ISAN Insight

อาสนวิหาร สถาปัตยกรรมแห่งศรัทธาที่งดงามเหนือกาลเวลา

ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้เข้ามาหยั่งรากบนแผ่นดินสยามมานานกว่า 350 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เส้นทางของความเชื่อนี้ไม่ใช่เพียงการเผยแผ่ทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังสัมพันธ์กับการก่อตัวของชุมชน การอพยพ และการจัดระเบียบปกครองที่สอดคล้องกับสังคมไทย การเข้ามาของมิชชันนารีในยุคแรกมักมาพร้อมกับชาวยุโรปและกลุ่มผู้คนที่แสวงหาที่พึ่งพิง ชุมชนคริสตังในกรุงเทพฯ ถือกำเนิดขึ้นตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ดังเช่น วัดอัสสัมชัญ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางสำคัญ วัดอัสสัมชัญหลังแรกเริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1820 และเสร็จในปี ค.ศ. 1821 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเกียรติแด่อัสสัมชัญของพระนางมหามารีอา กลุ่มคริสตชนในยุคแรกประกอบด้วยหลายกลุ่ม เช่น ลูกหลานชาวไทย – โปรตุเกส และต่อมามีการอพยพของชาวเวียดนามคาทอลิกเข้ามาในสยามซึ่งอาศัยอยู่ในภาคอีสาน การเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในภาคอีสานเริ่มขึ้นราวปี ค.ศ. 1881 โดยคุณพ่อยอห์น บัปติสต์ โปรดม และคุณพ่อซาเวียร์ เกโก ชุมชนคาทอลิกในภาคอีสานหลายแห่งมีความพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ ท่าแร่ จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะหมู่บ้านคาทอลิกที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย การก่อตั้งชุมชนท่าแร่เป็นหนึ่งในส่ิงที่ที่แสดงให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่เป็นคริสตศาสนิกชนกับการอพยพ เมื่อครั้งที่มิชชันนารีได้นำกลุ่มคริสตชนชาวเวียดนามและชาวพื้นเมือง ซึ่งบางส่วนเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบและได้รับการปลดปล่อยจากการเกณฑ์แรงงาน ได้ตัดสินใจย้ายกลุ่มคริสตชนออกจากตัวเมืองสกลนครเพื่อหาทำเลที่ตั้งหมู่บ้านใหม่ พวกเขาได้จัดทำ “แพใหญ่” บรรทุกทั้งคนและสัมภาระข้ามหนองหารอย่างปลอดภัย และตั้งหลักแหล่งที่ท่าแร่ โดยตั้งชื่อวัดหลังแรกว่า “วัดมหาพรหมมีคาแอล หนองหาร” ซึ่งเป็นชุมชนที่ร้องขอความช่วยเหลือจากอัครเทวดามีคาแอลเป็นประจำเพื่อให้ช่วยคุ้มครองและต่อสู้กับความยากลำบาก การใช้สถาปัตยกรรมของอาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลในเวลาต่อมาซึ่งเป็นรูปทรง “หัวเรือสำเภา” หรือ “รูปหัวเรือ” ก็เพื่อสื่อถึงการนำอัครสังฆมณฑลฝ่าคลื่นลมไปสู่ความสำเร็จ เช่นเดียวกับสำเภาของโนอา และแพใหญ่ของคุณพ่อเกโกที่นำกลุ่มคริสตชนบรรพบุรุษข้ามหนองหารมาขึ้นฝั่งที่ท่าแร่อย่างปลอดภัย ปัจจุบันพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทยมีการจัดแบ่งเขตปกครองออกเป็น 11 เขต ซึ่งประกอบด้วย อัครสังฆมณฑล และสังฆมณฑล ซึ่งการแบ่งเขตพื้นที่การดูแลหลายเขต ในประเทศไทยเป็นไปตามหลักการจัดระเบียบองค์การแบบอิปิสโคปัลของนิกายโรมันคาทอลิก โดยมุขนายกจะมีอำนาจควบคุมดูแล มุขมณฑล ซึ่งเป็นเขตปกครองที่กำหนดไว้ การจัดตั้งเขตปกครองเหล่านี้ทำให้การบริหารงานทางศาสนาและการแพร่ธรรมเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ เมื่อพิจารณาถึงการแบ่งเขตสังฆมณฑล จะพบว่า ภาคอีสาน มีสังฆมณฑลอยู่มากที่วุดในประเทศ ได้แก่ อัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง สังฆมณฑลอุบลราชธานี สังฆมณฑลอุดรธานี และสังฆมณฑลนครราชสีมา แม้ว่าจำนวนคริสตศาสนิกชนคาทอลิกทั่วประเทศจะถือเป็นประชากรกลุ่มน้อย โดยมีจำนวนราวๆ ไม่ถึง 400,000 คน แต่การที่ภาคอีสานมีสังฆมณฑลจำนวนมากนี้ ส่วนหนึ่งเป็นความสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์การแพร่ธรรมและการเมืองในยุคสงครามเย็น ในยุคสงครามเย็น (ราว พ.ศ. 2490 – 2534) ประเทศไทย โดยเฉพาะภาคอีสาน ซึ่งถูกมองว่าเป็นพื้นที่ “สีชมพู” หรือฐานปฏิบัติการของกลุ่มคอมมิวนิสต์ ได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเงินทุนและอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาตั้งฐานทัพและพยายามสกัดกั้นการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ศาสนาคริสต์ซึ่งมีเนื้อแท้ที่ตรงกันข้ามกับระบอบคอมมิวนิสต์ที่ต่อต้านศาสนา จึงถูกผลักดันให้ปรับตัวเข้าสู่ความทันสมัย ในยุคนี้เองที่เกิดปรากฏการณ์ “โบสถ์โมเดิร์น” ขึ้นในภาคอีสาน อาสนวิหารหลายแห่งที่สร้างขึ้นในช่วง พ.ศ. 2500 – 2520 จึงเลือกใช้ สถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์น หรือแบบสากลนิยม แทนรูปแบบคลาสสิกของยุโรป รูปแบบโมเดิร์นนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของโลกเสรีประชาธิปไตยในยุคนั้น อาสนวิหารแม่พระนิรมล อุบลราชธานี ใช้สถาปัตยกรรมโมเดิร์นที่ล้ำสมัย อาสนวิหารพระมารดานิจจานุเคราะห์ อุดรธานี เป็นรูปแบบทรงไทยประยุกต์สมัยใหม่ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากแบบสมัยใหม่รุ่นกลางศตวรรษที่ 19 หรือ Mid-century Modern อัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง ซึ่งเป็นอัครสังฆมณฑลหนึ่งในภาคอีสาน […]

