Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

ทำไมโคราช ถึงถูกเสนอให้เป็น เมืองหลวงแห่งที่ 2 ในวันที่ กรุงเทพฯ อาจจมบาดาล

โคราช ถูกเสนอเป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 หลังถูกพูดถึงอีกครั้ง ในการประชุมแก้ปัญหาวิกฤต กทม. เมืองหลวงที่กำลังจะจมน้ำจากภาวะโลกร้อน หลังจากมีข่าว กระทรวงมหาดไทย ได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และ สรุปผลการพิจารณาข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ แยกเป็นประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ในส่วนของแผนการจัดน้ำที่ดี กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการจัดหาพื้นที่รองรับน้ำและกักเก็บน้ำเพิ่มเติมสำหรับแผนการจัดการน้ำในระยะกลางแล้ว และได้ดำเนินการก่อสร้างระบบระบายน้ำ ซึ่งเป็นอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่แล้ว 4 แห่ง อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 4 แห่ง และมีแผนสร้างคันกั้นน้ำด้านตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเพื่อการจัดการน้ำในระยะยาวอีกด้วย ในส่วนของโครงสร้างการป้องกันชายฝั่งกรุงเทพมหานคร ได้จัดทำโครงสร้างแบบแข็ง (เขื่อนกันคลื่น/กำแพงกันคลื่น) และแบบอ่อน (เนินทราย/ป่าชายเลน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดสมุทรสาคร และกระทรวงคมนาคม ได้ร่วมมือกับรัฐบาลออสเตรเลียทางด้านวิชาการด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัย โดยเฉพาะระบบระบายน้ำ การย้ายเมืองหลวง จากกรุงเทพมหานครไป จังหวัดนครราชสีมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่า การการย้ายเมืองหลวงจะต้องมีการทำประชามติ และประเมินผลกระทบ ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจการของผู้ประกอบการและการจ้างงาน และกระทบต่อวิถีชีวิต และขนบธรรมเนียมประเพณีของประชาชน ดังนั้น การสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานครและปริมณฑล หรือดำเนินการเพิ่มเมืองศูนย์กลาง ระดับภาคและศูนย์กลางรองระดับภาคเพื่อสร้างสมดุลให้แก่ระบบเมืองของประเทศ น่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่า ความเหมาะสมของจังหวัดนครราชสีมา ที่จะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศไทย โดยปัจจุบันกรมโยธาธิการและผังเมือง และกระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการศึกษาและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานแล้ว เช่น โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง โครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ทั้งนี้ ควรมีการศึกษาด้านทรัพยากรน้ำในทุกมิติให้เกิดความมั่นคงและความสมดุลกับความต้องการน้ำในอนาคต และศึกษาแนวทางการย้ายเมืองหลวงของประเทศอื่นเป็นแนวทางและเทียบเคียงด้วย การศึกษาในเรื่องน้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเกิดจากภาวะโลกร้อน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการศึกษา เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น เช่น การจัดทำ Sea barrier ได้แก่ การพัฒนาเขื่อน ประตูกั้นปากแม่น้ำ ประตูระบายน้ำ คันกั้นน้ำทะเล รวมทั้งการขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการศึกษาแนวทางการป้องกันการรุกตัวของน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา และการศึกษาการคาดการณ์อนาคต ระดับน้ำที่สูงขึ้นในแต่ละช่วงปี เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาให้เกิดความครอบคลุมและควรศึกษาพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและปัญหาอย่างต่อเนื่อง การศึกษาผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่า ควรมีการจัดทำฉากทัศน์ เพื่อเปรียบเทียบ สถานการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางเลือกและผลได้ผลเสียเปรียบเทียบ และควรศึกษาผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นให้รอบคอบเพื่อกำหนดแผนป้องกัน แก้ไข และการจัดการแบบปรับตัว (Adaptive Management) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การสนับสนุนการวิจัยพัฒนาในการออกแบบอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่า ควรมีการศึกษาการออกแบบอาคารใหม่ และการปรับปรุงอาคารที่มีอยู่เดิมแบ่งตามประเภทอาคารที่ใช้งานรวมถึงขนาดและความสูงของอาคาร ควรมีการปรับปรุง Rule Curve ของแต่ละอาคารบังคับน้ำและอ่างเก็บน้ำให้สอดคล้องกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งควรเตรียมการด้านกฎหมายและการสร้างความตระหนักให้หน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนและประชาชน ควบคู่กันไป และควรมีการปรับกฎหมายสิ่งก่อสร้างให้สอดรับกับการปรับโครงสร้างอาคารสถานที่ อย่างไรก็ตามหลังจากที่ประชุมครม.ได้มีมติรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง ญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนจากนี้จะแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบตามขั้นตอนต่อไป ล่าสุด 4/2/2568 : ครม.รับฟังข้อเสนอ เมืองหลวงแห่งที่ 2 หนีวิกฤตกรุงเทพฯ จมน้ำ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รัฐบาลได้มีการพิจารณาหาทางออกอย่างเป็นรูปธรรม หนึ่งในแนวคิดที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การย้ายเมืองหลวงไปที่จังหวัดนครราชสีมา หรือที่หลายคนเรียกกันว่า “โคราช” ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหลังจากที่กระทรวงมหาดไทยรวบรวมความคิดเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ และเสนอให้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2 […]

ทำไมโคราช ถึงถูกเสนอให้เป็น เมืองหลวงแห่งที่ 2 ในวันที่ กรุงเทพฯ อาจจมบาดาล อ่านเพิ่มเติม »

