Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

Personalized Food โอกาสใหม่ในธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ

พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับอาหารเพื่อสุขภาพที่ตอบโจทย์เฉพาะเจาะจงในระดับบุคคลมากขึ้น และด้วยร่างกายของแต่ละคนมีความต้องการสารอาหารที่ต่างกัน ทำให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารในรูปแบบ One size fits all ไม่ใช่ทางเลือกเดียวอีกต่อไป . จึงเกิดแนวคิด Tailored to FIT ซึ่งนำไปสู่นวัตกรรมการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพที่เรียกว่า อาหารเฉพาะบุคคล (Personalized Food) โดยคาดว่าจะสร้างแรงกระเพื่อมให้วงการอาหาร และเป็นโอกาสของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารที่จะสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่ม Product Segment ใหม่ที่น่าสนใจ .  Personalized Food เมื่อแบ่งด้วย Metrix ของ 2 ปัจจัย คือ รูปแบบการส่งมอบอาหาร และความเฉพาะเจาะจงของผู้บริโภค จะแบ่งได้ 4 ประเภท ดังนี้ . 1. อาหารสำเร็จรูปสำหรับบุคคลเฉพาะกลุ่ม . ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น บริษัท Kewpie ของญี่ปุ่น ที่มีผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้สูงอายุ เช่น สเต๊กแฮมเบอร์เกอร์ไก่และเกี๊ยวกุ้งที่เนื้ออาหารมีความนุ่มและเคี้ยวง่าย ตอบโจทย์ปัญหาการบดเคี้ยว ลิ้นรับรสชาติได้น้อยลง และการกลืนอาหารลำบากหลังร่างกายผลิตน้ำลายน้อยลง . ส่วนของไทย มีบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด ที่ผลิตข้าวต้มผู้สูงวัยออกมา โดยมีคุณสมบัติเคี้ยวง่าย ดูดซึมดี และมีคุณค่าทางโภชนาการที่ผู้สูงอายุต้องการมากกว่าคนปกติ . 2. อาหารสำเร็จรูปสำหรับเฉพาะบุคคล . ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น บริษัท Nestle ในสหรัฐฯ ที่มีการนำผล DNA มาวิเคราะห์เพื่อสร้างเมนูอาหารเฉพาะบุคคล ภายใต้แบรนด์ Lean Cuisine ซึ่งต่อยอดจากอาหารเฉพาะกลุ่มผู้ควบคุมน้ำหนัก . สำหรับในไทยอาจทำได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ผู้ประกอบการต้องเตรียมพร้อมในเรื่องของเทคโนโลยี FoodTech รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและอาหารร่วมวิจัยถึงข้อมูลโภชนาการที่เหมาะสมกับผู้บริโภคแต่ละราย เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภครายนั้นได้มากที่สุด . 3. ร้านอาหารสำหรับบุคคลเฉพาะกลุ่ม . ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น บริษัท Verdify ซึ่งเป็น FoodTech ของเนเธอร์แลนด์ ได้ออกแบบอาหารผ่านออนไลน์ อีกทั้งร่วมมือกับเชฟเพื่อรังสรรค์อาหารและพร้อมจัดส่งถึงบ้าน ด้วยข้อมูลโภชนาการที่คำนึงถึงการแพ้อาหารและเป้าหมายด้านสุขภาพ เช่น กลุ่มผู้รับประทานอาหารที่มีเกลือต่ำ คาร์โบไฮเดรตต่ำ และผู้มีปัญหาสุขภาพทางเดินอาหาร เช่น โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) . ตัวอย่างในไทย เช่น ร้านต้นกล้าฟ้าใส ที่มีเมนูอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ผู้สูงอายุ และผู้เป็นโรคเบาหวานหรือต้องการควบคุมปริมาณน้ำตาล หรือร้าน Vista Kitchen ที่มีเมนูอาหารเหมาะกับกรุ๊ปเลือดของแต่ละคน . 4. ร้านอาหารสำหรับเฉพาะบุคคล . ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น ร้านอาหาร Vita Mojo ในสหราชอาณาจักร ที่ร่วมมือกับ DNA fit (บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้าน HealthTech) […]

Personalized Food โอกาสใหม่ในธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ อ่านเพิ่มเติม »

