SHARP ADMIN

ซอมเบิ่ง งานลอยกระทง 2566 ไปเที่ยวอีสานหม่องใด๋ดี ? 

ซอมเบิ่ง งานลอยกระทง 2566 ไปเที่ยวอีสานหม่องใด๋ดี ?  . วันลอยกระทง 2567 ปีนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2567 หลายสถานที่จัดงานเทศกาลลอยกระทง 2567 อย่างยิ่งใหญ่ ไม่เพียงสืบสานประเพณีดั้งเดิม อนุรักษ์ประเพณีไทยไปพร้อมสร้างสีสันบรรยากาศชวนเที่ยว ISAN Insight and Outlook รวมพิกัด สถานที่จัดงานลอยกระทง 2567 ไว้ให้แล้ว จ.กาฬสินธุ์ งานประเพณีลอยกระทง วันที่ 14-16 พฤศจิกายน 2567 ณ สวนสาธารณะกุดน้ำกิน อ.เมืองกาฬสินธุ์ จ.นครราชสีมา  งานลอยกระทง เซ็นทรัลโคราช ลอยกระทง เฟสติวัล 2567 จัดเต็ม 12 วัน 12 คืน เริ่ม 6-17 พ.ย. 67 เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป หน้าห้างเซ็นทรัลโคราช ชมฟรีคอนเสิร์ต ตรี ชัยณรงค์ (คืนวันลอยกระทง 15 พ.ย.67)   จ.ขอนแก่น สีฐานเฟสติวัล “วิถีแห่งอีสาน สีฐานมูเตลู” จัดขึ้นวันที่ 13-15 พฤศจิกายน 2566  ณ บึงสีฐาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น  งานประเพณีไต้ประทีปลอยกระทงออกพรรษา บูชาพระธาตุขามแก่น 2567 งานประเพณีลอยกระทงบ้านนามูล 14 – 15 พฤศจิกายน 2567  ณ บริเวณลำห้วยสายบาตร บ้านนามูล ตำบลดูนสาด อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น จ.ร้อยเอ็ด งานประเพณีสมมาน้ำ “สมมาน้ำ คืนเพ็ง เส็งประทีป”  จัดขึ้นวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2567 ณ บึงพลาญชัย และสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด  จ.สกลนคร งานประเพณีออกพรรษา แห่ปราสาทผึ้ง และ แข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานฯ วันที่ 12 – 17 ตุลาคม 2567  ณ บริเวณศูนย์ราชการ จังหวัดสกลนคร หนองหาร และ วัดพระธาตุเชิงชุม งานประเพณีลอยกระทง – แข่งเรือคำตากล้า 2567 วันที่ 14-16 พฤศจิกายน 2567  ณ สวนสาธารณะหนองสามขา อ.คำตากล้า จ.สกลนคร  วันที่ 16 …

ซอมเบิ่ง งานลอยกระทง 2566 ไปเที่ยวอีสานหม่องใด๋ดี ?  อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง “ชนกลุ่มน้อยในอีสาน” เกือบ 15,000 คน กระจายอยู่ไหนบ้าง

ชวนมาเบิ่ง “ชนกลุ่มน้อยในอีสาน” เกือบ 15,000 คน กระจายอยู่ไหนบ้าง . . สังคมไทยมีผู้คนหลากหลายอัตลักษณ์ “ชนเผ่าพื้นเมือง” หรือ “Indigenous People” คือ กลุ่มสังคมที่มีวัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณี และภาษาสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น มากกว่า 70 กลุ่มชาติพันธุ์ หรือประมาณ 6.1 ล้านคน  . ข้อมูลในปี 2567 มีการให้สัญชาติไทยแก่ชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์รวมแล้วมีทั้งหมด 489,636 คน โดยในภาคอีสานมี 14,677 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 3% . “ชนเผ่าพื้นเมือง” มีทุกภูมิภาค แต่ส่วนมากจะอาศัยอยู่บนพื้นที่สูงทางภาคเหนือของไทย และทางภาคใต้ พวกเขามีวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ คือ อยู่ร่วมกับธรรมชาติด้วยความพอดี เช่น ทำไร่หมุนเวียน ที่คนมักเข้าใจผิดว่าเป็นไร่เลื่อนลอย หรือทำประมงแบบพออยู่พอกิน . ปัญหาอคติทางวัฒนธรรมเหลายอย่าง ทำให้ “ชนเผ่าพื้นเมือง หรือ กลุ่มชาติพันธุ์” ถูกละเมิดสิทธิในด้านต่าง ๆ ทั้ง (1) ความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกิน เพราะถูกจำกัดการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติตามวิถีวัฒนธรรม (2) ปัญหาการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในฐานะพลเมือง เพราะยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อีกหลายกลุ่มที่ยังไม่ได้รับสัญชาติไทย (3) ถิ่นฐานที่ตั้งในถิ่นทุรกันดาร ทำให้ “ชนเผ่าพื้นเมือง หรือ กลุ่มชาติพันธุ์” เข้าไม่ถึงสิทธิในบริการต่าง ๆ ของรัฐ และ (4) ปัญหาการสูญเสียอัตลักษณ์ และภูมิปัญญา อันเป็นต้นทุนสำคัญในการพึ่งพาตนเองของกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้ในปัจจุบันชาติพันธุ์ต้องสูญเสียศักยภาพของการพึ่งพาตนเอง . . อ้างอิงจาก: – สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง – ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) –  The Active Thai PBS   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ชาติพันธุ์ #คนอีสาน #ชนกลุ่มน้อย