คูน้ำโบราณบุรีรัมย์ มรดกภูมิปัญญาแห่งแดนอีสานใต้

คูน้ำ เป็นร่องที่ถูกขุดขึ้นเพื่อใช้กักเก็บน้ำไว้ใช้ โดยทำหน้าที่เป็นเส้นทางการส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกและการอุปโภคบริโภค โดยในอีสานใต้ โดยเฉพาะบุรีรัมย์ มีคูน้ำที่ล้อมรอบพื้นที่อยู่อาศัยอยู่มากมาย ซึ่งบทความนี้จะพามาดูต้นกำเนิดของคูน้ำ มีความสำคัญอย่างไร เกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องราวของเมืองโบราณแห่งอีสานอย่างบุรีรัมย์ ภายในตัวอำเภอเมืองบุรีรัมย์ บริเวณใจกลางเมืองมีคูน้ำขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นรูปวงรีล้อมรอบบริเวณพื้นที่ศาลหลักเมือง คนบุรีรัมย์เรียกคูน้ำนี้ว่า “ละลม” มีความกว้างเฉลี่ย 80 เมตร ยาวประมาณ 5,000 เมตร พื้นที่รวม 179 ไร่ 2 งาน 12 ตารางวา แต่ก่อนมีเพียงคูเดียวล้อมรอบ แต่ปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็น 6 ส่วน ซึ่งละลมแห่งนี้มีประวัติอย่างยาวนานมาตั้งแต่สมัยทวารวดี (ช่วง พ.ศ.1100 – 1500) มีอายุกว่า 1,800 ปี  ซึ่งการกร้างละลมนี้มีจุดประสงค์เป็นเพื่อการอุปโภคบริโภคของชาวเมือง และการทำอุตสาหกรรมเหล็กในสมัยก่อนเป็นหลัก โดยละลมถูกจัดตั้งเป็นโบราณสถานตามประกาศกรมศิลปากร ในวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2523 นอกจากจะเป็นสถานที่ประวัติศาตร์แล้ว ปัจจุบันละลมของเมืองบุรีรัมย์ ก็เป็นสวนสาธารณะและแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองบุรีรัมย์และนักท่องเที่ยว นอกจากละลมในตัวเมืองแล้วนั้น คูน้ำลักษณะนี้ยังกระจายอยู่หลายพื้นที่ในจังหวัด โดยขอยกตัวอย่าง “บ้านปะเคียบ” ตั้งอยู่ ตําบลปะเคียบ อําเภอคูเมือง เป็นชุมชนเมืองโบราณที่อยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำมูล หมู่บ้านมีลักษณะที่ถูกโอบล้อมด้วยคูน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งบ้านปะเคียบแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโบราณสถานโนนสำโรง ซึ่งถูกสันนิษฐานว่าชุมชนโบราณแห่งนี้มีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากโบราณวัตถุมากมายไม่ว่าจะเป็นก้อนศิลาแลง หรือชิ้นส่วนกระเบื้อง เป็นต้น โดยตัวอย่างชุมชนอื่นๆ ในจังหวัดบุรีรัมย์ที่มีคูน้ำล้อมรอบเพื่อใช้ประโยชน์ ที่หยิบยกมานำเสนอ ได้แก่ บ้านเมืองฝ้าย ตำบลเมืองฝ้าย อำเภอหนองหงส์ เป็นอีกชุมชนเมืองโบราณในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีคูน้ำล้อมรอบ 3 ชั้น ลึกประมาณ 2.50 เมตร บ้านทะเมนชัย ตำบลโคกขมิ้น อำเภอพลับพลาชัย เป็นชุมชนเมืองโบราณ มีคูน้ำล้อมรอบขอบเนินเป็นรูปวงรี ตามแนวเหนือใต้ 3 ชั้น กว้างยาวโดยประมาณ 244  ไร่ บ้านตะลุงเก่า ตำบลโคกม้า อำเภอประโคนชัย เมืองโบราณที่มีคูน้ำล้อมรอบเป็นวงรีซ้อนกันสามชั้น ปัจจุบันเหลืออยู่สองชั้น บ้านแสลงโทน ตำบลแสลงโทน อำเภอประโคนชัย กับคูน้ำโบราณตั้งแต่สมัยทวารวดี นอกจากชุมชนที่กล่าวมา ยังมีชุมชนอื่นๆ ที่มีคูเมืองล้อมรอบ เช่น บ้านพระครู บ้านเมืองดู่ และบ้านไทรโยง คูน้ำถือเป็น ‘นวัตกรรม’ การบริหารจัดการน้ำของชาวอีสานใต้ในอดีต สะท้อนถึงภูมิปัญญาในการปรับตัวของผู้คนที่อาศัยในที่ราบลุ่มแม่น้ำ ระบบคูน้ำนี้ไม่เพียงช่วยกระจายน้ำสู่พื้นที่เพาะปลูกอย่างทั่วถึง แต่ยังช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง อีกทั้งยังเป็นระบบนิเวศขนาดเล็กที่เป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์น้ำและพืชน้ำหลากหลายชนิด ซึ่งยังคงให้ประโยชน์มาจนถึงปัจจุบัน    ที่มา สิ่งแวดล้อมศิลปกรรม ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม วิกิชุมชน วารสารเมืองโบราณ มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์  

คูน้ำโบราณบุรีรัมย์ มรดกภูมิปัญญาแห่งแดนอีสานใต้ อ่านเพิ่มเติม »

จีนบุกไทยจากภายใน ผ่านการตั้งโรงงานในไทยของชาวจีน

ฮู้บ่ว่า? นอกจากสินค้าจากจีนที่ทะลักมาไทยแล้ว จีนยังเริ่มย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยมากขึ้น โดยในปีล่าสุดมีโรงงานตั้งใหม่กว่า 179 แห่งที่มีการลงทุนจากจีน . หลังจากการเกิดสงครามทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาในปี 2560 ส่งผลให้จีนได้เริ่มมีการมองหาตลาดใหม่ๆ ในการขายสินค้าที่ผลิตออกมามหาศาลในประเทศ ทำให้สินค้าจีนมีแนวโน้มที่จะทะลักมายังประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีประเทศใน GMS รวมถึงไทยเป็นเป้าหมายด้วยเช่นกัน . การทะลักของสินค้าจากจีน สามารถส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในไทยได้ในหลายมิติ ในด้านหนึ่งผู้ประกอบการบางส่วนก็ได้รับอานิสงค์จากการนำเข้าสินค้าจากจีนที่เพิ่มขึ้น จากสินค้าที่มีราคาถูกลง มีความหลากหลาย หรือแม้กระทั่งการนำเข้าจากจีนเพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ  อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในภาคการผลิต กำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากการแข่งขันภายในประเทศที่เข้มข้น ตลอดจนความยากลำบากในการแข่งขันด้านต้นทุนให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งจากต่างประเทศได้ ผลกระทบดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการในภาคการผลิต โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ต้องเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ ทำให้ผู้ประกอบการบางรายไม่สามารถรับมือกับปัญหาการทะลักของสินค้าจีนได้ จนนำไปสู่การปิดโรงงานหรือยุติการดำเนินกิจการในที่สุด . นอกจากการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนแล้ว จีนยังเริ่มขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทยมากขึ้น ผ่านการจัดตั้งหรือร่วมลงทุนในโรงงานภายในประเทศ ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดแนวโน้มนี้คือสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งทำให้จีนสามารถใช้ไทยเป็นฐานการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการเก็บภาษีสินค้าจีนที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่สมัยที่โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก นอกจากนี้ ตลาดภายในประเทศไทยเองยังมีความต้องการสินค้าจากจีนสูง ทำให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนชาวจีนมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ ส่งผลให้การย้ายฐานการผลิตมายังไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รูปภาพ 1 : มูลค่าการลงทุนโดยตรงในภาคการผลิตจากประเทศจีน ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย รูปภาพ 2 : จำนวนและมูลค่าการลงทุนของโครงการจากจีน ที่ได้รับการอนุมัติจาก BOI ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน . มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคการผลิตของไทยเติบโตกว่า 6 เท่า ภายในระยะเวลาเพียง 7 ปี โดยเพิ่มขึ้นจาก 5,547 ล้านบาท ก่อนสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ เป็น 38,401 ล้านบาท ในปี 2566  สะท้อนให้เห็นว่าไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะจุดยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับการขยายฐานการผลิตของจีน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่จีนมีความได้เปรียบ เช่น พลาสติก โลหะ อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องจักร ยานยนต์ และเคมีภัณฑ์ ที่ไทยมีการพึ่งพาจากจีนสูง รวมถึงกลยุทธ์การย้ายฐานการผลิตของจีนเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของชาติตะวันตกและสิทธิประโยชน์จาก BOI ยังผลักดันให้จีนขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทยมากยิ่งขึ้น รูปภาพ 3 : จำนวนการตั้งโรงงานในปี 2567 โดยจำแนกตามสัญชาติที่มีการลงทุน ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมโรงงานอุตสาหกรรม รูปภาพ 4 : มูลค่าการลงทุนในบริษัทของโรงงานตั้งใหม่ที่มีการลงทุนจากจีน ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมโรงงานอุตสาหกรรม . ในปี 2567 มีการตั้งโรงงานที่ได้รับการลงทุนจากจีนกว่า 179 แห่ง และเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนการตั้งโรงงานในช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหน้าจะพบว่ามีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนการตั้งโรงงานที่มีจีนลงทุนมากถึง 164% ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับโรงงานอื่นๆที่ไม่มีการลงทุนจากจีน รวมถึงเม็ดเงินการลงทุนในโรงงานจากจีนที่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 11,387 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่จีนให้ความสำคัญกับตลาดไทยมากขึ้นทั้งในด้านการรองรับสินค้านำเข้าจากจีนและโอกาสที่จะเติบโตในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสำหรับการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ รูปภาพ 5 : ประเภทของโรงงานตั้งใหม่ที่มีการลงทุนจากจีน จำแนกตามขนาดของโรงงาน ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมโรงงานอุตสาหกรรม . การลงทุนจากจีนในโรงงานของไทยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมที่จีนได้เปรียบและไทยมีการพึ่งพาสินค้าจากจีนสูง

