Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

พามาเบิ่ง .. “อีสาน” อันดับที่ 1 มีปริมาณอ้อยมากที่สุดในไทยกว่า 46 ล้านตัน

ในปีการผลิต 2566/67 ประเทศไทยมีปริมาณอ้อยรวมกันอยู่ที่ 98.8 ล้านตัน และมีผลผลิตต่อไร่อยู่ที่ 8.91 ตัน/ไร่ แล้วรู้หรือไหมว่าภาคอีสานปริมาณอ้อยมากแค่ไหน?   โดยในภาคอีสานของเรามีปริมาณอ้อยรวมกันมากกว่า 46 ล้านตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 46.3% ของปริมาณอ้อยรวมทั้งหมดในประเทศ และมีผลผลิตต่อไร่อยู่ที่ 9.23 ตัน/ไร่ ซึ่งทั้งปริมาณอ้อยและผลผลิตต่อไร่มากเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศ เนื่องจากมีพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างอ้อย และมีโรงงานน้ำตาลตั้งอยู่ 23 แห่ง   อีกทั้งจะเห็นได้ว่า ภาคอีสานได้เปรียบได้ด้านผลผลิตต่อไร่ที่สูงกว่าทุกภูมิภาค อยู่ที่ 9.23 ตัน/ไร่ ซึ่งทางศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ภาคที่ 4 จ.อุดรธานีเอง ก็ได้มีการวิเคราะห์คุณภาพดิน น้ำ และปุ๋ย ให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยต่อไร่ให้สูงขึ้น    และยังลดการใช้ปุ๋ยเกินความจำเป็น ปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินทรายในระยะยาว เพื่อลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและเพิ่มรายได้จากการมีผลผลิตที่มีคุณภาพ รวมถึงการแจกพันธุ์อ้อยส่งเสริมของ สอน. ให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยและผู้ที่สนใจ (สายพันธุ์ CSB11 – 307, CSB11 – 613 และ CSB15 – 221) ซึ่งเป็นสายพันธุ์อ้อยที่นักวิจัยของ สอน. ได้มีการปรับปรุงสายพันธุ์ เพื่อเพิ่มผลผลิตตันต่อไร่ มีค่าความหวานสูง ทนทานต่อโรคและแมลงในอ้อย และสามารถเติบโตในสภาพพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้เป็นอย่างดีอีกด้วย   ปริมาณอ้อยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่จังหวัดที่เป็นฐานการผลิตน้ำตาลของกลุ่มธุรกิจน้ำตาลรายใหญ่ระดับประเทศ อย่างกลุ่มมิตรผล, กลุ่มวังขนาย, กลุ่มไทยรุ่งเรือง, กลุ่ม Thai Sugar Mill, กลุ่มน้ำตาลครบุรี และน้ำตาลขอนแก่น ทำให้เกษตรกรสามารถนำอ้อยไปขายได้สะดวกและรวดเร็ว   ภาคอีสานกลายเป็นแหล่งผลิตอ้อยที่สำคัญของประเทศไทย และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคอีกด้วย การปลูกอ้อยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในชุมชน อีกทั้งกระบวนการผลิตอ้อยและแปรรูปน้ำตาล สร้างงานให้กับคนในพื้นที่ทั้งในโรงงานและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง และการมีอุตสาหกรรมน้ำตาลขนาดใหญ่ ทำให้เกิดการลงทุนในกิจการที่เกี่ยวเนื่อง เช่น การขนส่ง โลจิสติกส์ และบริการอื่นที่เกี่ยวเนื่องอีกด้วย     อ้างอิงจาก:  – สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและนํ้าตาลทราย – ฐานเศรษฐกิจ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightandOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #อ้อย #ปริมาณอ้อย #ผลผลิตอ้อย #อ้อยในอีสาน #ปริมาณอ้อยในอีสาน 

พามาเบิ่ง .. “อีสาน” อันดับที่ 1 มีปริมาณอ้อยมากที่สุดในไทยกว่า 46 ล้านตัน อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง งบการเงินเจ้าสัว ขนมขบเคี้ยวรายได้พันล้าน

