Article

ปังหลาย !  GMM SHOW เผยพลัง Soft Power  ชวนเด็ก มข. ออกแบบ LOGO ในงาน “เฉียงเหนือเฟส”

ปังหลาย !  GMM SHOW เผยพลัง Soft Power  ชวนเด็ก มข. ออกแบบ LOGO ในงาน “เฉียงเหนือเฟส”   พลังของคนรุ่นใหม่เบิกบานทั่วทุกสารทิศ อีกหนึ่งพลัง Soft Power ที่ทางผู้จัดงานเทศกาลดนตรีใหม่และใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน Chang Music Connection presents “เฉียงเหนือเฟส” (ช้าง มิวสิค คอนเนคชั่น พรีเซนต์ ‘เฉียงเหนือเฟส’) ได้เล็งเห็นถึงความสวยงามของวิถีทางวัฒนธรรมของชาวอีสาน นอกจากความสนุกทางดนตรีที่ทางผู้จัดอย่างทีม ‘All Area’ (ออลล์แอเรีย) ผู้จัดอันดับหนึ่งที่มีความเชียวชาญในการปั้นแบรนด์มิวสิดเฟสติวัลใหม่ ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ อย่างทีม ภายใต้หน่วยงาน ‘GMM SHOW’ (จีเอ็มเอ็มโชว์) ในเครือ ‘GMM GRAMMY’ (จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่) ให้ความสำคัญแล้ว    อีกทั้งยังมีอีกความภูมิใจที่ได้ชวนน้องๆ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มามีส่วนร่วมสร้างสรรค์ สะท้อนความเป็นอีสาน ความภาคภูมิใจ มาร่วมกันออกแบบ LOGO และ ลวดลาย Pattern ที่แสดงออกถึงความมีเอกลักษณ์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ตกแต่งภายในเทศกาลดนตรี “เฉียงเหนือเฟส” ครั้งนี้    โดยมีน้องๆ ให้ความสนใจร่วมส่งผลงาน ออกแบบตราสัญลักษณ์ (Logo) เฉียงเหนือเฟส และ ธง ซึ่งผู้ผ่านการคัดเลือกทั้ง 18 คน ได้รับเกียรติบัตร และบัตรเข้าร่วมงานเทศกาลดนตรี “เฉียงเหนือเฟส” พร้อมทั้งโอกาสที่ได้ร่วมงานกับดีไซน์เนอร์ระดับประเทศ โดยในปีต่อๆ ไป ทางผู้จัดมีความตั้งใจที่จะชวนน้องๆ นักศึกษามหาวิทยาลัย จากทั่วทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาร่วมออกแบบสร้างสรรค์ ผลงานที่จะมาสื่อสารสะท้อนวิถีทางวัฒนธรรม และความภูมิใจของชาวอีสานสืบต่อไป   อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/entertainment/detail/9660000013141   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์ #เฉียงเหนือเฟส #GMM #มข

ปังคักหลาย เทรนด์ใหม่วาเลนไทน์ 2023 ที่ผ่านมา วัยทำงานฮิตมอบช่อเงินสดให้คู่รักแทนกุหลาบแดง

เทศกาลวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา ร้านขายดอกไม้ต่าง ๆ ในตัวเมืองนครราชสีมามีความคึกคักเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะร้านขายดอกไม้สดที่ตลาดแม่กิมเฮง ภายในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา ได้มีการนำช่อดอกไม้มาวางโชว์หน้าร้านเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งดอกไม้สด เช่น ดอกกุหลาบ ดอกลิลลี่ และดอกเบญมาศ ส่วนดอกไม้แห้ง และดอกไม้พลาสติกก็มีจัดเป็นช่อไว้มากเช่นกัน โดยมีลูกค้าแวะมาเลือกซื้อกันอย่างคึกคักตลอดทั้งวัน นอกจากดอกไม้สด ดอกไม้พลาสติก และดอกไม้แห้งแล้ว หลายร้านยังมีการนำธนบัตรเงินสดมาจัดเป็นช่อดอกไม้มาวางขายหน้าร้านอีกด้วย เช่นที่ร้านอ้วนดอกไม้ ซึ่งเป็นร้านขายดอกไม้รายใหญ่ในตลาดแม่กิมเฮง ได้มีการนำธนบัตรชนิดต่าง ๆ มาจัดเป็นช่อดอกไม้วางขายหน้าร้าน โดยมีลูกค้ามาเลือกซื้อไปให้คนรักเนื่องในเทศกาลวันวาเลนไทน์อย่างต่อเนื่อง คุณศศิธร ไกรตรวจพล ผู้จัดการร้านอ้วนดอกไม้ ตลาดแม่กิมเฮง เปิดเผยว่า ปีนี้ทางร้านสั่งดอกกุหลาบมาจากหลายพื้นที่ ทั้งจากพื้นที่กรุงเทพมหานคร ภาคเหนือ และประเทศจีน โดยสั่งเข้ามาทั้งหมด 30 ลัง เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าที่จะซื้อไปมอบให้คนรักในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ แต่เนื่องจากปีนี้ดอกไม้แพงกว่าปีที่แล้วถึง 3 เท่า ทำให้ร้านต้องปรับขึ้นราคาขายตามไปด้วย โดยมีขายตั้งแต่ต่ำสุดดอกละ 20 บาท ไปจนถึงดอกละหลายร้อยบาท อยู่ที่ความสวยงามและขนาดของดอก ซึ่งกลุ่มลูกค้าที่นิยมซื้อดอกกุหลาบสดให้กัน ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา ขณะเดียวกันสำหรับกลุ่มคนวัยทำงาน เริ่มมีการเปลี่ยนค่านิยม จากการให้ดอกกุหลาบสด ที่มีราคาแพง และใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เปลี่ยนมาเป็นการให้ช่อดอกไม้ที่ทำจากเงินสดแทน เพราะเข้ากับยุคเศรษฐกิจปัจจุบันดี โดยทางร้านคิดค่าทำไม่แพง เช่น ช่อที่มีธนบัตรชนิด 100 บาท จำนวน 30 ใบ จะคิดค่าจัดช่อดอกไม้เพิ่มแค่ 800 บาท รวมเป็นราคา 3,800 บาท อยู่ที่ลูกค้าจะสั่งตามกำลัง ลูกค้าบางคนก็สั่งเป็นธนบัตรชนิด 20 บาท 100 บาท 500 บาท หรือแม้กระทั่งชนิด 1,000 บาทก็มี จะใส่ธนบัตรไปกี่ใบก็ได้ โดยทางร้านจะคิดแค่ค่าจัดช่อ 300-800 บาทเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ก็มีลูกค้าสั่งออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนทางร้านทำแทบไม่ทัน อ้างอิงจาก: https://www.ch-newsthailand.com/50653/ #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #วาเลนไทน์ #Valentine #ธุรกิจ #ร้านขายดอกไม้ #นครราชสีมา