จีนบุกไทยจากภายใน ผ่านการตั้งโรงงานในไทยของชาวจีน อ่านเพิ่มเติม »

มาตรการได้ผล! อ้อยเผาอีสานลดลง นักวิชาการแนะใช้กลไกตลาดเพิ่มมูลค่าและความยั่งยืน

เผาอ้อย สาเหตุจากต้นทุน กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง  การเผาอ้อย เป็นกรรมวิธีที่ชาวไร่อ้อยทำในช่วงเก็บเกี่ยวอ้อยจนกลายเป็นวัฒนธรรม โดยเฉพาะในช่วงเปิดหีบอ้อยช่วงเดือนธันวาคม-ช่วงต้นปี ซึ่งสาเหตุหลักที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยเลือกที่จะทำการเผา มาจากปัจจัยด้าน “ต้นทุน” เนื่องมาจากแรงงานตัดอ้อยสดหาได้ยากกว่า แรงงานไม่ชอบตัดอ้อยสด เพราะยุ่งยาก เสี่ยงที่โดนใบอ้อยบาดมือ และใช้เวลามากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้มีต้นทุนค่าแรงที่สูง เจ้าของไร่อ้อยหลายรายจึงมองว่าไม่คุ้มค่าที่จะจ้าง และเลือกที่จะใช้วิธีการเผาแล้วจึงเก็บเกี่ยว   ปัจจัยต่อมาคือการใช้รถตัดอ้อยเพื่อแก้ปัญหาแรงงานนั้นทำไม่ได้ทั่วถึงเนื่องจากในบางพื้นที่สภาพทางกายภาพไม่เหมาะสมกับรถตัด ได้แก่ พื้นที่ที่เป็นเนิน มีหินเยอะ มีต้นไม้เยอะ พื้นที่ลุ่มที่มีน้ำขังได้ง่าย นอกจากนั้นการใช้รถตัดอ้อยนั้นมีต้นทุนที่สูง จำนวนรถตัดมีไม่มาก และไร่อ้อยบางพื้นที่รถตัดเข้าไปได้ยาก และเสี่ยงที่จะไม่คุ้มค่า ลักษณะของแปลงของเกษตรกรไร่อ้อยในภาคอีสานเป็นแปลงขนาดเล็ก เกษตรกรมีจำนวนมากในบางโรงอาจมีเกษตรกรมากถึงเป็น 10,000 ราย ในการใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่เช่นรถตัดอ้อยเข้าไปในแปลงขนาดเล็กนั้นจะไม่คุ้มทุนเพราะต้องเสียหัวแปลงท้ายแปลงในการกลับรถเสี่ยงต่อการที่รถตัดอ้อยจะเหยียบอ้อย การที่แปลงไร่อ้อยกระจายอยู่ทั่วไปไม่รวมตัวกันทำให้การเคลื่อนย้ายรถตัดทำได้ลำบาก อาจมีต้นทุนที่สูงจึงทำให้หารถเข้าไปตัดได้ยาก  คุณภาพของการบริการรถตัดอ้อยก็ส่งผลต่อการตัดสินใจของเกษตรกรเช่นกันเพราะถ้าหากคนขับรถตัดไม่ชิดดินทำให้ตออ้อยถอนขึ้นหรือเหยียบตออ้อยจะทำให้อัตราการงอกในปีต่อไปค่อนข้างต่ำและเกิดการสูญเสียในปีต่อๆไป   นอกเหนือจากปัจจัยสำคัญในข้างต้นแล้ว ก็ยังมีอีกหลายปัจจัย เช่น ปัญหาไฟไหม้ธรรมชาติ หรือไฟที่เผาจากแปลงอื่นลุกลามมา นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องการแข่งขัน ที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยต้องทำการรีบเร่งให้ผลผลิตของตนออกสู่ตลาดก่อนรายอื่น จึงต้องทำการเผาอ้อยเพื่อเร่งเก็บเกี่ยว ซึ่งอาจเกิดไฟไหม้ลามไปถึงแปลงอื่นๆได้   การแข่งขันระหว่างโรงงานอาจเป็นเหตุจูงใจให้มีการจุดไฟเผาไร่อ้อย เพื่อบังคับให้เกษตรกร เร่งการเก็บเกี่ยวหากไม่มีคิวหีบก็จะต้องขายอ้อยที่ไหนก็ได้แบบเร่งด่วนเพื่อไม่ให้น้ำหนักอ้อยไฟไหม้สูญเสียไปมากกว่าที่ควรเป็น ซึ่งอาจเกิดไฟไหม้ลามไปถึงแปลงอื่นๆได้   ภาคอีสาน เป็นภูมิภาคที่มีการปลูกอ้อยมากที่สุดในในประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงมีการเผาอ้อยมากที่สุดตามไปด้วย โดยปริมาณอ้อยไฟไหม้ที่เกษตรชาวไร่อ้อยอีสานได้นำมาขายให้โรงงานมีปริมาณทั้งสิ้น 14 ล้านตัน หรือเป็นสัดส่วนกว่า 34% ของปริมาณอ้อยเข้าหีบในภาคอีสาน การเผาอ้อยนั้นเป็นอีกหนึ่งต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาควัน เศษที่เถ้า ฝุ่น PM2.5 ผนวกกับช่วงต้นปีมีความกดอากาศต่ำอยู่แล้ว จึงส่งผลให้ปัญหามลภาวะหนักขึ้นไปอีกและกลายเป็นปัญหาที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทุกปี  เผาอ้อยเฮ็ดหยัง? ต้นตอฝุ่นควัน กับเหตุผลที่หลายคนยังไม่รู้ สัดส่วนอ้อยเผาเข้าหีบอีสานลดลง จากมาตรการที่เข้มงวดขึ้น ปีเก็บเกี่ยว 2567/68 นี้ บอร์ดคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล ได้เพิ่มความเข้มงวดในการเก็บเกี่ยวและซื้อขายอ้อยของชาวไร่และโรงงาน เพื่อลดปัญหาการเผาและฝุ่นควัน ผ่านการสนับสนุนให้เก็บเกี่ยวอ้อยสดเพิ่มขึ้น เพิ่มมูลค่าให้กับใบและยอดอ้อยผ่านการรับซื้อจากชาวไร่ มีการสนับสนุนและดูแลเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวอ้อยสด ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้ชาวไร่ประมาณ 120 บาทต่อตันอ้อย อีกทั้งในปีนี้มีมาตรการหักเงินชาวไร่ตามสัดส่วนของอ้อยเผาที่ส่งเข้าโรงงาน ตั้งแต่ 30-130 บาทต่อตัน นอกจากนั้นยังมีบทลงโทษแก่โรงงานน้ำตาลที่มีการรับซื้ออ้อยเผาเกินสัดส่วน ดังเช่นในกรณีของ บริษัท น้ำตาลไทย อุดรธานี ที่ได้ถูกสั่งปิดชั่วคราวหลังจากมีการรับซื้ออ้อยเผาเป็นปริมาณมาก   โดยจากมาตรการที่เข้มงวดขึ้นในปีเก็บเกี่ยวนี้ เมื่อเปรียบเทียบจากปริมาณอ้อยเข้าหีบหลังจากเปิดหีบ 45 วัน ของปีการผลิต 2566/2567 และ 2567/2568  พบว่าตัวเลขการรับซื้ออ้อยเผาของโรงงานน้ำตาลภาคอีสานลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยปีการผลิต 2566/2567 (เปิดหีบ 12 ธ.ค. 2566) มีปริมาณอ้อยเผาเข้าหีบ 7 ล้านตัน คิดเป็น 30% ของปริมาณอ้อยเข้าหีบรวม ขณะที่ปีการผลิต 2567/2568 (เปิดหีบ 6 ธ.ค. 2567) พบว่าปริมาณอ้อยเผาเข้าหีบลดลงเป็น 4.2 ล้านตัน และคิดเป็นเพียง 20% ของปริมาณอ้อยเข้าหีบรวมในปีนี้ สะท้อนผลในเชิงบวกของการใช้มาตรการ เป็นแนวทางการลดปัญหาการเผาอ้อยและมลภาวะต่อไป

