SHARP ADMIN

ส่องรายได้ธุรกิจ…ในกลุ่ม ‘สบายดี’ ว่ามีอีหยังน่าสนใจบ้าง

กลุ่มจังหวัด “สบายดี” หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย และหนองคาย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงกันทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม โดยเฉพาะการเป็นประตูเศรษฐกิจสำคัญของไทยที่เชื่อมต่อกับประเทศลาวและเวียดนาม ในพื้นที่ 5 จังหวัดของกลุ่มจังหวัดสบายดี มีอยู่ 2 จังหวัดที่มีสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเชื่อมต่อกับ สปป.ลาว โดยตรง ได้แก่ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 เชื่อมจาก จังหวัดหนองคาย ไปยัง นครหลวงเวียงจันทน์ เปิดใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 เชื่อมจาก จังหวัดบึงกาฬ ไปยัง เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้ใช้บริการได้ภายใน สิ้นปี พ.ศ. 2568 ด้วยทำเลที่ได้เปรียบดังกล่าว ทำให้กลุ่มจังหวัดนี้มีการค้าชายแดนระหว่างไทย–ลาวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นเส้นทางหลักที่นักท่องเที่ยวจาก ลาว เวียดนาม และจีน เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ส่งผลให้กลุ่มจังหวัดสบายดีได้รับอานิสงส์ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจากการอยู่ติดชายแดนเป็นอย่างมาก นอกจากความโดดเด่นในด้านพื้นที่ชายแดนแล้ว กลุ่มจังหวัดสบายดี ยังมีความได้เปรียบด้าน การเกษตร ที่ไม่แพ้กัน หากพิจารณาพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะพบว่า ยางพาราและอ้อย เป็นพืชหลักที่มีการเพาะปลูกอย่างกว้างขวางในพื้นที่นี้ โดยเฉพาะ ยางพารา ซึ่งพื้นที่ปลูกส่วนใหญ่ของภาคอีสานกว่า 2.6 ล้านไร่ อยู่ในกลุ่มจังหวัดสบายดี คิดเป็นเกือบ ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ปลูกยางพาราทั้งหมดของภาค ส่วนในด้าน อ้อย กลุ่มจังหวัดนี้ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน โดยมีปริมาณผลผลิตคิดเป็นประมาณ 28% ของผลผลิตอ้อยทั้งภาคอีสาน เมื่อพิจารณาภาพรวมธุรกิจในกลุ่มจังหวัดสบายดี จะพบว่าธุรกิจหลักในพื้นที่ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ การเกษตร การค้าชายแดน และพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นโรงน้ำตาล โรงงานยางพารา หรือกิจการค้าปลีกค้าส่งที่เติบโตตามเมืองศูนย์กลางอย่างอุดรธานีและหนองคาย อีกทั้งการคมนาคมที่เชื่อมโยงระหว่างประเทศก็ยิ่งช่วยผลักดันให้ภาคธุรกิจในพื้นที่นี้มีความคึกคักขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลังโควิด-19 ปัจจัยดังกล่าวสอดคล้องกับการเติบโตของภาคธุรกิจในพื้นที่ โดยมีบริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวเนื่องกับผลผลิตทางการเกษตร เช่น บริษัท น้ำตาล เอราวัณ จำกัด บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด และ บริษัท กว๋างเขิ่น รับเบอร์ (แม่น้ำโขง) จำกัด ธุรกิจเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากการมีแหล่งวัตถุดิบอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตบางส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรวมแล้ว กลุ่มจังหวัดสบายดีถือเป็นพื้นที่ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจากฐานการเกษตรและการค้าชายแดน แม้จะยังไม่มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ระดับประเทศเข้ามามากนัก แต่ศักยภาพของทำเล การคมนาคม และทรัพยากรในพื้นที่ ทำให้ภูมิภาคนี้ยังมีช่องทางขยายตัวในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจเกษตรแปรรูปและโลจิสติกส์ข้ามแดน   อ้างอิง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ส่องรายได้ธุรกิจ…ในกลุ่ม ‘สบายดี’ ว่ามีอีหยังน่าสนใจบ้าง อ่านเพิ่มเติม »

2 โครงการใหญ่ในอีสาน ที่หลายคนสงสัยว่าได้ไปต่อหรือไม่?