อึ้งหลาย!  องุ่นเมืองหนาว ปลูกที่อุบลฯ  ได้ผลผลิตดีไม่แพ้ต่างแดน

อึ้งหลาย!  องุ่นเมืองหนาว ปลูกที่อุบลฯ  ได้ผลผลิตดีไม่แพ้ต่างแดน   สุดยอดดินไทยปลูกได้ทุกอย่าง องุ่นชื่อดังจากประเทศเกาหลีใต้สามารถปลูกได้ในพื้นที่แห้งแล้งของภาคอีสาน ที่จังหวัดอุบลราชธานี ผลผลิตและรสชาติที่ได้แทบไม่ต่างจากผลผลิตองุ่นที่ปลูกจากเกาหลีใต้ ที่สำคัญใช้ระยะเวลาแค่ 70-90 วันก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว โดยสวนองุ่นดังกล่าวตั้งอยู่ที่บ้านหนองกินเพลใต้ ต.หนองกินเพล อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี น.ส.เด่นภา ถาวรสาย เจ้าของบ้านสวนองุ่นฮัน ลี เล่าถึงที่มาของการมาทำสวนว่า ตนและสามีเป็นเจ้าของสวนผลไม้อยู่ที่ประเทศเกาหลี จึงลองนำพันธุ์องุ่นไชน์มัสแคต และองุ่นพันธุ์มายฮาร์ต (องุ่นรูปหัวใจ) โดยใช้เทคโนโลยีมาต่อยอดปลูกที่บ้านเกิด เพื่อสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง ในช่วงแรกมีความกังวล เพราะ จ.อุบลราชธานีอยู่ในดินแดนแห้งแล้งของอีสาน เดิมทำสวนยางพารา ปลูกข้าว แต่เมื่อลองทำปรากฏให้ผลเป็นที่น่าพอใจยิ่ง เพราะองุ่นที่นำมาปลูกได้ผ่านวิกฤตทั้งพายุโนรู ที่ทำให้มีน้ำมาก ทั้งที่เป็นช่วงต้องให้อดอาหารและน้ำต้องไม่มากจนเกินไป   ผลผลิตชุดแรกเก็บได้มากถึง 1,600 พวง เฉลี่ยขณะนี้น้ำหนักต่อพวงกว่า 4 ขีด เพราะให้ผลโตสมวัย ส่วนความหวาน หอม ก็ไม่น้อยหน้าจากต้นตำรับ ซึ่งเป็นที่นิยม ขณะนี้เหลือเพียงเสียงตอบรับจากผู้บริโภคเรื่องความกรอบเท่านั้น เพราะผลองุ่นจะให้ผลโตเต็มที่ เก็บขายได้จริงๆ ในราวเดือนมีนาคมถึงเมษายน ขณะนี้ก็อยู่ในช่วงให้ลูกค้าจองไว้ก่อน โดยองุ่นไซส์พรีเมียมหนักพวงละ 600 กรัมขึ้นไป กิโลกรัมละ 750 บาท ซึ่งมียอดจองแล้วกว่า 70 กิโลกรัม ที่เหลือยังเปิดจองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมด   โดยปีนี้คาดจะมีรายได้จากการขายองุ่นประมาณ 400,000 บาทเศษ และตั้งเป้าเก็บผลผลิตในรอบต่อไปในราวเดือนตุลาคมที่จะถึง ซึ่งสวนองุ่นของตนจะให้ผลผลิตได้มากถึง 8,000-9,000 พวง ซึ่งจะมีรายได้จากการเก็บผลผลิตขายกว่า 2 ล้านบาท โดยทั้งหมดเป็นราคาขายที่หน้าสวน จุดเด่นขององุ่นจากเกาหลีใต้ที่นำมาปลูก คือให้ผลผลิตต่อรอบเร็วกว่าในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ต้องใช้เวลาถึง 120 วันถึงจะเก็บผลผลิตได้ แต่ดินปลูกที่ประเทศไทยใช้เวลาเพียง 70-90 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตที่โตเต็มที่ออกขายได้แล้ว ขณะนี้กำลังคิดขยายต้นพันธุ์จำหน่ายให้แก่ผู้สนใจ โดยสามารถมาเรียนรู้วิธีการดูแล และการปลูกจากทางสวนได้ แต่ต้องเข้าใจว่าโรงเรือนใช้ปลูกอาจมีราคาสูงกว่าปกติ เพราะวัสดุใช้ทำโรงเรือนนำเข้ามาจากต่างประเทศ เนื่องจากในประเทศไทยไม่มีขาย รวมทั้งผ้ายางที่ใช้คลุมก็เป็นแบบสะท้อนความร้อน ไม่ได้รับแดดและความร้อนเข้ามาในโรงเรือนที่ใช้ปลูกทั้งหมด ทั้งยังติดตั้งพัดลมระบายอากาศในช่วงที่อากาศร้อนจัดหน้าร้อนด้วย เพราะประเทศไทยมีอากาศร้อนกว่าที่เกาหลีใต้มาก สำหรับความมั่นคงแข็งแรงของโรงเรือนไม่ต้องห่วง มีความคงทน สามารถรองรับลมพายุโนรูเมื่อปีที่ผ่านมาแล้ว   ทั้งนี้ การปลูกองุ่นแค่เพียงปีเดียวเก็บผลผลิตออกขายได้แล้ว ต้องใส่ใจเรื่องการเตรียมแปลงปลูก เพราะองุ่นจะเจริญเติบโตเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับการเตรียมดินเป็นสำคัญ และควรปลูกแบบอินทรีย์ใช้มูลสัตว์เป็นปุ๋ย จะให้ผลดีที่สุด ส่วนสรรพคุณองุ่นมีมากมาย แต่ที่เห็นๆ คือ เป็นยาสุขุม ออกฤทธิ์ต่อปอด ม้าม และไต บำรุงโลหิต   อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์   #ISANInsightAndOutlook #อุบลราชธานี #วารินชำราบ #องุ่นไชน์มัสแคต #องุ่นพันธุ์มายฮาร์ต  