มาตรการได้ผล! อ้อยเผาอีสานลดลง นักวิชาการแนะใช้กลไกตลาดเพิ่มมูลค่าและความยั่งยืน อ่านเพิ่มเติม »

แบงก์ไทย🇹🇭อนุมัติยากนัก 🇨🇳 สินเชื่อจีนเตรียมบุก หวังดันยอดรถ EV🚘อนุมัติง่าย ดอกเบี้ยต่ำ

ยอดรถจดทะเบียนภาคอีสานยังซบเซาตลอดปี 67 จากบทความที่ยกมาข้างต้น จะพบว่ายอดจดทะเบียนภาคอีสานยังซบเซา รวมถึงสถานการณ์ทั้งประเทศก็ไม่ต่างกันมากนัก โดยเฉพาะตลาดรถกระบะที่ซบเซามากที่สุดในรอบ 5 ปี อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น และหนี้เสีย(NPL) รวมทั้งหนี้ที่ต้องเฝ้าระวังหรือชำระล่าช้าเพิ่มมากขึ้น ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และอนุมัติวงเงิน สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ยากมากยิ่งขึ้น โดยตัวเลขประมาณการณ์การอนุมัติไม่ผ่านของสินเชื่อปรับตัวสูงขึ้นถึง 20-30% โดยเฉพาะในกลุ่มอาชีพค้าขาย และอาชีพอิสระ ที่อาจมีการปฏิเสธสินเชื่อสูงมากขึ้นด้วย ปัญหาเหล่านี้ส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวม ดังต่อไปนี้ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยไม่เป็นไปตามเป้าหมาย: แม้จะมีการสนับสนุนจากรัฐบาลและแผนที่ชัดเจนสำหรับการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยในปี 2566 ก็ต่ำกว่าเป้าหมายอย่างมาก สาเหตุหลักมาจากความยากลำบากในการขอสินเชื่อจากธนาคารสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า แม้ความต้องการรถไฟฟ้าของผู้บริโภคมีแนวโน้มให้ความสนใจมากขึ้น และต้องการใช้สิทธิ์ในการสนับสนุนการซื้อจากภาครัฐ ธนาคารไม่ยอมให้กู้ยืมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า: อัตราสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สูงในตลาดยานยนต์ไทยทำให้ธนาคารระมัดระวังในการให้กู้ยืมสำหรับรถยนต์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่มีงานไม่เป็นทางการ เช่น ฟรีแลนซ์, ค้าขาย โอกาสและช่องว่างทางธุรกิจของธุรกิจการเงินจากจีน สถาบันการเงินจีนเข้ามาแทนที่: เพื่อเติมเต็มช่องว่างนี้ สถาบันการเงินจีนได้เข้าสู่ตลาดไทยด้วยเงื่อนไขสินเชื่อที่ยืดหยุ่นกว่า อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า และขั้นตอนการอนุมัติที่ง่ายกว่า ทั้งยังเพื่อช่วยส่งเสริมการรุกตลาดของรถยนต์ EV ในไทย และเพื่อทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถ EV สามารถเร่งทำยอดขายก่อนที่โควต้าการนำเข้าต่อการผลิตรถภายในไทยที่บังคับไว้จะเพิ่มขึ้นในปีถัดไป ผู้ให้กู้ยืมชาวจีนใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี: สถาบันเหล่านี้ใช้ AI และข้อมูลขนาดใหญ่ในการประเมินความน่าเชื่อถือเหนือกว่าคะแนนเครดิตแบบดั้งเดิม ทำให้บุคคลที่มีแหล่งรายได้ไม่เป็นทางการสามารถมีคุณสมบัติสำหรับสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจที่จะทำในรูปแบบ FinTech(แอพกระเป๋าเงินดิจิตอล) หรือ รูปแบบ Virtual Bank (ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา) เพื่อลดต้นทุนในการดำเนินการทางการเงิน รวมถึง นำเทคโนโลยีจากจีนที่เชี่ยวชาญในการทำ SuperApp ที่รวมทุกบริการไว้ในแอปเดียว และให้บริการ Fintech อย่างที่แบรนด์จีนเข้ามาทำตลาดในไทยก่อนหน้านี้ อย่างเช่น ShopeePayLater, LazadaPayLater, หรืออย่าง Grab PayLater ที่ใช้เทคโนโลยีตรวจเช็คพฤติกรรมการใช้จ่าย การจ่ายที่ตรงเวลา และอื่นๆ เพื่อนำมาคำนวณเครดิตในการปล่อยสินเชื่อ นั่นเอง ตัวเลือกในตลาดที่มากขึ้นและเพิ่มการแข่งขันด้วยดอกเบี้ยที่ต่ำ ซึ่งหากสถานบันการเงินจากต่างชาติเข้ามาเป็นตัวเลือกให้ลูกค้าย่อมทำให้เกิดการแข่งขัน และดึงดูดด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้ต้องรอดูสถานการณ์และดูแนวโน้มต่อไป เพราะ แม้จะมีแนวโน้มว่าสินเชื่อรถยนต์ EV จีนจะปล่อยแบบลดต้น-ลดดอก แต่ก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพียงแต่หากเกิดขึ้นจริง ย่อมทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนตลาด ลิซซิ่งสินเชื่อรถยนต์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ ที่อาจจะตามาในอนาคต ความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลทางการเงินของจีน: การเพิ่มขึ้นของสถาบันการเงินจีนในตลาดยานยนต์ไทยก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่อาจเกิดขึ้นและผลกระทบระยะยาวต่อระบบการเงินไทย