พามาเบิ่ง🐟ทำไม? อุบล มีถึงผลผลิต ‘ปลานิล’ มากสุดในอีสาน แม้ไม่ได้มีจำนวนฟาร์มเยอะสุด🧐

พามาเบิ่งอุบล มีผลผลิต ‘ปลานิล’ มากสุดในอีสาน แม้ไม่ได้มีจำนวนฟาร์มเยอะสุด.ทุกคนคงรู้จัก “ปลานิล” ปลาน้ำจืดอันดับหนึ่งของไทย เนื่องจากเป็นสัตว์น้ำจืดที่เลี้ยงง่ายเติบโตเร็ว เนื้อมีรสชาติดี ทำให้เป็นที่นิยมของผู้บริโภค ในด้านของเกษตรกรผู้เลี้ยงในปี 2566 ภาคอีสานมีฟาร์มเลี้ยงปลานิลทั้งสิ้น 271,467 ฟาร์ม และมีเนื้อที่กว่า 245,630 ไร่ โดยขอนแก่น เป็นจังหวัดที่มีฟาร์มเลี้ยงปลานิลและเนื้อที่มากที่สุดในภาคอีสาน โดยมีจำนวน 21,343 ฟาร์ม มีเนื้อที่รวมกว่า 17,664 ไร่.แต่หากมาดูที่ปริมาณผลผลิตปลานิลในแต่ละจังหวัด ขอนแก่นกลับไม่ใช่จังหวัดที่มีผลผลิตมากที่สุดในอีสาน แต่กลับเป็น “อุบลราชธานี” ที่มีจำนวนฟาร์ม 8,820 ฟาร์ม ภายใต้เนื้อที่ 6,063 ไร่ คิดเป็นอันดับที่ 13 ของภาค ซึ่งมีเนื้อที่เลี้ยงปลานิลน้อยกว่าขอนแก่นเกือบ 3 เท่า แต่กลับมีผลผลิตที่มากที่สุดในภาคอย่างนัยยะสำคัญ โดยในปี 2566 อุบลฯ มีปริมาณผลผลิตปลานิล 10,744 ตัน คิดเป็น 15% ของทั้งภาค โดยคิดเป็นมูลค่า 644 ล้านบาท เฉลี่ย 73,043 บาท/ฟาร์ม โดยอำเภอที่มีจำนวนฟาร์มมากสุดในอุบล 3 อำเภอแรก ได้แก่ อำเภอเดชอุดม อำเภอม่วงสามสิบ และอำเภอนาจะหลวย.ซึ่งปัจจัยที่ทำให้อุบลฯ มีผลผลิตปลานิลมาก เนื่องจากอุบลฯถือได้ว่าเป็นจังหวัดปลายน้ำ มีแม่น้ำ ลำคลอง หลายสายไหลผ่านตัวจังหวัด เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำชี แม่น้ำมูล ส่งผลให้มีสภาพแวดล้อมเหมาะแก่การทำประมงน้ำจืด และอุบลยังเป็นจังหวัดที่มีการเลี้ยงปลานิลโดยใช้ ‘กระชัง’ มากที่สุดในอีสาน เป็นจำนวน 493 ฟาร์ม ซึ่งการที่มีน้ำไหลผ่านทำให้ปลาแข็งแรงและเนื้ออร่อย โดยการเลี้ยงปลานิลในกระชังก่อให้เกิดมูลค่าสูงถึง 517 ล้านบาท นอกจากนั้น การทำประมงของอุบลยังได้รับการสนับสนุนจากทางภาครัฐในหลายๆด้านตั้งแต่อดีต ด้วยปัจจัยเหล่านี้รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ ส่งผลให้อุบลราชธานีกลายเป็นเมืองแห่งปลานิลในอีสาน.หมายเหตุ: ข้อมูลปี 2566.ที่มา– กรมประมง– สำนักงานประมงจังหวัดอุบลราชธานี– สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดอุบลราชธานี– ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ อุตรดิตถ์– เทคโนโลยีชาวบ้าน..#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ปลานิล #ประมง #เกษตรอีสาน

