้ประกันตน#ผู้ประกันตนอีสาน2566

พาส่องเบิ่ง จำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ปี2566 อ่านเพิ่มเติม »

อุดรธานี กับบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน

อุดรธานี กับบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน สงครามเย็น (พ.ศ. 2490-2534) เป็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกา (นำโดยฝ่ายประชาธิปไตยและทุนนิยม) และสหภาพโซเวียต (นำโดยฝ่ายคอมมิวนิสต์) เป็นการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ การเมือง และการแย่งชิงอิทธิพลในระดับโลก โดยประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะพันธมิตรของสหรัฐฯ และพื้นที่ยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จังหวัดอุดรธานี มีความสำคัญมากในช่วงสงครามเย็นและสงครามเวียดนาม เนื่องจากเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศซึ่งสหรัฐฯ ใช้เป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติการทางทหารในอินโดจีน โดยสามารถสรุปเหตุการณ์สำคัญช่วงสงครามเย็นในอุดรธานี ได้ดังต่อไปนี้ พ.ศ. 2488-2489 : การอพยพครั้งใหญ่ของชาวเวียดนาม หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสและเวียดนามภายใต้การนำของโฮจิมินท์ประทุขึ้น คนเวียดนามหลายชีวิต หลบหนีการปราบจากฝรั่งเศส ข้ามฝั่งมายังชายแดนฝั่งโขงของไทย ในพื้นที่ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร(ในขณะนั้นยังคงเป็นอำเภอ) และขยายถิ่นฐานมาตั้งรกรากยังอุดรธานีและขอนแก่น พ.ศ. 2497 : การเข้ามามีบทบาทของสหรัฐฯ ในอีสาน สหรัฐฯ ภายใต้การนำของปธน. จอห์น เอฟ เคนเนดี เริ่มเข้ามามีบทบาทในการป้องกันการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งเป็นการเปิดฉากสงครามเวียดนาม ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าประเทศไทยเป็น “แนวหน้า” ของการต่อสู้กับการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายพื้นที่ในอีสาน รวมถึงอุดรธานี กลายเป็นพื้นที่สำคัญแก่กองทัพสหรัฐฯ ในการตั้งฐานทัพ พ.ศ. 2497-2505: เศรษฐกิจอุดรฯ ถูกพลิกโฉม สหรัฐฯ ได้มีการสนับสนุนงบประมาณ ในการก่อสร้างถนนมิตรภาพที่ตัดผ่านใจกลางเมืองอุดรจนแล้วเสร็จ รวมไปถึงเส้นทางรถไฟ และขยายถนนในแถบอีสานตอนบน ซึ่งวลีที่ว่า “ถนนไปที่ไหน ความเจริญไปที่นั่น” คงชัดเจนในกรณีของอุดรฯ ซึ่งเมืองอุดรในช่วงสงครามเวียดนามได้กลายเป็นศูนย์กลางการซื้อขายพืชเศรษฐกิจ การค้า การบริการ มีคนจีนอพยพเข้ามาค้าขายมาก ส่งผลเศรษฐกิจของอุดรธานีได้เจริญเติบโตในช่วงนี้ พ.ศ. 2507: กำเนิด “ค่ายรามสูร” เมืองอุดร ถูกเลือกเป็น 1 ใน 9 ที่ตั้งฐานทัพสหรัฐฯ ในไทยเพื่อการสนับสนุนกำลังรบ และได้สร้าง “ค่ายรามสูร” เพื่อเป็นสถานีตรวจจับสัญญาณวิทยุ ฐานทัพมีทหารประจำการกว่า 8,500 คน ก่อให้เกิดการจ้างงานคนท้องที่กว่า 10,000 คนเพื่อเป็นลูกจ้างและเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ คนอุดรฯ มีการค้าขายและให้บริการกับทหารสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้เศรษฐกิจอุดรธานี ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พ.ศ. 2519: สิ้นสุดสงคราม อุดรซบเซา หลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม กองทัพสหรัฐเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และได้ถอนกำลังทหารออกจากไทย รวมถึงในอุดรฯ ส่งผลคนท้องที่สูญเสียแหล่งรายได้จากการจ้างงานและการค้าขายกับทหารสหรัฐฯ เศรษฐกิจของจังหวัดจึงได้ซบเซาลงอย่างรวดเร็ว เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี พ.ศ. 2531: จาก “ฐานทัพ” สู่ “ศูนย์กลางการค้าแห่งอีสาน” เศรษฐกิจจังหวัดอุดรธานีได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง ในยุคสมัยของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ที่ได้ประกาศนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ส่งผลให้อุดรฯ ที่ใกล้กับเวียงจันทร์ กลับมาเป็นศูนย์กลางการค้าของอีสานและได้พัฒนามาจวบจนปัจจุบัน ผลจากช่วงสงครามเย็นต่อเมืองอุดรฯในปัจุบัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างพื้นฐานหลายแห่งในอุดรธานียังคงเป็นมรดกจากช่วงสงครามเย็น ยกตัวอย่างที่สำคัญ