ที่จะไม่เฉพาะในวงการของรถยนต์ รวมถึงความกังวลจากการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายขึ้น เนื่องจากหนี้รถยนต์เป็นภาระที่ค่อนข้างก้อนใหญ่ซึ่งจะส่งผลให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้น ความท้าทายที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยากลำบากในการขอสินเชื่อจากธนาคารสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า นำเสนอการเกิดขึ้นของสถาบันการเงินจีนเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ ซึ่งนำเสนอตัวเลือกสินเชื่อที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของอิทธิพลทางการเงินของจีนในตลาดไทย รวมทั้งยังต้องมีการผ่านข้อบังคับ และข้อกฎหมายในประเทศไทยตามการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้น จำเป็นต้องติดตามการอัพเดตกันต่อไปว่า สินเชื่อจากจีนนี้จะมาเมื่อไหร่ในรูปแบบใด และจะเข้ามามีบทบาทในตลาดการเงินของไทยมากน้อยเพียงใด   โค้วยู่ฮะ อีซูซุ กับความท้าทาย ในตลาดรถกระบะ ปี 2567

แบงก์ไทย🇹🇭อนุมัติยากนัก 🇨🇳 สินเชื่อจีนเตรียมบุก หวังดันยอดรถ EV🚘อนุมัติง่าย ดอกเบี้ยต่ำ อ่านเพิ่มเติม »

NARIT! เผย “สาเหตุหลัก” ที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 อาจไม่ใช่แค่ “การเผา-การใช้รถ”

พาสำรวจเบิ่ง จุดเผาใน GMS หนึ่งในสาเหตุ PM 2.5   ในทุกฤดูหนาวอากาศที่เย็นตัว พร้อมกับความกดอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผนวกกับลมประจำฤดูที่พัดลมหนาวจากตะวันออกเฉียงหนือ จาก Infographic ที่แสดงจุดเผาในประเทศเพื่อนบ้านจะพบว่า มลพิษทางอากาศทั้งในประเทศและต่างประเทศก็เป็นอีก 1 สาเหตุของมลภาวะทางอากาศ ไม่ว่ากิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ทั้ง โรงงานอุตสาหกรรม, การใช้รถที่เผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล และที่กำลังเป็นประเด็นสังคม คือ การเผาในทางการเกษตร ทั้ง นาข้าว อ้อย และข้าวโพด ล่าสุดสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NARIT เสนอให้มีการตรวจสอบและศึกษาวิจัยสาเหตุของฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจัง เพื่อหาต้นตอที่แท้จริงโดยนำวิเคราะห์ฝุ่นด้วยเทคนิคดาราศาสตร์มาใช้ ศึกษาฝุ่นด้วยเทคนิคดาราศาสตร์ “การเผา-การใช้รถ” อาจไม่ใช่ “สาเหตุหลัก” ฝุ่น PM2.5 รองผู้อำนวยการ NARIT เผย ต้นตอหลักของการเกิดฝุ่น PM2.5 มาจากการเผาและการใช้รถไม่ถึงครึ่ง แต่เกิดจากสิ่งที่เรียกว่า “ละอองลอยทุติยภูมิ” ในงาน NARIT The Next Big Leap เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 68 ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) หรือ NARIT ได้มีการกล่าวถึงการนำองค์ความรู้ด้านดาราศาสตร์มาปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาสังคม ซึ่งรวมถึงปัญหาใหญ่ใกล้ตัวอย่าง “วิกฤตฝุ่น PM2.5” ด้วย ดร. วิภู รุโจปการ รองผู้อำนวยการ NARIT บอกว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้เทคนิค “Mass Spectrometry” (แมสสเปกโทรเมทรี) ในการศึกษาองค์ประกอบฝุ่นเพื่อหาว่าต้นตอจริง ๆ ของฝุ่น PM2.5 มาจากการเผาตามที่มีการเข้าใจกันเป็นวงกว้างจริงหรือไม่ Mass Spectrometry คือการจำแนกโครงสร้างของโมเลกุลสารต่าง ๆ ออกมาในรูปแบบของสเปกตรัม ซึ่งทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า สารนั้น ๆ มีองค์ประกอบที่แตกต่างกันเป็นอะไรบ้าง เช่น นักดาราศาสตร์จะใช้ตรวจวัดสเปกตรัมรังสีคอสมิกในบรรยากาศดวงจันทร์ ในที่นี้ ก็สามารถนำมาใช้ศึกษาฝุ่นได้และสิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทยในปีนี้ด้วย ดร.วิภูบอกว่า ก่อนหน้านี้ในปี 2016 งานวิจัยต่างประเทศเคยมีการทดลองใช้ ACSM ใกล้กับกรุงมิลาน ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองอุตสาหกรรมของอิตาลี และมีประชากรมาก มีหลายองค์ประกอบที่คล้ายกรุงเทพและเชียงใหม่ การศึกษาครั้งนั้นออกมาว่า ในระยะเวลา 1 ปี องค์ประกอบโดยเฉลี่ยของฝุ่น PM2.5 ประกอบด้วย สารประกอบอินทรีย์ถึง 58% รองลงมาคือไนเตรท (NO3) 21% ตามด้วยซัลเฟต (SO4) 12% และแอมโมเนีย (NH4) 8% งานวิจัย Variations in the chemical composition of