พาเปิดเบิ่ง🧐อาณาจักร “จึงธนสมบูรณ์” จากธุรกิจครอบครัวสู่บริษัทใหญ่ในตลาดหุ้น🪙💹

พาเปิดเบิ่ง🧐อาณาจักร “จึงธนสมบูรณ์” จากธุรกิจครอบครัวสู่บริษัทใหญ่ในตลาดหุ้น🪙💹 . . 💬จุดเริ่มต้นของธุรกิจตระกูลจึงธนสมบูรณ์ . จากรุ่นคุณปู่ที่มาจากจีน เลือกลงหลักปักฐานที่บุรีรัมย์ด้วยเงินเพียง 2 หมื่นบาท เริ่มทำธุรกิจเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ รับซื้อมันเส้นจากชาวบ้าน ส่วนรุ่นคุณพ่อเริ่มขยายธุรกิจด้านการเกษตร ปลูกอ้อย ปลูกมัน ทำลานมัน จากนั้นจึงเริ่มปลูกไม้เกษตรชนิดอื่นๆ เช่น ยาง ยูคาลิปตัส โดยมีเป้าหมายคือต้องการขาย ปี 2529 . “คุณชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์” ทายาทรุ่นที่ 3 ในวัย 19 ปี ตัดสินใจทิ้งการเรียนที่กรุงเทพฯ กลับมาช่วยธุรกิจที่บ้าน เมื่อตัดสินใจเลิกเรียนอย่างเด็ดขาด คุณชูวิทย์ที่ในวันนี้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) . ครอบครัวจึงธนสมบูรณ์จึงเป็นรายแรกที่เริ่มต้นบุกเบิกการปลูกยางจาก 5 ไร่ถึง 10 ไร่ ตั้งแต่ปี 2529 และสามารถเริ่มกรีดยางได้ในปี 2535 ซึ่งขณะนั้นพื้นที่ในภาคอีสานยังไม่มีโรงงาน คุณชูวิทย์ต้องวิ่งมาขายน้ำยางที่จังหวัดระยอง ซึ่งที่นี่ทำให้เขาได้เรียนรู้การทำโรงงานยาง . อย่างไรก็ตาม NER ประสบปัญหาหรือวิกฤตตั้งแต่ช่วง 3 ปีแรกของการทำธุรกิจจากการเก็งกำไร โดยการซื้อขายล่วงหน้า 4-6 เดือน เมื่อราคายางพุ่งขึ้นสูงกว่าที่ตกลงซื้อขายไว้โรงงานจึงขาดทุน จนเกือบปิดบริษัทในปี 2551 ซึ่งเป็นปีที่ราคายางพุ่งไปถึง 200 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่รับซื้อไว้ในราคา 120 บาท . ช่วงเริ่มต้นการทำโรงงานบริษัทยังลองผิดลองถูก กำลังการผลิต 6 หมื่นตัน แต่ผลิตได้จริงแค่ 4 หมื่นตัน หลังการปรับระบบการบริหารงานภายในโรงงานใหม่ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 แสนกิโลกรัม ขณะที่ต้นทุนต่ำลงทำให้โรงงานสามารถซื้อยางในราคาชี้นำตลาดได้ ทุกวันนี้ NER สามารถรับซื้อยางในราคาสูงกว่าตลาดทั้งยังมีโปรโมชั่นให้เกษตรกรด้วย ส่งผลให้เกษตรกรมีความเชื่อมั่น และยินดีขายผลผลิตกับโรงงานตลอดไม่มีขาด . ครอบครัวจึงธนสมบูรณ์ไม่ได้มีแค่เฉพาะธุรกิจยาง ธุรกิจดั้งเดิมของครอบครัวที่ยังคงทำอยู่ นั่นคือปศุสัตว์ ทั้งการเลี้ยงไก่ ซึ่งทุกวันนี้ส่งให้บริษัทแปรรูปปีละ 3 ล้านตัว สิ่งที่เป็นมูลค่าเพิ่มที่สำคัญคือขี้ไก่ ที่สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบของโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพได้ บริษัทจึงลงทุนทำโรงไฟฟ้า 2 โรง และมีแผนทำโรงไฟฟ้าชุมชนอีก 20 แห่ง . ISAN Insight and Outlook x SET ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 📣ขอเชิญผู้ประกอบการในภาคอีสาน มาเรียนรู้เส้นทางนำธุรกิจเข้าตลาดหุ้นไทยได้ที่งาน “Unlock Your Business Growth : เปิดโอกาสให้ธุรกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือคิดการใหญ่” สัมมนาสุด Exclusive ที่จะช่วยสร้างโอกาสให้กับนักธุรกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านตลาดทุน (SET-mai-LiVEx) พบกับผู้เชี่ยวชาญจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) และ …

พาเปิดเบิ่ง🧐อาณาจักร “จึงธนสมบูรณ์” จากธุรกิจครอบครัวสู่บริษัทใหญ่ในตลาดหุ้น🪙💹 อ่านเพิ่มเติม »

“โอ้กะจู๋” อาณาจักรของคนรักผัก  เปิดเทรดแล้ว ! ราคา IPO ที่ 6.70 บาท

“โอ้กะจู๋” อาณาจักรของคนรักผัก เปิดเทรดแล้ว ! ราคา IPO ที่ 6.70 บาท..หลังจาก OR เข้าซื้อหุ้นแบรนด์ “โอ้กะจู๋” ตั้งแต่ปี 2564 ที่ผ่านมาโดยธุรกิจเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนว่า บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจร้านอาหาร ภายใต้แบรนด์ โอ้กะจู๋ ที่ OR ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนราว 20% มีแผนจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2567 นี้.สำหรับบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด เป็นผู้ดำเนินกิจการร้านอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ “โอ้กะจู๋” มีแผนที่ยะระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อลงทุนการขยายสาขาแบรนด์ “โอ้กะจู๋“, ขยายแบรนด์ร้านอาหารใหม่ๆ , พัฒนาแฟลตฟอร์มรองรับการขาย และขยายฟาร์มเพื่อให้เพียงพอกับการเติบโต.ทั้งนี้ OR ได้เข้าลงทุนในบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด เพื่อเพิ่มความหลากหลาย และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีไลฟ์สไตล์ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ ตลอดจนเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการ SME และเกษตรกรผู้ปลูกผักในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งยังเป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านทางสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และ ร้าน Cafe Amazon ที่มีสาขาทั่วประเทศ.โดยหากเจาะเข้าไปดูสัดส่วนรายได้ในครึ่งปี 2567 นี้.1) แบรนด์โอ้กะจู๋ 99.3%แบ่งตามช่องทางจำหน่าย93.4% ยังมาจากหน้าร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ5.9% มาจากการขายผ่าน Delivery & Kiosk, Café Amazon และซูเปอร์มาร์เก็ต2) แบรนด์ Oh! Juice 0.6%3) แบรนด์ Ohkajhu Wrap & Roll 0.1%(หมายเหตุ ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2567โอ้กะจู๋ มีร้านอาหารทั้งหมด 30 สาขา, ร้านแบบ Delivery & Kiosk 4 สาขา และวางขายใน Café Amazon 450 สาขา ส่วน Ohkajhu Wrap & Roll มี 1 สาขา และ Oh! Juice มี 2 สาขา).เสนอขายราคา IPO ที่ 6.70 บาทต่อหุ้นมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 609 ล้านหุ้นคิดเป็นมูลค่าบริษัท ณ ราคา IPO ที่ …