อาสนวิหาร สถาปัตยกรรมแห่งศรัทธาที่งดงามเหนือกาลเวลา อ่านเพิ่มเติม »

จากเมืองหลวง…กลับสู่บ้านเกิด การกลับมาของคนรุ่นใหม่เพื่อพัฒนาบ้านเกิดให้เจริญ

ภาคอีสานในปัจจุบันเป็นพื้นที่ที่มีประชากรมากถึง 21.5 ล้านคน หรือ 33% ของประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในประเทศไทย ภายในภูมิภาคนี้มีผู้คนจากทุกเจเนอเรชั่นอาศัยอยู่ร่วมกัน แต่ละรุ่นเติบโตมาพร้อมกับบริบททางสังคมและเหตุการณ์สำคัญที่แตกต่างกันไป ส่งผลให้ทัศนคติ ค่านิยม และรูปแบบการดำรงชีวิตของแต่ละรุ่นไม่เหมือนกัน เมื่อเจเนอเรชั่นต่างกัน โลกที่เติบโตมาก็ไม่เหมือน คนที่เกิดในช่วง Silent Generation (ก่อนปี พ.ศ. 2488) และ Baby Boomers (พ.ศ. 2489-2507) เติบโตท่ามกลางยุคที่เศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก พวกเขาได้เห็นการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรดั้งเดิมสู่ยุคที่รัฐบาลเริ่มส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมเบา Silent Generation ที่เกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ พวกเขาจะมีลักษณะประนีประนอม อดทนต่อระบอบระเบียบ และมุ่งเน้นความมั่นคง ส่วน Baby Boomers ที่ผ่านยุคสงครามเย็นและการสร้างถนนมิตรภาพในอีสาน เป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน ยึดมั่นในกฎเกณฑ์ และให้ความสำคัญกับครอบครัว คนรุ่นนี้มักสั่งสมภูมิปัญญาการเกษตรจากการลงมือทำจริง เข้าใจดินฟ้าอากาศในพื้นที่ และมีเครือข่ายทางสังคมที่แน่นแฟ้น เมื่อก้าวเข้าสู่ยุค Generation X (พ.ศ. 2508-2522) ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจขยายตัวสูงในทศวรรษ พ.ศ. 2520-2530 ที่เรียกว่า “ยุคทองของเศรษฐกิจไทย” ก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 Gen X ที่ผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลาคม จึงเติบโตท่ามกลางความหวังในการพัฒนาประเทศ การขยายตัวของอุตสาหกรรมและภาคบริการ รวมถึงการเริ่มต้นของเทคโนโลยีสารสนเทศ พวกเขาจึงมีทั้งประสบการณ์การบริหารจัดการธุรกิจ กำลังซื้อที่มั่นคง และความเข้าใจในการเชื่อมโยงระหว่างวิถีเก่ากับโลกธุรกิจสมัยใหม่ เป็นเจเนอเรชั่นกึ่งกลางที่เชื่อมโยงคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ด้วยความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดี ส่วน Generation Y หรือ Millennials (พ.ศ. 2523-2537) และ Generation Z (พ.ศ. 2538-2552) เติบโตมาในยุคที่อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน Gen Y ที่ผ่านกระแสวัฒนธรรมตะวันตกและพฤษภาทมิฬ คาบเกี่ยวระหว่างยุคแอนะล็อกและดิจิทัล มีความเป็นปัจเจกนิยมสูง และริเริ่มการสร้างสมดุลระหว่างงานกับชีวิต โดยเฉพาะ Gen Z ที่เกิดมาพร้อมกับยุคสมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดีย ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งและการเข้ามาของอินเทอร์เน็ต พวกเขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี การค้าออนไลน์ และการเข้าสู่ยุค Digital Transformation เป็นรุ่นที่มีความคล่องแคล่วทางเทคโนโลยีสูง รักอิสระ และกล้าตั้งคำถามต่อบรรทัดฐานเดิม คนรุ่นนี้จึงมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การตลาดออนไลน์ การจัดการข้อมูล และแนวคิดธุรกิจที่ยืดหยุ่น ที่มา กรมการปกครอง การเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน จากความจำเป็นสู่การแสวงหาโอกาส ความแตกต่างระหว่างเจเนอเรชั่นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนผ่านพฤติกรรมการย้ายถิ่นฐานของผู้คนในภาคอีสาน ในอดีต Baby Boomers และ Gen X จำนวนมากต้องเดินทางออกจากบ้านเกิดไปทำงานยังกรุงเทพฯ หรือนิคมอุตสาหกรรมด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจ พวกเขาส่งเงินกลับบ้านเพื่อพยุงภาคเกษตรและเลี้ยงดูครอบครัว การย้ายถิ่นในยุคนั้นไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นหนทางเอาตัวรอดท่ามกลางความยากจนและโอกาสที่จำกัดในชนบท แต่เมื่อเข้าสู่ยุคของ Gen Y และ Gen Z ภาพนี้เริ่มเปลี่ยนไป แม้ว่าการย้ายถิ่นฐานยังคงเกิดขึ้น

จากเมืองหลวง…กลับสู่บ้านเกิด การกลับมาของคนรุ่นใหม่เพื่อพัฒนาบ้านเกิดให้เจริญ อ่านเพิ่มเติม »