คุณเพิ่ม โมรินทร์ (แซ่เตีย) เป็นชาวจีนที่อพยพเข้ามาหาโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าในเมืองไทยโดยเขาเริ่มต้นธุรกิจด้วยการนำเงินและทรัพย์สินที่มีติดตัวมาร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดร้านขายของชำที่ย่านคลองเตย ต่อมาได้ย้ายถิ่นฐานมาจังหวัดนครราชสีมา โดยในปี 2501 ได้เปิดร้านสาขาพลล้าน จากการสังเกตเห็นว่าชาวบ้านนิยมเลี้ยงหมูเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมองว่าจังหวัดนครราชสีมาเปรียบเสมือนประตูสู่อีสาน ซึ่งน่าจะมีการพัฒนาได้อีกมาก เขาจึงแปรรูปเนื้อหมูเป็นหมูหยองและหมูแผ่น พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย จนกลายเป็นสินค้ายอดนิยมในปัจจุบัน หากพิจารณาสัดส่วนของรายได้ จะพบว่า 3 อันดับแรกของรายได้หลักมาจาก ข้าวตัง ซึ่งทำยอดขายสูงสุดที่ 471 ล้านบาท ในปี 2566 คิดเป็น 31.5% ของรายได้จากการขายสินค้า ข้าวตังเป็นสินค้ายอดนิยมของเจ้าสัวที่ผู้บริโภคคุ้นเคยเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นขนมที่เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย สามารถรับประทานเล่นหรือทานคู่กับอาหารอื่นก็ได้ อีกทั้งยังหาซื้อได้ง่าย ทำให้ข้าวตังของเจ้าสัวครองใจผู้บริโภคมายาวนาน ถัดมาคือ ขนมขบเคี้ยวแปรรูปจากเนื้อหมู ซึ่งทำรายได้ 297 ล้านบาท คิดเป็น 20% ของรายได้จากการขายสินค้า และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหนึ่งมาจากการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใช้ชีวิตเร่งรีบมากขึ้น ทำให้ขนมประเภทนี้เป็นทางเลือกที่เข้าถึงง่ายและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อันดับที่สามคือ แครกเกอร์ธัญพืช ซึ่งทำรายได้ 232 ล้านบาท คิดเป็น 15.5% ของรายได้จากการขายสินค้า จุดเด่นของแครกเกอร์ธัญพืชคือการเป็นขนมขบเคี้ยวที่สอดคล้องกับเทรนด์รักสุขภาพ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ส่งผลให้สินค้ากลุ่มนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี นอกจากรายได้จากการขายสินค้าแล้ว การดำเนินธุรกิจย่อมมาพร้อมกับ ต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกบริษัทต้องบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้ ต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของรายได้ในแต่ละปี อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 บริษัทสามารถสร้าง กำไรสุทธิที่เติบโตสูงถึง 614.7% ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนและการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ผลประกอบการที่ดีขึ้นไม่เพียงส่งผลเชิงบวกต่อนักลงทุนในตลาดหุ้น แต่ยังสะท้อนถึงการขยายตัวของฐานผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขนมขบเคี้ยวไทยยังมีน้อยเมื่อเทียบกับแบรนด์ต่างประเทศ แต่เจ้าสัวมองเห็นโอกาสในการพัฒนา Local Snack จากวัตถุดิบไทยแท้ เช่น ข้าวตังหมูหยองและ Meat Snack ที่มีเอกลักษณ์และคุณค่าโภชนาการสูง เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ทั้งในไทยและตลาดต่างประเทศ โดยเน้นสร้างมูลค่าให้วัตถุดิบไทยและขยายตลาดขนมขบเคี้ยวไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ปัจจุบันแบรนด์เจ้าสัวมีทั้งอาหารและขนมรวมกันกว่าสามร้อยชนิด ในแต่ละปีจะมีสินค้าออกใหม่แปดถึงสิบตัว สินค้าตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายและ lifestyle ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ของผู้บริโภค ทั้งของทานเล่น และอาหารพร้อมปรุงพร้อมทาน ตอบโจทย์ทั้ง Ready to Eat & Ready to Cook พาซอมเบิ่ง “เจ้าสัว” แบรนด์ของฝากเจ้าดังโคราช ว่าที่หุ้นใหม่ภาคอีสาน อ้างอิงจาก เว็บไซต์ของบริษัท, แบบ 56-1 One Report, รายงานข้อมูลสรุปของการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชน, ลงทุนแมน, The Cloud

ชวนมาเบิ่ง งบการเงินเจ้าสัว ขนมขบเคี้ยวรายได้พันล้าน อ่านเพิ่มเติม »