“โอ้กะจู๋” อาณาจักรของคนรักผัก  เปิดเทรดแล้ว ! ราคา IPO ที่ 6.70 บาท อ่านเพิ่มเติม »

🤨เพราะอะไร? ผลผลิตข้าวต่อไร่ของอีสานถึงน้อยกว่าเวียดนามถึงเกือบ 3 เท่า

สิพามาเบิ่ง🧐ทำไมการปลูกข้าวของเวียดนามให้ผลผลิตมากกว่าอีสานมาก👩‍🌾 . 🤨เพราะอะไร? ผลผลิตข้าวต่อไร่ของอีสานถึงน้อยกว่าเวียดนามถึงเกือบ 3 เท่า   🇹🇭#อีสาน ปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจหลักทั้งสำหรับการค้าและการบริโภค โดยที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยวคิดเป็นร้อยละ 55 ของพื้นที่การเก็บเกี่ยวข้าวทั้งหมดของประเทศไทย ให้ผลผลิตต่อปีมากถึงร้อยละ 43 ของผลผลิตข้าวจากทั้งประเทศ ในพื้นที่ภาคอีสานิยมปลูกข้าวแบบนาปี เนื่องจากเป็นที่ราบสูงและมีความแห้งแล้ง ทำให้ผลผลิตต่อไร่ไม่สูงนักเมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆในประเทศไทย โดยมีข้าวที่เป็นที่นิยมของตลาดต่างประเทศอย่าง ข้าวหอมมะลิและข้าวดอกมะลิ ที่นับเป็นข้าวที่มีคุณภาพสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ด้วยเหตุนี้ภาคอีสานจึงนับเป็นภาคที่มีความสำคัญในการเป็นแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย   🇻🇳#เวียดนาม ประเทศเวียดนามให้ความสำคัญกับการปลูกข้าวด้วยเช่นกัน โดยเป็นประเทศที่มีการส่งออกข้าวเป็นอันดับ 3 รองจากอินเดียและไทย อีกทั้งยังมีข้อได้เปรียบหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสภาพภูมิประเทศที่เอื้อต่อการเพาะปลูก การลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการวิจัยและพัฒนาจากรัฐบาล ทำให้ข้าวของเวียดนามเริ่มมีชื่อเสียงและได้รับรางวัลระดับโลก อย่างข้าว ST25 ที่เป็นการผสมระหว่างข้าวหอมมะลิ ข้าวบาสมาตี และข้าวญี่ปุ่น นอกจากนี้เวียดนามยังนิยมปลูกข้าวที่ให้ผลผลิตสูง แม้ในบางสายพันธุ์จะคุณภาพไม่ดีนักเมื่อเทียบกับข้าวจากอีสาน แต่สามารถปลูกได้หลายครั้งในหนึ่งปี ทำให้ผลผลิตต่อไร่ของเวียดนามนั้นสูงมาก   . เมื่อเปรียบเทียบผลผลิตข้าวต่อไร่ของอีสานและเวียดนามจะพบว่า ผลผลิตต่อไร่ของประเทศเวียดนามคิดเป็น 2.7 เท่าของผลผลิตต่อไร่ในภาคอีสาน นับว่าแตกต่างกันมากอย่างมีนัยยะสำคัญ และวันนี้ ISAN Insight สิพามาเบิ่งว่า ปัจจัยในด้านใดบ้างที่ทำให้ผลผลิตข้าวต่อไร่ของอีสานและเวียดนามต่างกันมากขนาดนี้   . 🌾ปัจจัยด้านสายพันธุ์ข้าว   🇹🇭#อีสาน นิยมปลูกข้าวที่คุณภาพสูงเช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวดอกมะลิ ซึ่งนับว่าเป็นข้าวที่มีคุณภาพดีและเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ นับว่าเป็นข้าวออแกนิกที่มีความต้องการสูงและเป็นสินค้าพรีเมียม แต่ก็ยังมีข้อจำกัดด้านการให้ผลผลิตที่ไม่สูงมากนัก   🇻🇳#เวียดนาม นิยมปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่ให้ผลผลิตสูงในเชิงพาณิชย์ และสามารถปลูกได้หลายครั้งต่อปี แต่คุณภาพข้าวบางสายพันธุ์ยังไม่ดีมากนัก ทำให้ราคาถูกลงมา ตอบโจทย์การบริโภคในตลาดกลาง นอกจากนี้เวียดนามยังมีการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวเพื่อตอบโจทย์ในตลาดพรีเมียม อย่างข้าว ST25 ที่ได้รับรางวัลระดับโลกในปี 2023 และข้าวจัสมินที่มีความใกล้เคียงกันกับข้าวหอมมะลิของไทย   . 💧ปัจจัยด้านระบบการจัดการน้ำ   🇹🇭#อีสาน มีระบบชลประทานที่ไม่ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และด้วยสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ทำให้การปลูกข้าวของคนในภาคอีสานส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 95 ของพื้นที่เพาะปลูก เป็นการปลูกข้าวแบบนาปีที่สามารถทำได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น   🇻🇳#เวียดนาม เนื่องจากเวียดนามมีสภาพภูมิประเทศในพื้นที่ปลูกข้าวเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ และมีการลงทุนด้านระบบชลประทานที่สูงและเข้าถึงทุกพื้นที่ โดยเฉพาพื้นที่ในแถบสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงและแม่น้ำแดง ทำให้สามารถปลูกข้าวได้ 2-3 ครั้งต่อปี เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผลผลิตต่อไร่ของเวียดนามสูงกว่าอีสานมาก   . 🏦ปัจจัยด้านเทคโนโลยีและการสนับสนุนจากภาครัฐ   🇹🇭#อีสาน มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการผลิตข้าวบ้างในบางพื้นที่ แต่เนื่องจากการคาดแคลนเงินทุนและการเข้าถึงเทคโนโลยี ทำให้คนในภาคอีสานส่วนใหญ่ยังใช้วิธีแบบดั้งเดิม ด้านการสนับสนุนจากภาครัฐ มีการด้านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบชลประทาน แต่ยังคงไม่สามารถครอบคลุมได้ในทุกพื้นที่   🇻🇳#เวียดนาม มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาสายพันธุ์ข้าวและลดต้นทุนการผลิต และรัฐบาลเวียดนามมีการลงทุนเพื่อพัฒนาการผลิตข้าวของประเทศในด้านต่างๆ เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ระบบชลประทาน เครื่องจักร รวมไปถึงการลงทุนด้านฐานข้อมูลเพื่อควบคุมและวางแผนการผลิต   . 🍃ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อม   🇹🇭#อีสาน พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในที่ราบสูง และมีความแห้งแล้ง ทำให้การปลูกข้าวจึงต้องพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก เนื่องจากระบบชลประทานยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ …

🤨เพราะอะไร? ผลผลิตข้าวต่อไร่ของอีสานถึงน้อยกว่าเวียดนามถึงเกือบ 3 เท่า อ่านเพิ่มเติม »

IPO พลิกชีวิต? สำรวจ 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ภาคอีสานหลังเข้าตลาดหุ้น

ในวันนี้จะพามาดู 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ในภาคอีสานที่เข้าตลาดหุ้นว่านับตั้งแต่วันที่เข้าตลาดวันแรกจนถึงปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด   เป็นที่ทราบกันดีว่าบริษัทขนาดใหญ่เมื่อทำกิจการมาซักระยะหนึ่งก็จะมีความต้องการในการขยายกิจการไปยังพื้นที่ต่างๆ หรือการขยายสาขาเพื่อการเติบโตทางธุรกิจ โดยแน่นอนอยู่แล้วว่าการขยายกิจการไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตามสิ่งที่ตามมาด้วยเป็นเงาตามตัวนั่นคือ “เงิน” ที่จำเป็นต้องใช้ในการขยายกิจการ ซึ่งแหล่งที่มาของเงินทุนนั้นมีหลากหลายช่องทางไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินของกิจการเดิมของตัวเองมาขยายกิจการใหม่เพิ่ม การเข้าไปขอกู้เงินกับทางธนาคาร และการเข้าตลาดหุ้นเพื่อระดมทุน โดยในแต่ละวิธีนั้นไม่มีคำจำกัดความว่าบริษัทไหนต้องใช้รูปแบบไหนขึ้นอยู่กับความเห็นของตัวผู้บริหาร หรือบอร์ดบริหาร ณ ช่วงเวลานั้นว่ามองเห็นอะไรที่เป็นจุดที่น่าสนใจในแต่ละวิธี โดยการนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหุ้นนั้นถือว่าเป็นการหาแหล่งระดมเงินทุนในระยะยาวก็สามารถพูดได้ว่าเป็นเช่นนั้น โดยข้อดีของการระดมทุนในตลาดหุ้นคือการปราศจากดอกเบี้ยและภาระการชำระคืนเงินต้น ซึ่งต่างจากการไปกู้ธนาคารที่จะมีดอกเบี้ยในอัตราที่สูง อีกทั้งส่วนหนึ่งยังเป็นสิ่งที่เพิ่มความน่าเชื่อถือของตัวบริษัทด้วย แต่หากมิงดูดีๆแล้วจะพบว่าโกลบอลเฮ้าส์นั้นเป็นบริษัทเจ้าเดียวที่ไม่มีสาขาในกรุงเทพมหานครเลยแม้แต่สาขาเดียว ขณะที่บริเวณปริมณฑลนั้นมีสาขาอยู่ล้อมรอบซึ่งอาจจะสามารถมองได้ว่าเป็นกลยุทธหรือวิธีการทางธุรกิจบางอย่างที่บริษัทพิจารณามาแล้วว่าจะไม่ทำตลาดในกรุงเทพมหานครเลย   สำหรับบริษัทแรกเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับคนไทยไม่ใช่เพียงแค่คนอีสานเท่านั้น บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (Global House) ก่อตั้งโดย คุณวิทูร สุริยวนากุล โกลบอลเฮ้าส์เริ่มแรกที่จังหวัดร้อยเอ็ด ในวันที่ 14 พ.ย. 2540 ปัจจุบันผ่านมาแล้วเกือบ 27 ปี โกลบอลเฮ้าส์ได้มีการขยายสาขาถึงเกือบ 80 สาขา โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาโกลบอลเฮ้าส์มีรายได้รวมจากการประกอบกิจการอยู่ที่ 33,013.75 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 2,671.43 ล้านบาท แม้ว่าตัวเลขจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแต่ในด้านของรายได้รวมและกำไรสุทธิของปี 2566 นั้นกลับต่ำกว่าปี 2564 และ 2565 ที่ผ่านมาผลจากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ แต่ว่าหากมองในฝั่งของตลาดหุ้นนั้นจะพบว่าโกลบอลเฮ้าส์ได้เข้าตลาดหุ้นตั้งแต่ 19 ส.ค. 2552 ปัจจุบันผ่านมาแล้ว 15 ปีจากเดิมที่ IPO ในราคาต่อหุ้นที่ 2.55 บาท ปัจจุบันราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 15.80 บาท เพิ่มขึ้น 519.61% แสดงถึงความน่าเชื่อถือและความไว้ใจจากหลายฝ่ายที่ทำให้หุ้นโตมาได้ถึงขนาดนี้ หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกที่มีการเข้าตลาดหุ้นมานั้นถือว่ากระแสตอบรับของโกลบอลเฮ้าส์เป็นไปในทิศทางที่ดี นับว่าเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากหลังจากมีการเข้าตลาดหุ้นมา   สำหรับบริษัทในลำดับถัดมายังคงอยู่ในหมวดค้าวัสดุก่อสร้างที่รู้จักกันทั่วประเทศนั่นคือ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) (DoHome) ก่อตั้งโดย คุณอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา และคุณนาตยา ตั้งมิตรประชา เดิมทีในตอนตั้งบริษัทตอนแรกนั้นไม่ได้มีชื่อว่าดูโฮมแต่เป็น “ศ. อุบลวัสดุ” ในปี 2526 