SHARP ADMIN

ฮู้บ่ว่า? ‘ธนบัตร’ ในระบบเศรษฐกิจไทยมีอยู่กี่ฉบับ

จากกระแสที่แบงก์อายัดบัญชีที่โยงกับบัญชีม้า ทำให้หลายคนเริ่มแห่ไปถอนเงินกันเพื่อถือเป็นเงินสดมากขึ้น โพสต์นี้จึงพามาดูข้อมูลที่น่าสนใจกัน! รู้หรือไม่ว่าธนบัตรที่เราใช้จ่ายกันอยู่ทุกวันนี้ มีจำนวนรวมกันกว่า 7,929 ล้านฉบับ และมีมูลค่ารวมสูงถึง 2,702,880 ล้านบาท! 🤯 ลองดูตัวเลขของธนบัตรแต่ละชนิดกันหน่อยสิว่าฉบับไหนมีจำนวนมากที่สุด ธนบัตร 1,000 บาท: 2,247 ล้านฉบับ ธนบัตร 500 บาท: 346 ล้านฉบับ ธนบัตร 100 บาท: 1,937 ล้านฉบับ ธนบัตร 50 บาท: 691 ล้านฉบับ ธนบัตร 20 บาท: 2,707 ล้านฉบับ จากกระแสนที่คนแห่ไปถอนเงิน อาจทำให้บางแบงก์นั้นมีเงินสำรองไม่พอให้ถอนบ้างในระยะสั้น แต่ทาง ธปท. ก็ได้ออกมายืนยันว่ายังไม่เห็นสัญญาณของ Bank run เผานาฆ่าหนู❓สรุปไทม์ไลน์ข่าว “ล่าบัญชีม้า🐴แต่ร้านค้าโดนอายัด” สู่ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงิน💸ร้านไม่รับโอน #บัญชีม้า #ธนบัตรไทย #เศรษฐกิจไทย #แบงก์ชาติ ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

ฮู้บ่ว่า? ‘ธนบัตร’ ในระบบเศรษฐกิจไทยมีอยู่กี่ฉบับ อ่านเพิ่มเติม »

เผานาฆ่าหนู❓สรุปไทม์ไลน์ข่าว “ล่าบัญชีม้า🐴แต่ร้านค้าโดนอายัด” สู่ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงิน💸ร้านไม่รับโอน

ไทม์ไลน์ข่าว: ธนาคารอายัดบัญชีมั่วและมาตรการสกัดกั้นภัยทางการเงิน มาตรการจำกัดวงเงินโอนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวข้องโดยตรงกับข่าวการอายัดบัญชีมั่ว เนื่องจากทั้งสองเรื่องเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของภาครัฐและสถาบันการเงินในการปราบปรามและป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน โดยเฉพาะ “บัญชีม้า” ที่ใช้ในการหลอกลวงประชาชน จุดเริ่มต้น: มาตรการสกัดกั้นบัญชีม้า เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจากความพยายามของภาครัฐในการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเว็บพนันออนไลน์ที่ใช้ “บัญชีม้า” เป็นเครื่องมือในการรับและโอนเงินเพื่อฟอกเงิน ซึ่งนำไปสู่การออกกฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้อง มีนาคม 2566: มีการประกาศใช้ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 [1] โดยมีสาระสำคัญคือ การให้สถาบันการเงินสามารถระงับการทำธุรกรรมหรืออายัดบัญชีได้ทันที หากมีเหตุอันควรสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตุลาคม 2566: ธปท. ร่วมกับสถาบันการเงิน จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการร่วมในการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงทางการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (ศปปง.) หรือที่เรียกว่าศูนย์ AOC (Anti-Online Scam Operation Center) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงานระหว่างธนาคารและตำรวจ ไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญ มกราคม 2567: เริ่มมีประชาชนร้องเรียนมากขึ้นว่าบัญชีธนาคารถูกอายัดอย่างไม่เป็นธรรม โดยส่วนใหญ่เป็นกรณีที่โอนเงินหรือรับโอนเงินจากบุคคลที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับบัญชีม้า แม้ว่าตัวเองจะไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดก็ตาม [2] เมษายน 2567: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาชี้แจงว่า ธนาคารมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องอายัดบัญชีที่มีความเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์ และยืนยันว่าการอายัดไม่ได้เป็นไปอย่าง “มั่วซั่ว” แต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดไว้ [3] อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนยังคงยืนยันว่ากระบวนการไม่โปร่งใสและขาดการตรวจสอบที่รัดกุมก่อนจะอายัด พฤษภาคม 2568: ปัญหาลุกลามจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างบนโลกออนไลน์ เมื่อมีข่าวว่ามีประชาชนหลายรายที่ได้รับผลกระทบจากการที่ บัญชีธนาคารถูกอายัดจาก “บัญชีม้า” ที่เป็นเครือข่ายยาว โดยอาจมีการโอนเงินที่เชื่อมโยงกันเป็นทอด ๆ ทำให้บัญชีของผู้บริสุทธิ์ถูกอายัดไปด้วย ทั้งที่ไม่มีส่วนรู้เห็น [4] สิงหาคม 2568: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการใหม่เพื่อป้องกันความเสียหายจากการถูกหลอกให้โอนเงิน โดยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์จำกัดวงเงินโอนเงินสำหรับ “กลุ่มเสี่ยง” ซึ่งได้แก่ กลุ่มลูกค้าใหม่ หรือบัญชีที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยไว้ที่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน [5] มาตรการดังกล่าวไม่ได้มีผลบังคับใช้กับทุกคน แต่จะพิจารณาจากพฤติกรรมการทำธุรกรรมของแต่ละบุคคลและแบ่งลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่ม คือ S, M, และ L ตามความเสี่ยง [6] กันยายน 2568: เกิดกระแสความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนที่กลัวว่าบัญชีของตนจะถูกอายัดไปด้วย จึงทำให้มีรายงานข่าวว่า ประชาชนจำนวนมากแห่ไปถอนเงินสดออกจากธนาคาร เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีของตนได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว ทำให้ธนาคารบางแห่งมีปัญหาเงินขาดมือ [7] สถานการณ์ปัจจุบัน: ผลกระทบที่ลุกลามและข้อเรียกร้อง ความเดือดร้อนของประชาชน: ปัญหาการอายัดบัญชีลุกลามจนเป็นความเดือดร้อนในวงกว้างสำหรับประชาชนผู้บริสุทธิ์หลายพันราย โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ และกลุ่มที่รับจ้างโอนเงิน เช่น รับโอนเงินจากผู้สูงอายุ หรือรับโอนเงินจากการขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ถูกอายัดบัญชีโดยไม่ทันตั้งตัว ความชัดเจนของมาตรการ: แม้ว่ารัฐบาลและธนาคารจะยืนยันว่ามาตรการนี้มีความจำเป็นเพื่อป้องกันอาชญากรรม แต่กระบวนการที่ขาดความรัดกุมและขาดการสื่อสารกับผู้ใช้งานอย่างทันท่วงที ทำให้มาตรการที่หวังจะแก้ปัญหา กลับสร้างปัญหาใหม่ให้แก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ อัพเดตล่าสุด 13 กันยายน 2568 นางสาวดารณี แซ่จู