ชวนเบิ่ง “แมงแคง” เมนูสุดแซ่บที่สร้างรายได้งามให้แก่ชาวอีสาน

ชาวบ้าน บ้านโนนขี้ตุ่น หมู่ 9 ต.ตลาดเเร้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ ใช้เวลาว่าง พากันออกหาเก็บแมงแคง ที่มาหากินและอาศัยตามต้นผักบุ้งที่เกิดตามแหล่งน้ำต่าง ๆ ในชุมชน มาปรุงเป็นอาหารและเป็นของฝากญาติ ๆ หรือขายสร้างรายได้ โดยแมงแคง ตัวเป็น ๆ จะมีกลิ่นฉุนคล้ายแมงดา แต่เมื่อปรุงเป็นอาหารจะมีกลิ่นหอมอร่อยมาก ซึ่งชาวบ้านจะนิยมทำเมนู น้ำพริกแมงแคง คั่ว ทอด ซึ่งแมงแคงจะมีรสชาติหอมมันอร่อยยิ่งกว่าแมงดาหรือแมงจี้ซอนมาก เป็นที่ชื่นชอบของชาวอีสาน หากนำไปขายส่วนใหญ่จะทำเป็นกองหรือใส่ถุงขายราคา กองหรือถุงล่ะ 20-50 บาท สามารถทำเงินให้กับผู้ที่หาของป่าได้ วันล่ะ 300-500 บาทเลยที่เดียวในระยะนี้ ด้าน คุณวรรณวิลัย โลมะบุตร ชาวบ้าน บ้านโนนขี้ตุ่น หมู่ 9 ต.ตลาดเเร้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ เผยว่าตนเองและครอบครัวจะใช้เวลาว่างในช่วงเย็น พากันขับจักรยานยนต์นำถุงหรือขวดน้ำเปล่า ตระเวนออกหาเก็บ แมงแคง ตามแหล่งน้ำ โดยเฉพาะที่บริเวณริมห้วยหรือหนองฉิม ซึ่งอยู่บริเวณทิศตะวันออกของหมู่บ้านเป็นแหล่งน้ำที่เริ่มแห้งขอด มีต้นผักบุ้งเกิดขึ้นเยอะ และมีแมงแคงออกมาหากินเป็นจำนวนมาก คุณวรรณวิลัยและครอบครัวจึงได้นำเอาขวดน้ำเปล่าหรือถุงพลาสติดออกเดินหาเก็บแมงแคงที่หากินตามต้นผักบุ้ง เพื่อนำไปปรุงเป็นอาหาร ซึ่งเป็นเมนูเด็ดหากินยาก นาน ๆ จะมีให้กินครั้งหนึ่ง ซึ่งในการออกหาแมงแคงแต่ล่ะครั้งจะได้ประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อครั้ง หากนำไปขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าหรือเพื่อนบ้านจะได้ประมาณ 200-300 บาท แต่สำหรับคุณวรรณวิลัยและครอบครัว จะนำมาปรุงเป็นอาหารและนำเป็นของฝากแก่ญาติ ๆ ให้ได้กินเสียก่อน เพราะเป็นเมนูที่หากินได้ยากนานปีจะมีให้กินครั้งหนึ่ง โดยแมงแคงที่หามาได้คุณวรรณวิลัยจะนำมาล้างน้ำให้สะอาด จากน้ำก็นำมาคั่วใส่เกลือ หรือรสดี และตำน้ำพริก จิ้มกับมะขามเทศ นำกินกับข้าวเหนียวอร่อยสุด ๆ ไปเลย อ้างอิงจาก: https://www.bangkokbiznews.com/business/1050660 #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #แมงแคง #ชัยภูมิ #เมนูแซ่บอีสาน

ในเดือนแห่งความรัก พามาเบิ่ง Tinder เผย นครราชสีมา และ ขอนแก่น  เป็นจังหวัดที่ video call หลายสุด

ในเดือนแห่งความรัก พามาเบิ่ง Tinder เผย นครราชสีมา และ ขอนแก่น  เป็นจังหวัดที่ video call หลายสุด   ปี 2564 ผลจากสถานการณ์การล็อกดาวน์ชาว Gen Z  ผู้ใช้งาน  Tinder  ทั่วโลกมีการใช้วิธีเดทผ่าน วิดีโอคอล (video call) โดยมีการระบุถึง “ วิดีโอคอล (video call) ” ในหน้าประวัติส่วนตัวบน Tinder เพิ่มมากขึ้นถึง 52% โดยสมาชิกในจังหวัดนครราชสีมา และขอนแก่น เป็น 2 จังหวัดที่มีการพูดคุยกันผ่านวิดีโอคอลมากที่สุดในประเทศไทย    ถึงแม้จะมีการล็อกดาวน์บางส่วน ทำให้การมาเจอกันยากขึ้น แต่นั่นก็ไม่เป็นอุปสรรคของนักเดตชาวไทย เพราะพวกเขาใช้ฟีเจอร์ Passport ปักหมุดไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อตามหาคู่เดตในฝัน โดยเมืองยอดนิยมในต่างประเทศ ที่ Gen Z ชาวไทย ใช้ฟีเจอร์ Passport ไปปักหมุด ได้แก่ 1) กรุงโซล 2) ลอนดอน 3) นิวยอร์ก 4) โตเกียว 5) ลอสแอนเจลิส ส่วนจังหวัดยอดนิยมในประเทศไทย ที่คนนิยมปักหมุด คือ 1) กรุงเทพฯ 2) เชียงใหม่ 3) ขอนแก่น 4) ปทุมธานี 5) หาดใหญ่ (สงขลา)   นอกจากนี้ คนไทยวัย Gen Z ยังมองหาการสร้างคอนเนกชันกับผู้คนใหม่ ๆ ที่อยู่ใกล้กัน เพื่อได้นัดเจอกันได้ในชีวิตจริง และเพื่อที่จะหาเพื่อนไปเที่ยวด้วยกันได้ ทั้งสองคำนี้จึงถูกนำมาใช้เพิ่มขึ้น โดยคำว่า “นัดเจอ” เพิ่มขึ้นถึง 77% และคำว่า “หาเพื่อนเที่ยว” เพิ่มขึ้นกว่า 85%  อีกทั้ง Tinder พบว่ามีการระบุถึงคำว่า “กางเต็นท์” เพิ่มมากขึ้น 3.2 เท่าในหน้าประวัติส่วนตัวบน Tinder ของคนไทย ภูเขา และ ทะเล ก็เป็นสถานที่เดทที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และการฉีดวัคซีนถือเป็นรายการแรกของเช็คลิสท์ในการเตรียมตัวออกเดท พบว่า มีการระบุถึงคำว่า “วัคซีน” มากขึ้น 27 เท่า ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการออกเดท และจะเห็นได้ว่าสมาชิกของ Tinder มีการพูดถึง “สิ่งเล็กๆน้อยๆ” บนหน้าประวัติส่วนตัวบน Tinder เพิ่มขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อย่างการสร้างความสัมพันธ์กันผ่านความชอบ …