Mondelēz ผู้ผลิตขนมหวานเจ้าใหญ่ของโลก ที่ลงทุน 1 ในโรงงานที่น้ำพอง ขอนแก่น

Chairman & CEO: Dirk Van De Put Mondelēz International บริษัทสัญชาติอเมริกันที่แยกตัวออกมาจาก Kraft Foods ในปี 2555   ชื่อบริษัท: บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ปีที่จดทะเบียน: พ.ศ. 2507 ทุนจดทะเบียน: 104 ล้านบาท สถานที่ตั้ง: เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ส่วนแบ่งการตลาดทั่วประเทศ: 50% ในกลุ่มผลิตลูกกวาดและขนม รายได้ปี 2566: 6,226 ล้านบาท (+17%) กำไรปี 2566: 328 ล้านบาท (+110%)   โรงงานลาดกระบังก่อตั้งในปี 2550 เป็นศูนย์กลางการผลิตที่ใหญ่ที่สุดสำหรับหมากฝรั่งและลูกอมในภูมิภาค AMEA โดยมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังกว่า 10 ประเทศ   ชื่อบริษัท: บริษัท มอนเดลีซ (ประเทศไทย) จำกัด ปีที่จดทะเบียน: พ.ศ. 2532 ทุนจดทะเบียน: 150 ล้านบาท สถานที่ตั้ง: อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ส่วนแบ่งการตลาดทั่วประเทศ: 18% ในกลุ่มผลิตลูกกวาดและขนม รายได้ปี 2566: 2,254 ล้านบาท (+7%) กำไรปี 2566: 707 ล้านบาท (+28%)   โรงงานขอนแก่นก่อตั้งในปี 2543 เป็นศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผลิตและส่งออกเครื่องดื่มชนิดผงในภูมิภาค AMEA (Asia, Middle East, Africa) ผลิตภัณฑ์ของโรงงานถูกส่งออกไปยัง 36 ประเทศ โดยฟิลิปปินส์และจีนเป็นตลาดหลัก คิดเป็นสัดส่วน 80% ของการส่งออกทั้งหมด นอกจากนี้ โรงงานขอนแก่นยังได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานที่แห่งแรกของ Mondelēz ที่เปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ได้สำเร็จ   ตัวอย่างสินค้าที่ขายในไทย Cadbury DAIRY MILK HALLS Clorets Dentyne OREO RITZ TOBLERONE   ไม่ว่าจะเป็น ‘บิด ชิมครีม จุ่มนม’ สโลแกนติดหูจากโฆษณาของโอรีโอที่หลายคนคุ้นเคยและทำตาม หรือ TOBLERONE ช็อกโกแลตที่โดดเด่นด้วยรูปทรงสามเหลี่ยม อันได้รับแรงบันดาลใจจากภูเขา Matterhorn ในสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงขนมชื่อดังอีกมากมาย ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การบริหารของ Mondelēz International (มอนเดลีซ) บริษัทข้ามชาติสัญชาติอเมริกันที่หลายคนคุ้นชื่อจากฉลากขนมที่เราหยิบทานกันอยู่บ่อยๆ

Mondelēz ผู้ผลิตขนมหวานเจ้าใหญ่ของโลก ที่ลงทุน 1 ในโรงงานที่น้ำพอง ขอนแก่น อ่านเพิ่มเติม »

🔎พาสำรวจเบิ่ง ตัวอย่างบริษัทยักษ์ใหญ่ในอีสานเหล่านี้ เสียภาษีไปมากแค่ไหน🏭💰

บริษัทที่เสียภาษีนิติบุคคลในไทยมีอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัทและกำไรสุทธิ โดยทั่วไปแล้วมี 2 อัตราหลักๆ คือ อัตราสำหรับ SME: หากบริษัทมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท และรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการตลอดทั้งปีไม่เกิน 30 ล้านบาท จะได้รับอัตราภาษีพิเศษสำหรับ SME โดยมีรายละเอียดดังนี้ กำไรสุทธิ 300,000 บาทแรก: ยกเว้นภาษี กำไรสุทธิ 300,001 – 3,000,000 บาท: 15% กำไรสุทธิมากกว่า 3,000,000 บาท: 20% อัตราทั่วไป: บริษัทที่ไม่เข้าข่าย SME จะเสียภาษีในอัตราคงที่ 20% ของกำไรสุทธิตั้งแต่บาทแรก โดยภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่จัดเก็บในปีงบประมาณ 2567 มีมูลค่าประมาณ 780,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้อันดับ 2 ของประเทศไทย รองจากภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) ที่มีมูลค่าประมาณ 950,000 ล้านบาท และจาก 20 บริษัทยักษ์ใหญ่ในอีสาน ที่เสียภาษีมากที่สุดบ่งบอกถึง ธุรกิจมีกำไรมาก และมีศักยภาพทางธุรกิจ เพราะแม้จะหักลดหย่อนภาษีแล้ว ก็ยังต้องจ่ายภาษี   จุดสังเกตของบริษัทที่ต้องจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล  บริษัทที่เรารู้จักรอบตัว จะทำบัญชีแบบไหนกันระหว่าง มี 2 บัญชี ยัดค่าใช้จ่ายตัวเองเข้าไปในค่าใช้จ่ายในบริษัทเยอะๆ ให้กำไรบางๆ บริษัทจะได้เสียภาษีน้อยๆ มีบัญชีเดียว ตรงไปตรงมา และยินดีเสียภาษีตามที่บริษัทกำไรจริง  แล้วคุณคิดว่า กิจการส่วนใหญ่เป็นแบบไหน?   ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือภาษีเงินได้นิติบุคคลที่รัฐเก็บได้ตอนนี้ มักจะเก็บได้จากบริษัทใหญ่ มากกว่าบริษัทขนาดเล็ก โดยเฉพาะบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์นั้น ต้องมีการทำบัญชีเดียว และชี้แจงบัญชีอย่างตรงไปตรงมาต่อตลาดทุน และนักลงทุน ซึ่งใน 20 อันดับมีอยู่ 3 บริษัท ที่เป็นบริษัท มหาชน (บมจ.) ได้แก่ บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์, บมจ.ดูโฮม, บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์, บมจ.โรงพยาบาลราชพฤกษ์, และ บมจ.พี.ซี.เอส. แมชีน กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่ง 20 อันดับที่กล่าวมานั้นจะพบว่า เป็นบริษัทที่อยู่ในภาคการค้า 4 บริษัท ได้แก่ โกลบอลเฮ้าส์, ดูโฮม ที่ค้าวัสดุก่อสร้าง, บจก.โตโยต้าดีเยี่ยม ที่เป็นตัวแทนค้ารถยนต์ และ บจก.ยิ่งยง มินิมาร์ท ที่อยู่ในธุรกิจค้าปลีก และยังเป็นผู้ถือสิทธิ์แฟรนไชส์ 7-11 ใน สุรินทร์ ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ และ อุบลราชธานี ส่วนอีก 15 บริษัท เป็นธุรกิจในภาคการผลิตหรือแปรรูป ทั้งผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เช่น