เผานาฆ่าหนู❓สรุปไทม์ไลน์ข่าว “ล่าบัญชีม้า🐴แต่ร้านค้าโดนอายัด” สู่ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงิน💸ร้านไม่รับโอน อ่านเพิ่มเติม »

“หนี้กตัญญู” วังวนความสิ้นหวังของลูกชนชั้นกลาง

ในสังคมไทย คำว่า “ความกตัญญู” เป็นค่านิยมที่ได้รับการยกย่องมาอย่างยาวนาน ลูกที่เลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่าถูกมองว่าเป็นลูกที่ดีและมีคุณธรรม แต่เมื่อค่านิยมนี้ต้องมาเผชิญกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจในยุคใหม่ ภาระดังกล่าวได้กลายเป็นสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “หนี้กตัญญู” หนี้นี้ต่างจากหนี้สินทั่วไป หนี้กตัญญูไม่มีสัญญาหรือดอกเบี้ย หากแต่เป็นภาระที่สังคมคาดหวังให้ลูกหลานต้องแบกรับ โดยเฉพาะ ชนชั้นกลาง ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด พวกเขามีรายได้มากพอที่จะถูกคาดหวังว่าจะดูแลพ่อแม่ได้ แต่ในความเป็นจริง รายได้เหล่านั้นต้องถูกใช้ไปกับค่าครองชีพ การผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และการลงทุนเพื่ออนาคต ทำให้คนกลุ่มนี้ตกอยู่ในสถานะ Sandwich Generation คือถูกบีบทั้งจากภาระเลี้ยงดูพ่อแม่ที่อายุมากขึ้น และการดูแลลูกที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันค่านิยมเรื่อง “ลูกต้องเลี้ยงดูพ่อแม่” เริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเลือกที่จะครองโสด หรือถึงจะแต่งงานก็ไม่ได้ต้องการมีบุตรเหมือนในอดีต คำถามเชิงสังคมที่มักได้ยินอย่าง “เมื่อไหร่จะมีลูก” หรือ “มีลูกไว้ให้เลี้ยงดูตอนแก่” จึงสะท้อนแรงกดดันที่ไม่สอดคล้องกับความจริงทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ต้นทุนการเลี้ยงดูบุตรที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ผนวกกับภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวชนชั้นกลางและชนชั้นล่างที่ต้องดูแลทั้งลูกและพ่อแม่พร้อมกัน ทำให้การฝากความหวังไว้กับลูกเพียงอย่างเดียวไม่อาจถือเป็นหลักประกันที่มั่นคงได้อีกต่อไป หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้รุนแรงขึ้น คือโครงสร้างประชากรไทยที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปจะมีสัดส่วนถึงเกือบ 30% ของประชากรทั้งหมด ครอบครัวไทยในอดีตมีลูกหลายคนช่วยกันดูแลพ่อแม่ แต่ปัจจุบันครอบครัวมีขนาดเล็กลง ภาระทั้งหมดจึงมักตกอยู่กับลูกเพียงคนหรือสองคน ในขณะเดียวกัน คนรุ่นพ่อแม่หรือที่เรียกว่า Baby Boomer, Gen X ในกลุ่มรายได้ปานกลางถึงต่ำส่วนใหญ่ไม่ได้มีการเตรียมการทางการเงินเพื่อวัยเกษียณมากพอ ขาดทั้งความรู้ด้านการเงินและโอกาสในการลงทุน ทั้งนี้ยังไม่รวมในส่วนของหนี้สินต่างๆที่ได้มีการก่อไว้ทั้งในด้านของผู้ถูกเลี้ยงดู และผู้ที่จะต้องเลี้ยงดูที่จะต้องแบกรับภาระในส่วนนี้เช่นกัน เมื่อเข้าสู่วัยชราพวกเขาจึงต้องพึ่งพาลูกหลานเป็นหลัก โดยมีความเชื่อฝังแน่นว่าลูกต้องตอบแทนบุญคุณด้วยการดูแลตลอดชีวิต ปัญหานี้ไม่ได้มีเพียงมิติทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีรากทางวัฒนธรรม “ความกตัญญู” ในอดีตหมายถึงการเคารพและดูแลพ่อแม่ทั้งด้านจิตใจและการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ในปัจจุบันค่านิยมนี้ถูกตีค่าในเชิงการเงินมากขึ้น การให้เงิน ซื้อของแพง หรือพาไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย กลายเป็นสัญลักษณ์ของความกตัญญู ขณะที่ลูกที่ไม่สามารถทำได้อาจถูกมองว่า “อกตัญญู” แม้จะดูแลพ่อแม่ในรูปแบบอื่นแล้วก็ตาม แรงกดดันนี้ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวตึงเครียด และทำให้หลายคนรู้สึกหมดหวังเพราะไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังทางสังคมได้ หากมองถึงต้นตอของปัญหา จะบอกว่า “ความกตัญญู” ที่ทำให้ลูกต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ แม้ตัวเองยังต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพจนแทบไม่พอกิน เป็นสิ่งที่ “ผิด” ก็คงไม่ถูกนัก ในขณะเดียวกัน หากจะชี้ว่าเป็นความผิดของพ่อแม่ที่ทำงานมาทั้งชีวิตแต่กลับไม่มีเงินเก็บไว้ใช้ยามชรา ต้องหันมาพึ่งพาลูกหลานเพียงอย่างเดียว ก็ดูจะไม่ยุติธรรมเช่นกัน หากมองให้ลึกลงไป ปัญหาแท้จริงอาจอยู่ที่ “รายได้” ของครัวเรือนที่ไม่เติบโตสอดคล้องกับ “รายจ่าย” ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่า และ “ปัญหาด้านรัฐสวัสดิการ” ที่มีให้ในปัจจุบันนั้นไม่สามารถช่วยเหลือ หรือแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ได้ เมื่อมองในมิติแบบนี้ อาจช่วยให้เราเห็นภาพและหาข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นว่า เรื่องนี้เป็นผลสะสมจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจ มากกว่าจะเป็นความผิดของใครโดยตรง ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในตะวันตกอย่างยุโรปและอเมริกา การดูแลผู้สูงอายุถือเป็นหน้าที่ของรัฐที่จัดสวัสดิการด้านบำนาญและการรักษาพยาบาลอย่างครอบคลุม เมื่อลูกเติบโตขึ้นก็มักแยกออกไปสร้างชีวิตของตนเองตามแนวคิดครอบครัวที่เน้นความเป็นอิสระ ภาระการดูแลผู้สูงอายุจึงไม่ได้ตกอยู่กับลูกหลานโดยตรง แต่ถูกแบกรับผ่านระบบรัฐสวัสดิการที่ช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวได้มาก ตรงกันข้าม ในหลายประเทศเอเชีย เช่น ไทย จีน และเกาหลี ค่านิยมที่ “ลูกต้องดูแลพ่อแม่” ฝังลึกจนกลายเป็นบรรทัดฐานทางสังคม การพึ่งพาลูกหลานจึงกลายเป็นกลไกหลักในการดูแลผู้สูงอายุ ยิ่งในบริบทของประเทศไทยที่ระบบสวัสดิการยังมีข้อจำกัด เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเริ่มต้นเพียง 600 บาทต่อเดือน หรือบำนาญจากประกันสังคมที่ไม่สูงพอเมื่อเทียบกับค่าครองชีพจริง (โดยเฉพาะในเขตเมืองที่ค่าใช้จ่ายเกิน 7,000 บาทต่อเดือน) ช่องว่างนี้ยิ่งทำให้ครอบครัวต้องรับภาระเพิ่มขึ้น