  ปัจจุบันภาคอีสานในหลายๆ พื้นที่ กำลังจะมีโครงการใหญ่ๆ ที่หลายคนเฝ้ารอ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ สะพาน สนามบิน และอื่นๆ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ยังมีบางโครงการที่ได้มีการประกาศว่าจะเกิดขึ้น แต่ในปัจจุบันกลับเงียบหาย ทิ้งไว้เพียงความสงสัยให้กับคนพื้นที่ว่า ‘สรุปโครงการนี้จะเอายังไงกันแน่’ เราขอหยิบยกมานำเสนอ 2 โครงการ ได้แก่… ศูนย์การแพทย์ สถาบันพระบรมราชชนก วิทยาเขตอุดรธานี🏥 : หลายคนคงเคยได้ยินว่า อุดรฯ กำลังจะมีโรงเรียนเพื่อพัฒนาบุคลากรแพทย์ รวมไปถึงเป็นโรงพยาบาล ภายใต้งบประมาณกว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งตามกำหนดการจะใช้เวลาก่อสร้างในช่วง 2565 – 2567 แต่ดูเหมือนว่าจะเกิดข้อพิพาทเรื่องที่ดินกับชาวบ้านในเขต ต.สามพร้าว ขึ้น ทำใหโครงการหยุดชะงัก ซึ่งปัจจุบันตัวก็ยังไม่มีการอัพเดตใดๆ จนคนอุดรหลายคนสงสัยไปตามๆ กันว่าศูนย์การแพทย์แห่งนี้จะได้ไปต่อหรือไม่🤔 ท่าอากาศยานมุกดาหาร ✈️: สนามบินมุกดาหาร เป็นโครงการที่ไม่เชิงว่าเงียบไป แต่ทำให้คนมุกนั้นสับสนกันพอสมควร ซึ่งตามแผนเดิมนั้นจะมีการก่อสร้างและเปิดใช้งานในปี 2571 แต่ในช่วงปลายเดือน เม.ย. 68 รมว.คมนาคม ในขณะนั้น รายงานว่ายังไม่มีนโยบายก่อสร้างสนามบินมุกดาหาร เนื่องจากหลายอย่างยังไม่พร้อม และอาจไม่คุ้มค่าทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันต่อมา ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ได้ออกมายืนยันว่าการก่อสร้างสนามบินมุกดาหารจะเดินหน้าต่อแน่นอน เพียงแต่ต้องทบทวนความพร้อมหลายๆ อย่างก่อน   ใครที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียง หรือติดตามเรื่องนี้อยู่ หรือมีโครงการอื่นๆ ของภาคอีสานในลักษณะที่ไม่รู้ว่าจะไปได้ต่อหรือไม่ มาแสดงความเห็นกันได้นะคะ ✍️ ที่มา: ศูนย์อนามัยที่ 8 อุดรธานี, สำนักข่าวชายขอบ, เดลินิวส์, สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดมุกดาหาร

2 โครงการใหญ่ในอีสาน ที่หลายคนสงสัยว่าได้ไปต่อหรือไม่? อ่านเพิ่มเติม »

เศรษฐกิจอีสานไตรมาส 3/68 ระส่ำ ปัญหายังไม่คลี่คลาย ถึงเวลา ‘คนละครึ่ง’ จริงหรือ?

บทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ไตรมาส 3/2568 เศรษฐกิจอีสานไตรมาส 3/2568 กำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งภาษีสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้น ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาที่กระทบการค้า ไปจนถึงการเมืองในประเทศที่ยังไม่มั่นคง ส่งผลให้การจับจ่ายซบเซาและการลงทุนชะลอตัว ท่ามกลางวิกฤต รัฐบาลใหม่ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เสนอ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อพยุงกำลังซื้อ แต่ก็เกิดคำถามตามมาว่า มาตรการนี้ยังเหมาะสมจริงหรือไม่? “เบิ่งเศรษฐกิจอีสานผ่าน 9 ช่อง” เศรษฐกิจอีสานกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ไตรมาส 3/2568 หนักหน่วงกว่าสองไตรมาสที่ผ่านมา เศรษฐกิจซบเซา ประชาชนไม่กล้าจับจ่าย ธุรกิจเจอทั้งกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้น และปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาที่ทำให้ต้องปิดด่าน กระทบต่อการค้าชายแดนโดยตรง ซ้ำเติมด้วยการเมืองไทยที่ยังไม่มั่นคง ทำให้การลงทุนในภาคอีสานชะลอตัวลง ท่ามกลางวิกฤต รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เสนอ “โครงการคนละครึ่งพลัส” เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย คล้ายกับมาตรการ “คนละครึ่ง” ที่เคยใช้ช่วงโควิด-19 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันก่อให้เกิดคำถามว่า มาตรการลักษณะนี้ยังเหมาะสมและจำเป็นจริงหรือไม่? “บริโภคเอกชนซบเซาสุดในไตรมาส 3 สะท้อนวิกฤตเศรษฐกิจ–ชายแดนป่วน” การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในภาคอีสานไตรมาส 3 หดตัวแรงกว่าภูมิภาคอื่น สะท้อนผ่านดัชนีการบริโภคที่ลดลงชัดเจน โดยเฉพาะสินค้าไม่คงทนและกึ่งคงทน สะท้อนพฤติกรรมคนอีสานที่ต้องประหยัด ตัดค่าใช้จ่ายในสินค้าที่ไม่จำเป็นออกไป ปัจจัยหลักมาจากปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังที่ยังไร้ทางออก ทั้งราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ปัญหาชายแดนที่ยืดเยื้อ และบรรยากาศเศรษฐกิจโดยรวมที่กดดันให้ประชาชนต้องรัดเข็มขัดอย่างเข้มงวด “ราคาเกษตรตกต่ำ ค่าครองชีพพุ่ง ปล่อยสินเชื่อหด กดดันกำลังซื้ออีสาน” สาเหตุหลักที่กดดันการบริโภคในภาคอีสานยังคงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรังและไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรสำคัญอย่างข้าวและมันสำปะหลังที่ลดลงจากแนวโน้มความต้องการโลกที่เปลี่ยนไป ส่งผลโดยตรงต่อรายได้เกษตรกรซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งของประชากรอีสาน ขณะเดียวกัน ค่าครองชีพที่สูงขึ้นและมาตรการสินเชื่อที่เข้มงวดจากสถาบันการเงิน ยิ่งซ้ำเติมกำลังซื้อ โดยเฉพาะการใช้จ่ายสินค้าคงทนและการลงทุนของครัวเรือนที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ไตรมาส 3 ปีนี้ สถานการณ์เลวร้ายลงจาก “วิกฤตความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา” ที่กระทบโดยตรงต่อพื้นที่อีสานใต้ ได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ความไม่มั่นคงด้านความปลอดภัยทำให้นักท่องเที่ยวหดตัวรุนแรง ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อรายได้ในภาคบริการ การค้า และการบริโภคภายในท้องถิ่น “เร่งปั๊มหัวใจการบริโภคอีสานภายในสิ้นปี พร้อมวางรากใหม่” การบริโภคของอีสานกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเปราะบาง จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเยียวยาระยะสั้นเพื่อพยุงการจับจ่าย และการแก้ไขเชิงโครงสร้างในระยะยาว ดังนี้ ปัญหากำลังซื้ออ่อนแรง ระยะสั้น: ตามที่รัฐบาลประกาศว่าจะดำเนินโครงการ “คนละครึ่ง” เฟสใหม่ ซึ่งควรออกแบบให้ใช้จ่ายเพื่อลดค่าครองชีพจริงๆ ลดการรั่วไหลผ่านการแลกเป็นเงินสด และสร้างผลทวีต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ระยะยาว: ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมมูลค่าสูงในอีสาน เช่น เศรษฐกิจชีวภาพ และการแปรรูปเกษตร เพื่อเพิ่มการจ้างงานและสร้างกำลังซื้อที่ยั่งยืน ปัญหารายได้เกษตรกรหดตัว ระยะสั้น: เร่งจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาพืชหลักที่ตกต่ำ ระยะยาว: ภาครัฐควรที่จะมีแบบแผนการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการทำการเกษตรอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI เพื่อเป็นการทุ่นแรงและเสริมสร้างผลิตภาพ และควรส่งเสริมการปลูกพืชผสมผสาน หรือพืชที่ตลาดโลกต้องการ ลดการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้มั่นคง ปัญหาการท่องเที่ยวชะลอตัว ระยะสั้น: เร่งหาข้อยุติความขัดแย้งชายแดน ลดภาพความไม่ปลอดภัย พร้อมเดินหน้าประชาสัมพันธ์โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เชิงรุกมากขึ้น ระยะยาว: แต่ละจังหวัดควรสร้าง “หมุดหมายการท่องเที่ยว” ที่ชัดเจนและแตกต่าง