อุดรธานี กับบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง 3 ร้านอาหารดัง ที่ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงในท้องถิ่น แต่ยังทำรายได้ทะลุ 100 ล้าน

วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพาทุกท่านมาเบิ่ง 3 ร้านอาหารดัง ที่ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงในท้องถิ่น แต่ยังทำรายได้ทะลุ 100 ล้าน แต่ละร้านมีจุดเด่นและเคล็ดลับความสำเร็จที่น่าสนใจจนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่ามาดูกัน   ตำกระเทย หรือ ตำกระเทย สาเกต ร้านส้มตำแสนแซ่บจากแดนอีสาน โดยมีจุดเริ่มต้นจากคุณจิรเดช เนตรวงค์ จากอดีตพนักงานขายวัสดุก่อสร้างและพนักงานรับจ้างทั่วไป จนถึงพ่อค้าคนกลางและพนักงานขายตรง เขาได้พลิกบทบาทมาสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร พร้อมสร้างแบรนด์น้ำปลาร้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของร้าน คนอีสานกับส้มตำและน้ำปลาร้านั้นเป็นของคู่บ้านคู่เมืองกัน และหากถูกปรุงด้วยฝีมืออันจัดจ้าน ย่อมทำให้รสชาติแซ่บ นัว และถูกปากจนสามารถครองใจลูกค้าได้ไม่ยาก สิ่งนี้กลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้ร้านตำกระเทยได้รับความนิยม แม้ตลาดส้มตำจะดูเหมือนง่ายต่อการเข้าถึง แต่ก็เต็มไปด้วยคู่แข่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งรายเล็กที่มัดใจลูกค้าด้วยรสชาติที่กินอยู่ประจำ คู่แข่งขนาดกลางที่มีจุดขายในตัวเลือกที่หลากหลายและลูกเล่นต่างๆที่เพิ่มขึ้น ไปจนถึงคู่แข่งรายใหญ่ที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ร้านตำกระเทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างจุดยืนของตัวเอง หากไม่สามารถรักษาความแตกต่างและเอกลักษณ์ไว้ได้ ก็อาจทำให้เสียเปรียบได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม จากรายได้จะพบว่าร้านตำกระเทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี แม้อาจมีความผันผวนจากต้นทุนวัตถุดิบ แต่ธุรกิจก็ยังคงเดินหน้าได้อย่างมั่นคง นอกจากนี้ ร้านยังได้ขยายธุรกิจด้วยการเปิดตัวแบรนด์น้ำปลาร้าที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง โดยเน้นจุดขายเรื่องรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ทำให้ลูกค้าสามารถนำไปใช้ทำส้มตำที่บ้านได้เหมือนทานที่ร้าน ความสำเร็จของตำกระเทยไม่ได้มาจากเพียงแค่รสชาติที่แซ่บถึงใจ แต่ยังรวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาด และการสร้างแบรนด์ที่มีตัวตนชัดเจน   วี ที แหนมเนือง ร้านอาหารเวียดนามชื่อดังจากอุดรธานีที่ครองใจผู้บริโภคมายาวนาน มีจุดเริ่มต้นจากคุณทอง กุลธัญวัฒน์ ลูกชายคนที่สามของครอบครัวที่สืบทอดสูตรอาหารต้นตำรับจากบรรพบุรุษ คุณทองได้เริ่มกิจการที่จังหวัดอุดรธานีในปี พ.