“หนี้กตัญญู” วังวนความสิ้นหวังของลูกชนชั้นกลาง อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ตัวอย่าง สุดยอดค้าปลีก-ส่งภูธรรายได้พันล้านในไทย

ร้านค้าปลีก-ค้าส่งภูธร: ยืนหยัดท่ามกลางทุนใหญ่ด้วยความสัมพันธ์และการปรับตัว   “ร้านโชห่วยหน้าปากซอย” อาจดูเล็กน้อยในสายตาหลายคน แต่สำหรับชุมชนแล้ว ที่นี่คือทั้งแหล่งซื้อของ ศูนย์กลางข่าวสาร และบางครั้งก็เป็นเสมือนเพื่อนบ้านที่พึ่งพาได้ แม้ห้างใหญ่และร้านสะดวกซื้อจะขยายตัวไม่หยุด ร้านค้าปลีกและค้าส่งภูธรกลับยังคงยืนหยัดอยู่ได้ เพราะพวกเขามีสิ่งหนึ่งที่ทุนใหญ่ไม่เคยมีนั่นคือ “ความผูกพันกับคนในพื้นที่” แม้ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากทุนใหญ่และการเปลี่ยนแปลงของตลาด แต่ร้านค้าปลีกและค้าส่งภูธรยังคงสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ด้วยจุดแข็งเฉพาะตัวที่ยากจะลอกเลียนแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชุมชน ความเข้าใจในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง และความคล่องตัวในการปรับตัว ซึ่งทั้งหมดนี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้พวกเขายังเป็น “ผู้เล่นที่น่าจับตา” ในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น หัวใจของความแข็งแกร่งของร้านค้าภูธรคือความสัมพันธ์ส่วนบุคคล เจ้าของร้านและพนักงานมักเป็น “คนกันเอง” ในพื้นที่ ทำให้รู้จักและเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง บรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเองเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ห้างใหญ่ไม่สามารถสร้างได้ง่าย นอกจากนี้ ร้านค้าภูธรยังสามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะถิ่นได้ดี ไม่ว่าจะเป็นสินค้าทำบุญ เครื่องปรุงเฉพาะท้องถิ่น หรือสินค้าแบ่งขายในปริมาณเล็กน้อยเพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของคนในชุมชน อีกหนึ่งจุดแข็งที่ไม่อาจมองข้ามคือ “ระบบเครดิต” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ติดไว้ก่อน” ร้านค้าท้องถิ่นสามารถให้ลูกค้าประจำลงบัญชีไว้ก่อนได้ ซึ่งช่วยรองรับผู้มีรายได้ไม่แน่นอนและสร้างความผูกพันระยะยาว ความยืดหยุ่นเช่นนี้คือสิ่งที่โมเดิร์นเทรดไม่สามารถทำได้ นอกจากนั้น ร้านค้าภูธรยังมีความคล่องตัวสูง สามารถคิดเร็ว ทำเร็ว และตัดสินใจได้ทันที เช่น การเพิ่มสินค้าตามเทศกาล การสั่งสินค้าพิเศษตามความต้องการของลูกค้า หรือการปรับราคาอย่างฉับพลันโดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากส่วนกลาง ความไม่ตายตัวของรูปแบบการดำเนินงานนี้เปรียบเสมือน “มวยวัด” ที่คาดเดายาก และบางครั้งกลายเป็นข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์เหนือห้างใหญ่ ในด้านกลยุทธ์ราคา ร้านค้าภูธรสามารถกดราคาลงได้ด้วยการตัดต้นทุนที่ไม่จำเป็น เช่น การตกแต่งหรูหราหรือบริการที่ฟุ่มเฟือย ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ก็มักสนับสนุนร้านภูธร