“ทำน้อยได้มาก” ยกระดับภาคเกษตร ภาคเศรษฐกิจหลักของอีสาน

ยกระดับภาคเกษตร ภาคเศรษฐกิจหลักของอีสาน สู่ฐานเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศ . เป็นที่น่าจับตามองเมื่อ สศช. กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำกรอบแนวคิดการพัฒนา ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Economic Corridor: NeEC) ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย ให้เป็นฐานเศรษฐกิจชีวภาพ หรือ NeEC – Bioeconomy ของประเทศ . ภายใต้โมเดล BCG ซึ่งเป็นแนวคิดการใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบด้านทรัพยากรชีวภาพ เพื่อปลดล็อกการผลิต โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมในรูปแบบเดิมที่ “ทำมากถึงได้มาก” ไปสู่การผลิตแบบ “ทำน้อยแต่ได้มาก” . จากรายงานศึกษาการยกระดับเศรษฐกิจอีสานด้วย Bio-economy เผยแพร่โดย ธปท. ชี้ว่า หลายประเทศในยุโรปประสบความสำเร็จในการยกระดับภาคเกษตรด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ ส่งผลให้มีรายได้สูงขึ้น ซึ่งภาคอีสานเองมีความเชื่อมโยงกับภาคเกษตรสูง ทำให้มีศักยภาพในการต่อยอด และจะได้รับประโยชน์มากจากการพัฒนาตามแนวเศรษฐกิจชีวภาพ .  โอกาสของอีสาน สำหรับเศรษฐกิจชีวภาพมีอะไรบ้าง . 1. อีสานเป็นฐานอุตสาหกรรมชีวิภาพสำคัญของไทย โดยมีสัดส่วนผลผลิตที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญ เช่น ข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง กว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ ทั้งยังมีโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรคิดเป็น 1 ใน 5 ของโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมดในภาค โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์แป้ง น้ำตาล และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร . 2. ภาคเกษตรมีบทบาทสำคัญต่ออีสาน โดยมีสัดส่วนสูง คิดเป็น 1 ใน 5 ของโครงสร้างเศรษฐกิจ และแรงงานอีสานกว่า 6.5 ล้านคนอยู่ในภาคเกษตร นอกจากนี้อุตสาหกรรมอีสานส่วนใหญ่ยังเป็นอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร ที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในอีสาน . 3. มีความได้เปรียบเชิงพื้นที่ในการเชื่อมโยงไปยังตลาดสำคัญ ตามยุทธศาสตร์ชาติที่ยกระดับให้อีสานเป็นศูนย์เศรษฐกิจนวัตกรรม และการกระจายสินค้าไปสู่อนุภูมิภาคข้างเคียง . 4. ความพร้อมของหน่วยงานในพื้นที่ทั้งภาครัฐ เกษตรกร เอกชน สถาบันการศึกษา ที่มีการร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมและการวิจัย (Innovation Center) เพื่อเป็นแหล่งศึกษา วิจัย เชื่อมโยง และถ่ายทอดองค์ความรู้ระหว่างกันในพื้นที่อีกด้วย .  ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่เริ่มปรากฎให้เห็นในภาคอีสาน . โรงงานนํ้าตาลเริ่มต่อยอดนํ้าตาลทรายดั้งเดิมสู่ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Bio-based Chemicals สำหรับการผลิตอาหารคนและสัตว์ เช่น สารให้ความหวานที่มีแคลอรี่ตํ่า โพรไบโอติกส์ที่เป็นส่วนผสมอาหารและนม สารสกัดยีสต์จากชานอ้อย . การวิจัยใช้สารนาโนซิลิกอนจากแกลบทำขั้วแบตเตอรี่ พัฒนาข้าวหอมมะลิเป็นเครื่องดื่มข้าวฮางงอก ข้าวปลอดกลูเตน โรงแป้งมันสำปะหลังอุบลฯ ส่งเสริมเกษตรกรทำมันอินทรีย์ . อย่างไรก็ตามการลงทุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมของภาคยังตํ่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ยังไม่มีแรงจูงใจลงทุน สะท้อนจากการขอรับบัตรส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ส่วนใหญ่เพื่อแปรรูปสินค้าเกษตรขั้นต้น . ด้านผู้ประกอบการรายกลางและเล็กมีข้อจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี เพราะมีต้นทุนสูง และยังต้องการการสนับสนุน ด้านองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยี ขณะที่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพยังคงมีต้นทุนสูงกว่าสินค้าดั้งเดิม ทั้งยังไม่มีความมั่นใจในตลาดว่าจะมีการรองรับหรือไม่ .  ภาคเอกชนมองการพัฒนาเศรษฐกิจอีสานอย่างไร

“ทำน้อยได้มาก” ยกระดับภาคเกษตร ภาคเศรษฐกิจหลักของอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