ในเดือนแห่งความรัก พามาเบิ่ง Tinder เผย นครราชสีมา และ ขอนแก่น  เป็นจังหวัดที่ video call หลายสุด อ่านเพิ่มเติม »

พาจอบเบิ่ง ศึกชิงโชห่วยเดือดสมรภูมิ “อีสาน” เป็นแนวใด๋แน่

สำหรับการเปิดศึกเพื่อแย่งชิงร้านค้าโชห่วยมาเป็นเครือข่ายของบรรดาซัพพลายเออร์-ค้าปลีกรายใหญ่ที่ลั่นกลองรบกันมาเกือบ 1 ปีเต็มๆ หากย้อนกลับไปจะพบว่า ทั้ง “บัดดี้มาร์ท” (สยามแม็คโคร)-“โดนใจ” (เบอร์ลี่ ยุคเกอร์) ที่พร้อมใจก้าวเข้ามาท้ารบกับ “ถูกดี มีมาตรฐาน” (ทีดี ตะวันแดง) เจ้าแรกที่ประกาศตัวช่วยชุบชีวิตบรรดาโชห่วยที่ว่ากันว่ามีอยู่ไม่ต่ำกว่า 4 แสนร้านค้าทั่วประเทศ ให้กลับมาเติบโตได้อย่างมืออาชีพ “บีเจซี” ประกาศพร้อมรบ ล่าสุด กลางเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา บีเจซี ได้ประกาศเปิดตัว “โดนใจ” บุกตลาดอย่างเต็มตัว หลังจากที่ได้เริ่มมีการทำโครงการแบบซอฟต์ลอนช์ ตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ผ่านมา เบื้องต้นตั้งเป้าดึงร้านโชห่วยเข้ามาร่วมเป็นเครือข่ายร้านโดนใจ ประมาณ 4,000 ร้านค้า จากขณะนี้ที่ร้านค้าโชห่วยที่เข้ามาร่วมเป็นเครือข่ายแล้วประมาณ 1,000 ราย และในระยะยาวคาดว่าจะมี 30,000 ร้านค้า ภายในปี 2570 ด้วยการใช้เครือข่ายสาขาของบิ๊กซีที่มีสาขาขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 200 สาขา ในการป้อนสินค้าเข้าสู่ร้าน นอกจากนี้ยังมีแผนว่าในต้นปี 2566 จะมีการเปิดตัวพันธมิตรทั้งที่เป็นธนาคารพาณิชย์และบริษัทเจ้าของสินค้าที่จะมีการเปิดตัวพันธมิตรอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ โดนใจ โฟกัสไปที่ร้านค้าปลีกในชุมชนขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ที่ขายสินค้าให้กับผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านั้นมีจุดอ่อนในเรื่องของการบริหารจัดการ “บัดดี้มาร์ท” บุกอีสาน จากก่อนหน้านี้ (31ตุลาคม 2565) ที่ยักษ์ธุรกิจค้าส่ง “สยามแม็คโคร” ได้ฤกษ์เปิดตัว ร้านบัดดี้มาร์ท โมเดลธุรกิจที่มุ่งปรับปรุงร้านโชห่วยให้เป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ หลังจากที่เริ่มนำร่องตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยโฟกัสฐานลูกค้าสมาชิกที่เป็นผู้ประกอบการร้านโชห่วยในพื้นที่ภาคกลางและอีสาน ซึ่งมีร้านโชห่วยหนาแน่น นอกจากนี้บริษัทยังมีการผนึกพันธมิตรที่เป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ อาทิ ยูนิลีเวอร์ โอสถสภา เนสท์เล่ ไทยน้ำทิพย์ พีแอนด์จี มาจัดโปรโมชั่น แชร์ข้อมูลอินไซต์ลูกค้า จัดคอร์สอบรมด้านการบริการ-บริหารสต๊อกสินค้า รวมไปถึงดึงสถาบันการเงินอย่างธนาคารกรุงเทพ มาปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโมเดลบัดดี้มาร์ทในเงื่อนไขพิเศษ เช่น สามารถกู้เต็มวงเงินลงทุน ผ่อนนาน 5 ปี ดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อแก้ปัญหาขาดสภาพคล่องและขาดความสามารถในการขอกู้เงินเพื่อปรับปรุงร้าน ไม่เพียงเท่านั้น เพื่อดึงดูดผู้ประกอบการโชห่วยและผู้ที่สนใจลงทุนร้านบัดดี้มาร์ท สยามแม็คโคร ยังลดค่าลงทุนเริ่มต้นร้านบัดดี้มาร์ท 50% ฟรีค่าปรับปรุงร้าน 2 แสนบาท จากปกติที่ต้องใช้งบฯลงทุนเริ่มต้น 400,000 บาท (เงินค่าค้ำประกัน 200,000 บาท และค่าปรับปรุงร้าน 200,000 บาท) ถึง 31 ธ.ค. 2565 (จำกัดสิทธิ 300 ร้านค้าแรก) “ยอมรับว่า ในภาคอีสานจะเป็นสมรภูมิที่มีการแข่งขันสูง แต่ก็มั่นใจว่า ด้วยความที่แม็คโครนั้นอยู่คู่กับร้านโชห่วย บวกกับจุดแข็ง เช่น เรื่องของอาหารสด ที่มีความโดดเด่นและแตกต่างจากรายอื่น ๆ จะทำให้มีความได้เปรียบและเป็นที่ต้องการของร้านค้าในชุมชน” ผู้จัดการโครงการบัดดี้มาร์ท สยามแม็คโครกล่าว “ถูกดี” ออนทัวร์ดึงลูกค้าข้ามปี ด้านต้นตำรับ “ถูกดี มีมาตรฐาน” …