เพื่อสร้างสมดุลอำนาจการต่อรองกับรายใหญ่ ส่งผลให้ร้านท้องถิ่นได้รับทั้งโปรโมชั่นและกิจกรรมการตลาดที่ช่วยดึงดูดลูกค้า ข้อได้เปรียบอีกประการคือทำเลที่ตั้ง ร้านค้าภูธรจำนวนมากตั้งอยู่ใจกลางเมืองหรือใกล้ชุมชน ซึ่งสะดวกต่อการเข้าถึงของผู้บริโภค โดยเฉพาะเมื่อต้องการซื้อสินค้าเล็กน้อยหรือของใช้ด่วน ทำให้ร้านท้องถิ่นยังคงเป็นคำตอบสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน อย่างไรก็ตาม ร้านค้าปลีกและค้าส่งภูธรก็เผชิญกับความท้าทายไม่น้อย การรุกคืบของทุนใหญ่ เช่น เซ็นทรัล ซี.พี. บิ๊กซี หรือเครือข่ายร้านค้าสมัยใหม่อย่าง “ถูกดี มีมาตรฐาน” และ “ร้านโดนใจ” ทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงขึ้น สงครามราคายิ่งกดดันร้านภูธรที่มีอำนาจการซื้อน้อยกว่า อีกทั้งเศรษฐกิจที่ซบเซา กำลังซื้อที่ลดลง และต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ล้วนบั่นทอนกำไรและความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ร้านค้าภูธรหลายแห่งยังคงใช้รูปแบบการบริหารแบบครอบครัว ขาดระบบมืออาชีพ และมีรูปแบบร้านที่ล้าสมัย ไม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกและทันสมัยมากกว่า ขณะเดียวกัน ปัญหาการสืบทอดกิจการก็เป็นอีกโจทย์ใหญ่ เนื่องจากทายาทบางรายไม่ประสงค์จะสานต่อธุรกิจครอบครัว เพื่อความอยู่รอดในระยะยาว ร้านค้าภูธรจำเป็นต้องเร่งปรับตัวในหลายด้าน ประการแรกคือการสร้างจุดยืนที่ชัดเจน เน้นความแตกต่างที่รายใหญ่ไม่สามารถแข่งขันได้ เช่น การขายสินค้าท้องถิ่นคุณภาพสูง หรือการเน้นบริการที่เป็นมิตรและใกล้ชิด ประการต่อมาคือการปรับปรุงร้านให้ทันสมัย จัดร้านให้สะอาด สว่าง และเป็นระเบียบ พร้อมเติมเต็มฟังก์ชันใหม่ๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านแฟชั่น หรือพื้นที่เอนเตอร์เทนเมนต์ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีก็กลายเป็นเครื่องมือสำคัญ ร้านค้าภูธรควรนำระบบจัดการหน้าร้าน (POS) เข้ามาใช้ รับชำระเงินดิจิทัล และทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึงลูกค้ารุ่นใหม่ การสร้างเครือข่ายและการรวมกลุ่มกับร้านอื่นๆ ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ และลดต้นทุนได้มากขึ้น สุดท้าย การผลักดันให้คนรุ่นใหม่หรือผู้บริหารมืออาชีพเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนกิจการ ถือเป็นการลงทุนระยะยาวที่สำคัญ เพราะพวกเขาสามารถนำความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนาให้ร้านค้าภูธรมีชีวิตชีวาและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน โดยสรุปแล้ว จุดแข็งของร้านค้าปลีกและค้าส่งภูธรไม่ได้อยู่ที่เงินทุน แต่คือความเข้าใจในท้องถิ่น

พามาเบิ่ง ตัวอย่าง สุดยอดค้าปลีก-ส่งภูธรรายได้พันล้านในไทย อ่านเพิ่มเติม »

“ซึม 😔 ซบเซา 😞 และเสี่ยง ⚠️” ฉายภาพเศรษฐกิจอีสาน📉 ผ่าน ISAN Economic Canvas 9 ช่อง บทวิเคราะห์ ISAN Outlook ประจำเดือน สิงหาคม 2568