🔎พาสำรวจเบิ่ง ตัวอย่างบริษัทยักษ์ใหญ่ในอีสานเหล่านี้ เสียภาษีไปมากแค่ไหน🏭💰 อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง “ทุ่งกุลาร้องไห้” มีอะไรบ้าง🌾🍚✈️

“ทุ่งกุลาร้องไห้” เป็นทุ่งใหญ่ของภาคอีสานมีพื้นที่อยู่ในเขต 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดสุรินทร์ จํานวนพื้นที่ทั้งสิ้น 2,107,690 ไร่    ทำไมถึงเรียก “ทุ่งกุลาร้องไห้”   เดิมมีชื่อว่า ทุ่งหมาหลง หรือ ทุ่งป่าหลาน ที่ได้ชื่อว่า “ทุ่งกุลาร้องไห้” นั้น มีตํานานกล่าวว่ามีพ่อค้าชาวกุลาเดินเร่ขายสินค้าผ่านเข้ามาในทุ่งกว้างแห่งนี้จนเมื่อยล้ายังไม่พ้นทุ่งกว้างแห่งนี้ จึงมีชื่อว่า “ทุ่งกุลาร้องไห้”     ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ สินค้า GI รุกตลาดยุโรปรายแรกของไทย   ข้าวหอมทุ่งกุลาร้องไห้ ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้เป็น สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2550 โดยมีข้อกำหนดว่า ต้องปลูกในทุ่งกุลาร้องไห้ หมายถึงพื้นที่ภาคอีสาน 5 จังหวัด ได้แก่ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร ศรีสะเกษ และสุรินทร์ สินค้าที่ได้รับการรับรอง “จีไอ” จะได้รับการยอมรับจากตลาดหลักโดยเฉพาะในสหภาพยุโรปที่มีการใช้กฎหมายนี้เช่นเดียวกัน   ข้าวหอมทุ่งกุลาร้องไห้ คาดว่าเริ่มมีการนําเข้ามาปลูกหลังจากทางราชการมีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมมะลิและรับรองพันธุ์ในปี 2502 ในชื่อพันธุ์ “ขาวดอกมะลิ 105” ได้เริ่มดําเนินการอย่างกว้างขวางในปี 2524 โดยโครงการแลกเปลี่ยนพันธุ์ข้าวเน้นการเปลี่ยนพันธุ์ปลูกจากข้าวเหนียวเป็นพันธุ์ข้าวเจ้า จึงทําให้ข้าวหอมมะลิมีการปลูกอย่างแพร่หลาย   โดยข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ได้รับการขึ้นทะเบียน GI ในต่างประเทศ ได้แก่ – สหภาพยุโรป – สาธารณรัฐประชาชนจีน – อินโดนีเซีย – มาเลเซีย   จุดเด่นของพันธุ์นี้คืออะไร?   ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ คือ ข้าวเปลือก ข้าวกล้อง และข้าวขาว ที่แปรรูปมาจากข้าวเปลือกพันธุ์ข้าวหอมที่ไวต่อช่วงแสง ได้แก่ พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ กข 15 ซึ่งปลูกในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ในช่วงฤดูนาปี และมีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ ข้าวเปลือกมีสีฟาง เมล็ดข้าว ยาว เรียว และเมล็ดไม่มีหางข้าว เมล็ดข้าวที่ผ่านการสีแล้ว จะมีความเลื่อมมัน จมูกข้าวเล็ก   การที่ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ได้ขึ้นเป็นสินค้า GI นั้น นับว่าเป็นโอกาสทางการค้า การตลาด รวมถึงเป็นการยกระดับสินค้าชุมชนให้เป็นสินค้าข้าวคุณภาพที่ได้มาตรฐานการผลิต สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในด้านคุณภาพและความปลอดภัย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการท้องถิ่น และที่สำคัญเป็นการสร้างความภาคภูมิใจในทรัพยากรที่มีในท้องถิ่น รักษาภูมิปัญญาดั้งเดิม และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน   สำหรับสถานการณ์ด้านตลาด พบว่า เกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกข้าวหอมมะลิ GI มีตลาดรองรับผลผลิตที่ชัดเจนรวมถึงยังมีการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่านตลาดออนไลน์

พาเปิดเบิ่ง “ทุ่งกุลาร้องไห้” มีอะไรบ้าง🌾🍚✈️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง ตัวอย่าง อาณาจักร “เทศกาลดนตรี” แดนอีสาน แหล่งกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นสร้างมูลค่ามหาศาล