NARIT! เผย “สาเหตุหลัก” ที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 อาจไม่ใช่แค่ “การเผา-การใช้รถ” อ่านเพิ่มเติม »

อะไรๆ ก็หม่าล่า พามาเบิ่ง หม่าล่าในอีสาน ยังฮอตฮิต หรือแค่กระแส(ที่เริ่มแผ่ว)

ถ้าพูดถึงอาหารยอดฮิตยอดนิยมตตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้น “หม่าล่า” อาหารรสชาติเผ็ดชาที่เป็นเอกลักษณ์สไตล์จีน ที่ตอนนี้เป็นที่นิยมในหมู่เด็กวัยรุ่นนักเรียนนักศึกษาไปจนถึงวัยทำงาน ซึ่งตอนนี้ก็มีธุรกิจร้านอาหารหม่าล่าผุดขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารแนวสตรีทฟู้ด (ร้านอาหารข้างทาง) ร้านอาหารปิ้งย่างชาบูบุฟเฟต์อลาคาส ที่มีคนยืนต่อคิวเข้าร้านมากกว่าร้อยคิวต่อหนึ่งวัน ฮู้บ่ว่าจริงๆ “หม่าล่า” ที่คนไทยพูดติดปากกันเป็นชื่ออาหาร แต่จริงๆแล้วคำว่า “หม่าล่า” นั้นแปลว่า อาการเผ็ดหรือเผ็ดจนลิ้นชา ซึ่งความเผ็ดนั้นมาจากเครื่องเทศ “ฮวาเจียว” ซึ่งเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่งจากพริกไทยเสฉวน หรือ Sichuan Pepper  ความชื่นชอบรสชาติเผ็ดชาที่เป็นของแปลกใหม่ และถูกใจคนไทยจนถึงปัจจุบัน ทำให้ร้านหม่าล่าผุดขึ้นมามากมาย จำนวนร้านหม่าล่าเปิดเยอะกว่าก็อาจเป็นเพราะด้วยจำนวนประชากรที่มากกว่าเชียงใหม่ รวมไปถึงจำนวนพื้นที่และพลังสื่อโซเชียลที่ช่วยกระจายร้านอร่อย ร้านเด็ด ร้านดังแชร์ให้คนตามมากินกันได้ง่ายกว่า แม้ว่าร้านหม่าล่าเป็นกระแสมาสักพักใหญ่ๆแล้ว ร้านดังที่เป็นกระแสก็ยังเป็นที่นิยมมักเป็นร้านที่สร้างความแตกต่างจากที่อื่นได้ก่อน ยกตัวอย่างเช่น ร้านสุกกี้จินดา ที่ผสมความเป็นหม่าล่ากับหม้อชาบูเข้าด้วยกัน และยังเพิ่มจุดขายคือ สุกี้เสียบไม้ ซึ่งเป็นการใช้ความสะดวกสบายที่ใช้สายพานในการเสริฟอาหาร และด้วยความเป็นไม้ทำให้ลูกค้าสามารถกำหนดงบประมาณของตัวเองได้ และในช่วงที่เป็นกระแสในโลกออนไลน์ ก็ได้ไอเดียมาจากช่วงโรคระบาดโควิด-19 ที่ต้องใส่ใจความสะอาด และสุขอนามัยกลายมาเป็นสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังเพิ่มมากขึ้น ไอเดียหม้อแยกจึงสร้างความไว้วางใจ และช่วยประกอบการตัดสินใจได้ ยิ่งไปกว่านั้น สไตล์การกินแบบหม้อแยกยังเจาะกลุ่มเป้าหมายคนที่อยากกินคนเดียว ปัจจุบันขยายสาขาไปแล้วกว่า 40 สาขา แบ่งเป็นเจ้าของแบรนด์บริหารเอง 7 สาขา สาขาแฟรนไชส์ 33 สาขา   . ย้อนกลับไปช่วงปี 2566 ร้านหม่าล่าในไทยมีจำนวน 16,000 ร้าน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 7.3% ผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่อย่าง LINE MAN ได้เผยสถิติที่สุดแห่งปี 2566 ด้านอาหาร พบว่าเมนูยอดฮิตจากผู้ใช้บริการกว่า 10 ล้านคน จากร้านอาหารกว่า 1 ล้านร้านใน 77 จังหวัด คือ หมาล่าเสียบไม้และสุกี้ชาบูหมาล่า เมนูดาวรุ่งสุดร้อนแรง มีผู้ใช้บริการ LINE MAN สั่งมากกว่า 1 ล้านออเดอร์ เพิ่มขึ้นถึง 45% เมื่อเทียบกับปี 2565 มีการพูดถึง หม่าล่า ถึง 3,697 ข้อความ Engagement 315,561 ครั้ง . ประเภทอาหารหม่าล่าที่คนบนโลกออนไลน์สนใจมากที่สุด ชาบูหม่าล่า 46% สุกี้หม่าล่า 37% ปิ้งย่างหม่าล่า 17% . ถ้าลองวิเคราะห์สถานการณ์ของกิจการ . จุดแข็งของกิจการ มีเมนูอาหารที่หลากหลาย วัตถุดิบมีคุณภาพ ราคาถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับ คุณภาพของอาหาร ปรุงด้วยสตรเฉพาะของทางร้าน  สถานที่ตั้งร้านอยู่ในแหล่งชุมชนและมีบริการจัดส่งในชุมชน มีการแนะนาเมนูอาหารใหม่ๆ และโปรโมชั่นใหม่ๆ ผ่านช่องทางต่างๆ เช่นเว็บ เพจ ทางเฟสบุ๊ค ไลน์  มีอุปกรณ์อานวยความสะดวกในร้าน โดยมีเครื่องปรับอากาศที่เปิดตลอดเวลา และมีบริการ Free WIFI ให้แก่ลูกค้าเล่นระหว่างนั่งรออาหาร

อะไรๆ ก็หม่าล่า พามาเบิ่ง หม่าล่าในอีสาน ยังฮอตฮิต หรือแค่กระแส(ที่เริ่มแผ่ว) อ่านเพิ่มเติม »