พาจอบเบิ่ง ศึกชิงโชห่วยเดือดสมรภูมิ “อีสาน” เป็นแนวใด๋แน่ อ่านเพิ่มเติม »

ฮือฮาหลาย ! พบรอยเท้าไดโนเสาร์แห่งใหม่ในไทย  อายุกว่า 140 ล้านปีที่กาฬสินธุ์ 

ฮือฮาหลาย ! พบรอยเท้าไดโนเสาร์แห่งใหม่ในไทย  อายุกว่า 140 ล้านปีที่กาฬสินธุ์    พบรอยเท้าของไดโนเสาร์พันธุ์กินเนื้อขนาดเล็กแห่งใหม่ของประเทศไทย ที่บ๋าชาด ในวนอุทยานภูแฝก ต.ภูแลนช้าง อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ คาดอายุกว่า 140 ล้านปี คาดอนาคตพัฒนาเพื่อท่องเที่ยวเชิงธรณีวิทยา เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์สิรินธร สำนักงานทรัพยากรธรณี เขต 2 พร้อมด้วย นายดำรงศักดิ์ ชูศรีทอง หัวหน้าวนอุทยานภูแฝกเข้าตรวจสอบบริเวณบ๋าชาด ในพื้นที่ วนอุทยานภูแฝก ตำบลภูแลนช้าง อำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่มีการแจ้งพบร่องรอยที่คาดว่าเป็นรอยตีนไดโนเสาร์ จากนายทองดี สุปิรัยทร ชาวบ้านน้ำคำ หมู่ 6 ตำบลภูแล่นช้าง อำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ เบื้องต้น จากการสำรวจพื้นที่บริเวณดังกล่าว ลักษณะเป็นลานหินขนาดใหญ่ พบรอยตีนไดโนเสาร์มากกว่า 10 รอย กระจายตัวอยู่บนลานหินทราย หมวดหินพระวิหาร ซึ่งมีอายุประมาณ 140 ล้านปี โดยรอยตีนไดโนเสาร์ที่พบ มีความยาวประมาณ 21-30 เซนติเมตร และกว้าง 17-31 เซนติเมตร คาดว่าน่าจะเป็นรอยตีนของไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดเล็ก สูงประมาณ 2 เมตร และยาวประมาณ 5 เมตร “ถือเป็นการค้นพบรอยตีนไดโนเสาร์แห่งใหม่ของประเทศไทย” รอยตีนไดโนเสาร์แห่งใหม่นี้ อยู่ในพื้นที่วนอุทยานภูแฝก ห่างจากบริเวณที่เคยมีการค้นพบรอยทางเดินไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ประมาณ 1.5 กิโลเมตร ในอนาคตคาดว่าจะมีการพัฒนาแหล่งรอยตีนไดโนเสาร์บ๋าชาดแห่งนี้ ให้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ ศึกษา เรียนรู้ ที่สำคัญทางธรณีวิทยาต่อไป   อ้างอิงจาก กรุงเทพธุรกิจ   #ISANInsightAndOutlook #รอยเท้าไดโนเสาร์ #ไดโนเสาร์กินเนื้อ #วนอุทยานภูแฝก #ตำบลภูแล่นช้าง #อำเภอนาคู #กาฬสินธุ์

ชวนเบิ่ง งานตรุษจีนโคราชที่ผ่านมา นทท.แห่เที่ยว “จอมพลถนนหัวมังกร 108 ปี” มื้อสุดท้ายคึกคักหลาย