ISAN Outlook บทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสานประจำเดือน สิงหาคม 2568 เศรษฐกิจอีสานในเดือนสิงหาคม 2568 เผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง การบริโภคชะลอตัว หนี้สินครัวเรือนสูง และรายได้เกษตรตกต่ำ ขณะที่ภาคเอกชนไม่กล้าลงทุนจากปัจจัยเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและข้อพิพาทชายแดน สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจอีสานอยู่ในภาวะเปราะบางและต้องการมาตรการรองรับอย่างเร่งด่วน สรุปภาพรวม เศรษฐกิจอีสานกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกภูมิภาคที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ส่งผลให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ในด้าน การบริโภคภาคครัวเรือน ประชาชนต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น ภายใต้ภาระค่าครองชีพสูง รายได้เกษตรที่ลดลง และหนี้สินครัวเรือนที่ยังเรื้อรัง ขณะที่ ภาคการลงทุนเอกชน ก็ถูกบั่นทอนความเชื่อมั่น จากทั้งการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น การขยายตัวของ E-Commerce และการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ไปจนถึงปัจจัยการเมืองและความไม่แน่นอนในประเทศที่ทำให้นักลงทุนชะลอการตัดสินใจ นอกจากนี้ ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศ โดยเฉพาะ จีน ที่เป็นตลาดส่งออกและคู่ค้าเกษตรสำคัญ ยิ่งสร้างความท้าทายมากขึ้น เมื่อเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะเงินฝืดและลดการนำเข้ามันสำปะหลังจากไทยอย่างต่อเนื่อง กดดันราคาผลผลิตเกษตรของอีสานให้ตกต่ำต่อเนื่อง สถานการณ์ดังกล่าวยังซ้ำเติมด้วยปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา และมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ซึ่งกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจและแรงงานในพื้นที่ เมื่อปัจจัยลบทั้งหลายผนวกรวมกัน เศรษฐกิจอีสานจึงตกอยู่ในสภาวะ “เปราะบาง” อย่างยิ่ง ทั้งในด้านการบริโภค การลงทุน และรายได้ภาคเกษตร หากไม่มีมาตรการเยียวยาและการปรับตัวเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง ภูมิภาคอีสานมีความเสี่ยงที่จะ “ตกขบวน” การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป “บทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ผ่านตาราง 9 ช่อง ISAN Economic Canvas (IEC)” ตารางเดียวที่สรุปครบทั้งภาพรวมเศรษฐกิจอีสาน ปัญหา สาเหตุ และแนวทางแก้ไข การอ่านแนวนอน: มองจากมุมผู้ประสบปัญหา เช่น ประชาชน ธุรกิจ ฯลฯ ไล่จาก ปัญหา → สาเหตุ → แนวทางแก้ไข การอ่านแนวตั้ง: มองภาพรวมทั้งภูมิภาคว่า เกิดปัญหาอะไรบ้างในอีสาน → มาจากสาเหตุใด → ควรแก้อย่างไร สีและสัญลักษณ์ใน IEC ยังใช้ช่วยอธิบายในหน้ารายละเอียดเพิ่มเติม   ปัญหาภาคการบริโภค “เศรษฐกิจอีสาน ส.ค. 68 แย่ ความเชื่อมั่นต่ำ การบริโภคลด” ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในภาคอีสานปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของภาคเอกชน เดิมทีในช่วงปี 2565 ดัชนีมีแนวโน้มฟื้นตัวตามสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายและกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2567 ความเชื่อมั่นกลับอ่อนแรงลงจากความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศ และถูกซ้ำเติมเพิ่มเติมในปี 2568 จากแรงกดดันภายนอก เช่น ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ราคาสินค้าเกษตรที่ลดต่ำ และต้นทุนครัวเรือนที่สูงขึ้น ณ เดือนสิงหาคม 2568 ดัชนียังคงอยู่ในระดับต่ำและมีทิศทางถดถอยต่อเนื่องโดยไม่ปรากฏสัญญาณการฟื้นตัว ผู้บริโภคอีสานจึงใช้จ่ายด้วยความระมัดระวังมากขึ้น เลือก “รัดเข็มขัด” เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ทำให้การบริโภคโดยรวมชะลอตัว โดยเฉพาะสินค้าราคาสูง สินค้าฟุ่มเฟือย หรือสินค้าที่อาจก่อภาระหนี้ระยะยาว เช่น รถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า

“ซึม 😔 ซบเซา 😞 และเสี่ยง ⚠️” ฉายภาพเศรษฐกิจอีสาน📉 ผ่าน ISAN Economic Canvas 9 ช่อง บทวิเคราะห์ ISAN Outlook ประจำเดือน สิงหาคม 2568 อ่านเพิ่มเติม »

พาเเปิดเบิ่ง ปีงบประมาณ 69 “มหาวิทยาลัยรัฐ” อีสาน ม.ไหนได้งบมากสุด-น้อยสุด⁉️

มหาวิทยาลัย จังหวัด งบประมาณปี 2569 สัดส่วนงบประมาณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น  ขอนแก่น, หนองคาย 5,517 ล้านบาท 30.5% มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี  นครราชสีมา 2,110 ล้านบาท 11.6% มหาวิทยาลัยมหาสารคาม  มหาสารคาม 1,529 ล้านบาท 8.4% มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน  นครราชสีมา, ขอนแก่น 1,521 ล้านบาท 8.4% มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี  อุบลราชธานี 867 ล้านบาท 4.8% มหาวิทยาลัยนครพนม  นครพนม 753 ล้านบาท 4.2% มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี  อุดรธานี 663 ล้านบาท 3.7% มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี  อุบลราชธานี 644 ล้านบาท 3.6% มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา  นครราชสีมา 574 ล้านบาท 3.2% มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร  สกลนคร 551 ล้านบาท 3.0% มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์  สุรินทร์ 516 ล้านบาท 2.8% มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์  บุรีรัมย์ 510 ล้านบาท 2.8% มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม  มหาสารคาม 494 ล้านบาท 2.7% มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์  กาฬสินธุ์ 438 ล้านบาท 2.4% มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย  เลย 432 ล้านบาท 2.4% มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ  ศรีสะเกษ 370 ล้านบาท 2.0% มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ  ชัยภูมิ 324 ล้านบาท 1.8% มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด  ร้อยเอ็ด 304 ล้านบาท 1.7%   หมายเหตุ: ข้อมูลงมหาวิทยาลัยรัฐในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่มา: สำนักงบประมาณ ปีงบประมาณ 2569   “มหาวิทยาลัยรัฐ” อีสาน ม.ไหนได้งบมากสุด-น้อยสุด⁉️  . . เมื่อพิจารณางบประมาณปี 2569 ของมหาวิทยาลัยรัฐในภาคอีสาน จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่และมหาวิทยาลัยขนาดเล็ก โดยมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้รับงบประมาณสูงสุดถึง 5,517 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 30.5% ของงบทั้งหมดในภาคอีสาน  . อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นมหาวิทยาลัยที่มีบุคลากรและนักศึกษาจำนวนมาก งบประมาณที่สูงจึงสะท้อนภาระค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนและสวัสดิการบุคลากรจำนวนมาก อีกทั้งยังมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติ โดยเฉพาะการมีโรงพยาบาลศรีนครินทร์และคณะแพทยศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และการวิจัยสุขภาพในภูมิภาค ส่งผลให้งบประมาณด้านการดูแลประชาชนและการลงทุนเพื่อการวิจัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