โดยได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “ดูโฮม” ในปี 2539 หรือหลังจากนั้น 13 ปี โดยในปัจจุบันดูโฮมมีสาขาทั้งสิ้น 25 สาขา และ 1 ศูนย์กระจายสินค้า ในปี 2566 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 31,615.25 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 526.40 ล้านบาท หากดูในด้านของตัวเลขรายได้รวมนั้นไม่มีความแตกต่างจากโกลบอลเฮ้าส์มากซักเท่าไหร่ แต่ในด้านของกำไรนั้นกลับพบว่ามีการปรับลดลงในช่วงสองปีที่ผ่านมาสวนทางกับรายได้ที่มีการเพิ่มขึ้นในแต่ละปี อาจสรุปได้ว่ามีเหตุผลที่คล้ายกับทางโกลบอลเฮ้าส์ที่ภาวะความผันผวนของภาคอสังหาในด้านราคาส่งผลกระทบต่อความต้องการในการสร้างและซื้อบ้าน ขณะที่ในด้านของราคาหุ้นนั้นจะพบว่า ณ วันที่ 6 ส.ค. 2562 ซึ่งเป็นวัน IPO เปิดราคาหุ้นที่ 7.80 บาท …

IPO พลิกชีวิต? สำรวจ 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ภาคอีสานหลังเข้าตลาดหุ้น อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง “เด็กน้อยอีสาน” ตกหล่น จากการระบบศึกษามากแค่ไหน

พาสำรวจเบิ่ง “เด็กน้อยอีสาน” ตกหล่น จากการระบบศึกษามากแค่ไหน . . ในปี 2565 ประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนอายุตั้งแต่ 3-18 ปี ที่อยู่นอกระบบการศึกษามีมากกว่า 1.02 ล้านคน ในจำนวนนี้ยังมีหลายคนกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต โดยเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษามีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่วงจรอันตราย 3 เรื่อง คือ (1) แรงงานรายได้ต่ำ เสี่ยงอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ (2) ค้าประเวณีหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง และ (3) ยุวอาชญากรที่ตกอยู่ในวังวนยาเสพติด และลักขโมย . แล้วเคยรู้หรือไม่ว่า ในภาคอีสานมีเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษามากแค่ไหน? . โดยในภาคอีสานมีเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาอยู่มากกว่า 211,692 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนอยู่ 20.64% ของเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาทั้งหมดในประเทศ . และเมื่อนำสัดส่วนเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษามาเปรียบกับจำนวนเด็กและเยาวชนทั้งหมดในภาคอีสาน ก็พบว่า มีสัดส่วนอยู่ที่ 5.34% . จังหวัดที่มีสัดส่วนเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษามากที่สุด คือ จังหวัดหนองคาย มีสัดส่วนอยู่ที่ 7.40% ของจำนวนเด็กและเยาวชนทั้งหมดในจังหวัด . . อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เด็กออกนอกระบบการศึกษา? . กสศ.ได้พัฒนางานวิจัยเชิงสํารวจเพื่อศึกษาข้อมูลของเด็กนอกระบบการศึกษาภายใต้ “โครงการการสนับสนุนและพัฒนากลไกการขับเคลื่อนครูและเด็กนอกระบบการศึกษา” ประกอบด้วยข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากองค์กรเครือข่าย ทั้งสิ้น 67 องค์กร จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม มีจำนวนเด็กนอกระบบการศึกษาที่ให้ข้อมูลความต้องการ 35,003 คน โดย 3 อันดับสาเหตุของการออกนอกระบบการศึกษาหลัก ได้แก่ ความยากจนมากที่สุด 46.70% รองลงมาคือ มีปัญหาครอบครัว 16.14% และออกกลางคัน/ถูกผลักออก 12.03% ตามลำดับ . เมื่อวิเคราะห์สาเหตุอื่นๆ ของการ “ออกกลางคัน” จากการตอบคำถามปลายเปิดจากจำนวนคำตอบทั้งสิ้น 5,270 คำตอบพบว่า เหตุผลที่ปรากฏบ่อย ได้แก่ ไม่อยากเรียน ต้องการทำงาน ตั้งครรภ์ในวัยเรียน มีครอบครัว ไม่มีสัญชาติไทย ไม่มีบัตรประชาชน พิการ ยาเสพติด เป็นต้น . . อ้างอิงจาก: – กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) – กรมการปกครอง ติดตาม ISAN Insight ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight #ISANInsight #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #เด็กออกนอกระบบการศึกษา #เด็กนอกระบบการศึกษา