เศรษฐกิจอีสานไตรมาส 3/68 ระส่ำ ปัญหายังไม่คลี่คลาย ถึงเวลา ‘คนละครึ่ง’ จริงหรือ? อ่านเพิ่มเติม »

อาณาจักรพันล้านของ เจ๊เกียว เชิดชัย “เจ้าแม่รถทัวร์เมืองไทย”

สุจินดา เชิดชัย หรือ “เจ๊เกียว” เดิมชื่อ “คาเกียว” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเมื่ออายุ 9 ขวบ เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2480 ที่จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรคนที่ 6 ของครอบครัว แม้จะเป็นเด็กเรียนดี สอบได้ที่ 1 แต่กลับต้องหยุดเรียนเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพราะมารดาไม่อนุญาตให้เรียนต่อ หลังจบการศึกษา เจ๊เกียวเริ่มต้นชีวิตการทำงานจากการเป็นแม่ค้าขายของตามสถานีรถไฟ ก่อนต่อยอดด้วยการเรียนตัดเสื้อ และเปิดโรงเรียนสอนตัดเย็บเสื้อผ้า กระทั่งได้แต่งงานกับ นายวิชัย เชิดชัย (เฮียไช) เจ้าของอู่ต่อรถบรรทุก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ธุรกิจเดินรถโดยสาร จากจุดเล็ก ๆ นั้น เจ๊เกียวได้ขยายกิจการจนกลายเป็น เจ้าของสัมปทานรถโดยสารรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ภายใต้ชื่อ “เชิดชัยทัวร์” ที่ดำเนินธุรกิจรถร่วม บขส. มานานกว่า 65 ปี มีรถกว่า 200 คัน วิ่งให้บริการครอบคลุมทั้งภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ นอกจากบทบาทนักธุรกิจ เจ๊เกียวยังดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมผู้ประกอบการรถร่วม บขส. และเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ปรับขึ้นค่าโดยสารในช่วงราคาน้ำมันพุ่งสูง อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 เจ๊เกียวเคยจะประกาศเตรียมเลิกกิจการรถทัวร์ และขายบริษัทเชิดชัยทัวร์ออกไป โดยให้เหตุผลว่าได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ราคาน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้น และพฤติกรรมผู้โดยสารที่เปลี่ยนไป หลายคนหันมาขับรถส่วนตัว หรือเลือกใช้สายการบินโลว์คอสต์แทน เนื่องจากค่าโดยสารใกล้เคียงกันแต่ใช้เวลาเดินทางสั้นกว่า ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2562 บริษัทประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา “รถโดยสารระหว่างจังหวัด” เคยเป็นเส้นเลือดหลักของระบบคมนาคมไทย เชื่อมต่อเมืองใหญ่กับต่างจังหวัดทั่วประเทศ แต่เมื่อพฤติกรรมการเดินทางของผู้คนเริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะหลังการมาของ สายการบินต้นทุนต่ำ (Low-Cost Airline) และการที่ประชาชนหันมาใช้ รถยนต์ส่วนตัว กันมากขึ้น ธุรกิจเดินรถบัสสาธารณะจึงเผชิญความท้าทายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การเข้ามาของสายการบินต้นทุนต่ำ เช่น แอร์เอเชีย นกแอร์ ไทยไลอ้อนแอร์ หรือไทยเวียดเจ็ท ทำให้การเดินทางทางอากาศไม่ใช่เรื่องของคนมีฐานะอีกต่อไป ราคาตั๋วเครื่องบินที่เคยอยู่หลักพันปลาย กลับลดลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับรถโดยสารวีไอพี โดยเฉพาะเมื่อมีโปรโมชั่น “บินถูกหลักร้อย” ออกมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้โดยสารจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ นักท่องเที่ยว และพนักงานบริษัท ที่ต้องการประหยัดเวลาในการเดินทาง เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ที่เครื่องบินใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง แต่รถบัสต้องใช้เวลากว่า 8 – 10 ชั่วโมง เมื่อเวลามีค่ามากขึ้น การจ่ายเพิ่มอีกเล็กน้อยเพื่อแลกกับความรวดเร็วและความสะดวกสบายจึงกลายเป็นทางเลือกที่ “คุ้มค่า” สำหรับหลายคน ผลที่ตามมาคือ เส้นทางระยะไกลหลายสายของผู้ประกอบการเดินรถเริ่มมีผู้โดยสารลดลงอย่างต่อเนื่อง จนต้องลดจำนวนเที่ยวหรือยกเลิกบางเส้นทาง เนื่องจากไม่คุ้มค่าต่อการดำเนินการ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่กดดันธุรกิจรถบัสคือ การใช้รถยนต์ส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จากความสะดวกในการผ่อนรถ ราคาน้ำมันที่ทรงตัว และถนนที่เชื่อมต่อทั่วถึงมากขึ้น ผู้บริโภคจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวหรือเพื่อนร่วมทาง มองว่าการขับรถเอง