ศ. 2540 โดยใช้ชื่อร้านว่า “วี ที แหนมเนือง” ซึ่งชื่อร้านมีความหมายลึกซึ้ง “วี” มาจากชื่อคุณย่าวี และ “ที” มาจากชื่อคุณปู่ตวน คุณทองยังมีพี่สาวคือคุณแดง วิภาดา จิตนันทกุล ผู้ที่สืบทอดกิจการร้านแดงแหนมเนืองจากคุณแม่ที่จังหวัดหนองคายจนประสบความสำเร็จ และร้านแดงแหนมเนืองยังได้รับการยกย่องให้เป็น “ห้องรับแขกประจำจังหวัดหนองคาย” ส่วน วี ที แหนมเนืองนั้น ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากผู้บริโภค ด้วยความสดใหม่ของวัตถุดิบ รสชาติที่อร่อยคงที่ และการบริการที่ใส่ใจลูกค้า ทำให้ลูกค้ากลับมาทานซ้ำไม่ว่าจะเป็นครั้งไหนก็ยังคงประทับใจเหมือนครั้งแรก แม้ว่าจะมีการขยายสาขาไปทั่วประเทศจนกลายเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดแหนมเนือง แต่ผลประกอบการในปี พ.ศ. 2566 พบว่ารายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 257 ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนขายสูงถึง 265 ล้านบาท รวมกับค่าใช้จ่ายในการบริหารและการขายอีก 19 ล้านบาท ทำให้ในปีนั้นบริษัทขาดทุนสุทธิ -42 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ธุรกิจร้านอาหารมักมีเงินสดหมุนเวียนในระบบทุกวัน และการใช้เครดิตเทอมสำหรับค่าใช้จ่ายบางส่วนช่วยสร้างสภาพคล่องแก่ธุรกิจได้ นอกจากนี้ การลงทุนเพื่อขยายกิจการหรือเพิ่มศักยภาพในระยะยาวอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตัวเลขกำไรในระยะสั้น สำหรับการแข่งขันในตลาดอาหารเวียดนามที่เน้น “แหนมเนือง” แม้คู่แข่งรายใหญ่จะมีไม่มาก แต่ในพื้นที่ต้นตำรับอย่างอุดรธานีและหนองคาย กลับมีร้านแหนมเนืองหลากหลายที่ต่างชูเอกลักษณ์เฉพาะตัว สิ่งที่ร้านส่วนใหญ่มีเหมือนกันคือการใส่ใจในความสดสะอาดของผัก ซึ่งมักเป็นปัจจัยแรกที่ลูกค้าใช้ตัดสินใจเลือกซื้อ สิ่งที่ทำให้ วี ที แหนมเนือง โดดเด่นคือการยึดมั่นในคุณภาพของวัตถุดิบ หากผักไม่สดสมบูรณ์ 100% ทางร้านจะกำจัดทิ้งทันทีแม้ต้องเสียต้นทุนเพิ่ม เพราะร้านให้ความสำคัญกับความเชื่อมั่นของลูกค้ามากกว่าผลกำไรในระยะสั้น ความใส่ใจในรายละเอียดเช่นนี้ทำให้ วี ที แหนมเนือง ยังคงเป็นชื่อที่ลูกค้าไว้วางใจเสมอเมื่อนึกถึงอาหารเวียดนามคุณภาพดีที่มีมาตรฐานระดับประเทศ   โชคชัยสเต็กเฮ้าส์

พามาเบิ่ง 3 ร้านอาหารดัง ที่ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงในท้องถิ่น แต่ยังทำรายได้ทะลุ 100 ล้าน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top