Thorr แบรนด์คราฟต์อีสาน

พัฒนาเสื่อกกยังไง ให้มียอดขายหลักแสนบาทต่อเดือน . . เมื่อพูดถึง “งานคราฟต์” (Craft) คนรุ่นใหม่มักนึกถึงงานฝีมือที่ใส่ความร่วมสมัยลงไป ไม่ว่าจะเป็นเซรามิกคราฟต์ วู้ดคราฟต์ หรือแม้กระทั่งคราฟต์เบียร์และคราฟต์คอฟฟี่ ที่ได้แทรกซึมเข้ามาในไลฟ์สไตล์คนเมืองพร้อม ๆ กับกระแสสโลว์ไลฟ์ . แต่ครั้งนี้ เราจะพามาทำความรู้จักกับ “Thorr” แบรนด์คราฟต์อีสาน ของคุณอุ๋งอิ๋ง-ธัญญ์นภัส กิ่งสุวรรณ ที่พัฒนาเสื่อกกธรรมดาสู่ของแต่งบ้านสไตล์โมเดิร์น จนสามารถเพิ่มมูลค่าให้หัตถกรรมพื้นบ้าน และสร้างงานสร้างโอกาสให้คนในท้องถิ่น . .  มองเห็น “ปัญหา” ก่อนโอกาส จากปัญหาที่ทำให้หัตถกรรมจักสานเสื่อกกของชาวบ้านไม่สามารถไปต่อได้ คือ ถูกจำกัดให้เป็นแค่เสื่อปูนั่งกินข้าว และมีแต่ลายซ้ำกัน ขาดซึ่งเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ แทบดูไม่ออกเลยว่าเสื่อผืนนี้มาจากร้อยเอ็ด มหาสารคาม หรือขอนแก่น . หรือหากมองแบบฉาบฉวยคงเป็นเรื่องของสีและการดีไซน์ สอง คุณภาพการผลิต ชนิดของต้นกก ความคงทนถาวร สาม ช่องทางจำหน่าย นั่นเป็นปัญหาหลักที่ทำไมเสื่อกกถึงขายในกลุ่มคนรุ่นใหม่และ Luxury ไม่ได้ . จากการมองเห็นปัญหาดังกล่าวทางแบรนด์จึงเริ่มแก้ปัญหาด้วยการลงพื้นที่ เพื่อดูว่าเสื่อทั้งหมดมีกี่ผืน กี่ลาย และก็ได้พบว่าเสื่อที่มีแต่เดิมนั้นมีลายค่อนข้างซับซ้อน สวยแต่เยอะ ยากต่อการจดจำ ฉะนั้น เสื่อกกของแบรนด์ จึงต้องดูมีรสนิยม แต่ไม่ถึงกับ Aggressive และไม่ต้องดูเหนือกว่าคนอื่นตลอดเวลา . Thorr จึงตั้งจุดยืนของแบรนด์ไว้ 3 ข้อ คือ 1. ต้องจับตลาดกลุ่มบนให้ได้ 2. ต้องปรับเปลี่ยนเรื่องคุณภาพและราคา 3. ต้องเป็นสากล ใช้งานได้จริง และไม่ขายดราม่า . ส่วนปัญหาเรื่องการทอลายเดิมซ้ำไปมา จนขาดเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นนั้น ปกติการทอจะมี 2 แบบ คือ แบบใช้อุปกรณ์ (ท่อพีวีซี) กับแบบใช้ทักษะช่างทอ ซึ่งหากจะทอแบบแรก 10 ลาย ต้องมีท่อพีวิซี 10 ชุด ทางแบรนด์จึงเลือกการทอแบบที่สอง โดยให้คนทอที่มีทักษะชำนาญสอนคนที่ทอไม่เป็น . เริ่มต้นจากลายที่ทอง่าย เพราะ หนึ่ง ลายมินิมอล น้อยแต่มากจะขายดี สอง ความสวยงามยังอยู่ สาม เป็นผลดีกับช่างทอ บางทีมีเพิ่มเทคนิคมัดย้อมบ้าง เล่นลายบาง อย่างลายดอกพิกุล ซึ่งเป็นหนึ่งในลายที่อยู่ในลายขิต เลือกมาเพียงลายเดียวแล้วทอซ้ำจนเกิดเป็นดอกพิกุลต่อกัน เรียกได้ว่าโมเดิร์นไปอีกแบบ . .  ยอดขายพุ่ง “หลักแสนบาทต่อเดือน” จากยอดขายหลักพันบาทต่อเดือน เพิ่มเป็นหลักหมื่น และปัจจุบันเป็นหลักแสนกว่าบาทต่อเดือน มีกำไร 30-40% จากตอนแรกที่เริ่มจ้างช่างทอ 2-3 คน ตอนนี้เพิ่มเป็น 30 กว่าคน . การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของ Thorr คือการได้ไปงานแฟร์ต่างประเทศอย่าง Maison &

Thorr แบรนด์คราฟต์อีสาน อ่านเพิ่มเติม »