อำนาจเจริญ ความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม จังหวัดที่มูลค่าเศรษฐกิจน้อยที่สุดในอีสาน

อำนาจเจริญ อีกหนึ่งจังหวัดที่มีความท้าทายที่ต้องก้าวผ่านนั่นคือ ความเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนมากที่สุดในภาคอีสาน .   ถ้าเราพูดถึงเศรษฐกิจ ย่อมมีทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ดี และไม่ดีแตกต่างกันไปในแต่พื้นที่ ที่ผ่านมาเพจ อีสาน อินไซต์ ของเพวกเราได้นำเสนอข้อมูลด้านเศรษฐกิจในแต่ละจังหวัดซึ่งมีสัดส่วนตั้งแต่ดีมากไปจนถึงแย่ที่สุดและนี่เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนที่สูงมากเลยทีเดียว .   วันนี้อีสาน อินไซต์ สิพามาเบิ่ง สถานการณ์เศรษฐกิจและข้อมูลต่างๆของจังหวัด อำนาจเจริญ .   1.ข้อมูลพื้นฐาน จังหวัดอำนาจเจริญ มีขนาดพื้นที่ ประมาณ 3,161 ตารางกิโลเมตร และมีประชากร 374,372 คน ถือว่ามีประชากรน้อยสุดลำดับที่ 19 ในภาคอีสาน มีประชากรมากกว่ามุกดาหารเท่านั้น โดยในปี 2564 จังหวัดอำนาจเจริญมีขนาดเศรษฐกิจของจังหวัด อยู่ที่ 21,693 ล้านบาท และรายได้ต่อหัวของจังหวัดอยู่ที่ 77,048 บาท .   .   2.สถานที่ท่องเที่ยว ในจังหวัดอำนาจเจริญจะมีการผสมผสานระหว่างธรรมชาติกับธรรมะที่การสมผสานกันอย่างลงตัว อย่างพระมงคลมิ่งเมืองและพุทธอุทยานนั้น จะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย องค์พระหน้าตักกว้าง 11 เมตร ความสูงจากระดับพื้นดินถึงยอดเปลวรัศมีกว่า 20 เมตร โดยเป็น พระมงคลมิ่งเมือง จะเป็นพระพุทธรูปที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบอินเดีย ที่เข้ามายังภาคอีสาน เมื่อพันปีก่อนนั่นเอง และบรรจุพระสารีริกธาตุ ที่ได้รับมาจากประเทศอินเดียไว้ที่องค์พระด้วย ใครที่ได้มากราบไหว้ขอพรนั้น ก็เลยเหมือนได้ไปกราบไหว้พระสารีริกธาตุที่ประเทศอินเดียนั่นเอง และอีกที่นึง นั่นคือน้ำตกตาดใหญ่ เป็นสถานที่ทางธรรมชาติอีกจุดของจังหวัดอำนาจเจริญตั้งอยู่ใน ตำบลโคกก่ง อำเภอชานุมาน โดยสายน้ำแห่งนี้เกิดขึ้นมาจากลำห้วยทม ไหลผ่านพลาญหินทรายลงไป มีขนาดกว้างกว่า 30 เมตร และสูงเกือบ 2-3 เมตรเลยทีเดียว ที่สำคัญยังมีน้ำไหลกันตลอดทั้งปีอีกด้วย แต่น้ำจะเยอะมากในหน้าฝน และสวยที่สุดช่วงปลายฝนต้นหนาว   .   3.โครงสร้างเศรษฐกิจและธุรกิจ SME ในปี 2565 จังหวัดอำนาจเจริญมีขนาดเศรษฐกิจของจังหวัด  (GPP) อยู่ที่ 21,693 ล้านบาท ด้วยตัวเลขนี้ทำให้อำนาจเจริญอยู่อันดับสุดท้ายของภูมิภาค แต่มีรายได้ต่อหัว (GPP Per Capita) อยู่ที่ 81,556 บาท อยู่ในลำดับที่ 13 ของภูมิภาค โดยจังหวัดอำนาจเจริญมีโครงสร้างเศรษฐกิจดังนี้   ภาคการบริการ คิดเป็น 49% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การบริการด้านอาหารในภัตตาคาร/ร้านอาหาร อยู่ที่ 1,240 ราย ภาคการเกษตร คิดเป็น 28% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การเลี้ยงโคนมและโคเนื้อ อยู่ที่ 259 ราย ภาคการผลิต

อำนาจเจริญ ความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม จังหวัดที่มูลค่าเศรษฐกิจน้อยที่สุดในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