5 บทเพลงลูกทุ่งอีสาน ถ่ายทอดเรื่องเล่า เคล้าเสียงแคน

ฮู้บ่ว่า เพลงลูกทุ่งที่เราผ่านหูมาตลอดนั้น กำลังทำหน้าที่บอกพิกัดที่เที่ยวในอีสานได้ด้วยนะ วันนี้เราจะมาเจาะลึก 5 เพลงลูกทุ่ง ที่ถ่ายทอดมาจากความรู้สึกนึกถึงด้วยการนำเอาสถานที่ ตำนานพื้นบ้าน และเทศกาลประจำปีมาผูกไว้ในบทเพลง จนกลายเป็น Soft Power ที่ต่อยอดมาเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งอุตสาหกรรมดนตรีและการท่องเที่ยว ผ่านท่วงทำนองของเพลงลูกทุ่งอีสาน ริมฝั่งหนองหาน โดย มนต์แคน แก่นคูณ พ.ศ. 2549 “ฟ้างามยามแลง ข้างทุ่ง หนองหาน  อ้ายนั่งเบิ่งฟ้า คืดฮอด  แก้วตาเจ้าไปสิเล้อ” เนื้อเพลงสะท้อนถึง: มีการนำวรรณกรรมพื้นบ้าน เรื่อง “ผาแดง นางไอ่” มาสร้างความเชื่อมโยงกับสถานที่จริงอย่าง หนองหาน จังหวัดสกลนคร เป็นการดึงดูดผู้ฟังให้ตามรอยตำนานและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น    เบิ่งนครพนม โดย ต่าย อรทัย พ.ศ. 2552 ต้นฉบับปี (2516) “ไหมก็ขาว สาวลาวก็สวย มวยผมดำน้ำบ่อก็ใส สวยแท้คือสาวภูไท สวยบาดใจชาย สาวญวนก็งาม” เนื้อเพลงสะท้อนถึง: ได้กล่าวถึงผ้าไหม และการอยู่ร่วมกันของกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายในจังหวัดนครพนม ได้แก่ ลาว ภูไทย ญวน ซึ่งเพลงนี้ได้เสริมสร้างการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธ์ุและเสริมสร้างอัตลักษณ์วิถีชีวิตและความงามทั้งสองฝั่งโขงไทย-ลาวได้อีกด้วย   น้ำตาสาววาริน โดย จินตหรา พูนลาภ พ.ศ. 2560 “สาววารินวันนี้ต้องกินน้ำตา  เพราะหนุ่มอุบลไม่มา  แห่เทียนพรรษาเหมือนดังปีก่อน  เขาจากไปแล้ว กับผู้สาวสกลนคร” เนื้อเพลงสะท้อนถึง: การนำเอาประเพณีแห่เทียนพรรษาและบอกหมุดหมายของการพบปะ คือ ทุ่งศรีเมืองจังหวัดอุบลราชธานี และเพลงนี้ได้แสดงถึงความสำคัญของเทศกาลประจำปีของจังหวัดที่มีผู้คนจากต่างอำเภอ ต่างจังหวัด เช่น สาวอำเภอวาริน และสาวสกลนครเข้าร่วม เป็นต้น    คิดฮอดจังภูลังกา โดย เวียง นฤมล พ.ศ. 2565 “ท่องแดนธรรมถิ่นภูลังกา เบิ่งหินสามวาฬ จังหวัดบึงกาฬเมื่อปีผ่านมา ไผน้อบอกย้ำคำว่าฮักอีหล่าหน้าปู่อือลือ” เนื้อเพลงสะท้อนถึง: กล่าวถึงสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติอย่างภูลังกา และหินสามวาฬ รวมถึงการอ้างอิงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคำสัญญาที่มาจากความเชื่อเรื่องพญานาคของชาวอีสานผ่านการโปรโมทถ้ำนาคาหรือปู่อือลือ เพื่อกระตุ้นให้คนเดินทางไปตามรอยความศรัทธาในจังหวัดบึงกาฬ   รักซึ้งบึงแก่นนคร โดย บิว จิตรฉรีญา พ.ศ. 2566 “ลูกมีใจตั้งแต่งานไหมปีก่อนกี้ จนปานนี้แห่งฮักหลาย หละมาปีนี้เป็นหยังอ้ายบ่มาเที่ยวดอกงานไหม บึงแก่นนครบ่มีชาย ใจสลายแล้วเด้เเม่” เนื้อเพลงสะท้อนถึง: เพลงนี้ได้มีการนำเอาความรักมาผูกโยงกับสถานที่อย่างบึงแก่นนคร พร้อมกับวัดหนองแวง อารามหลวง และเทศกาลประจำปีอย่างงานไหมนานาชาติ ของจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเพลงนี้สามารถโปรโมทเทศกาลและบอกแหล่งหมุดหมายของการมาพบปะและท่องเที่ยวในขอนแก่นอย่างบึงแก่นนครได้ จะเห็นว่าเพลงลูกทุ่งแต่ละเพลงที่กล่าวมานั้นมีการสื่อสารวัฒนธรรมและอ้างถึงสถานที่จริงในเนื้อเพลง ซึ่งได้สะท้อนถึงความหลากหลายและความโดดเด่นในภาคอีสานในเชิงภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมอีสาน นับว่าเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมดนตรี พร้อมกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไปควบคู่กันได้อีกด้วย IFPI Global Music Report 2024 ชี้ว่า อุตสาหกรรมดนตรีไทยตอนนี้กำลังมาแรงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในปี 2567 มีมูลค่าตลาดกว่า 3,400

5 บทเพลงลูกทุ่งอีสาน ถ่ายทอดเรื่องเล่า เคล้าเสียงแคน อ่านเพิ่มเติม »

เป็นล้านเลยบ๊อ้าย! เปิดทำเนียบ 10 นักกีฬาอีสานรับอัดฉีดต่อ 1 รายการมากที่สุด

เปิดทำเนียบ “เศรษฐีนักกีฬา” เลือดอีสาน รับอัดฉีดจุกๆ ใน 1 รายการมากที่สุด โดยที่ “กีฬา” ไม่ใช่แค่ยาวิเศษ แต่คือ “โอกาสเปลี่ยนชีวิต” ของลูกหลานชาวอีสานมาช้านาน จากลานดินหน้าบ้าน สู่เวทีระดับโลก สร้างชื่อเสียงและเม็ดเงินมหาศาลกลับมาพัฒนาบ้านเกิด 1. พงศกร แปยอ (จ.ขอนแก่น) กีฬา: วีลแชร์เรซซิ่ง ยอดเงินรวมประมาณ: 21.6 ล้านบาท   2. สมจิตร จงจอหอ (นครราชสีมา) กีฬา: มวยสากลสมัครเล่น ยอดรับรวมประมาณ: 20 ล้านบาท   3. สุดาพร สีสอนดี (อุดรธานี) กีฬา: มวยสากลสมัครเล่น ยอดรับรวมประมาณ: 14 – 16 ล้านบาท   4. สมรักษ์ คำสิงห์ (ขอนแก่น) กีฬา: มวยสากลสมัครเล่น ยอดรับรวมประมาณ: 15 ล้านบาท   5. พิมศิริ ศิริแก้ว (ขอนแก่น) กีฬา: มวยสากลสมัครเล่น ยอดรับรวมประมาณ: 15 ล้านบาท   6. สายชล คนเจน (จ.สุรินทร์) กีฬา: วีลแชร์เรซซิ่ง ยอดรับรวมประมาณ: 12.6 ล้านบาท   7. อธิวัฒน์ แพงเหนือ (จ.สกลนคร) กีฬา: วีลแชร์เรซซิ่ง ยอดรับรวมประมาณ: 12 ล้านบาท   8. สินธุ์เพชร กรวยทอง (จ.สุรินทร์) กีฬา: ยกน้ำหนัก ยอดรับรวมประมาณ: 10 ล้านบาท   9. สุริยา ปราสาทหินพิมาย (จ.นครราชสีมา) กีฬา: มวยสากลสมัครเล่น ยอดรับรวมประมาณ: 5 – 8 ล้านบาท   10. วิชัย ราชานนท์ (จ.ขอนแก่น) กีฬา: มวยสากลสมัครเล่น ยอดรับรวมประมาณ: 4 – 6 ล้านบาท   ที่มา: Thai PBS, Mainstand, Thairath, Spring News, PPTV,