อาณาจักรพันล้านของ เจ๊เกียว เชิดชัย “เจ้าแม่รถทัวร์เมืองไทย” อ่านเพิ่มเติม »

จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน

ฮู้บ่ว่า จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน นโยบายการค้าที่แข็งกร้าวของสหรัฐฯ ภายใต้แนวคิด “ทรัมป์ 2.0” ซึ่งส่งสัญญาณชัดเจนถึงการตั้งกำแพงภาษีในอัตราสูงต่อสินค้าจากจีน ได้ส่งผลให้จีนต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การส่งออกครั้งสำคัญ โดยข้อมูลล่าสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจและมีนัยสำคัญต่อพลวัตของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค โดยจีนที่มีการเร่งการส่งออกเข้าสู่สหรัฐฯต้นปี เริ่มชะลอตัวและหันมาส่งออกสู่ตลาดอาเซียนมากขึ้น ซึ่งมูลค่าการส่งออกโดยตรงจากจีนไปยังสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 215,909 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงถึง 10.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (241,587 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) การหดตัวนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการจีนและผู้นำเข้าในสหรัฐฯ เริ่มได้รับผลกระทบรุนแรงจากต้นทุนทางภาษีที่เพิ่มขึ้น และลดการค้าโดยตรงเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและต้นทุนจากกำแพงภาษีที่สูงขึ้น ยุทธศาสตร์ตอบโต้ของจีน: ใช้ “อาเซียน” เป็นฐานทัพใหม่ เมื่อประตูการค้าสู่สหรัฐฯ แคบลง จีนไม่ได้ยอมจำนน แต่เลือกใช้กลยุทธ์ “เบนเข็ม” โดยมีเป้าหมายหลักคือกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ซึ่งมีพรมแดนติดกันและมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจสูง การเปลี่ยนแปลงนี้เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกของจีนมายังภูมิภาคนี้ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด: ภาพรวมอาเซียน: การส่งออกของจีนมายังอาเซียน เติบโตขึ้น 12.2% กัมพูชา: เติบโตสูงสุดถึง +24.0% ไทย: เติบโต +20.2% เวียดนาม: เติบโต +20.0% ซึ่งนัยนึงอาจบ่งชี้ถึงแนวโน้มการทะลักของสินค้าจีนระลอกใหม่ ในขณะเดียวกันก็ยังสะท้อนถึง “ทางเลี่ยง” ในการส่งออกสินค้าสู่สหรัฐฯ เนื่องจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ไม่ได้หมายความว่าสินค้าจีนทั้งหมดจะถูกบริโภคภายในอาเซียนเท่านั้น แต่มีนัยสำคัญเชิงลึกที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์นี้ คือ “การใช้ประเทศที่สามในการสวมสิทธิสินค้า กระบวนการนี้ทำงานได้จากการ ส่งชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูป (Semi-finished goods) หรือวัตถุดิบมายังโรงงานในประเทศอาเซียน เช่น ไทย หรือ เวียดนาม และถูกนำมาผ่านกระบวนการผลิตขั้นสุดท้ายที่มีนัยสำคัญเพียงพอที่จะเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า ให้กลายเป็น “Made in Thailand” หรือ “Made in Vietnam” สรุป: แนวโน้มที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่การย้ายตลาด แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก” ครั้งใหญ่ โดยมีสงครามการค้าเป็นตัวเร่ง ประเทศไทยและอาเซียนกำลังอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ได้รับทั้งโอกาสและความท้าทาย การวางนโยบายเพื่อดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างสมดุล จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับภูมิทัศน์การค้าโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้

จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน อ่านเพิ่มเติม »

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568 สรุปประเด็นหลัก #KeyInsights ผลพวงสงครามการค้า ดันสินค้าจีนทะลักเข้าไทย พุ่งจากปีก่อนหน้ากว่า 23% ผลักสัดส่วนต่อการนำเข้าจากจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดของไทย เพิ่มขึ้นกว่า 5% มูลค่าการนำเข้าจากจีน ผ่านสปป.ลาว ในปี 2568 (ม.ค. – ก.ค.) มีมูลค่ากว่า 156,247 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 24.2 % #สินค้าจีนทะลัก #ISANxGMS #เศรษฐกิจอีสาน ใช่ครับ ข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือยืนยันว่า **สินค้าจีนทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ** โดยเป็นผลพวงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่เพื่อระบายสินค้า . ฮู้บ่ว่า? ปี 2568 มีแนวโน้มการทะลักของสินค้าจีนระลอกใหม่เข้ามาในไทยมาขึ้น แม้ปีก่อนหน้าจะมีกระแสการทะลักเข้ามาอยู่ก่อนแล้ว สะท้อนคลื่นสินค้าที่อาจเข้าระลอกใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมจากผลของนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่อาจบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศ การทะลักของสินค้าจีน 3.0 ข้อมูล 7 เดือนล่าสุดของปี 2568  (มกราคม ถึง กรกฎาคม) ชี้ให้เห็นการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากจีนที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 23.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และโดยที่คิดเป็นสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดของไทยที่สูงถึง 30.3% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของการนำเข้าทั้งหมดของไทย   ปัญหาการสวมสิทธิสินค้า แนวทางการเร่งการส่งออกมายังไทย และประเทศในแถบอาเซียนของจีน สะท้อนให้เห็นแนวโน้มของการใช้ประเทศเหล่านี้เป็นฐานในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี จากข้อมูลของ Trad Map การส่งออก 2 ไตรมาสแรกจากจีนไปยังกลุ่มประเทศในอาเซียนเพิ่มสูงขึ้นกว่า 12.2% โดยมีอัตราการเติบโตมากสุดในการส่งออกไปยัง กัมพูชา(24.2%) ไทย(20.2%) และเวียดนาม(20%)   ทะลักเข้าแดนอีสานโดยตรง “เส้นทางบกสายใหม่” ที่สินค้าจีนไม่ได้มาแค่ทางเรืออีกต่อไป แต่ยังทะลักผ่านลาวเข้าชายสู่ชายแดนฝั่งภาคอีสานโดยตรง ซึ่งมีอัตราการเติบโตของการนำเข้าสินค้าจีนผ่านแดนสปป.ลาว สูงขึ้นถึง 24.2% จากข้อได้เปรียบด้านการขนส่งผ่านรถไฟลาวจีนที่ทำให้ต้นทุนการขนส่งถูกขึ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ตัวเลขการขาดดุลการค้า แต่อาจสะท้อนถึงความเปราะบางของผู้ประกอบการและ SME ไทย ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากสินค้าต้นทุนต่ำกว่า การทะลักเข้ามาของสินค้าผ่านช่องทางใหม่นี้ยังเป็นการท้าทายศักยภาพการแข่งขันของผู้ค้ารายย่อยในระดับภูมิภาคโดยตรง รวมถึงปัญหาการสวมสิทธิของสินค้าที่อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ไทยโดยตรง จึงอาจต้องมีการเข้ามาจัดการปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อกำหนดระเบียบและมาตรฐานของสินค้านำเข้า สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมผู้ประกอบการในประเทศ   สถิติการนำเข้าล่าสุด (ปี 2568 เทียบ ปี 2567) ตัวเลขการนำเข้า: ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 การนำเข้าสินค้าจากจีนมายังไทย เพิ่มขึ้นสูงสุดในอาเซียนที่ 27.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า [1] ขาดดุลการค้า: จากตัวเลขการนำเข้าที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ประเทศไทย ขาดดุลการค้ากับจีนหนักขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ไทยขาดดุลการค้ากับจีนกว่า 2.2 แสนล้านบาท [2] สินค้าที่ทะลักเข้ามา: สินค้าที่คาดว่าจะทะลักเข้ามามากที่สุดส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องใช้สำหรับโทรคมนาคมและอุปกรณ์เครือข่าย,

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568 อ่านเพิ่มเติม »