อ.ศรีเมืองใหม่ เอกลักษณ์ผังเมืองแปดทิศอันโดดเด่นแห่งเมืองอุบล

การวางผังเมืองถือเป็นหัวใจสำคัญในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองและชุมชนให้สมดุล ยั่งยืน และตอบสนองความต้องการของประชากรในระยะยาว โดยในภาคอีสาน มีอำเภอหนึ่งที่นับเป็น “Unseen of Isan” ด้วยผังเมืองที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ลักษณะของผังเมืองแห่งนี้เป็นรูปแปดเหลี่ยมแปดทิศ ซึ่งเปรียบเสมือนใยแมงมุมที่สะท้อนถึงความเป็นระเบียบและความงดงามอย่างลงตัว อำเภอแห่งนี้คือ อำเภอศรีเมืองใหม่ ตั้งอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี ความเป็นมาและความโดดเด่นของผังเมืองแปดทิศ อำเภอศรีเมืองใหม่ เดิมมีชื่อว่า “เมืองโขงเจียม” เป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ติดแม่น้ำโขง ความโดดเด่นของผังเมืองอำเภอนี้คือการออกแบบให้มีลักษณะเป็นแปดเหลี่ยม โดยมีสวนสาธารณะศรีเมืองใหม่ตั้งอยู่ตรงกลาง พร้อมถนนแปดสายที่แยกออกจากสวนสาธารณะ ทำให้ภาพรวมของผังเมืองดูคล้ายใยแมงมุม ข้อดีของผังเมืองรูปแบบนี้คือความเป็นระเบียบ สวยงาม และเอื้อต่อการพัฒนาในอนาคต ไม่เพียงแต่ตอบสนองการใช้งานในปัจจุบัน แต่ยังสร้างความสมดุลระหว่างพื้นที่สาธารณะและพื้นที่อยู่อาศัยอย่างลงตัว การวางผังเมืองของอำเภอศรีเมืองใหม่เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2500 ขณะนั้นยังเป็น “บ้านศรีเมืองใหม่” ในอำเภอโขงเจียม ต่อมาในปี พ.ศ. 2514 ได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอศรีเมืองใหม่ คำว่า “ศรีเมืองใหม่” หมายถึง “ที่อยู่อาศัยใหม่ที่เพียบพร้อมด้วยความสุข ความเจริญ และความสง่างาม” ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจในการพัฒนาพื้นที่นี้ให้เป็นต้นแบบของความเจริญในภูมิภาค รูปภาพจาก: กลุ่ม facebook ศรีเมืองใหม่…….บ้านเฮา   ผังเมืองแปดทิศ ความพิเศษที่พบได้ยาก ผังเมืองรูปแบบแปดทิศนี้พบได้ยากในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ในประเทศจีน มีเมืองหนึ่งที่มีผังเมืองลักษณะคล้ายกันคือ เมืองเท๋อเค่อสือ ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เมืองนี้ถูกออกแบบตามแนวคิด “ปากั้ว” ซึ่งเป็นศาสตร์ฮวงจุ้ยเกี่ยวกับพลังงานในทิศต่างๆ อีกทั้งยังเป็นเมืองเดียวในจีนที่ไม่มีสัญญาณไฟจราจร   ธรรมชาติอันงดงามของศรีเมืองใหม่ นอกจากความโดดเด่นของผังเมืองแล้ว อำเภอศรีเมืองใหม่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงาม อย่าง วนอุทยานน้ำตกผาหลวง ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลนาเลิน ห่างจากตัวเมืองอุบลราชธานีเพียงชั่วโมงเศษ น้ำตกผาหลวงมีจุดเด่นในเรื่องความหลากหลายของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก ป่าไม้ หินผา และทิวทัศน์อันสวยงาม กิจกรรมที่สามารถทำได้ที่นี่มีหลากหลาย เช่น เดินป่า ตั้งแคมป์ ชมดาวในยามค่ำคืน หรือพักผ่อนหย่อนใจในบรรยากาศธรรมชาติ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: วนอุทยานน้ำตกผาหลวง อำเภอศรีเมืองใหม่คืออัญมณีแห่งภาคอีสานที่ไม่ควรพลาด ด้วยผังเมืองที่มีเอกลักษณ์ มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและวัฒนธรรมอย่างลงตัว รูปภาพจาก: Facebook วนอุทยานน้ำตกผาหลวง ที่มา: เว็บไซต์เทศบาลตำบลศรีเมืองใหม่ Ubon Outdoor การท่องเที่ยวจีน – CNTO Bangkok 4 จังหวัด คูเมืองโบราณในอีสาน วิทยาการการจัดการน้ำในเมืองโบราณของคนในอดีต  

อ.ศรีเมืองใหม่ เอกลักษณ์ผังเมืองแปดทิศอันโดดเด่นแห่งเมืองอุบล อ่านเพิ่มเติม »

เติบโตด้วยตนเอง..‘อุดรธานี’ ถูกผลักดันจากภาครัฐน้อยกว่า ‘ขอนแก่น’ จริงหรือ?

  ความรุ่งเรืองของ ‘อุดร’ จากอดีต กระทั่ง ปัจจุบัน อุดรธานี จังหวัดใหญ่แห่งอีสานที่เจริญเติบโตมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และช่วงสงครามเย็น โดยในยุคสงครามเย็น ช่วงปี พ.ศ. 2497-2505 มีสหรัฐฯ เข้ามาช่วยพัฒนาโครงสร้างในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น ถนนมิตรภาพ วางรากฐานสาธารณูปโภคพื้นฐาน รวมไปถึงสนามบิน ส่งผลให้ในยุคนั้น อุดรธานีเป็นที่ถึงดูดของคนต่างท้องที่ ต่างเชื้อชาติ ตั้งรกราก ไม่ว่าจะเป็น ทหารอเมริกัน คนเวียดนามที่ลี้ภัยสงคราม คนจีนที่เข้ามาค้าขาย  ส่งผลให้เม็ดเงินมหาศาลเข้ามายังอุดรธานี ซึ่งความเจริญของอุดรในยุคนั้นสะท้อนได้จากการที่มีร้านอาหาร ผับ บาร์ สถานบันเทิง อยู่เต็มเมือง มีความทันสมัยทางด้านวัฒนธรรม อาหาร แฟชั่น แตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ ในอีสาน   รูปภาพจาก: Yothin Samrandee    เรื่องราวในอดีตยังคงมีผลมาจวบจนปัจจุบัน โดยสภาพสังคมของเมืองอุดร หลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม มีชุมชนคนจีนและเวียดนามอาศัยอยู่มาก มีฝรั่งเดินอยู่ทั่วไป มีคนลาวเข้ามาช้อปปิ้งทุกวัน โดยยอดผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติของอุดรฯ ในช่วง ม.ค.- พ.ย. 2567 มีจำนวน 9.5 แสนคน อันดับ 2 ในอีสานรองจากเมืองติดริมโขงอย่างหนองคาย แต่พบว่าอุดรธานีมีรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติ 12,508 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าหนองคายที่เท่ากับ  8,183 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าคนลาวในเวียงจันทน์ซึ่งมีกำลังซื้อสูง เดินทางผ่านเข้ามายังด่านหนองคายเพื่อเข้ามาจับจ่ายใช้สอยในเมืองอุดรนั่นเอง นอกจากนั้นตลอด 15 ปีที่ผ่านมา  สนามบินอุดรธานี ยังมีสถิติเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารสูงที่สุดอันดับ 1 ในอีสานทุกปี  โดยในปี 2566 และ 2567 มีจำนวนผู้โดยสารรวมกว่า 3.6 ล้านคน โดยอันดับ 2 คือ สนามบินขอนแก่น มีจำนวน 3.1 ล้านคน รูปภาพจาก: กรมท่าอากาศยาน Agoda เผย อุดรธานีคว้าอันดับ 1 จุดหมายท่องเที่ยวสุดคุ้ม    จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าอุดรธานีเป็นเมืองค้าขายและหมุดหมายการท่องเที่ยวที่สำคัญของทั้งคนไทยและต่างชาติ อย่างไรก็ตาม มีหลายๆเสียงที่บอกว่า อุดรธานีนั้นป็นจังหวัดใหญ่ในอีสานที่ถูกภาครัฐให้ความสำคัญน้อยกว่าจังหวัดอื่นอย่างขอนแก่น? เรื่องนี้ จริงเท็จแค่ไหน Isan insight & Outlook สิพามาเบิ่ง   ‘อุดร’ ถูกลดความสำคัญ ‘ขอนแก่น’ กลายเป็นตัวเลือกแรกของรัฐ ประเด็นนี้ต้องมองย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2500 เป็นช่วงที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เข้ามามีอำนาจทางการเมือง ได้ให้กำเนิดนโยบาย “น้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวก” เป็นนโยบายที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคต่างๆของไทย โดยใช้ ‘แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่หนึ่ง’

เติบโตด้วยตนเอง..‘อุดรธานี’ ถูกผลักดันจากภาครัฐน้อยกว่า ‘ขอนแก่น’ จริงหรือ? อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top