ทำไม ‘บึงกาฬ’ จึงเป็นจังหวัดที่มี ‘ผลิตภาพภาคการเกษตร’ ที่สูงที่สุดในอีสาน?

ทำไม ‘บึงกาฬ’ จึงเป็นจังหวัดที่มี ‘ผลิตภาพภาคการเกษตร’ ที่สูงที่สุดในอีสาน   ‘ผลิตภาพของแรงvานเกษตร’ คือมูลค่าของผลผลิตทางการเกษตรที่เกิดจากแรงvานทางการเกษตร 1 หน่วย บ่งบอกถึง ความมีประสิทธิภาพในการผลิตของภาคการเกษตรซึ่งยิ่งมากยิ่งดี โดยจากแผนภูมิจะแสดงถึงผลิตภาพของครัวเรือนที่ทำเกษตร จำนวนครัวเรือนที่ทำการเกษตร และมูลค่าทางเศรษฐกิจจากภาคเกษตรใน GPP แบบลูกโซ่ของจังหวัดในภาคอีสาน โดยจังหวัดในภาคอีสานที่มีผลิตภาพภาคการเกษตรสูงที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่   บึงกาฬ ครัวเรือนทำการเกษตร 63,183 ครัวเรือน มีผลิตภาพ 315,053 บาท/ครัวเรือน บุรีรัมย์ ครัวเรือนทำการเกษตร 222,283 ครัวเรือน มีผลิตภาพ 260,000 บาท/ครัวเรือน หนองคาย ครัวเรือนทำการเกษตร 59,388 ครัวเรือน มีผลิตภาพ 98,480 บาท/ครัวเรือน   จะเห็นได้ว่า บึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่ของประเทศไทยที่ตั้งอยู่แถบภาคอีสานตอนบน มีผลิตภาพการเกษตรต่อครัวเรือนที่สูงโดดเด่นที่สุดในภาคอีสาน แม้ว่าจะมีจำนวนครัวเรือนทำการเกษตรจำนวนน้อยแต่กลับก่อให้เกิดมูลค่าภาคการเกษตรใน GPP ที่สูงเป็นอันดับ 3 ของภาค โดยมีมูลค่า 19,906 ล้านบาท ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? มีปัจจัยอะไรที่ส่งเสริม? วันนี้ Isan Insight and Outlook สิพามาเจาะเบิ่ง   ปัจจัยที่ 1 : สัดส่วนภาคการเกษตรที่ใหญ่ จังหวัดบึงกาฬ เป็นจังหวัดที่เศรษฐกิจมีการพึ่งพิงภาคการเกษตรมากที่สุดในอีสาน โดยภาคการเกษตรมีสัดส่วนเป็น 34% ของ GPP จังหวัด มีพื้นที่ทำการเกษตร 1,614,458 ไร่ หรือ เกือบ 60% ของพื้นที่ทั้งหมดของจังหวัด นอกจากนั้นแรงvานสัดส่วน 74% ก็ทำงานอยู่ในภาคเกษตร    ปัจจัยที่ 2 : ‘ยางพารา’ พืชตัวแบกแห่งภาคเกษตร ยางพารา เป็นพืชเกษตรอันดับ 1 ของบึงกาฬ มีพื้นที่ปลูกกว่า 847,095 ไร่ มากเป็นอันดับที่ 1 ในภาคอีสาน มีปริมาณผลผลิตในปี 2565 รวม 21,977 ตัน คิดเป็น 15% ของปริมาณทั้งภาค ซึ่งในช่วงหลังๆ ราคายางได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากความต้องการในอุตสาหกรรมยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์ยางพาราในตลาดโลกขยายตัว ส่งผลให้มูลค่าผลผลิตยางพาราในบึงกาฬขยายตัวแม้ว่าจะมีจำนวนเกษตรกรที่ไม่มาก จากปัจจัยด้านความได้เปรียบและโอกาสทางเศรษฐกิจนี้ ส่งผลให้ผลิตภาพภาคการเกษตรของบึงกาฬพุ่งสูงเป็นอันดับ 1   ปัจจัยที่ 2 : มีการพัฒนาจุดแข็งอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่ทำให้ภาคเกษตรโดยเฉพาะยางพาราในบึงกาฬบูมได้ขนาดนี้ เป็นผลมาจากการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ ระบบส่งเสริมการเกษตร หรือ T&V System และมีการแปรรูปจากยางพาราก้อนเป็นผลิตภัณฑ์ยางพาราแบบแผ่นเพื่อเพิ่มมูลค่า …