แข็งแล้ว แข็งอยู่ แข็งต่อ กับค่าเงินไทย ใครว่าไม่กระทบอีสาน

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราได้ยินข่าวเศรษฐกิจเรื่อง “ค่าเงินบาทแข็งค่า” กันอยู่บ่อยครั้ง จนไม่กี่วันมานี้ค่าเงินบาท ได้หลุดต่ำกว่า 32 บาทเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งแข็งค่าที่สุดในรอบ 4 ปี และยังมีแนวโน้มแข็งต่อไป สาเหตุหลักมาจากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นอ่อนค่าลง และมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ส่งสัญญาณในการลดดอกเบี้ยนโยบาย   บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นเรื่องของนักธุรกิจส่งออก-นำเข้าขนาดใหญ่ แต่สำหรับคนอีสานแล้ว ค่าเงินที่ผันผวนนี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขในหน้าข่าวเศรษฐกิจ แต่มันส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของคนอีสานอย่างที่ไม่สามารถมองข้ามได้เลย 2 ผลกระทบหลักที่ คนอีสาน รู้สึกได้ทันทีที่เงินบาทแข็ง   ภาคการเกษตร: “คนปลูก” ได้น้อยลง “คนกิน” ได้เท่าเดิม หัวใจสำคัญของเศรษฐกิจอีสานคือภาคการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นข้าวหอมมะลิ มันสำปะหลัง หรืออ้อย ผลผลิตเหล่านี้ไม่ได้ถูกบริโภคแค่ในประเทศเท่านั้น แต่ยังถูกส่งออกไปขายต่างประเทศเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดหลักที่ไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปมากที่สุดเป็นอันดับ 2 เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ราคาสินค้าเกษตรของเราในตลาดโลกแพงขึ้นตามไปด้วย ผู้ซื้อจากต่างประเทศจึงหันไปซื้อสินค้าจากประเทศคู่แข่งที่มีราคาถูกกว่า ส่งผลให้ปริมาณการสั่งซื้อลดลง และราคาขายที่เกษตรกรได้รับก็ลดต่ำลงตามไปด้วย  นอกจากนั้นอีกประเด็นสำคัญ อย่างเรื่องมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่ไทยถูกเรียกเก็บ 19% ที่กระทบต่อต้นทุนและความสามารถในการแข็งขันของผู้ส่งออกโดยตรง เมื่อมองเข้ามายังทุ่งไร่แปลงนาที่ภาคอีสาน เกษตรกรที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจปลูกพืชเกษตรมาทั้งปี ซึ่งจากเดิมที่ต้องเผชิญกับราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำอยู่แล้ว ต้องมาเจอราคาที่ต่ำลงอีกจากสาเหตุที่ควบคุมไม่ได้ อย่างเรื่องค่าเงิน สิ่งนี้ไม่ได้กระทบแค่รายได้ แต่ยังกระทบต่อกำลังใจในการทำมาหากินอีกด้วย   แรงงานไทยในต่างแดน: ผู้ส่งเงินกลับบ้านกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทาย หนึ่งในรายได้สำคัญที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจอีสานคือ “เงินโอน” จากลูกหลานหรือพ่อแม่ญาติพี่น้องที่ไปทำงานในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน หรือตะวันออกกลาง สมมติว่าแรงงานอีสานทำงานที่เกาหลี ได้เงินเดือน 2 ล้านวอนต่อเดือน เมื่อก่อนหากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 บาทต่อ 30 วอน เมื่อส่งเงินกลับมา 1 ล้านวอน ก็จะได้เงินไทยประมาณ 33,333 บาท แต่เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเป็น 1 บาทต่อ 25 วอน เงินจำนวนเดียวกันนี้จะแลกได้แค่ 40,000 บาทเท่านั้น เงินโอนที่เคยเป็นแหล่งทุนสำคัญสำหรับครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นค่าเล่าเรียนลูกหลาน หรือค่าใช้จ่ายในการยังชีพในแต่ละเดือน กำลังลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้หลายครอบครัวที่พึ่งพารายได้ส่วนนี้ต้องรัดเข็มขัดและปรับตัวกันอย่างหนัก เงินบาทแข็ง และ เศรษฐกิจไทยในตลาดโลก ส่งผลต่อธุรกิจไทย? จากการรวบรวมข้อมูลล่าสุด เงินบาทไม่ได้แข็งค่าในรอบหลายปีตามที่เคยเป็นข่าวในอดีต แต่กำลังอยู่ในช่วงที่ผันผวนและมีแนวโน้มอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับประมาณ 36-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นระดับที่ค่อนข้างอ่อนค่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่เคยแข็งค่ากว่า 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงต้นปี 2567 และ 2568   ผลกระทบของเงินบาทที่เคยแข็งค่า (อ้างอิงสถานการณ์ในอดีต) แม้ว่าปัจจุบันเงินบาทจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลง แต่ในช่วงที่เงินบาทเคยแข็งค่าอย่างรวดเร็วนั้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและธุรกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ: ภาคการส่งออก: การแข็งค่าของเงินบาททำให้ราคาสินค้าส่งออกของไทยแพงขึ้นในสายตาของผู้ซื้อต่างประเทศ ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งลดลง โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้แรงงานสูงหรือสินค้าเกษตรที่ราคาอิงกับตลาดโลก เช่น ข้าว ยางพารา และน้ำตาล ทำให้รายได้ของผู้ส่งออกและเกษตรกรเมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาทลดลง

แข็งแล้ว แข็งอยู่ แข็งต่อ กับค่าเงินไทย ใครว่าไม่กระทบอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

🇹🇭ไทยเที่ยวจีนแต่🇨🇳จีนไม่เที่ยวไทย ผ่านมา ปีครึ่ง “ฟรีวีซ่า ไทย-จีน” นนท.ไม่เพิ่ม การท่องเที่ยวปี 68 หดตัว