เมื่อซุปเปอร์มาร์เก็ตหันมาให้ความสำคัญกับดีไซน์

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบัน “ค้าปลีกขนาดเล็ก” หรือ “ค้าปลีกไซส์ S” (Small Format) ที่เป็น Chain Store กลายเป็นเซ็กเมนต์ที่มีบทบาทต่ออุตสาหกรรมค้าปลีกในไทยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะไปที่ไหน ในชุมชนหรือตัวเมืองเองต่างล้อมรอบด้วยร้านค้าปลีกขนาดเล็ก (Convenience Store) . ยิ่งธุรกิจเติบโตมากเท่าไร การแข่งขันของตลาดยิ่งรุนแรงมากขึ้น ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็ได้มีการงัดกลยุทธ์ออกมาสู้กันอย่างดุเดือด ไม่ว่าจะเป็นการขยายสาขาในวงกว้าง ความหลากหลายของสินค้า การเพิ่มบริการ เพิ่มช่องทางออนไลน์ เดลิเวอรี่ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายที่มากขึ้น . ปัจจุบัน การพัฒนารูปแบบของสโตร์นั้นจะเน้นไปที่ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า เช่น เน้นพื้นที่นั่งทานในร้านเพื่อรองรับกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ หรือสาขาที่มีพื้นที่จอดรถสำหรับรองรับจำนวนรถยนต์ที่มีมากขึ้น ขณะที่บางสาขาจะถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นแลนด์มาร์คในเรื่องของการท่องเที่ยวในพื้นที่นั้น ๆ รวมถึงการวางตัวเองเป็น Community Hub ของชุมชน . ล่าสุดโลตัสได้เปิดตัวสาขาใหม่ โดยมีความน่าสนใจคือ เรื่องของดีไซน์ที่ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพื่อขยายสาขาไปยังพื้นที่ ที่มีโอกาสทางการตลาด พร้อมยังเป็น Commuity Hub ของชุมชน เป็นจุดในการเช็กอิน ถ่ายรูป เพื่อแชร์ในโซเชียลมีเดียของคนรุ่นใหม่อีกด้วย . นั่นคือ โลตัส โก เฟรช (Lotus’s go fresh) สาขาริมโขง จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นสาขาต้นแบบด้านการออกแบบที่โดดเด่น โดยได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมท้องถิ่น ที่นำมาประยุกต์เข้ากับสถาปัตยกรรมแบบร่วมสมัย ถือเป็นเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ริมแม่น้ำโขง . อีกหนึ่งความน่าสนใจคือ สาขานี้เป็นแฟลกชิปสโตร์ 2 ชั้น โดยพื้นที่จับจ่ายใช้สอยหลักอยู่ชั้น 1 ส่วนบนชั้น 2 มีพื้นที่สำหรับนั่งพักผ่อน จิบกาแฟจาก Jungle Café ที่ตั้งอยู่ในสาขาพร้อมกับชมวิวได้เพลิน ๆ เพื่อให้ลูกค้าใช้เวลาอยู่ในสาขานานขึ้น . จุดเด่นที่สร้างความแตกต่างของ โลตัส โก เฟรช สาขาริมโขง จังหวัดนครพนม คือ . – เรื่องของโลเคชั่นที่ตั้งอยู่ริมฝั่งโขง มีทัศนียภาพที่สวยงาม พร้อมกับใกล้แหล่งชุมชน – การออกแบบสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัย หลังคาทรงจั่วบังแดดและฝน ผนังก่ออิฐ ช่องแสง และผนังฝาปะกน – มีลานด้านหน้าที่เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ สำหรับจัดตลาดนัดสัญจรให้ผู้ประกอบการ SME เกษตรกร และร้านค้าในชุมชน หมุนเวียนมาจำหน่ายสินค้า – มีเครื่อง “ข.ขวด แลก ข.ไข่” รับขวดพลาสติกเพื่อนำไปรีไซเคิล โดยลูกค้าสามารถแลกไข่ไก่ 1 ฟองเมื่อนำขวดพลาสติก 10 ขวดมารีไซเคิล ช่วยสร้างพฤติกรรมในการแยกขยะและรักษาสิ่งแวดล้อมให้ชุมชนใกล้เคียง . การขยายสาขาล่าสุดของ โลตัส โก เฟรช ที่นครพนม ถือเป็นหนึ่งภาพสะท้อนของการให้ความสำคัญในเรื่องของดีไซน์เพื่อช่วยสนับสนุนการตลาดของธุรกิจ และการเข้าใจถึงพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักในการสร้างความแตกต่าง เพื่อทำให้ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการได้ง่ายขึ้น . อย่างไรก็ตาม

เมื่อซุปเปอร์มาร์เก็ตหันมาให้ความสำคัญกับดีไซน์ อ่านเพิ่มเติม »