ทำไม ‘บึงกาฬ’ จึงเป็นจังหวัดที่มี ‘ผลิตภาพภาคการเกษตร’ ที่สูงที่สุดในอีสาน? อ่านเพิ่มเติม »

“คนเยอะ พื้นที่ใหญ่” เปิดศักยภาพ “3 จังหวัดอีสานใต้” ดันเศรษฐกิจสู้ Big 4

  อีสานใต้ ประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ซึ่งเพียง 4 จังหวัดนี้มีขนาดเศรษฐกิจรวมกันเป็น 43% ของมูลค่าเศรษฐกิจของทั้งภาคอีสาน โดยหากไม่นับรวมจังหวัด นครราชสีมา และ อุบลราชธานี ที่เป็นจังหวัดกลุ่ม Big 4 แห่งอีสานที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ยังพบว่า อีก 3 จังหวัดที่เหลือก็มีขนาดเศรษฐกิจที่ไม่ธรรมดา โดยมี มีมูลค่าเศรษฐกิจจังหวัด(GPP) ดังต่อไปนี้    บุรีรัมย์ 104,961 ล้านบาท (อันดับที่ 5 ของภาค) สุรินทร์ 88,660 ล้านบาท (อันดับที่ 6 ของภาค) ศรีสะเกษ 80,437 ล้านบาท (อันดับที่ 8 ของภาค)   จะเห็นได้ว่ามูลค่าเศรษฐกิจของทั้ง 3 จังหวัดอีสานใต้นี้ตามหลังกลุ่ม Big 4 มาแบบติดๆ อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยบทความนี้ ISAN Insight and Outlook สิพามาแกะเหตุผลที่ส่งผลให้จังหวัดในโซนนี้มีเศรษฐกิจที่ใหญ่และมาแรงกว่าโซนอื่นในภาคอีสาน   รากฐานสำคัญของเศรษฐกิจโซนอีสานใต้ คือ “ภูมิศาสตร์ที่ดี” ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ถือได้ว่าเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ ขนาดและพิกัดพื้นที่แต่ละจังหวัดสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ของพื้นที่นั้นๆที่ส่งผลมายังปัจจุบัน ซึ่งกลุ่มจังหวัดอีสานใต้ก็ถือได้ว่ามีภูมิศาสตร์ที่ดีซึ่งส่งผลการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีต ดังนี้ ขนาดพื้นที่ที่ใหญ่ จังหวัดกลุ่ม Big 4 มีพื้นที่จังหวัดเฉลี่ย 14,713.72 ตารางกิโลเมตร และขนาดพื้นที่ในจังหวัดในภาคอีสานเมื่อไม่รวม Big 4 มีขนาดเฉลี่ยประมาณ  6,875.01 ตารางกิโลเมตร ซึ่งจังหวัดในอีสานใต้มีขนาดพื้นที่ที่จัดได้ว่ามีกว้างขวางและเกินกว่าขนาดพื้นที่เฉลี่ยของจังหวัดในภาคเมื่อไม่รวม Big 4 โดย 3 จังหวัดอีสานอีสานใต้มีขนาดพื้นที่รวม  27,286.917 ตารางกิโลเมตร ดังนี้   บุรีรัมย์ 10,322.885 ตารางกิโลเมตร (อันดับที่ 17 ของประเทศ) ศรีสะเกษ 8,839.976 ตารางกิโลเมตร (อันดับที่ 21 ของประเทศ) สุรินทร์ 8,124.056  ตารางกิโลเมตร (อันดับที่ 24 ของประเทศ) ซึ่งการมีขนาดพื้นที่ใหญ่จะเป็นข้อได้เปรียบด้านการมีพื้นที่ใช้สอยและทรัพยากรที่มาก ทั้งเพื่อการเกษตรและนอกภาคเกษตร เช่น ธุรกิจหรือโรงงาน โดยจะเห็นได้ว่าจังหวัดกลุ่ม Big 4 แห่งอีสานก็มีขนาดพื้นที่ของแต่ละจังหวัดที่ใหญ่เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นทั้ง 3 จังหวัดอีสานใต้ยังมีพื้นที่ชายแดนติดกับกัมพูชา ซึ่งเป็นผลดีในด้านค้าและอุปสงค์จากชาวต่างชาติ   จำนวนประชากรมาก ปัจจัยด้านจำนวนประชากรก็เป็นสิ่งสำคัญต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากจำนวนประชากรเป็นทั้งอุปสงค์และอุปทานในระบบเศรษฐกิจ โดยจะพบได้ว่าค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างจำนวนประชากรและมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม …

“คนเยอะ พื้นที่ใหญ่” เปิดศักยภาพ “3 จังหวัดอีสานใต้” ดันเศรษฐกิจสู้ Big 4 อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top