ท่ามกลางความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ส่งผลให้หลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบและถดถอย แต่ยังมีอีกหนึ่งอุตสาหกรรมเป็น hidden gem ที่กำลังเติบโต นั่นก็คือ “อุตสาหกรรมเพลง”   ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเพลงไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการที่ศิลปินไทยจำนวนมากมีโอกาสไปเปิดตลาดใหม่ที่ต่างประเทศ ขณะเดียวกันแฟนคลับต่างชาติก็หลั่งไหลเข้ามาสนับสนุนศิลปินไทยกันมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยก้าวสู่ TOP 5 ของประเทศที่มีรายได้จากอุตสาหกรรมเพลงมากที่สุดในเอเชีย และเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่เรียบร้อย   จากความสำเร็จนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หนึ่งในแรงผลักดันสำคัญที่อยู่เบื้องหลัง คือ “เทศกาลดนตรี” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเทศกาลดนตรีขนาดใหญ่ ที่มีความหลากหลายด้านแนวเพลงและศิลปิน ทำให้ศิลปินจากทั่วประเทศมีโอกาสแสดงความสามารถให้คนจำนวนมากเห็น จนเกิดเป็นการบอกต่อ และเกิดการจ้างงานตามมาอย่างต่อเนื่อง   “เศรษฐกิจเทศกาล” หรือ “Festival Economy” ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับนานาชาติ ผ่านงานเทศกาลหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นงานเทศกาลดนตรี งานเทศกาลอาหาร งานเทศกาลวัฒนธรรม และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทั้งนี้ นอกเหนือจากความสนุกสนาน และความประทับใจที่ผู้เข้าร่วมงานได้รับ ความสำเร็จของงานเทศกาลยังสามารถวัดได้จากมูลค่าทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ และรายได้จำนวนมากที่กระจายไปยังผู้ประกอบการในท้องถิ่น   อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กลยุทฺธ์ Festival Economy เพื่อผลักดันให้ประเทศเป็นจุดหมายปลายทางในการจัดงานและเทศกาลนานาชาติ จำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพของเมือง โครงสร้างพื้นฐานและบุคลากร   ตัวอย่างการจัดงานเทศกาลดนตรีทั่วประเทศไทย และเทศกาลประเพณีไทยต่าง ๆ มากมาย อย่างเช่นในภาคอีสาน อย่าง Big Mountain Music Festival, E-san Music Festival (อีสานเขียว), เฉียงเหนือเฟส และ ห้วยไร่อีหลีน่า เป็นต้น   ซึ่งถือว่าได้เปรียบในเรื่องของความคุ้มค่า ด้านค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้ามาร่วมงาน ที่พัก อาหาร เป็นต้น รวมทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงาม สิ่งเหล่านี้เป็นการยืนยันถึงความพร้อมในการเป็นเมืองเป้าหมายของกิจกรรมไมซ์หรือกิจกรรมที่มีความสำคัญในภูมิภาคและระดับนานาชาติต่อไป . ในขณะเดียวกัน ยังมีโอกาสในการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่องในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการเป็นสถานที่จัดงานที่ครอบคลุมทุกประเภท ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างแรงขับเคลื่อนให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น กระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางของการจัดงานไมซ์ระดับโลก . . อ้างอิงจาก: – Thairath Money – MICE Intelligence Center, Thailand Convention and Exhibition Bureau (TCEB) – The Cloud – Marketing Oops! – ThaiPR.net – RegistarThailand   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน

พาเปิดเบิ่ง ตัวอย่าง อาณาจักร “เทศกาลดนตรี” แดนอีสาน แหล่งกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นสร้างมูลค่ามหาศาล อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง ใน 1 เดือนที่ผ่านมา คนอีสาน สูด PM2.5 เท่ากับบุหรี่กี่มวน