หนองคายเพาเวอร์ดริ๊งก์ SMEs คนรุ่นใหม่ ปลาเล็กที่ประสบความสำเร็จท่ามกลางฝูงปลา

นักธุรกิจอายุน้อยจะประสบความสำเร็จได้หรือ แล้วบริษัท SMEs เล็ก ๆ มีหรือจะเทียบชั้นกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้ หนองคายเพาเวอร์ดริ๊งก์ บริษัท SMEs ของคนรุ่นใหม่ วัย 20 กว่า ๆ ทำให้เราเห็นแล้วว่าทุกอย่าง “เป็นไปได้” . เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ Double C ที่มีผู้ก่อตั้งบริษัทคือ คุณชนินทร์ เฮ้งเจริญสุข อายุ 27 ปี และคุณสรวิศ เฮ้งเจริญสุข อายุ 25 ปี ได้สร้างปรากฏการณ์ขึ้นในตลาดเครื่องดื่มวิตามินซี เมื่อมียอดขายสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศ . 4 อันดับ ในบรรดาเครื่องดื่มวิตามินซี ที่มียอดขายสูงสุด ประกอบด้วย อันดับ 1 C-vitt ของโอสถสภา ส่วนแบ่งตลาด 70.7% อันดับ 2 Double C ของหนองคายเพาเวอร์ดริ๊งก์ ส่วนแบ่งตลาด 19.0% อันดับ 3 VITADAY ของเจนเนอรัล เบฟเวอร์เรจ ส่วนแบ่งตลาด 7.8% อันดับ 4 Woody C+ Lock ของคาราบาวกรุ๊ป ส่วนแบ่งตลาด 1.5% . ทั้ง 4 อันดับ ล้วนแต่เป็นกลุ่มบริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ของประเทศ มีเพียงแบรนด์ Double C เท่านั้นที่เกิดมาจากธุรกิจ SMEs และเป็นเจ้าของที่อายุน้อยที่สุดที่ลงมาเล่นในตลาดแห่งนี้ . เดิมทีหนองคายเพาเวอร์ดริ๊งก์ ทำธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังภายใต้แบรนด์ “ช้างแดง” แต่ด้วยสภาพการแข่งขันรุนแรงของตลาด ทั้งยังมีบริษัทใหญ่ที่ผู้บริโภคคุ้นเคยกันอยู่แล้ว อย่าง M-150 ของโอสถสภา และกระทิงแดง ของกลุ่ม TCP ที่ยากจะแย่งชิงยอดขายได้ ทำให้บริษัทประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง จึงได้มองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ . จนมาพบว่าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพกำลังได้รับความนิยมและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ ณ ตอนนั้นคู่แข่งยังมีไม่มากนัก ด้วยต้นทุนเดิมที่มีอยู่แล้วทั้งเครื่องจักรและโรงงาน จึงตัดสินใจผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ Double C . Double C ได้ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2561 ด้วยรสชาติที่ถูกปาก เช่น รสเลม่อนและมะนาว, รสส้มและเลม่อน, รสพีชและลิ้นจี่ และรสเสาวรสและส้ม ในราคามาตรฐานของตลาดขวดละ 15 บาท จึงได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี . ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Double C ประสบความสำเร็จคือ ความแตกต่างของสินค้าที่ “อัดเต็มวิตามินซี 120 มิลลิกรัม” หรือเพิ่มขึ้นสองเท่าจากปริมาณที่ร่างกายต้องการ

หนองคายเพาเวอร์ดริ๊งก์ SMEs คนรุ่นใหม่ ปลาเล็กที่ประสบความสำเร็จท่ามกลางฝูงปลา อ่านเพิ่มเติม »

หมดวัยแต่ “ไม่หมดไฟในการทำงาน”

เมื่อคนอายุ 60 ปีขึ้นไป กว่า 1.9 แสนคนในอีสาน ยังอยากพัฒนาขีดความสามารถอยู่ . การสูงวัยของประชากรเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในต้นสหัสวรรษนี้ ประชากรโลกมีอายุสูงขึ้นเนื่องจากอัตราการเกิดที่ลดและผู้คนมีอายุยืนยาวขึ้น . ปี 2563 โลกของเรามีประชากรรวม 7,795 ล้านคน เป็น “ผู้สูงอายุ” ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 1,050 ล้านคน หรือคิดเป็น 14% ของประชากรโลก . ส่วนอาเซียน มีประชากรรวม 664 ล้านคน เป็นผู้สูงอายุท่ีมีอายุ 60 ปีขึ้นไป 73 ล้านคน หรือคิดเป็น 11% ของประชากรอาเซียน . สำหรับประเทศไทยนั้น มีประชากรรวม 66.5 ล้านคน เป็นผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 12 ล้านคน หรือคิดเป็น 18% ของประชากรทั้งประเทศ . ถึงแม้ไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ตั้งแต่ปี 2548 แล้ว ตามหลักเกณฑ์ขององค์การสหประชาชาติที่ว่า มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 10% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งในปีนั้นไทยมีผู้สูงอายุ 10.4% . แต่รู้หรือไม่ว่าสิ้นปี 2564 นี้ ไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) ตามหลักเกณฑ์ คือมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ และคาดการณ์ว่าในปี 2574 เราจะเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างเต็มที่ (Super-aged society) คือมีประชากรสูงอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ . โดย 5 จังหวัดที่มี “ผู้สูงอายุ” หรือประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากที่สุด (นับจำนวนคน) ในปี 2564 อันดับ 1 กรุงเทพมหานคร มีผู้สูงอายุ รวม 1,296,919 คน อันดับ 2 นครราชสีมา มีผู้สูงอายุ รวม 537,421 คน อันดับ 3 ขอนแก่น มีผู้สูงอายุ รวม 367,316 คน อันดับ 4 เชียงใหม่ มีผู้สูงอายุ รวม 351,216

หมดวัยแต่ “ไม่หมดไฟในการทำงาน” อ่านเพิ่มเติม »