ตั้งแต่ มีนาคม 2567 เป็นต้นมา มาตรการ ฟรีวีซ่า ไทย-จีน เป็นผลดีมากน้อยเพียงใด เวลาอาจเป็นเครื่องพิสูจน์ และยังเป็นการเน้นย้ำว่า มาตรการเดียวอาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาการท่องเที่ยวไทยได้ทั้งหมด ISAN Insight พามาเบิ่ง ข้อมูลด้านธุรกิจและเศรษฐกิจ ที่รวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว “ไทย-จีน” หลังนโยบายฟรีวีซ่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจและมีข้อมูลล่าสุดที่ควรนำมาวิเคราะห์ดังนี้   “ฟรีวีซ่า ไทย-จีน” นทท.ไม่เพิ่มจริงหรือ?   ข้อมูลล่าสุดปี 2568 ชี้ว่า แม้จะมีนโยบายฟรีวีซ่าถาวรระหว่างไทยกับจีนที่เริ่มต้นเมื่อเดือนมีนาคม 2567 แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทย ไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่ก้าวกระโดดอย่างที่คาดหวังไว้แต่แรก จำนวนนักท่องเที่ยวจีน: ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยประมาณ 4-5 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ฟื้นตัวได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงก่อนนโยบายฟรีวีซ่า แต่ยังไม่ถึงเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 8 ล้านคนภายในสิ้นปี [1] แรงกดดันจากเศรษฐกิจจีน: ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศของจีน เช่น ภาวะเงินฝืด และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง ทำให้ชาวจีนชะลอการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวต่างประเทศลง ประกอบกับสายการบินระหว่างไทย-จีนยังไม่กลับมาให้บริการอย่างเต็มที่เท่าช่วงก่อนโควิด-19 และราคาตั๋วเครื่องบินที่ยังคงสูง [2] ทำให้ปัจจัยเหล่านี้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีน   “ไทยเที่ยวจีนแต่จีนไม่เที่ยวไทย” – สถิติอัปเดตปี 2568   ข้อมูลล่าสุดจากปี 2568 ชี้ให้เห็นว่า การท่องเที่ยวของประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ และตลาดจีนซึ่งเคยเป็นตลาดอันดับหนึ่งก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่   สถานการณ์ภาพรวมการท่องเที่ยวไทยปี 2568   จำนวนนักท่องเที่ยวหดตัว: ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ตลอดปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยจะอยู่ที่ประมาณ 32.2 ล้านคน ซึ่งเป็นการ หดตัว 9% จากปี 2567 [3] 10 อันดับแรกนักท่องเที่ยวต่างชาติ (8 เดือนแรกปี 2568): จีน: 3,096,017 คน มาเลเซีย: 3,049,961 คน อินเดีย: 1,563,806 คน รัสเซีย: 1,195,430 คน เกาหลีใต้: 1,036,361 คน ญี่ปุ่น: 712,158 คน สหราชอาณาจักร: 708,929 คน สหรัฐ: 692,212 คน ไต้หวัน: 672,067 คน ลาว: 630,051 คน [4] แม้จีนจะยังครองอันดับหนึ่ง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีน ลดลงกว่า 34.13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน [5] ขณะที่นักท่องเที่ยวจากตลาดอื่น ๆ เช่น ยุโรป, เอเชียใต้ (อินเดีย), และตะวันออกกลาง

🇹🇭ไทยเที่ยวจีนแต่🇨🇳จีนไม่เที่ยวไทย ผ่านมา ปีครึ่ง “ฟรีวีซ่า ไทย-จีน” นนท.ไม่เพิ่ม การท่องเที่ยวปี 68 หดตัว อ่านเพิ่มเติม »

ฮู้บ่ว่า? ‘ธนบัตร’ ในระบบเศรษฐกิจไทยมีอยู่กี่ฉบับ

จากกระแสที่แบงก์อายัดบัญชีที่โยงกับบัญชีม้า ทำให้หลายคนเริ่มแห่ไปถอนเงินกันเพื่อถือเป็นเงินสดมากขึ้น โพสต์นี้จึงพามาดูข้อมูลที่น่าสนใจกัน! รู้หรือไม่ว่าธนบัตรที่เราใช้จ่ายกันอยู่ทุกวันนี้ มีจำนวนรวมกันกว่า 7,929 ล้านฉบับ และมีมูลค่ารวมสูงถึง 2,702,880 ล้านบาท! 🤯 ลองดูตัวเลขของธนบัตรแต่ละชนิดกันหน่อยสิว่าฉบับไหนมีจำนวนมากที่สุด ธนบัตร 1,000 บาท: 2,247 ล้านฉบับ ธนบัตร 500 บาท: 346 ล้านฉบับ ธนบัตร 100 บาท: 1,937 ล้านฉบับ ธนบัตร 50 บาท: 691 ล้านฉบับ ธนบัตร 20 บาท: 2,707 ล้านฉบับ จากกระแสนที่คนแห่ไปถอนเงิน อาจทำให้บางแบงก์นั้นมีเงินสำรองไม่พอให้ถอนบ้างในระยะสั้น แต่ทาง ธปท. ก็ได้ออกมายืนยันว่ายังไม่เห็นสัญญาณของ Bank run เผานาฆ่าหนู❓สรุปไทม์ไลน์ข่าว “ล่าบัญชีม้า🐴แต่ร้านค้าโดนอายัด” สู่ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงิน💸ร้านไม่รับโอน #บัญชีม้า #ธนบัตรไทย #เศรษฐกิจไทย #แบงก์ชาติ ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

ฮู้บ่ว่า? ‘ธนบัตร’ ในระบบเศรษฐกิจไทยมีอยู่กี่ฉบับ อ่านเพิ่มเติม »