พาเเปิดเบิ่ง ปีงบประมาณ 69 “มหาวิทยาลัยรัฐ” อีสาน ม.ไหนได้งบมากสุด-น้อยสุด⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

สมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัด ขอนแก่น ผนึกกำลังผู้ประกอบการ จัดงาน 🏠มหกรรมบ้านและคอนโด ขอนแก่น 2025

สมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัด ขอนแก่น ผนึกกำลังผู้ประกอบการ จัดงาน 🏠มหกรรมบ้านและคอนโด ขอนแก่น 2025🏡🏘️ 📆ระหว่างวันที่ 1-6 ตุลาคม 2025 📌ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น ศูนย์การค้าไลฟ์ สไตล์ที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในภูมิภาค ภายใต้แนวความคิด 🏘️“ลดยกเมือง” ที่เน้นยกระดับคุณภาพ โดยยังคงมีราคาที่เข้าถึงได้กับทุก กลุ่มลูกค้า 👍 นอกจากนี้นั้นทางสมาคมฯ เล็งเห็นถึงโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมุ่งเน้นการนำเสนอที่อยู่อาศัยและโครงการ อสังหาริมทรัพย์ที่มีมาตรฐานคุณภาพสูง ควบคู่ไปกับการปรับราคาที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ ไม่เพียงแต่จะเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดขอนแก่น เท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วม สร้างเครือข่ายทางธุรกิจ แลกเปลี่ยนมุมมอง และร่วมกันกำหนดทิศทางที่ยั่งยืนของจังหวัดขอนแก่น ทางสมาคมฯ เชื่อมั่นว่าแนวความคิด “ลดยกเมือง” จะเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยยกระดับ มหกรรมบ้านและคอนโด ขอนแก่น 2025 “ลดยกเมือง” ลดราคา เพิ่มโปรโมชั่นสุดพิเศษ และ ความคุ้มค่า ของทุกโครงการไว้ในที่เดียว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านที่อยู่อาศัย “ราคาลดลง แต่ยกระดับคุณภาพชีวิตขึ้น” โดยภายในงานครั้งนี้ทุกโครงการอสังหาริมทรัพย์ ชั้นนำที่มารวมตัวกัน เตรียมข้อเสนอสุดพิเศษของทุกโครงการไม่ว่าจะเป็นส่วนลดพิเศษ การผ่อนชำระ หรือสิทธิพิเศษต่างๆ ที่หาไม่ได้จากที่อื่น ถือเป็นโอกาสทองของผู้ที่กำลังมอง หาบ้านและคอนโดคุณภาพ ในราคาที่ลดลงเข้าถึงได้ และเหมาะกับทุกกลุ่มลูกค้า สมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดขอนแก่น เชื่อมั่นว่า งานมหกรรมบ้านและคอนโด ขอนแก่น 2025 ภายใต้แนวคิด “ลดยกเมือง” จะช่วยสร้างประโยชน์ให้ทั้งผู้บริโภคและผู้ ประกอบการ พร้อมขับเคลื่อนจังหวัดขอนแก่นสู่การเป็นมหานครแห่งอนาคตอย่างมั่นคง ประมวลภาพจาก🧐งานแถลงข่าวมหกรรมบ้านและคอนโด ขอนแก่น 2025 (House and Condo Expo Khon Kaen 2025) ณ หอการค้า จังหวัดขอนแก่น วันที่ 1 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น.     #บ้านและคอนโด2025 #สมาคมอสังหาริมทรัพย์ขอนแก่น #ขอนแก่น #บ้านและคอนโดขอนแก่น

สมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัด ขอนแก่น ผนึกกำลังผู้ประกอบการ จัดงาน 🏠มหกรรมบ้านและคอนโด ขอนแก่น 2025 อ่านเพิ่มเติม »

สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และสัญญะทางการทูตในวันที่ สวีเดน ไร้สถานทูตในกัมพูชา