เมื่อวันที่ 24 มกราคม ที่ศาลหลักเมืองโคราช นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครราชสีมา พร้อมคณะสมาชิกสภา ฯ ร่วมพิธีไหว้สักการะศาลหลักเมือง รวมทั้งเจ้าพ่อไฉ่ซิงเอี้ย พิธีสวดมนต์ไทย-จีน ทำบุญสะเดาะเคราะห์ปีชง กราบไหว้สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งภายในงาน “เทศกาลตรุษจีนโคราช จอมพลถนนหัวมังกร 108 ปี ถนนแห่งวัฒนธรรม” ท่ามกลางบรรยากาศวัฒนธรรมไทย-จีน มีการประกวดการแต่งกาย การร้องเพลงจีนโดยองค์กรคนไทยเชื้อสายจีน ชม ชิม ช้อป อาหารระดับภัตตาคารและอาหารท้องถิ่นกว่า 180 ร้าน อีกทั้งยังมี การแสดงเชิดมังกรความยาว 55 เมตร ฉลองครบรอบ 555 ปี เมืองนครราชสีมา การแสดงสิงโต-มังกรดอกเหมย การประกวดการแต่งกายในชุด Mr.Chinese new year “เจ้าพ่อเชียงใช้” การแสดงงิ้วเปลี่ยนหน้ากากและมหัศจรรย์มนตรามายากล ท่ามกลางอากาศเย็นสบายพบนักท่องเที่ยวหลายพันคนเดินทางมาเที่ยวชมและพากันเซลฟี่บรรยากาศย้อนยุคกันอย่างเนืองแน่น เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมธรรมเนียมประเพณีของคนไทยเชื้อสายจีนและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นการย้อนรอยบอกเล่าความเป็นมา 108 ปี ถนนจอมพลชื่อเดิมถนนเจริญพาณิชย์ ซึ่งเป็นย่านการค้าสำคัญของเมืองโคราชและภาคอีสาน อดีตเคยเป็นศูนย์กลางของความเจริญเปรียบเสมือนหัวมังกรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาครวมทั้งส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนไทยกับคนจีนทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบันที่มีความผูกพันกันมายาวนานและกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น อ้างอิงจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/1049614 #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #งานตรุษจีน #โคราช #เทศกาลตรุษจีนโคราช #จอมพลถนนหัวมังกร #นครราชสีมา

พามาเบิ่ง แม่ค้าส้มตำเมื่อยใจหลาย มะนาวแพง 1,400 บาท/กระสอบ

แม่ค้าส้มตำโอด มะนาวแพง นอกจากมะนาวจะปรับราคาสูงขึ้นแล้ว ราคามะละกอยังขยับขึ้นรายวัน ล่าสุดมะนาวกระสอบละ 1,400 บาท มะละกอถุงละ 300 บาท แต่ยังต้องแบกรับต้นทุน ขายให้ลูกค้าในราคาเดิม ไม่ลดปริมาณเหตุเห็นใจลูกค้า ที่ร้านส้มตำอาหารอีสาน ต.ท่าขอนยาง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม นางอุทัยวรรณ สีธรรา แม่ค้าส้มตำ เปิดเผยว่า ร้านตนเองขายส้มตำ ไก่ย่าง และอาหารอีสาน ตั้งแต่ก่อนปีใหม่ราคามะนาวมีการขยับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะมีผลกระทบมาจากน้ำท่วม ซึ่งปกติมะนาวจะแพงช่วงหน้าแล้ง ประมาณเดือนเมษายน แต่ปีนี้แค่เดือนมกราคมราคาก็ปรับขึ้นแล้ว ซึ่งร้านของตนจะซื้อมะนาวครั้งละครึ่งกระสอบ ตอนนี้ราคามะนาวที่ซื้อมาครึ่งกระสอบอยู่ที่ 700 บาท เต็มกระสอบก็จะอยู่ที่ 1,400 บาท นอกจากราคามะนาวที่แพงขึ้นแล้ว ซึ่งทางร้านจะใช้มะนาวแป้นจะได้รสชาตที่หอมและอร่อย วัตถุดิบหลักอีกอย่างของส้มตำก็คือ มะละกอ ก็มีการปรับราคาขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งก่อนช่วงปีใหม่ เคยซื้อมะละกอเกรดเอ เป็นมะละกอพันธุ์ดำเนิน ถุงละ 350 บาท ที่ผ่านมาซื้อมาราคาถุงละ 300 บาท ราคาจะปรับขึ้น ๆ ลง แล้วแต่วัน ซึ่งราคานี้ถือว่าเป็นราคาที่ยังสูงอยู่ จากเดิมที่เคยซื้อมาถุงละ 240-260 บาทเท่านั้น ทำให้ทางร้านต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นในแต่ละวัน แต่ยังคงขายให้ลูกค้าในราคาเท่าเดิม และไม่ลดปริมาณ เพราะสงสารลูกค้า อยากให้ลูกค้ากินอิ่ม สำหรับส้มตำแต่ละครก ก็จะใช้มะนาวครึ่งลูกถึงหนึ่งลูก แล้วแต่ลูกค้าจะสั่ง หากชอบเปรี้ยว ลูกค้าก็จะแจ้งก็จำเป็นต้องเพิ่มมะนาวไปให้ โดยทางร้านจะไม่ใช้น้ำมะนาวผสม หรือใช้มะขามเปียก เพราะรสชาติมันไม่ใช่ไม่อร่อยสู้ใช้มะนาวสดไม่ได้ หากถามว่าจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยยังไง สิ่งที่อยากจะขอจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็คือ อยากให้มีการคุมเข้มจากต้นทางให้ถูกลงกว่านี้ เศรษฐกิจไม่ดี ค่าครองชีพสูง ข้าวของปรับตัวขึ้นสูงทุกอย่าง พ่อค้าแม่ค้าก็ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นตามไปด้วย อ้างอิงจาก: https://www.bangkokbiznews.com/business/1047771 #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #มะนาว #มหาสารคาม #ส้มตำ #มะนาวแพง #แม่ค้าส้มตำ