เผานาฆ่าหนู❓สรุปไทม์ไลน์ข่าว “ล่าบัญชีม้า🐴แต่ร้านค้าโดนอายัด” สู่ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงิน💸ร้านไม่รับโอน

ไทม์ไลน์ข่าว: ธนาคารอายัดบัญชีมั่วและมาตรการสกัดกั้นภัยทางการเงิน มาตรการจำกัดวงเงินโอนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวข้องโดยตรงกับข่าวการอายัดบัญชีมั่ว เนื่องจากทั้งสองเรื่องเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของภาครัฐและสถาบันการเงินในการปราบปรามและป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน โดยเฉพาะ “บัญชีม้า” ที่ใช้ในการหลอกลวงประชาชน จุดเริ่มต้น: มาตรการสกัดกั้นบัญชีม้า เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจากความพยายามของภาครัฐในการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเว็บพนันออนไลน์ที่ใช้ “บัญชีม้า” เป็นเครื่องมือในการรับและโอนเงินเพื่อฟอกเงิน ซึ่งนำไปสู่การออกกฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้อง มีนาคม 2566: มีการประกาศใช้ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 [1] โดยมีสาระสำคัญคือ การให้สถาบันการเงินสามารถระงับการทำธุรกรรมหรืออายัดบัญชีได้ทันที หากมีเหตุอันควรสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตุลาคม 2566: ธปท. ร่วมกับสถาบันการเงิน จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการร่วมในการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงทางการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (ศปปง.) หรือที่เรียกว่าศูนย์ AOC (Anti-Online Scam Operation Center) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงานระหว่างธนาคารและตำรวจ ไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญ มกราคม 2567: เริ่มมีประชาชนร้องเรียนมากขึ้นว่าบัญชีธนาคารถูกอายัดอย่างไม่เป็นธรรม โดยส่วนใหญ่เป็นกรณีที่โอนเงินหรือรับโอนเงินจากบุคคลที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับบัญชีม้า แม้ว่าตัวเองจะไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดก็ตาม [2] เมษายน 2567: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาชี้แจงว่า ธนาคารมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องอายัดบัญชีที่มีความเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์ และยืนยันว่าการอายัดไม่ได้เป็นไปอย่าง “มั่วซั่ว” แต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดไว้ [3] อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนยังคงยืนยันว่ากระบวนการไม่โปร่งใสและขาดการตรวจสอบที่รัดกุมก่อนจะอายัด พฤษภาคม 2568: ปัญหาลุกลามจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างบนโลกออนไลน์ เมื่อมีข่าวว่ามีประชาชนหลายรายที่ได้รับผลกระทบจากการที่ บัญชีธนาคารถูกอายัดจาก “บัญชีม้า” ที่เป็นเครือข่ายยาว โดยอาจมีการโอนเงินที่เชื่อมโยงกันเป็นทอด ๆ ทำให้บัญชีของผู้บริสุทธิ์ถูกอายัดไปด้วย ทั้งที่ไม่มีส่วนรู้เห็น [4] สิงหาคม 2568: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการใหม่เพื่อป้องกันความเสียหายจากการถูกหลอกให้โอนเงิน โดยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์จำกัดวงเงินโอนเงินสำหรับ “กลุ่มเสี่ยง” ซึ่งได้แก่ กลุ่มลูกค้าใหม่ หรือบัญชีที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยไว้ที่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน [5] มาตรการดังกล่าวไม่ได้มีผลบังคับใช้กับทุกคน แต่จะพิจารณาจากพฤติกรรมการทำธุรกรรมของแต่ละบุคคลและแบ่งลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่ม คือ S, M, และ L ตามความเสี่ยง [6] กันยายน 2568: เกิดกระแสความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนที่กลัวว่าบัญชีของตนจะถูกอายัดไปด้วย จึงทำให้มีรายงานข่าวว่า ประชาชนจำนวนมากแห่ไปถอนเงินสดออกจากธนาคาร เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีของตนได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว ทำให้ธนาคารบางแห่งมีปัญหาเงินขาดมือ [7] สถานการณ์ปัจจุบัน: ผลกระทบที่ลุกลามและข้อเรียกร้อง ความเดือดร้อนของประชาชน: ปัญหาการอายัดบัญชีลุกลามจนเป็นความเดือดร้อนในวงกว้างสำหรับประชาชนผู้บริสุทธิ์หลายพันราย โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ และกลุ่มที่รับจ้างโอนเงิน เช่น รับโอนเงินจากผู้สูงอายุ หรือรับโอนเงินจากการขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ถูกอายัดบัญชีโดยไม่ทันตั้งตัว ความชัดเจนของมาตรการ: แม้ว่ารัฐบาลและธนาคารจะยืนยันว่ามาตรการนี้มีความจำเป็นเพื่อป้องกันอาชญากรรม แต่กระบวนการที่ขาดความรัดกุมและขาดการสื่อสารกับผู้ใช้งานอย่างทันท่วงที ทำให้มาตรการที่หวังจะแก้ปัญหา กลับสร้างปัญหาใหม่ให้แก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ อัพเดตล่าสุด 13 กันยายน 2568 นางสาวดารณี แซ่จู

เผานาฆ่าหนู❓สรุปไทม์ไลน์ข่าว “ล่าบัญชีม้า🐴แต่ร้านค้าโดนอายัด” สู่ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงิน💸ร้านไม่รับโอน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top