ฮู้บ่ว่าสวีเดนปิดสถานทูตที่กัมพูชาตั้งแต่ปี 64 ลดเหลือ “สำนักงานย่อย” ก่อนปิดทั้งหมดเมื่อ ปี 67 ที่ผ่านมา สวีเดนได้ดำเนินการปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 และต่อมาได้ลดระดับเป็น “สำนักงานย่อย” (Section Office) ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ณ กรุงเทพมหานคร ล่าสุด สำนักงานย่อยดังกล่าวได้ปิดทำการและยุติการดำเนินงานอย่างถาวรไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024)   สาเหตุหลักของการปิดสถานทูต   เหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐบาลสวีเดนตัดสินใจยุติบทบาททางการทูตในกัมพูชา มาจากการถดถอยของระบอบประชาธิปไตยและสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในกัมพูชาที่ย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 การจำกัดพื้นที่ประชาธิปไตย: รัฐบาลสวีเดนได้ระบุอย่างเป็นทางการว่า “พื้นที่ของระบอบประชาธิปไตยในกัมพูชาถูกจำกัดอย่างรุนแรงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา” ซึ่งการกระทำดังกล่าวรวมถึงการยุบพรรคฝ่ายค้านที่สำคัญ (CNRP) และการปราบปรามองค์กรภาคประชาสังคมและสื่ออิสระ ความยากลำบากในการร่วมมือ: สถานการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลสวีเดนมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะสานต่อความร่วมมือในระดับทวิภาคีที่กว้างขวางและใกล้ชิดกับรัฐบาลกัมพูชาได้อีกต่อไป การปรับเปลี่ยนนโยบายความช่วยเหลือ: ก่อนหน้าที่จะปิดสถานทูต สวีเดนได้ตัดสินใจยุติความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาในด้านอื่นๆ แก่รัฐบาลกัมพูชา และมุ่งเน้นงบประมาณไปที่การสนับสนุนองค์กรที่ทำงานด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และหลักนิติธรรมโดยตรงแทน การปิดสถานทูตจึงเป็นขั้นตอนที่สอดคล้องกับนโยบายที่เปลี่ยนไปนี้ แม้ทางการทูตจะลดระดับลง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังคงดำเนินต่อไป โดยมี สถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นตัวแทนทางการทูตดูแลประเทศกัมพูชา   การที่สวีเดนไม่มีสถานทูตในกัมพูชาส่งผลกระทบในหลายมิติ โดยเฉพาะด้านการทูต การเมือง และเศรษฐกิจในระยะยาว ส่วนความสัมพันธ์ทางการค้าในปัจจุบันยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็มีความท้าทายเช่นกัน   ผลกระทบและภาพรวมความสัมพันธ์   ด้านการทูตและการเมือง   การส่งสัญญาณเชิงนโยบาย: การปิดสถานทูตคือการส่งสัญญาณทางการทูตที่ชัดเจนว่าสวีเดนไม่พอใจต่อสถานการณ์ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนที่ถดถอยในกัมพูชา ลดทอนความสัมพันธ์: แม้จะยังคงมีความสัมพันธ์ทางการทูตผ่านสถานทูตที่กรุงเทพฯ แต่การไม่มีผู้แทนระดับเอกอัครราชทูตประจำการอยู่ ย่อมลดทอนความใกล้ชิดและความรวดเร็วในการประสานงานระดับสูง ผลกระทบต่อภาคประชาสังคม: สวีเดนเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในกัมพูชา การปิดสถานทูตอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานและการระดมทุนขององค์กรเหล่านี้ในระยะยาว   ด้านเศรษฐกิจและการค้า     ภาพรวม   การปิดสถานทูตไม่ได้หมายถึงการยุติความสัมพันธ์ทางการค้า แต่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนใหม่ๆ และการสนับสนุนจากภาครัฐบาล อย่างไรก็ตาม การค้าภาคเอกชนโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่อย่าง H&M และ IKEA ซึ่งมีฐานการผลิตในกัมพูชา ยังคงดำเนินธุรกิจต่อไป   ดุลการค้าและมูลค่าการค้า   ข้อมูลล่าสุดจาก Observatory of Economic Complexity (OEC) ในเดือนเมษายน 2568 แสดงให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนว่า: กัมพูชาเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าอย่างมหาศาล: กัมพูชาส่งออกไปสวีเดน: 47.6 ล้านโครนาสวีเดน (SEK) กัมพูชานำเข้าจากสวีเดน: 7.82 ล้านโครนาสวีเดน (SEK) ทำให้กัมพูชามีดุลการค้าเป็นบวก 39.8 ล้านโครนาสวีเดน แนวโน้ม: เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า การส่งออกของกัมพูชาไปยังสวีเดน เพิ่มขึ้น 12.3% ในขณะที่การนำเข้าจากสวีเดน ลดลงถึง 36.8%

สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และสัญญะทางการทูตในวันที่ สวีเดน ไร้สถานทูตในกัมพูชา อ่านเพิ่มเติม »

งานสัมมนาการตลาดครั้งยิ่งใหญ่ของอีสาน เพื่อผู้ประกอบ นักธุรกิจ นักการตลาด Thailand Marketing Day On Tour 2025 @ Khon Kaen

“Thailand Marketing Day On Tour” หรือ “วันนักการตลาดสัญจร” เป็นกิจกรรมประจำปีของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) ที่จัดขึ้นเพื่อกระจายองค์ความรู้ด้านการตลาดสมัยใหม่สู่ภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาศักยภาพของนักการตลาดไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล ในปี 2568 นี้ สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย และมูลนิธิเพื่อการศึกษาของสมาคมการตลาดฯ โดยความร่วมมือกับคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมจัดงานขึ้น ณ จังหวัดขอนแก่น เพื่อเปิดพื้นที่แห่งการเรียนรู้ การสร้างแรงบันดาลใจ และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา และคนรุ่นใหม่ 📣 Agenda งาน Thailand Marketing Day On Tour 2025 @ Khon Kaen The Awakening Momentum ปลุกพลังความคิด พิชิตความเปลี่ยนแปลง งานสัมมนาการตลาดครั้งยิ่งใหญ่ของภาคอีสาน  ที่จะปลุกไอเดีย มอบแนวคิด เพื่อพิชิตความเปลี่ยนแปลงให้กับคุณ!   📌 3 Seminars | 13 Sessions | 15+ Speakers เวทีเดียวที่จะยกระดับ “ความรู้ – แรงบันดาลใจ – โอกาส” ให้กับอาจารย์ นักศึกษา ผู้ประกอบการ นักการตลาด และทุกภาคธุรกิจอย่างแท้จริง   📅 26 กันยายน 2568 The Class of Change: พลิกโฉมคลาสสู่การเปลี่ยนแปลง สำหรับอาจารย์ (Train the Trainers สัญจร) เวลา 08:30 – 12:00 น. 📍 ลงทะเบียนฟรี: 1 ส.ค. – 15 ก.ย. 2568   Shortcut to Success?: ทางลัดสู่ความสำเร็จ… เส้นทางนี้ไม่มีสูตรตายตัว สำหรับนักศึกษา (J-MAT สู่เส้นทางการตลาดสัญจร) เวลา 13:00 – 16:30 น. 📍 ลงทะเบียนฟรี: 1 ส.ค. – 15 ก.ย. 2568   📅 27 กันยายน 2568 The Awakening Momentum: ปลุกพลังความคิด พิชิตความเปลี่ยนแปลง