เกษตรกรขอบคุณหลายๆ  “รมว.เกษตรฯ-กรมปศุสัตว์” ปราบหมูเถื่อนต่อเนื่อง

เกษตรกรขอบคุณหลายๆ  “รมว.เกษตรฯ-กรมปศุสัตว์” ปราบหมูเถื่อนต่อเนื่อง    ผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศขอบคุณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมปศุสัตว์ หลังเดินหน้าปราบปราม “หมูเถื่อน” อย่างจริงจัง ล่าสุดสามารถฝังทำลายหมูเถื่อนของกลางกว่า 7 แสนกิโลกรัม ตัดตอนวงจรหมูเถื่อนที่เกาะกินทำร้ายทำลายเกษตรกรไทยมานาน ส่งผลให้เกษตรกรมั่นใจ เร่งเพิ่มผลผลิตหมูปลอดภัยเพื่อคนไทย พร้อมฝากความหวังเดินหน้าจับ “ผู้บงการ” ล้างบางขบวนการนำเข้าหมูผิดกฎหมายให้สิ้น     ปราบปรามได้ถึงกว่า 1 ล้านกิโลกรัม ช่วยป้องกันไม่ให้หมูอันตรายปะปนเข้าสู่ตลาด ทำลายกลไกราคาสุกรในประเทศ และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคระบาด ASF ลงได้อย่างมาก รวมถึงเป็นการปกป้องผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากสารปนเปื้อนอันตรายในหมูเถื่อนด้วย ในนามของเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู ขอชื่นชมและขอบคุณท่านรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ท่านอธิบดีกรมปศุสัตว์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค    ผลงานในปี 2565 ที่กรมปศุสัตว์ได้สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และกรมศุลกากร ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกรณีหมูเถื่อน มีจำนวนรวม 42 คดี ปริมาณน้ำหนักรวม 1,089,514 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ากว่า 219 ล้านบาท โดยได้ดำเนินการกับซากสุกรของกลางเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1.) เป็นส่วนที่ทำลายไปแล้ว จำนวน 179,612 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 71 ล้านบาท 2.) อยู่ในระหว่างดำเนินคดี จำนวน 186,116 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 25 ล้านบาท เมื่อคดีสิ้นสุดจะได้ดำเนินการทำลายต่อไป และ 3.) เป็นหมูเถื่อนที่เพิ่งทำลายไปเมื่อวันที่ 12 ม.ค.2566 จำนวน 723,786 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 123 ล้านบาท   ด้าน นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า การกำจัดขบวนการหมูเถื่อนที่กรมปศุสัตว์ดำเนินการอย่างเข้มข้น ส่งผลให้ราคาสุกรในประเทศเริ่มคงที่ นับเป็นภารกิจที่ทำได้สำเร็จ สิ่งนี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้เกษตรกรในภาคอีสาน กล้าที่จะลงหมูเข้าเลี้ยง ลดความกังวลเกี่ยวกับราคาที่ตกต่ำลงในช่วงที่มีหมูเถื่อนระบาดอย่างหนัก รวมถึงความกังวลด้านโรคระบาดที่อาจติดมากับหมูเถื่อน   โดยขณะนี้สถานการณ์การเลี้ยงหมูในภาคอีสานมีผลผลิตแม่พันธุ์อยู่ในระดับ 70% แล้ว เมื่อมีแนวโน้มการจัดการที่ดีเช่นนี้คาดว่าปริมาณแม่พันธุ์จะเพิ่มเป็น 90% ได้ภายในสิ้นปีนี้ การกำจัดอุปสรรคด้านหมูเถื่อนที่เข้ามาเบียดเบียนตลาดหมูของเกษตรกรไทย นับว่าช่วยให้เกษตรกรเกิดกำลังใจในการเลี้ยงหมู แม้จะมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่แพงขึ้นก็ตาม   อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/local/detail/9660000003908    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ปราบหมูเถื่อน #กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  #กรมปศุสัตว์