ทีมอีสปอร์ตอีสานไม่น้อยหน้า คว้าอันดับ 1 ROV โลก

เมื่อ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา Buriram United Esports สามารถคว้าแชมป์นานาชาติ Arena of Valor International Championship หรือ AIC 2021 ได้สำเร็จ ซึ่งได้รับเงินรางวัลมากถึง 4 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 13.4 ล้านบาท นับเป็นความสำเร็จอีกหนึ่งขั้นของวงการ e-Sport ไทย . สถิติเผย คนไทยเล่นเกมเป็นอันดับหนึ่งของโลก . Global Digital Report 2021 ของ We Are Social และ Hootsuite เปิดเผยว่า คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเล่นเกมเป็นอันดับหนึ่งของโลก คิดเป็น 96.6% ของผู้ใช้งานทั่วโลก รองลงมาเป็นฟิลิปินส์ (95.8%) และอินโดนีเซีย (94.5%) ตามลำดับ . “อุตสาหกรรมเกม” กำลังเติบโตและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้หลายคนหันมาเล่นเกมในช่วงที่เกิดการ Lockdown โดย Newzoo คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมเกมจะเติบโตสูงถึง 2.18 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นกว่า 7.32 ล้านล้านบาท ในปี 2023 . ปัจจัยที่ทำให้อุตสาหกรรมเกมเติบโต ประกอบด้วย . 1. การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ดึงดูและเข้าถึงผู้เล่นได้มากขึ้น ประกอบกับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันที่ทำได้ง่าย สามารถเล่นเกมได้ทุกที่ทุกเวลา . 2. เกมกลายเป็นพื้นที่สังสรรค์ออนไลน์ที่เปิดตลอดเวลา สามารถชักชวนกลุ่มเพื่อนให้เข้ามาเล่นด้วยกันได้ . 3. การขยายตัวของ e-Sports ที่ถูกยอมรับอย่างกว้างขวางมากจขึ้น ทำให้มีธุรกิจใหม่ ๆ เข้ามาช่วยขยาย ecosystem ของอุตสาหกรรมเกม . 4. การระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้การเล่นเกมได้รับความนิยมมากขึ้น จากผู้ที่เล่นเกมอยู่แล้วได้ใช้เวลาเล่นมากขึ้น และดึงดูดผู้เล่นรายใหม่ที่ยังไม่เคยเล่นมาก่อน . เกมจะเป็นสื่อบันเทิงที่มีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต . จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวาง สามารถสร้าง engagement ได้สูงและยาวนานกว่าสื่อบันเทิงประเภทอื่น ประกอบกับการเล่นเกมในปัจจุบันที่มีความเป็นโซเชียลมากขึ้น เปรียบเสมือนเป็นพื้นที่สังสรรค์ที่เข้ามาทดแทนสื่อบันเทิงและกิจกรรมประเภทอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ . โดยปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมเกมยังเติบโตได้ดีในอนาคต คือ เทคโนโลยี โดยเฉพาะ VR/AR ที่จะสร้างประสบการณ์การเล่นที่แตกต่างไปจากการเล่นทั่วไป สมาร์ทโฟน ที่สามารถเล่นได้ทุกที่ และกว่า 90% ของเกมบนมือถือเป็นแบบ free-to-play สามารถเข้าถึงผู้เล่นได้หลากหลายกลุ่ม สร้าง engagement และรายได้ให้กับผู้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง . เงินรางวัลของการจัดแข่งขัน e-Sports

ทีมอีสปอร์ตอีสานไม่น้อยหน้า คว้าอันดับ 1 ROV โลก อ่านเพิ่มเติม »

เมื่อประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ ‘ภาวะขาดแคลนแรงงานวัยหนุ่มสาว’

จากปัญหาประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับอัตราการเกิดที่ต่ำลงเรื่อย ๆ . หากย้อนกลับไปดูสัดส่วนประชากรไทย ปี 2513 หรือเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว . วัยเด็ก (อายุ 0-14 ปี) สัดส่วน 45.1% วัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) สัดส่วน 50% วัยสูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) สัดส่วน 4.9% . เทียบกับสัดส่วนประชากรไทย ปี 2563 วัยเด็ก (อายุ 0-14 ปี) สัดส่วน 16.9% วัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) สัดส่วน 65% วัยสูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) สัดส่วน 18.1% . จะเห็นว่า ช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ประชากรสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่า จาก 4.9% เป็น 18.1% ในขณะที่ประชากรวัยเด็ก (0-14 ปี) มีสัดส่วนลดลงเป็นเท่าตัว จาก 45.1% เหลือเพียง 16.9% โดยปี 2563 นับเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องจากปี 2562 ที่ประเทศไทยมีสัดส่วนประชากรสูงอายุมากกว่าประชากรวัยเด็ก . และตามการคาดการณ์ของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ถึงสัดส่วนประชากรไทยในปี 2583 หรืออีก 20 ปีข้างหน้า . วัยเด็ก (อายุ 0-14 ปี) สัดส่วน 12.8% วัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) สัดส่วน 55.8% วัยสูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) สัดส่วน 31.4% . จะเห็นว่า สัดส่วนของประชากรสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) เพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว ในขณะที่ประชากรวัยเด็ก (0-14 ปี) มีสัดส่วนลดลงเหลือเพียง 12.8% เท่านั้น ยิ่งสะท้อนปัญหาสัดส่วนประชากรที่ทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป . . ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุสมบูรณ์แล้ว แต่กลับมีอัตราการเกิดที่ต่ำลงเรื่อย ๆ . เดิมทีไทยมีอัตราการเกิดของประชากรเติบโตราว 3% ต่อปี