จากงานของ Richard A. Muller นักวิจัยชาวอเมริกันจากสถาบันวิจัยสภาพอากาศ Berkeley Earth แห่ง University of California, Berkeley ซึ่งคำนวณเปรียบเทียบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ หรือ PM2.5 กับปริมาณการสูบบุหรี่ พบว่า ค่าฝุ่น PM2.5 22 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ 1 มวน ซึ่งหากนำค่าฝุ่นแบบค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมงในแต่ละวันของ 1 เดือนที่ผ่านมา (26 ธ.ค. 67 – 25 ม.ค. 68) มาคำนวณเปรียบเทียบตามเกณฑ์ของ Richard A. Muller จะพบว่า   ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา คนอีสานสูดดมฝุ่นพิษ PM2.5 เทียบเท่าการสูบบุหรี่ทั้งหมด 60-61 มวน หรือคิดเป็น 3 ซองเลยทีเดียว   หลายวันนี้ ระดับ PM2.5 เป็นสีแดงในหลายจังหวัดทั่วภาคอีสาน คนอีสานทุกคน ทั้งที่สูบและไม่สูบบุหรี่ต้องสูด PM2.5 จากฝุ่นพิษในอากาศทั้งเดือน    อย่างไรก็ตาม ควันบุหรี่มีสารที่ก่อมะเร็งที่มีเฉพาะในใบยาสูบ (Tobacco specific carcinogen) และนิโคติน ที่มลพิษในอากาศไม่มี   ส่วนบุหรี่ไฟฟ้าที่เห็นเป็นไอเหมือนหมอกทึบนั้น มีฝุ่นที่ขนาดเล็กกว่า PM2.5 ลงไปถึงขนาด PM1.0 จำนวนมาก ที่เข้าถึงส่วนลึกที่สุดของปอด ก่อนที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดพาไหลเวียนไปทั่วร่างกาย   คนไทยที่สูบบุหรี่ เฉลี่ยสูบวันละ 9 – 10 มวน ซึ่งคนเหล่านี้จึงได้รับอันตรายจากฝุ่น PM2.5 สองเด้ง คือจากมลพิษในอากาศและจากการสูบบุหรี่นั่นเอง   มลพิษทางอากาศย่อมส่งผลกระทบทางตรงต่อระบบสาธารณสุขภาพรวม สิ่งแวดล้อม และในที่สุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือมักส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และ PM2.5 ยิ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากด้วยอนุภาคที่เล็กมากของ PM2.5 จึงสามารถเดินทางผ่านกระแสเลือด ปอด รวมไปถึงหัวใจได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสการเกิดโรคทางเดินหายใจและโรคหัวใจและหลอดเลือดของประชากรในประเทศอีกด้วย   ในขณะนี้เองประเทศไทยก็กำลังเจอปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก จากข้อมูล 3 ปีที่ผ่านมา พบมีแหล่งกำเนิดฝุ่นมาจากไฟป่า การเผาในพื้นที่เกษตร หมอกควันข้ามแดน การจราจร ขนส่ง และโรงงาน ประกอบกับสภาพอุตุนิยมวิทยาช่วงต้นปีที่ความกดอากาศสูง แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้อากาศปิด ลมสงบ ฝุ่นละอองไม่ฟุ้งกระจาย และสะสมในพื้นที่ จนเกินมาตรฐาน    การเผาในประเทศที่เป็นหนึ่งสาเหตุหลักของปัญหา PM 2.5 ในไทยเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ส่งผลให้เกิด

พาสำรวจเบิ่ง ใน 1 เดือนที่ผ่านมา คนอีสาน สูด PM2.5 เท่ากับบุหรี่กี่มวน อ่านเพิ่มเติม »

สกลนคร-บึงกาฬ จังหวัดต้นแบบหน่วยงานรัฐโปร่งใส

ความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องอยู่คู่กับหน่วยงานและองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ได้ดำเนินการจัดทำการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) เพื่อให้หน่วยงานและประชาชนรับรู้ถึงความโปร่งใสขององค์กรต่าง ๆ และนำข้อมูลไปปรับปรุงพัฒนา รูปแบบการประเมินตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา สำนักงาน ป.ป.ช. จะเป็นผู้ดำเนินการประเมินเอง โดยมีคะแนนประเมินตั้งแต่ 0-100 คะแนน และเกณฑ์ผ่านการประเมินที่ 85.00 คะแนนขึ้นไป ผลการประเมิน ITA ในปีงบประมาณ 2567 จากการสรุปผลการประเมินหน่วยงานภาครัฐในแต่ละจังหวัด พบว่าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) มีเพียง 2 จังหวัดที่หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยผ่านเกณฑ์การประเมิน ได้แก่: จังหวัดสกลนคร จำนวนหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์: 142 หน่วยงาน คะแนนเฉลี่ย: 97.32 คะแนน หน่วยงานที่มีคะแนนสูงสุด: เทศบาลตำบลตองโขบ อำเภอโคกศรีสุพรรณ ซึ่งได้คะแนน 99.89 จังหวัดบึงกาฬ จำนวนหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์: 59 หน่วยงาน คะแนนเฉลี่ย: 96.90 คะแนน หน่วยงานที่มีคะแนนสูงสุด: เทศบาลตำบลท่าสะอาด อำเภอเซกา ซึ่งได้คะแนน 99.91 ทั้งสองจังหวัดนี้ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของหน่วยงานรัฐในด้านการดำเนินงานด้วยคุณธรรมและความโปร่งใส ภาพรวมในภาคอีสาน สำหรับภาพรวมในภาคอีสาน มีหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์ทั้งสิ้น 2,629 หน่วยงาน จากทั้งหมด 2,985 หน่วยงาน คิดเป็นสัดส่วน 88% โดยมีข้อมูลสัดส่วนหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์ในจังหวัดที่โดดเด่นและจังหวัดที่ต้องัฒนาต่อไป ดังนี้   จังหวัดที่มีสัดส่วนหน่วยงานผ่านเกณฑ์สูง (รองจากสกลนครและบึงกาฬ) อำนาจเจริญ สัดส่วนที่ผ่าน: 98.46% (64 จาก 65 หน่วยงาน) คะแนนเฉลี่ย: 94.57 หนองคาย สัดส่วนที่ผ่าน: 97.10% (67 จาก 69 หน่วยงาน) คะแนนเฉลี่ย: 94.10 ขอนแก่น สัดส่วนที่ผ่าน: 96.90% (219 จาก 226 หน่วยงาน) คะแนนเฉลี่ย: 94.78   จังหวัดที่มีสัดส่วนหน่วยงานผ่านเกณฑ์ต่ำ มหาสารคาม สัดส่วนที่ผ่าน: 75.69% (109 จาก 144 หน่วยงาน) คะแนนเฉลี่ย: 88.07 ศรีสะเกษ สัดส่วนที่ผ่าน: 68.81% (150 จาก 218 หน่วยงาน) คะแนนเฉลี่ย: 86.82 หนองบัวลำภู สัดส่วนที่ผ่าน: 68.12% (47 จาก 69