งานสัมมนาการตลาดครั้งยิ่งใหญ่ของอีสาน เพื่อผู้ประกอบ นักธุรกิจ นักการตลาด Thailand Marketing Day On Tour 2025 @ Khon Kaen อ่านเพิ่มเติม »

ส่องซอด🧐กลยุทธ์ “สุกี้ตี๋น้อย” สเกลธุรกิจยังไง แต่กำไรยังโต

ชื่อของ สุกี้ตี๋น้อย กลายเป็นเคสการตลาดร้านอาหารที่น่าสนใจ ด้วยภาพจำ “บุฟเฟต์ราคามหาชน” ถูกใจคนไทย จนทำให้ขยายสาขาได้ไว ตอนนี้มีแล้ว 86 สาขา (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย. 2568) ล่าสุด แบรนด์ทำให้ตลาดหันมาสนใจอีกครั้ง เมื่อประกาศ หาพื้นที่โชว์รูมรถยนต์เก่า-ใหม่ทั่วประเทศ เพื่อเปิดสาขาเพิ่ม โดยนำร่องเริ่มทำในโชว์รูมที่ปราจีนบุรีแล้ว (ตรงข้ามโรบินสัน) เตรียมเปิดปลายปี 2568 นี้ คำถาม คือ ทำไมต้องเป็นโชว์รูมรถ? 3 เหตุผลที่สุกี้ตี๋น้อยมองเห็นโอกาส 1. พื้นที่ใหญ่ โปร่ง จอดรถสะดวก บุฟเฟต์ตี๋น้อยเน้นกลุ่มลูกค้าเป็นครอบครัวหรือแก๊งเพื่อนที่มากันเยอะ โชว์รูมรถมีพื้นที่กว้าง เพดานสูง และที่จอดรถพร้อม รองรับการทำสาขาแบบ Stand Alone หรือแม้แต่แฟล็กชิปสโตร์ได้ทันที 2. ทำเลติดถนนใหญ่ เห็นชัดเจน โชว์รูมส่วนใหญ่อยู่บนถนนสายหลัก เหมาะจะเป็น Landmark ร้านใหญ่ ช่วยเลี่ยงการแข่งขันกับพื้นที่ห้างหรือคอมมูนิตี้มอลล์ 3. ต้นทุนเช่าต่ำกว่าห้างมาก หลังโควิด หลายโชว์รูมปิดกิจการหรือย้าย ทำให้เกิดช่องว่างด้านอสังหาฯ สุกี้ตี๋น้อยเจาะเข้าไปด้วยค่าเช่าที่คุ้มกว่ามาก ค่าเช่าโชว์รูมรถถูกกว่าห้างหลายเท่า ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ราคาเช่า 3,000 – 5,500 บาท/ตร.ม./เดือน คอมมูนิตี้มอลล์ ราคาเช่าต่ำกว่า 1,000 – 3,000 บาท/ตร.ม./เดือน *อ้างอิงข้อมูล สถานการณ์และแนวโน้มพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า ปี 2568-2570 ของวิจัยกรุงศรี* แต่ถ้าเป็น โชว์รูมรถ (พื้นที่ 600–700 ตร.ม. ขึ้นไป) พบว่า มีค่าเช่าเฉลี่ยเพียง 240 – 500 บาท/ตร.ม./เดือน (**ผลสำรวจเบื้องต้นจากเว็บไซต์ livinginsider) ยกตัวอย่าง โชว์รูมรถ ติดถนนราชพฤกษ์ นนทบุรี พื้นที่ 750 ตร.ม. ค่าเช่า 180,000 บาท/เดือน เฉลี่ย 240 บาท/ตร.ม./เดือน โชว์รูมรถ ติดถนนพหลโยธิน นวนคร พื้นที่ 1,320 ตร.ม. ค่าเช่า 350,000 บาท/เดือน เฉลี่ย 265 บาท/ตร.ม./เดือน จะพบว่า ค่าเช่าโชว์รูมรถถูกกว่าการเช่าพื้นที่ค้าปลีกทั่วไปหลายเท่า และยังได้พื้นที่กว้างพร้อมที่จอดรถครบ ถือเป็นจังหวะที่สุกี้ตี๋น้อยใช้ “อสังหาฯ กลุ่มโชว์รูมรถที่ซบเซาลง” มาต่อยอดธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด พามาฮู้จัก “สุกี้ตี๋น้อย” ร้านสุกี้เจ้าดังในดวงใจของชาวบุฟเฟ่ต์ เตรียมเปิดสาขาแรกของอีสาน Project Finance 101 #HowtoScale โชว์รูมรถยนต์เก่าที่สุกี้ตี๋น้อยเตรียมไปเปิดสาขาในปลายปี 2568 เห็นข่าวการสเกลของสุกี้ตี๋น้อยผ่านโชว์รูมรถเเล้ว ชวนมาลองเล่นกับตัวเลขด้วยกัน ปี 2562: รายได้ 499 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 15 ล้านบาท ปี 2563: รายได้ 1,223 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 140 ล้านบาท ปี 2564: รายได้

ส่องซอด🧐กลยุทธ์ “สุกี้ตี๋น้อย” สเกลธุรกิจยังไง แต่กำไรยังโต อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top