เป็นล้านเลยบ๊อ้าย! เปิดทำเนียบ 10 นักกีฬาอีสานรับอัดฉีดต่อ 1 รายการมากที่สุด อ่านเพิ่มเติม »

บทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสานประจำเดือนพฤศจิกายน 2568

ISAN Outlook พาเปิดเบิ่ง 5 ธุรกิจดาวรุ่ง–ดาวร่วง ปี 2568 ท่ามกลางปีแห่งความผันผวนและความท้าทายรอบด้าน ธุรกิจดาวรุ่ง การขนส่งสินค้า🚚: อุปสงค์เติบโตจาก E- Commerce และการขยายศูนย์กระจายสินค้า ขายส่งผลิตภัณฑ์อาหาร🥫: ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานยังสูง ร้านอาหารและเดลิเวอรีต้องใช้วัตถุดิบจำนวนมาก อีกทั้งราคาวัตถุดิบผันผวน ทำให้ผู้ค้าต้องสต็อกสินค้าเพิ่ม โรงแรม รีสอร์ท และห้องชุด🏩: จากการท่องเที่ยวอีสานที่ยังฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง และเทรนด์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม/ธรรมชาติ การขายส่งเครื่องสำอาง💄: ตลาดความงามโตต่อเนื่อง เพราะได้แรงขับจากช่องทางออนไลน์และ Influencer marketing การจัดทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ🖥️: SME ต้องการระบบธุรกิจเฉพาะทางมากขึ้น รวมไปถึงการนำ AI มาช่วย การจัดแสดงศิลปะความบันเทิง: จากการจัดแสดงคอนเสิร์ต หมอลำ รถแห่ของอีสานที่เติบโตต่อเนื่อง ธุรกิจดาวร่วง ร้านขายปลีกสินค้าทั่วไป🛍️: ร้านขายส่งรายเล็กไม่อาจสู้ร้านขายส่งเจ้าใหญ่ที่สามารถทำราคาถูกกว่าได้ และการเข้ามาของสินค้านำเข้าราคาถูก ขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต📦: แม้ว่าธุรกิจขายออนไลน์เมื่อหลายปีก่อนมีอัตราการเติบโตสูง แต่ปีนี้กลับลดลงอย่างมีนัยยะ ซึ่งอาจเป็นเพียงการหดตัวชั่วคราว ร้านอาหาร🍴: ต้นทุนวัตถุดิบและค่าเช่าที่ปรับตัวสูงขึ้น และการแข่งขันในตลาดและร้านจำนวนมาก ทำให้ร้านที่อยู่สู้ไม่ไหว ร้านใหม่อยู่ไม่นาน ขายปลีกวัสดุก่อสร้าง🛠️: เป็นธุรกิจที่ในระยะยาวนั้นแข่งขันกับรายใหญ่ได้ลำบาก และยังต้องแข่งขันกับตลาดออนไลน์ที่ราคาถูกกว่า ขายปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้า💡: อีกหนึ่งธุรกิจที่ไม่สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าที่ราคาถูกกว่าได้  ส่งผลให้มีการปิดตัวมาก ธุรกิจที่ส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน: เป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนัดจากการปิดด่านชายแดนกัมพูชา กระทบผู้ส่งออกสินค้าทุกหมวด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคหรือสินค้าเกษตร ในภาพใหญ่ ธุรกิจอีสานโตต่ำลงในปีนี้ ผลจากเศรษฐกิจชะลอตัว 👉 แม้จะมีธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วงให้เห็นชัด แต่ภาพรวมกลับพบว่าการจดทะเบียนธุรกิจในอีสานหดตัวถึง 6% เกือบทุกหมวดธุรกิจเปิดใหม่ลดลง สะท้อนความเชื่อมั่นในการลงทุนที่อ่อนแรงลงอย่างมาก โดยมีปัจจัยสำคัญคือ กำลังซื้อผู้บริโภคยังเปราะบาง กำลังซื้อผู้บริโภคอีสานในภาพรวมในปีนี้หดตัวลง กดดันให้ผู้ประกอบการไม่กล้าเสี่ยงลงทุน สถาบันการเงินเข้มงวดต่อเนื่องในการปล่อยสินเชื่อ  ความไม่แน่นอนทางการเมือง ทั้งในประเทศและความขัดแย้งกับกัมพูชา กดทับบรรยากาศการลงทุนโดยรวมของภาคอีสาน มองปีหน้า AI จะเข้ามามีบทบาทต่อภาคธุรกิจเต็มตัว ซึ่งจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจอีสาน นอกจากนั้นยังมีทั้งปัจจัยด้านบวกและลบ ไม่ว่าจะเป็น ปัจจัยด้านบวก: มาตรการเก็บภาษีศุลกากรขาเข้าตั้งแต่บาทแรก ซึ่งจะลดผลกระทบจากการทุ่มตลาดจากสินค้าราคาถูกจากจีน โอกาสจากการใช้เทคโนโลยี AI และดิจิทัลที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ภาคธุรกิจ เทรนด์การเลี้ยงสัตว์แทนลูก เหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว ธุรกิจประเภทนี้มีแนวโน้มที่จะได้รับอานิสงส์เพิ่มขึ้น ปัจจัยด้านลบ: ความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย สถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่สงบส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก  รวมถึงความขัดแย้งที่ส่งผลต่อราคาสินค้าทุน การปล่อยสินเชื่อยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัว ฉุดรั้งการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยหากมองไปถึงธุรกิจดาวรุ่ง – ดาวร่วงของภาคอีสานในปีหน้านั้นอาจออกมาได้หลายแบบ ซึ่งทาง ISAN Outlook คาดการณ์จากปัจจัยแวดล้อมได้ดังนี้ ดาวที่อาจจะรุ่ง: ธุรกิจด้านเทคโนโลยี AI, ดิจิทัล และแพลตฟอร์มออนไลน์ ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เช่น อาหารสัตว์ บริการดูแลสัตว์เลี้ยง ธุรกิจขนส่งและกระจายสินค้า ดาวที่อาจจะร่วง: ธุรกิจส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน ร้านอาหาร อสังหาริมทรัพย์ คนละครึ่งพลัสกระตุ้นอีสานคึกคัก คนแห่ออกมาจับจ่ายใช้สอย ดัชนีการอุปโภคบริโภคของประชาชนในภาคอีสานหมวดสินค้าหมุนเวียนเร็ว เช่น ของใช้ประจำวัน และสินค้ากึ่งคงทน เช่น เสื้อผ้า

บทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสานประจำเดือนพฤศจิกายน 2568 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง โครงการใหม่หลังคนละครึ่ง

โครงการคนละครึ่งถือเป็นมาตรการเรือธงที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจฐานรากมาตลอดหลายปี ล่าสุดรัฐบาลเดินหน้า เฟส 2 โดยปรับเพิ่มวงเงินให้กับประชาชนกลุ่มที่ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน สูงสุดถึง 4,000 บาท/คน ผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” เพื่อนำไปใช้จ่ายกับร้านค้าในชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้าน SME และผู้ค้ารายย่อยที่ได้รับแรงกระแทกโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จุดที่น่าสนใจของเฟสนี้ไม่ใช่แค่เงินที่เติมเข้าไป แต่เป็น “การเพิ่มทักษะ” ให้ร้านค้าด้วย ผ่านการ Upskill/Reskill 3 ทางเลือก เช่น การขึ้นเป็นร้านค้าในแพลตฟอร์ม Food Delivery การอบรมออนไลน์กับธนาคารออมสิน หรือการเรียนผ่าน DBD Academy สิ่งนี้สะท้อนว่าโครงการไม่ได้ต้องการแค่เพิ่มยอดขายให้ร้านค้า แต่ต้องการยกระดับผู้ค้ารายย่อยให้ทำธุรกิจได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น พร้อมรับเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโต เมื่อกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ร้านค้าขายได้มากขึ้น และมีทักษะการขายผ่านออนไลน์มากขึ้น เศรษฐกิจท้องถิ่นก็จะฟื้นตัวเป็นลำดับคล้าย “น้ำซึมลงดิน” ที่ช่วยหล่อเลี้ยงทั้งผู้ซื้อและผู้ขายไปพร้อมกัน หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของเศรษฐกิจไทยคือ “ขั้นตอนอนุมัติที่ล่าช้า” ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติลังเลที่จะเลือกไทยเป็นฐานการผลิตใหม่ รัฐบาลจึงออกมาตรการ Thailand Fastpass เพื่อเร่งกระบวนการอนุมัติด้านการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมและเขต EEC ให้เร็วขึ้น 20–50% โดยเฉพาะโครงการในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่ไทยต้องการดึงเข้าประเทศ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, การแพทย์ครบวงจร และอุตสาหกรรมดิจิทัล ด้านแรงงาน รัฐตั้งเป้า Upskill/Reskill แรงงานกว่า 100,000 ราย แบ่งเป็นนักศึกษา 30,000 ราย และแรงงานที่ต้องการปรับทักษะ 70,000 ราย เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางอุตสาหกรรมใหม่ของโลก ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ เกษตรชีวภาพ หรืออุตสาหกรรมป้องกันประเทศ หากมาตรการนี้ทำได้ตามเป้าหมาย จะเป็นเหมือน “การลดแรงเสียดทานทางระบบราชการ” ทำให้ไทยมีความได้เปรียบมากขึ้นในการแข่งขันกับเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย ที่เร่งปรับตัวด้านการลงทุนอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงเกือบ 90% ของ GDP กลายเป็น “แรงกดดันใหญ่ที่สุด” ของเศรษฐกิจไทย เพราะประชาชนจำนวนมากไม่สามารถจับจ่าย ลงทุน หรือขยับตัวทางเศรษฐกิจได้ โครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” จึงถูกออกแบบมาเพื่อจัดการปัญหา NPL ของลูกหนี้รายย่อยโดยเฉพาะ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) จะเข้ามารับซื้อหนี้เสียจากธนาคารพาณิชย์ เพื่อนำมาปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ เช่น: ลดดอกเบี้ย ตัดดอกเบี้ยค้าง ยืดเวลาชำระ เจรจาให้ยอดหนี้เหมาะสมกับรายได้จริงของลูกหนี้ จุดสำคัญคือเมื่อปิดหนี้ได้ ลูกหนี้จะ “หลุดจากสถานะ NPL” ทำให้สามารถกลับมาสร้างประวัติเครดิตและเข้าถึงสินเชื่อใหม่ๆ ได้ในอนาคต ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการเริ่มต้นชีวิตทางการเงินใหม่ ในช่วงที่ค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อยๆ นี่ไม่ใช่แค่โครงการแก้หนี้ แต่เป็น “ทางออกให้คนกลับมาใช้ชีวิตทางเศรษฐกิจได้อีกครั้ง” อ้างอิง กรุงเทพธุรกิจ, MGR online, ธนาคารแห่งประเทศไทย, บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด, ไทยรัฐ, กระทรวงการคลัง

พามาเบิ่ง โครงการใหม่หลังคนละครึ่ง อ่านเพิ่มเติม »