สกลนคร-บึงกาฬ จังหวัดต้นแบบหน่วยงานรัฐโปร่งใส อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่งหนี้สาธารณะแต่ละประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง GMS

. ​​จากข้อมูลปี 2566  ไทยเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงสุดในอาเซียน โดยมียอดหนี้กว่า 11,131 พันล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารเศรษฐกิจ ในขณะที่กัมพูชา มียอดหนี้ต่ำสุดในกลุ่มนี้เพียง 374 พันล้านบาท ทำให้ประเทศกัมพูชาดูเหมือนจะมีเสถียรภาพทางการเงินที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน   ตารางเปรียบเทีบหนี้สินสาธารณะของแต่ละประเทศ(บาท,ดอลลาร์) ประเทศ พันล้านบาท พันล้านดอลลาร์ เป็นเปอร์เซ็นของ​GDP มูลค่าgdpของแต่ละประเทศ(พันล้านดอลล่าร์) เวียดนาม 5,530 158 37% 429.7 กัมพูชา 374.54 11.24 37.2% 31.77 ลาว 460.51 13.83 108% 15.84 ไทย 11,131.63 318.05 62.14% 514.9   สาเหตุในการก่อหนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: ประเทศต่างๆ มักก่อหนี้เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน รถไฟ สนามบิน เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ การช่วยเหลือภาคเอกชน: ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ รัฐบาลอาจต้องกู้เงินเพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ การขาดดุลงบประมาณ: หากรายได้ของรัฐบาลน้อยกว่ารายจ่าย รัฐบาลก็จำเป็นต้องกู้เงินมาชดเชย ปัจจัยทางการเมือง: การตัดสินใจก่อหนี้บางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางการเมือง เช่น การหาเสียงเลือกตั้ง หรือการสร้างผลงานให้เห็นเป็นรูปธรรม ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ภาระดอกเบี้ย: หนี้สาธารณะที่สูงจะส่งผลให้รัฐบาลต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยจำนวนมาก ซึ่งอาจกระทบต่องบประมาณที่ควรจะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ เช่น การศึกษา สาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐาน ความน่าเชื่อถือทางการเงิน: หนี้สาธารณะที่สูงเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือทางการเงินของประเทศ ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจและอาจถอนเงินลงทุนออกไป อัตราแลกเปลี่ยน: หนี้สาธารณะที่สูงอาจทำให้สกุลเงินของประเทศอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าและบริการ และอาจทำให้ราคาสินค้าภายในประเทศสูงขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจ: หนี้สาธารณะที่สูงอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะรัฐบาลอาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมากในการชำระหนี้แทนที่จะนำไปลงทุนในกิจกรรมที่สร้างการเติบโต ผลกระทบต่อประชาชน การลดลงของบริการสาธารณะ: เมื่อรัฐบาลต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยจำนวนมาก อาจต้องลดการลงทุนในบริการสาธารณะ เช่น การศึกษา สาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ภาษีที่สูงขึ้น: เพื่อนำเงินมาชำระหนี้สาธารณะ รัฐบาลอาจต้องเพิ่มอัตราภาษี ซึ่งเป็นภาระแก่ประชาชน ความไม่เสมอภาค: หนี้สาธารณะที่สูงอาจทำให้เกิดความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ เพราะประชาชนบางกลุ่มอาจได้รับผลกระทบจากหนี้สาธารณะมากกว่ากลุ่มอื่นๆ หมายเหตุ: การวิเคราะห์นี้เป็นเพียงภาพรวมเบื้องต้น การวิเคราะห์ที่ละเอียดจะต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ นโยบายทางการเงินและการคลัง และปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อหนี้สาธารณะ   ที่มา เว็ปไซต์ :NBT-connext ,moneybuffalo ,khmertimeskh ,vir ,tradingeconomics ,worldeconomics พามาเบิ่ง GDP ย้อนหลัง 35 ปี ของอีสานบ้านเฮาและเพื่อนบ้าน GMS  

พามาเบิ่งหนี้สาธารณะแต่ละประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง GMS อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง จุดเผาใน GMS หนึ่งในสาเหตุ PM 2.5

