ฮู้บ่ว่า? ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วงการอุดมศึกษาไทย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชน กำลังเผชิญกับการเข้ามาของ “ทุนจีน” ซึ่งโดยมากอาจไม่ได้เป็นการร่วมมือในด้านวิชาการ แต่เป็นการเข้าซื้อกิจการโดยตรง และอาจเป็นการถือหุ้นผ่านบริษัทนอมินี
.
ข้อมูลจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สะท้อนให้เห็นถึงการเข้ามาของทุนจีน ผ่านการถือหุ้นในมหาวิทยาลัยเอกชน ถึง 3 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยชินวัตร, มหาวิทยาลัยเกริก และมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด ซึ่งการเข้าซื้อกิจการของทุนจีนมีแนวโน้มที่จะไม่ได้ดำเนินการอย่างเปิดเผยทั้งหมด บางรายใช้วิธีตั้งบริษัทในสิงคโปร์หรือฮ่องกง ก่อนย้อนเข้ามาลงทุนในไทย ผ่านตัวกลางคนไทยหรือบริษัทนอมินี และมีการถือหุ้นทางอ้อมข้ามไปมา จึงทำให้ยากต่อการตรวจสอบแหล่งที่มาของทุนและจุดประสงค์ที่แท้จริงในการเข้ามาถือหุ้นจากจีน
.
แนวโน้มการเข้ามาของทุนจีนในธุรกิจการศึกษาของไทย อาจสะท้อนผ่าน แนวโน้มการลดลงของประชากรวัยเรียน และอัตราการเกิดที่ลดลงของไทย ที่เป็นผลให้มหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่ง อาจเสี่ยงต่อการขาดรายได้ และเป็นผลทำให้ต้องปิดกิจการหรือมีการปรับตัว อีกทั้งกระแสการเข้ามาของตลาดนักศึกษาจีนขาออก ที่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ จีนจะเป็นประเทศอันดับหนึ่ง ที่มีนักศึกษาเข้ามาในประเทศไทยมากที่สุด
.
ข้อสังเกตอีกอย่างที่เกิดขึ้นในประเด็นของการเข้ามาของทุนจีนในมหาวิทยาลัยเอกชนของไทย อาจเป็นการขายวุฒิการศึกษา เหมือนกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้า ในช่วงต้นปี 2568 หรือแม้กระทั่ง การเข้ามาทำงานผิดกฎหมายผ่านการใช้วีซ่าในรูปแบบนักศึกษา อย่างไรก็ตามการเข้ามาในรูปแบบนี้ยังเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตุเพียงเท่านั้น ซึ่งหากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงอาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันด้านแรงงาน และความมั่นคงในด้านระบบการศึกษาของประเทศ จึงควรเร่งให้มีการตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริง และหารือเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น
รายการ News digest ได้สรุปข่าว มหาวิทยาลัยศูนย์เหรียญไว้ดังนี้