สดจากฟาร์มอีสาน นมโคแท้ 100% จากปากช่อง

จากประเด็นถกเถียงที่เกิดจากบทสนทนาส่วนหนึ่งในรายการ “Woody อเวนเจอร์” ที่มีการพูดว่า “นมในไทยไม่ใช่นมแท้ ส่วนมากคือนมผงผสมบลาๆๆ” ได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างกว้างขวางถึงความถูกต้องของข้อมูลดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและอุตสาหกรรมนมในประเทศ จนนำไปสู่การระงับการออกอากาศคลิปดังกล่าวในเวลาต่อมา ในความเป็นจริง คำกล่าวเช่นนั้นถือเป็นการเหมารวมที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง ตลาดนมในประเทศไทยมีความหลากหลายและมีผลิตภัณฑ์หลายประเภท โดยสามารถแบ่งได้หลักๆ 3 ประเภท ได้แก่ นมโคสดแท้ (Fresh Milk) คือน้ำนมดิบจากแม่โคที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ เช่น นมพาสเจอร์ไรส์ (Pasteurized Milk) ซึ่งมักเป็นนมโคสดแท้ 100% และมีอายุการเก็บรักษาสั้น นมคืนรูป (Reconstituted Milk) คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำ นมผง (Powdered Milk) หรือนมขาดมันเนย มาละลายน้ำและผสมไขมันนม (หรือไขมันพืชในบางผลิตภัณฑ์) เพื่อให้ได้สัดส่วนใกล้เคียงกับนมสด มักใช้ในนม UHT หรือนมปรุงแต่งรสชาติต่างๆ เพื่อให้สามารถเก็บรักษาได้นาน ผลิตภัณฑ์นมสำหรับปรุงอาหาร (Evaporated Milk/Condensed Milk) เช่น นมข้นจืด หรือนมข้นหวาน ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้บ่อยครั้งที่มีส่วนผสมของนมผงและไขมันพืช (เช่น น้ำมันปาล์ม) ซึ่งไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการดื่มโดยตรงแบบนมสด ดังนั้น การที่ผู้บริโภคตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ด้วยตนเองนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการ อ่านฉลากส่วนประกอบ (Ingredients) ที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์อย่างละเอียด ฉลากจะระบุชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็น “นมโคสดแท้ 100%” หรือมีส่วนประกอบของ “นมผง” การที่ผู้ผลิตจะเลือกใช้นมโคสดแท้หรือนมผงนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือถูกโดยสิ้นเชิง แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน ทั้งสูตรการผลิต วัตถุประสงค์การใช้งาน การขนส่ง อายุการเก็บรักษาที่ต้องการ และระดับราคาที่ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อได้ตามความพึงพอใจ หลังจากคลิปถูกเผยแพร่และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ผู้ที่สามารถให้ข้อมูลได้อย่างถูกต้องและเที่ยงตรงที่สุด ย่อมหนีไม่พ้นนักวิชาการ อาจารย์ และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนม ซึ่งหลายคนได้ออกมาอธิบายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นมในรูปแบบต่างๆ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับผู้บริโภค จากรายงานของ TDRI (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย) พบว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำนมรายสำคัญของโลก โดยมีจำนวนประชากรโคนมมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมโคนมต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 ประเทศไทยมีจำนวนโคนมราว 563,231 ตัว ลดลงจาก 810,518 ตัว ในปี 2564 การลดลงดังกล่าวมีสาเหตุมาจากต้นทุนอาหารสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้น จากผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 และสงครามรัสเซีย–ยูเครน ซึ่งทำให้ราคาวัตถุดิบสำคัญอย่างถั่วเหลืองและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พุ่งสูง ในขณะที่ ราคาน้ำนมดิบยังอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากขาดแรงจูงใจในการเลี้ยงโคนม และทยอยเลิกอาชีพนี้ไป สำหรับภาคอีสานมีจำนวนประชากรโคนมประมาณ 159,890 ตัว โดยจังหวัดนครราชสีมาเป็นพื้นที่ที่มีโคนมมากที่สุดในภูมิภาค และมากเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ รองจากจังหวัดสระบุรีเท่านั้น หนึ่งในแหล่งฟาร์มโคนมสำคัญของจังหวัดนครราชสีมาคือ อำเภอปากช่อง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสภาพภูมิประเทศเหมาะสมต่อการทำปศุสัตว์ ด้วยลานหญ้ากว้างและภูมิอากาศที่เหมาะต่อการเลี้ยงโคนม ทำให้มีฟาร์มโคนมขนาดใหญ่ตั้งอยู่หลายแห่ง และเป็นแหล่งผลิตนมให้กับหลากหลายแบรนด์ เช่น ฟาร์มโชคชัย Dairy Home และ Umm Milk นอกจากนี้

สดจากฟาร์มอีสาน นมโคแท้ 100% จากปากช่อง อ่านเพิ่มเติม »

ราคาข้าวไทยเสี่ยงร่วงยาว อินเดียเร่งส่งออกข้าว 30 ล้านตัน! สะเทือนตลาดโลก

อินเดีย ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้กำหนดเป้าหมายการส่งออกที่ทะเยอทะยานมากขึ้นสำหรับปีการตลาด 2568/2569 (ตุลาคม-กันยายน) โดยสหพันธ์ผู้ส่งออกข้าวอินเดีย (Indian Rice Exporters Federation หรือ IREF) ตั้งเป้าที่จะส่งออกข้าวสูงถึง 30 ล้านตัน ในฤดูกาลดังกล่าว ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เป้าหมายนี้สูงกว่าการคาดการณ์ตามปกติที่มักจะอยู่ในช่วง 22 ล้านถึง 23 ล้านตัน โดยปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญมาจากผลผลิตข้าวที่คาดว่าจะทำสถิติสูงสุดของอินเดียในปีนี้ที่ 145 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 7% จากปีที่แล้ว  ซึ่งคาดว่าจะสามารถตอบสนองการบริโภคภายในประเทศได้อย่างสบาย และเพิ่มปริมาณส่วนเกินที่สามารถส่งออกได้อย่างมาก โดยอินเดียนั้นมีแผนการขยายตลาดส่งออกไปยังหลายประเทศนอกเหนือจากตลาดเดิมอย่างแอฟริกา ยกตัวอย่างเช่น ฟิลิปปินส์ : ฟิลิปปินส์ เคยระงับการนำเข้าข้าวบาสมาติจากอินเดีย เนื่องจากเคยเผชิญปัญหาด้านคุณภาพในการจัดส่งเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว ซึ่งสหพันธ์ IREF กำลังอยู่ระหว่างการหารือกับฟิลิปปินส์ โดยมีการพูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของฟิลิปปินส์ ซึ่งอนุญาตให้นำเข้าข้าวบาสมาติแล้ว สหภาพยุโรป (EU): สหพันธ์ IREF ได้เสนอให้รัฐบาลอินเดียเจรจากับสหภาพยุโรป เพื่อขอลดภาษีนำเข้าข้าวบาสมาติขาวที่ผ่านการสีแล้ว (Milled White Rice) เพิ่มเติมจากเดิมที่ครอบคลุมเฉพาะข้าวกล้อง (Brown Rice) เท่านั้น มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อลดการผูกขาดของผู้เล่นรายใหญ่ไม่กี่รายในตลาด EU และเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกอินเดียเข้าถึงตลาดข้าวพรีเมียมมากขึ้น การขยายตลาดดังกล่าวควบคู่ไปกับการสร้างความเชื่อมั่นผ่านเวทีอย่าง Bharat International Rice Conference (BIRC) ถือเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับปัญหาอุปทานข้าวส่วนเกินที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ราคาข้าวไทยเตรียมถูกกดดันต่อเนื่อง ในปี 2568 ภาคการปลูกข้าวของไทยกำลังเผชิญแรงกดดันหนักจากราคาข้าวที่ปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2567 สาเหตุสำคัญมาจากการที่อินเดียกลับมาส่งออกข้าวอย่างเต็มกำลัง หลังยกเลิกข้อจำกัดบางส่วนจากปีก่อน ส่งผลให้ปริมาณข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่การส่งออกข้าวของไทยกลับชะลอตัวลง ซึ่งจากการที่อินเดียตั้งเป้าส่งออกข้าวสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 30 ล้านตันในปี 2568/2569 ซึ่งถือเป็นปริมาณมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา การเร่งระบายข้าวครั้งนี้กดดันราคาข้าวโลกให้ปรับลดลงอย่างรุนแรง และลดอัตรากำไรของประเทศคู่แข่งอย่างไทยและเวียดนามโดยตรง สำหรับไทย ราคาข้าวที่มีแนวโน้มอ่อนตัวต่อเนื่องอาจกระทบรายได้ของเกษตรกร โดยเฉพาะในภาคอีสานซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวหลักของประเทศ ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาหนี้ครัวเรือนและกำลังซื้อในชนบท หากไม่มีมาตรการพยุงราคาหรือกระตุ้นการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าเข้ามารองรับ ที่มา: S&P Global ecofin Agency สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