🔥จุดความร้อน หรือ Hot Spot คืออะไร?   จุดความร้อน พูดง่ายๆก็คือ จุดที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลก ซึ่งส่วนมากก็คือความร้อนจากไฟ แสดงในรูปแบบแผนที่เพื่อนำเสนอตำแหน่งที่เกิดไฟในแต่ละพื้นที่แบบคร่าวๆ การได้มาซึ่งข้อมูลจุดความร้อนอาศัยหลักการที่ว่า ดาวเทียมสามารถตรวจวัดคลื่นรังสีอินฟาเรดหรือรังสีความร้อนที่เกิดจากไฟ (อุณหภูมิสูงกว่า 800 องศาเซลเซียส) บนพื้นผิวโลก จากนั้นก็ประมวลผลแสดงในรูปแบบจุด ซึ่งปัจจุบันทุกคนสามารถตรวจสอบจุดความร้อนเหล่านี้ได้ด้วยตัวเองจากเว็บไซต์เหล่านี้ (http://bit.ly/2OalZnU)   ในช่วงนี้บ้านเมืองเราในหลายพื้นที่ยังคงเกิดไฟป่าอย่างต่อเนื่อง กลุ่มควันปกคลุมเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด โดยแผนภาพที่นำเสนอจุดแดง📛คือ จุดความร้อนที่กระจายอยู่ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา   จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าการเผามีการกระจายตัวทั้งประเทศ แต่ภาคอีสานจะมีการการเผาที่กระจายตัวหนาแน่นทั่วอีสาน ซึ่งสาเหตุการเผานั้นก็มาจากการเผาตอซังและฟางข้าวของชาวนา หรือเผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเกิดขึ้นค่อนข้างมาก โดยต้นทุนในการที่จะจ้างรถไถกลบก็จะใช้เงินจำนวนมาก การเผาจะประหยัดกว่าการจ้างรถไถมาไถกลบหรือทำการไถกลบเอง เมื่อเกิดมลพิษทางอากาศย่อมส่งผลกระทบทางตรงต่อระบบสาธารณสุขภาพรวม สิ่งแวดล้อม และในที่สุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือมักส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และ PM 2.5 ยิ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากด้วยอนุภาคที่เล็กมากของ PM 2.5 จึงสามารถเดินทางผ่านกระแสเลือด ปอด รวมไปถึงหัวใจได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสการเกิดโรคทางเดินหายใจและโรคหัวใจและหลอดเลือดของประชากรใน ประเทศ   ในขณะนี้เองประเทศไทยก็กำลังเจอปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก จากข้อมูล 3 ปีที่ผ่านมา พบมีแหล่งกำเนิดฝุ่นมาจากไฟป่า การเผาในพื้นที่เกษตร หมอกควันข้ามแดน การจราจร ขนส่ง และโรงงาน ประกอบกับสภาพอุตุนิยมวิทยาช่วงต้นปีที่ความกดอากาศสูง แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้อากาศปิด ลมสงบ ฝุ่นละอองไม่ฟุ้งกระจาย และสะสมในพื้นที่ จนเกินมาตรฐาน    การเผาในประเทศที่เป็นหนึ่งสาเหตุหลักของปัญหา PM 2.5 ในไทยเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ส่งผลให้เกิด PM 2.5 ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ ความหนาแน่นของประชากร หรือการจราจร นอกจากนี้ การเผาจากประเทศเพื่อนบ้านยังมีผลกระทบต่อ PM2.5 ด้วยเช่นกัน   ปริมาณการเกิดไฟไหม้สูงพบเห็นได้ที่ชายแดนติดกับกัมพูชา จากรูปแสดงให้เห็นความถี่การเกิดการเผาไหม้ซึ่งมักมีจุดเกิดการเผาไหม้ในประเทศเพื่อนบ้านบริเวณใกล้กับชายแดนประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้ภาคอีสานของประเทศไทยได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากนั้นยังมีลมมรสุมประจำปี และร่องความกดอากาศต่ำในช่วง พ.ย.-ม.ค. ในช่วงหน้าหนาวทำให้ฝุ่นควันถูกพัดตามกระแสลมเข้าสู่ภูมิภาคต่างๆ ในประเทศไทยมากขึ้น ข้อมูลระบบคลังข้อมูลสุขภาพ Health Data Center (HDC) รายงานผ่านระบบเดือน ม.ค. 2568 ที่ยังไม่เป็นข้อมูลปัจจุบัน โดยรวมกว่า 1.44 แสนราย เป็นกลุ่มโรคผิวหนังอักเสบมากที่สุด รองลงมา กลุ่มโรคตาอักเสบ กลุ่มโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหืด และโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งสถิติเผยว่า อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา มีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปอดจำนวนสูงสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งสอดคล้องกับพื้นที่หลักที่มีการเพาะปลูกอ้อย หรือมีการเผาที่มีความถี่มากกว่าพื้นที่อื่นๆ ในภูมิภาคนั้นเอง พามาเบิ่งจำนวนสะสมผู้ป่วยมะเร็งปอดแต่จังหวัดภาคอีสาน ปี 2566     ที่มา:  – กรุงเทพธุรกิจ – Thai

พาสำรวจเบิ่ง จุดเผาใน GMS หนึ่งในสาเหตุ PM 2.5 อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top