เมื่อประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ ‘ภาวะขาดแคลนแรงงานวัยหนุ่มสาว’ อ่านเพิ่มเติม »

“ควายไทย” เกษตรแนวใหม่ที่น่าจับตามอง

เป็นที่พูดถึงอีกครั้งเมื่อผู้สื่อข่าวจากข่าวสด ได้เดินทางไปสกลนคร เพื่อพบกับคุณนรากร ศรีพั้ว หรือบิ๊กต่อ ที่เมื่อก่อนได้นำเงินสดซึ่งพ่อให้เป็นของขวัญหลังเรียนจบการศึกษาปริญญาตรี สาขาสัตว์แพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กว่า 7.9 แสนบาท เพื่อให้ไปซื้อรถยนต์ แต่กลับได้ควายเผือกหรือเจ้ามังกรทองกลับบ้านมาแทน . ถ้าตอนนั้นนำเงินไปซื้อรถคงจะไม่เกิดดอกออกผลอะไร มิหนำซ้ำยังมีแต่ “ลด” เนื่องจากต้องแบกรับค่าจ่ายอื่น ๆ ตามมาอีก ไม่ว่าจะเป็นค่าเติมน้ำมันหรือเติมแก๊ส ค่าประกัน รวมถึงค่าซ่อมบำรุงรักษาต่าง ๆ แต่ด้วยความชอบด้านการเกษตร การเลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว ประกอบกับต้องการช่วยครอบครัวทำเกษตรอยู่ที่บ้าน ยังไม่มีความจำเป็นในการใช้รถ จึงตัดสินใจซื้อเจ้ามังกรทอง . สร้างความตกใจให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก เพราะที่บ้านเคยขายควายมาก่อน แม้จะขายทั้งคอกก็ได้มากสุดเพียงหลักหมื่นเท่านั้น แต่สำหรับเจ้ามังกรทองที่มีความสง่า ผิวพรรณอมชมพู ดีกรีแชมป์ประเทศไทย เคยแสดงหนังเรื่องบางระจัน 2 มีคนเสนอราคาให้ถึง 3.5 ล้านบาท ปัจจุบันหนักประมาณ 1,500 กิโลกรัม รีดน้ำเชื้อแบ่งขายให้เกษตรกรที่สนใจในสายพันธุ์ แบ่งขายโดสละ 5,000 บาท ทำรายได้ให้กับเจ้าของหลายหมื่นบาทต่อเดือน . และทางด้านองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร จะทำการผลักดันให้เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวด้านการทำเกษตรแบบผสมผสานอย่างเต็มรูปแบบต่อไป ซึ่งถือเป็นเกษตรแนวใหม่ ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรเป็นอย่างดี . . อย่างไรก็ตาม หากพูดถึงคนรุ่นก่อน หรือแม้กระทั่งคนสมัยนี้ถ้าให้เลือกระหว่างควายหนึ่งตัว กับรถยนต์หนึ่งคัน คงมีเพียงไม่กี่คนนักที่จะเลือกควายเหมือนอย่างคุณบิ๊กต่อ อะไรมีส่วนช่วยให้เห็นโอกาสของการเลือกเจ้ามังกรทองในครั้งนี้ อย่างแรกเลยคือความชื่นชอบในการเลี้ยงสัตว์ สองคือประสบการณ์ที่ได้จากการช่วยเหลือครอบครัวทำเกษตรที่บ้าน และสามคือความรู้จากการเรียนสัตว์แพทยศาสตร์ . จากที่ครอบครัวตั้งใจส่งลูกเรียนเพื่อให้ลูกพ้นจากสิ่งที่ตนทำอยู่ คือการทำนา เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย แต่ลูกกลับเรียนจบมาเพื่อเลี้ยงควายอีก ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า แนวคิดนี้เกิดขึ้นกับเกษตรกรส่วนใหญ่ที่ต่างทำงานอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ลูกหลานต้องมาทำการเกษตร เพราะมองว่าเป็นอาชีพที่ต้องลำบากตรากตรำ . หากยังใช้เกษตรรูปแบบเดิม คือการเลี้ยงควายเพื่อการเกษตร นำเอามูลควายไปทำปุ๋ยหมักใส่ในสวน ที่ปลูก ไม้ผล พืชผัก สวนครัว และเลี้ยงไว้ขยายพันธุ์ควายไทยทั่วไป โดยไม่รู้ต้นทุนที่แน่ชัด ไม่ได้คำนึงถึง “ความต้องการของตลาด” แต่เลือกที่จะผลิตออกมาก่อนแล้วค่อยหาช่องทางการตลาดทีหลัง ทำให้เกษตรกรไทยที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติ ต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ทั้งเรื่องรายได้ที่น้อย ขาดทุน และภาระหนี้สิน . การทำเกษตรแนวใหม่จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยการเลี้ยงให้เป็นพ่อพันธุ์ให้กับควายไทยคอกอื่น ทั้งผสมแท้ และผสมเทียมในราคาเป็นกันเอง สำหรับผู้ไม่มีทุนก็สามารถผสมให้ฟรีได้ ด้วยสถานการณ์ควายไทยที่เข้าสู่ขั้นวิกฤต เพราะเกษตรกรไทยไม่ค่อยเลี้ยง ทั้งประเทศเหลือไม่ถึง 1 ล้านตัว จึงอยากอนุรักษ์พันธุ์ควายไทยให้อยู่คู่กับคนไทย . . ที่มา Amarin TV, Khaosod Online และ Matichon Online . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน

“ควายไทย” เกษตรแนวใหม่ที่น่าจับตามอง อ่านเพิ่มเติม »

คนไทยสนใจเล่น – ดูกีฬามากขึ้น

ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ 0.71 บาท จะทำให้ภาคธุรกิจมีรายได้เพิ่มขึ้น 1 บาท . การดำเนินการกีฬาก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยปี 2558 อุตสาหกรรมกีฬาของไทยมีผลประกอบการรวมประมาณ 12.2 พันล้านบาท เติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 20% ตั้งแต่ปี 2554-2558 . จากการศึกษาของศูนย์พยากรณ์ทางเศรษฐกิจและธุรกิจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยพบว่า การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ 0.71 บาท จะทำให้ภาคธุรกิจมีรายได้เพิ่มขึ้น 1 บาท . ทั้งนี้ กีฬาแต่ละชนิดมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในสัดส่วนที่ต่างกัน โดยเฉพาะประเภทกีฬาที่ได้รับความนิยมสูง เช่น ฟุตบอล ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้ในส่วนภูมิภาคอย่างชัดเจน . จากผลการสำรวจเกี่ยวกับความนิยมในกีฬาฟุตบอล ปี 2559 ที่จัดทำโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ว่า คนไทยติดตามฟุตบอลไทยลีกเพิ่มขึ้น สะท้อนจากจำนวนผู้เข้าชมการแข่งขันในสนาม เรทติ้งในช่วงของการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก สื่อโฆษณาที่ใช้นักฟุตบอลประชาสัมพันธ์สินค้า รวมไปถึงสื่อสังคมออนไลน์ที่มีการเผยแพร่ข่าวสารและการจัดตั้งแฟนเพจกีฬา . อีกทั้งยังเริ่มเห็นเทรนด์การเดินทางไปเชียร์ทีมที่ชื่นชอบยังสนามในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น โดยหากดูทีมฟุตบอลที่ได้ลงแข่งไทยพรีเมียร์ลีก และลีกภูมิภาค โซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำฤดูกาล 2564/65 จะพบว่ามีมากถึง 19 ทีม ดังนี้ . ไทยลีก 1 ( T1 ) ประกอบด้วย บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, หนองบัว พิชญ เอฟซี, นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี และขอนแก่น ยูไนเต็ด . ไทยลีก 2 ( T2 ) ประกอบด้วย อุดรธานี เอฟซี และขอนแก่น เอฟซี . ไทยลีก 3 ( T3 ) ประกอบด้วย เมืองเลย ยูไนเต็ด, ศรีสะเกษ เอฟซี, นครราชสีมา ยูไนเต็ด, อุบล ครัวนภัส เอฟซี, ศรีสะเกษ ยูไนเต็ด, สุรินทร์ ซิตี้, ยโสธร เอฟซี, ขอนแก่นมอดินแดง ฟุตบอลคลับ, สกลนคร ทรูวิชั่น เอฟซี, อุดร ยูไนเต็ด, มหาสารคาม สามใบเถา เอฟซี, สุรินทร์ โขงชีมูล เอฟซี และมาแชร์ ชัยภูมิ เอฟซี . การที่ในพื้นที่อีสานมีทีมฟุตบอลที่ได้ลงแข่งจำนวนมาก อีกนัยหนึ่งก็ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการกีฬาและการออกกำลังกายได้รับความนิยมสูงตามไปด้วย โดยเฉพาะธุรกิจเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์กีฬาที่ไม่ใช่แค่จากผู้เล่น แต่ยังรวมไปถึงผู้ชมหรือแฟนกีฬาของแต่ละทีม . บวกกับกระแสความนิยมของคนรุ่นใหม่ที่มองเครื่องแต่งกายและรองเท้ากีฬาเป็นแฟชั่นมากกว่าการใช้ประโยชน์ในด้านกีฬาเพียงอย่างเดียว ก็ยิ่งผลักให้ธุรกิจเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์กีฬาเติบโตขึ้นไปอีก . ปี

คนไทยสนใจเล่น – ดูกีฬามากขึ้น อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top