ราคาข้าวไทยเสี่ยงร่วงยาว อินเดียเร่งส่งออกข้าว 30 ล้านตัน! สะเทือนตลาดโลก อ่านเพิ่มเติม »

บทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสานประจำเดือนตุลาคม 2568

เศรษฐกิจอีสานเดือนตุลาคม 68 ราคาสินค้าเกษตรหด กดดันการจับจ่าย-ธุรกิจไปต่อยากมอง ‘คนละครึ่ง’ เข้ามาพยุงได้ เศรษฐกิจภาคอีสานยังอยู่ในภาวะเปราะบาง จากปัญหากำลังซื้อที่ซบเซาและภาคเกษตรที่อ่อนแรงต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนความกังวลของประชาชนต่อเศรษฐกิจโดยรวม การจ้างงานโดยเฉพาะในภาคเกษตรลดลง ขณะที่รายได้เกษตรกรถูกกดดันจากราคาพืชผลหลักที่ตกต่ำและอุทกภัยที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ภาคธุรกิจในภาคอีสานยังคงชะลอตัวจากกำลังซื้อที่หดตัว ต้นทุนที่สูงขึ้น และการเข้าถึงสินเชื่อที่ยากลำบาก ส่งผลให้การลงทุนเอกชนหดตัวต่อเนื่อง แม้มาตรการภาครัฐอย่าง “คนละครึ่งพลัส” จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้ชั่วคราว แต่ยังมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงของกลุ่มผู้สูงอายุและร้านค้ารายย่อย การฟื้นฟูเศรษฐกิจอีสานจำเป็นต้องแก้ปัญหาที่ฐานราก ผ่านการสร้างเสถียรภาพราคาพืชผลและรายได้เกษตรกร เช่น ระบบประกันรายได้หรือรับซื้อผลผลิตช่วงราคาตกต่ำ รวมถึงมาตรการลดภาระหนี้และเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจรายย่อย ขณะเดียวกัน ภาครัฐควรพัฒนาโครงการอุดหนุนการใช้จ่ายให้ตรงกลุ่มมากขึ้น เพื่อให้เงินหมุนเวียนสู่ชุมชนอย่างทั่วถึงและยั่งยืน ผู้บริโภคอีสานเชื่อมั่นต่ำ การจ้างงานลด ฉุดกำลังซื้อซบเซา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในภาคอีสานยังคงอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของประชาชนต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังไม่กล้าใช้จ่าย เลือกที่จะประหยัดและเก็บเงินไว้ใช้ในยามจำเป็นมากขึ้น สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากภาวะการจ้างงานที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในภาคการเกษตรซึ่งมีการปรับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งตอกย้ำความไม่มั่นใจของประชาชน และส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยในภูมิภาคลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ อุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดของภาคอีสาน ยังสร้างความเสียหายต่อทั้งครัวเรือนและพื้นที่ทางการเกษตร ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้และความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันกำลังซื้อและทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงอยู่ในระดับต่ำ ภาคเกษตรเปราะบางมากขึ้น ราคายังไม่ฟื้นดันแรงงานเกษตรหดตัว-ย้ายสาขา ภาคเกษตรอีสานเผชิญภาวะเปราะบางต่อเนื่อง ราคาพืชสำคัญยังไม่ฟื้นตัว กดดันความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนตุลาคมให้ลดลง มันสำปะหลัง แม้ลดการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ราคายังทรงตัวในระดับต่ำ ต่ำกว่าปีก่อนราว 12% ยางแผ่นดิบ ราคาลดลงกว่า 24% จากความต้องการในตลาดโลกลดลง และความไม่แน่นอนด้านภาษีศุลกากรของสหรัฐ ข้าวเปลือก ซึ่งเป็นพืชหลักของอีสาน ราคาปรับลดลงราว 38% จากอุปทานโลกที่เพิ่มขึ้น และการแข่งขันการส่งออกจากประเทศผู้ผลิตรายอื่น ขณะเดียวกัน ไทยเองก็ส่งออกลดลง สถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ยิ่งซ้ำเติม ทำให้พื้นที่เก็บเกี่ยวลดลง ต้นทุนเกษตรกรเพิ่มขึ้นสวนทางกับรายได้ ส่งผลให้แรงงานเกษตรถูกจ้างลดลงในช่วงเก็บเกี่ยวถัดไป แก้กำลังซื้ออีสาน ต้องแก้ที่ฐานราก รัฐต้องมุ่งสร้างเสถียรภาพภาคเกษตร กรณีศึกษา: การสร้างเสถียรภาพของราคาผลผลิตและรายได้เกษตรของต่างประเทศ (ญี่ปุ่น) ระบบกองทุนรักษาเสถียรภาพราคา: สมาคมเกษตรและรัฐร่วมกันตั้งกองทุน เมื่อราคาต่ำกว่ามาตรฐาน กองทุนจ่ายชดเชยส่วนต่างให้เกษตรกร เป็นการลดแรงกดดันต่อรายได้เกษตรกร (จีน) รัฐสำรองรับซื้อผลผลิต: รัฐรับซื้อพืชผลหลัก (ข้าว, ข้าวโพด, ถั่วเหลือง) ในช่วงราคาตกต่ำ เพื่อพยุงราคาและรักษารายได้เกษตรกร ลดความผันผวนของราคาผลผลิต (อินเดีย) โครงการการันตีการจ้างงานชนบท: จ้างแรงงานชนบททำงานสาธารณะ เช่นการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตร  ในช่วงนอกฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นการพยุงแรงงานเกษตรและลดอัตราการย้ายออกในช่วงราคาตกต่ำหรือนอกฤดูเก็บเกี่ยว แนวทางการนำมาปรับใช้กับภาคเกษตรอีสาน: ระบบเกษตรพันธสัญญาภาครัฐ (Public Contract Farming) เกษตรกรอีสานมีหน้าที่เป็นผู้ผลิต และรัฐมีฐานะคนกลาง รัฐ รับซื้อ/ประกันรายได้ ให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอนและสร้างความเชื่อมั่น รัฐมีหน้าที่บริหารจัดการอุปทานผลผลิต รวมไปถึงเจรจาการค้ากับต่างประเทศ ซึ่งแนวทางนี้จะเป็นการลดความเสี่ยงทางด้านรายได้ของเกษตรกร รวมถึงแก้ปัญหาราคาตกต่ำรวมไปถึงข้าวขายไม่ออก ธุรกิจอีสานเปราะบาง ชายแดนเริ่มคลี่คลาย แต่กำลังซื้อยังไม่กลับมา ภาคธุรกิจในภาคอีสานยังคงมีระดับความเชื่อมั่นอยู่ในเกณฑ์ต่ำ แม้ว่าสถานการณ์ตามแนวชายแดนจะเริ่มคลี่คลายลงบ้าง แต่การค้าชายแดนยังไม่สามารถกลับมาดำเนินได้ตามปกติ เนื่องจากความตรึงเครียดทางการทหารยังคงมีอยู่ในบางจุด ส่งผลให้การขนส่งสินค้าและการแลกเปลี่ยนทางการค้าต้องหยุดชะงัก ขณะเดียวกัน ภายในภูมิภาคยังเผชิญกับปัญหากำลังซื้อที่อ่อนแอจากรายได้ของครัวเรือนที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทำให้ภาคธุรกิจขาดสภาพคล่องและชะลอการลงทุนเพิ่มเติม สถานการณ์ยิ่งซ้ำเติมมากขึ้นจากปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ ซึ่งทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก ธุรกิจท้องถิ่นบางแห่งต้องหยุดดำเนินการชั่วคราวหรือประสบความเสียหายทางทรัพย์สิน ธุรกิจอีสานขยับตัวลำบาก จากกำลังซื้อหดตัว ต้นทุนเพิ่มสูง และสินเชื่อตึงตัว การลงทุนของภาคเอกชนในภาคอีสานยังคงหดตัวต่อเนื่องจากปีก่อน

บทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสานประจำเดือนตุลาคม 2568 อ่านเพิ่มเติม »

ทองโลกขยับ ร้านทองยิ้มหวาน คนไทยแห่ซื้อไม่พัก

ในช่วงเวลาที่ราคาทองคำโลกผันผวนหนักที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ภาพที่เกิดขึ้นในประเทศไทยกลับสะท้อนความตื่นตระหนกของนักลงทุนได้อย่างชัดเจน “ยิ่งแพง คนยิ่งแห่ซื้อลงทุน เพื่อขายเอากำไร” ห้างทองแน่นเต็มไปด้วยผู้คนที่มาต่อคิวซื้อ-ขายทองคำ จนล้นออกมานอกร้าน โดยเฉพาะทองคำแท่งที่มียอดความต้องการพุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ จนโรงงานผลิตไม่ทัน และต้องรอการนำเข้าจากต่างประเทศหลายวัน ในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัซ จำกัด เป็นธุรกิจที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศขึ้นนำ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่มีรายได้ 1,848 ล้านบาท จากกระแสทองคำโลกที่มีการปรับราคาขึ้นจากภาวะสงครามที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ทำให้ผู้คนหันมาซื้อทองกันมากขึ้น นาย จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ราคาทองคำในช่วงนี้ถือว่าสูงผิดปกติและคาดเดาทิศทางได้ยาก ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ราคาจะขยับถึง 31 ครั้งภายในวันเดียว จนแตะระดับ 67,200 บาทต่อบาททองคำ ความผันผวนดังกล่าวทำให้นักลงทุนจำนวนมากแห่เข้าซื้อทองคำในฐานะ “ทรัพย์สินที่ปลอดภัย” โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากภาวะ FOMO (Fear of Missing Out) หรือ “กลัวตกรถ” จนทองคำกลายเป็น “สินทรัพย์ที่ต้องมี” ของนักลงทุนแทบทุกกลุ่ม แรงหนุนทองคำจากวิกฤตโลก การพุ่งขึ้นของราคาทองคำไม่ได้มาจากแรงเก็งกำไรเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากคลื่นปัจจัยเสี่ยงระดับโลกที่ซ้อนทับกัน ทำให้ทองคำกลับมามีบทบาทในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) อย่างเต็มตัว หนึ่งในปัจจัยหลัก คือ ความไม่เชื่อมั่นในเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ทำให้นักลงทุนทั้งรายย่อย รายใหญ่ และแม้แต่ธนาคารกลางหลายประเทศ หันมาซื้อทองคำเพื่อถือครองแทนเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่หนุนราคาทองคำให้พุ่งขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ นโยบายการเงินของ Fed: ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางถึงปลายปี 2568 เพื่อพยุงเศรษฐกิจจากภาวะชะลอตัว การลดดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง และหนุนราคาทองคำให้สูงขึ้น โดยเฉพาะหากเงินเฟ้อยังทรงตัวในระดับสูง วิกฤต Government Shutdown: วิกฤตรัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการ (Government Shutdown) ที่ยืดเยื้อมากกว่า 2 สัปดาห์ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเร่งให้นักลงทุนแห่หาสินทรัพย์ปลอดภัย สงครามการค้าสหรัฐฯ – จีน: ความตึงเครียดระหว่างสองชาติมหาอำนาจกลับมาปะทุอีกครั้ง โดยจีนตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติเหลว น้ำมัน และรถยนต์บางประเภท พร้อมสัญญาณว่าอาจลดการพึ่งพาดอลลาร์ ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงลบต่อค่าเงินดอลลาร์ กระแส De-dollarization: ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะจีนและรัสเซีย เดินหน้าซื้อทองคำเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการถือครองดอลลาร์ การสะสมทองคำของภาครัฐจึงกลายเป็นแรงหนุนสำคัญที่พยุงราคาทองคำในตลาดโลก ความกังวลเรื่อง “ฟองสบู่ทองคำ” การปรับขึ้นของราคาทองคำในปี 2568 อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ทองคำ” รอบใหม่ โดยเฉพาะเมื่อแรงซื้อส่วนใหญ่ในตอนนี้ถูกขับเคลื่อนด้วย โมเมนตัม (Momentum-driven Buying) มากกว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจจริง หากความเชื่อมั่นเปลี่ยนไป ก็อาจเกิดแรงขายอย่างรุนแรงในระยะสั้น

ทองโลกขยับ ร้านทองยิ้มหวาน คนไทยแห่ซื้อไม่พัก อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top