SHARP ADMIN

บทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสานประจำเดือนตุลาคม 2568

เศรษฐกิจอีสานเดือนตุลาคม 68 ราคาสินค้าเกษตรหด กดดันการจับจ่าย-ธุรกิจไปต่อยากมอง ‘คนละครึ่ง’ เข้ามาพยุงได้ เศรษฐกิจภาคอีสานยังอยู่ในภาวะเปราะบาง จากปัญหากำลังซื้อที่ซบเซาและภาคเกษตรที่อ่อนแรงต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนความกังวลของประชาชนต่อเศรษฐกิจโดยรวม การจ้างงานโดยเฉพาะในภาคเกษตรลดลง ขณะที่รายได้เกษตรกรถูกกดดันจากราคาพืชผลหลักที่ตกต่ำและอุทกภัยที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ภาคธุรกิจในภาคอีสานยังคงชะลอตัวจากกำลังซื้อที่หดตัว ต้นทุนที่สูงขึ้น และการเข้าถึงสินเชื่อที่ยากลำบาก ส่งผลให้การลงทุนเอกชนหดตัวต่อเนื่อง แม้มาตรการภาครัฐอย่าง “คนละครึ่งพลัส” จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้ชั่วคราว แต่ยังมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงของกลุ่มผู้สูงอายุและร้านค้ารายย่อย การฟื้นฟูเศรษฐกิจอีสานจำเป็นต้องแก้ปัญหาที่ฐานราก ผ่านการสร้างเสถียรภาพราคาพืชผลและรายได้เกษตรกร เช่น ระบบประกันรายได้หรือรับซื้อผลผลิตช่วงราคาตกต่ำ รวมถึงมาตรการลดภาระหนี้และเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจรายย่อย ขณะเดียวกัน ภาครัฐควรพัฒนาโครงการอุดหนุนการใช้จ่ายให้ตรงกลุ่มมากขึ้น เพื่อให้เงินหมุนเวียนสู่ชุมชนอย่างทั่วถึงและยั่งยืน ผู้บริโภคอีสานเชื่อมั่นต่ำ การจ้างงานลด ฉุดกำลังซื้อซบเซา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในภาคอีสานยังคงอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของประชาชนต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังไม่กล้าใช้จ่าย เลือกที่จะประหยัดและเก็บเงินไว้ใช้ในยามจำเป็นมากขึ้น สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากภาวะการจ้างงานที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในภาคการเกษตรซึ่งมีการปรับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งตอกย้ำความไม่มั่นใจของประชาชน และส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยในภูมิภาคลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ อุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดของภาคอีสาน ยังสร้างความเสียหายต่อทั้งครัวเรือนและพื้นที่ทางการเกษตร ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้และความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันกำลังซื้อและทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงอยู่ในระดับต่ำ ภาคเกษตรเปราะบางมากขึ้น ราคายังไม่ฟื้นดันแรงงานเกษตรหดตัว-ย้ายสาขา ภาคเกษตรอีสานเผชิญภาวะเปราะบางต่อเนื่อง ราคาพืชสำคัญยังไม่ฟื้นตัว กดดันความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนตุลาคมให้ลดลง มันสำปะหลัง แม้ลดการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ราคายังทรงตัวในระดับต่ำ ต่ำกว่าปีก่อนราว 12% ยางแผ่นดิบ ราคาลดลงกว่า 24% จากความต้องการในตลาดโลกลดลง และความไม่แน่นอนด้านภาษีศุลกากรของสหรัฐ ข้าวเปลือก ซึ่งเป็นพืชหลักของอีสาน ราคาปรับลดลงราว 38% จากอุปทานโลกที่เพิ่มขึ้น และการแข่งขันการส่งออกจากประเทศผู้ผลิตรายอื่น ขณะเดียวกัน ไทยเองก็ส่งออกลดลง สถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ยิ่งซ้ำเติม ทำให้พื้นที่เก็บเกี่ยวลดลง ต้นทุนเกษตรกรเพิ่มขึ้นสวนทางกับรายได้ ส่งผลให้แรงงานเกษตรถูกจ้างลดลงในช่วงเก็บเกี่ยวถัดไป แก้กำลังซื้ออีสาน ต้องแก้ที่ฐานราก รัฐต้องมุ่งสร้างเสถียรภาพภาคเกษตร กรณีศึกษา: การสร้างเสถียรภาพของราคาผลผลิตและรายได้เกษตรของต่างประเทศ (ญี่ปุ่น) ระบบกองทุนรักษาเสถียรภาพราคา: สมาคมเกษตรและรัฐร่วมกันตั้งกองทุน เมื่อราคาต่ำกว่ามาตรฐาน กองทุนจ่ายชดเชยส่วนต่างให้เกษตรกร เป็นการลดแรงกดดันต่อรายได้เกษตรกร (จีน) รัฐสำรองรับซื้อผลผลิต: รัฐรับซื้อพืชผลหลัก (ข้าว, ข้าวโพด, ถั่วเหลือง) ในช่วงราคาตกต่ำ เพื่อพยุงราคาและรักษารายได้เกษตรกร ลดความผันผวนของราคาผลผลิต (อินเดีย) โครงการการันตีการจ้างงานชนบท: จ้างแรงงานชนบททำงานสาธารณะ เช่นการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตร  ในช่วงนอกฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นการพยุงแรงงานเกษตรและลดอัตราการย้ายออกในช่วงราคาตกต่ำหรือนอกฤดูเก็บเกี่ยว แนวทางการนำมาปรับใช้กับภาคเกษตรอีสาน: ระบบเกษตรพันธสัญญาภาครัฐ (Public Contract Farming) เกษตรกรอีสานมีหน้าที่เป็นผู้ผลิต และรัฐมีฐานะคนกลาง รัฐ รับซื้อ/ประกันรายได้ ให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอนและสร้างความเชื่อมั่น รัฐมีหน้าที่บริหารจัดการอุปทานผลผลิต รวมไปถึงเจรจาการค้ากับต่างประเทศ ซึ่งแนวทางนี้จะเป็นการลดความเสี่ยงทางด้านรายได้ของเกษตรกร รวมถึงแก้ปัญหาราคาตกต่ำรวมไปถึงข้าวขายไม่ออก ธุรกิจอีสานเปราะบาง ชายแดนเริ่มคลี่คลาย แต่กำลังซื้อยังไม่กลับมา ภาคธุรกิจในภาคอีสานยังคงมีระดับความเชื่อมั่นอยู่ในเกณฑ์ต่ำ แม้ว่าสถานการณ์ตามแนวชายแดนจะเริ่มคลี่คลายลงบ้าง แต่การค้าชายแดนยังไม่สามารถกลับมาดำเนินได้ตามปกติ เนื่องจากความตรึงเครียดทางการทหารยังคงมีอยู่ในบางจุด ส่งผลให้การขนส่งสินค้าและการแลกเปลี่ยนทางการค้าต้องหยุดชะงัก ขณะเดียวกัน ภายในภูมิภาคยังเผชิญกับปัญหากำลังซื้อที่อ่อนแอจากรายได้ของครัวเรือนที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทำให้ภาคธุรกิจขาดสภาพคล่องและชะลอการลงทุนเพิ่มเติม สถานการณ์ยิ่งซ้ำเติมมากขึ้นจากปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ ซึ่งทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก ธุรกิจท้องถิ่นบางแห่งต้องหยุดดำเนินการชั่วคราวหรือประสบความเสียหายทางทรัพย์สิน ธุรกิจอีสานขยับตัวลำบาก จากกำลังซื้อหดตัว ต้นทุนเพิ่มสูง และสินเชื่อตึงตัว การลงทุนของภาคเอกชนในภาคอีสานยังคงหดตัวต่อเนื่องจากปีก่อน […]

บทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสานประจำเดือนตุลาคม 2568 อ่านเพิ่มเติม »

ทองโลกขยับ ร้านทองยิ้มหวาน คนไทยแห่ซื้อไม่พัก

ในช่วงเวลาที่ราคาทองคำโลกผันผวนหนักที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ภาพที่เกิดขึ้นในประเทศไทยกลับสะท้อนความตื่นตระหนกของนักลงทุนได้อย่างชัดเจน “ยิ่งแพง คนยิ่งแห่ซื้อลงทุน เพื่อขายเอากำไร” ห้างทองแน่นเต็มไปด้วยผู้คนที่มาต่อคิวซื้อ-ขายทองคำ จนล้นออกมานอกร้าน โดยเฉพาะทองคำแท่งที่มียอดความต้องการพุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ จนโรงงานผลิตไม่ทัน และต้องรอการนำเข้าจากต่างประเทศหลายวัน ในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัซ จำกัด เป็นธุรกิจที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศขึ้นนำ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่มีรายได้ 1,848 ล้านบาท จากกระแสทองคำโลกที่มีการปรับราคาขึ้นจากภาวะสงครามที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ทำให้ผู้คนหันมาซื้อทองกันมากขึ้น นาย จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ราคาทองคำในช่วงนี้ถือว่าสูงผิดปกติและคาดเดาทิศทางได้ยาก ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ราคาจะขยับถึง 31 ครั้งภายในวันเดียว จนแตะระดับ 67,200 บาทต่อบาททองคำ ความผันผวนดังกล่าวทำให้นักลงทุนจำนวนมากแห่เข้าซื้อทองคำในฐานะ “ทรัพย์สินที่ปลอดภัย” โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากภาวะ FOMO (Fear of Missing Out) หรือ “กลัวตกรถ” จนทองคำกลายเป็น “สินทรัพย์ที่ต้องมี” ของนักลงทุนแทบทุกกลุ่ม แรงหนุนทองคำจากวิกฤตโลก การพุ่งขึ้นของราคาทองคำไม่ได้มาจากแรงเก็งกำไรเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากคลื่นปัจจัยเสี่ยงระดับโลกที่ซ้อนทับกัน ทำให้ทองคำกลับมามีบทบาทในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) อย่างเต็มตัว หนึ่งในปัจจัยหลัก คือ ความไม่เชื่อมั่นในเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ทำให้นักลงทุนทั้งรายย่อย รายใหญ่ และแม้แต่ธนาคารกลางหลายประเทศ หันมาซื้อทองคำเพื่อถือครองแทนเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่หนุนราคาทองคำให้พุ่งขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ นโยบายการเงินของ Fed: ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางถึงปลายปี 2568 เพื่อพยุงเศรษฐกิจจากภาวะชะลอตัว การลดดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง และหนุนราคาทองคำให้สูงขึ้น โดยเฉพาะหากเงินเฟ้อยังทรงตัวในระดับสูง วิกฤต Government Shutdown: วิกฤตรัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการ (Government Shutdown) ที่ยืดเยื้อมากกว่า 2 สัปดาห์ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเร่งให้นักลงทุนแห่หาสินทรัพย์ปลอดภัย สงครามการค้าสหรัฐฯ – จีน: ความตึงเครียดระหว่างสองชาติมหาอำนาจกลับมาปะทุอีกครั้ง โดยจีนตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติเหลว น้ำมัน และรถยนต์บางประเภท พร้อมสัญญาณว่าอาจลดการพึ่งพาดอลลาร์ ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงลบต่อค่าเงินดอลลาร์ กระแส De-dollarization: ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะจีนและรัสเซีย เดินหน้าซื้อทองคำเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการถือครองดอลลาร์ การสะสมทองคำของภาครัฐจึงกลายเป็นแรงหนุนสำคัญที่พยุงราคาทองคำในตลาดโลก ความกังวลเรื่อง “ฟองสบู่ทองคำ” การปรับขึ้นของราคาทองคำในปี 2568 อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ทองคำ” รอบใหม่ โดยเฉพาะเมื่อแรงซื้อส่วนใหญ่ในตอนนี้ถูกขับเคลื่อนด้วย โมเมนตัม (Momentum-driven Buying) มากกว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจจริง หากความเชื่อมั่นเปลี่ยนไป ก็อาจเกิดแรงขายอย่างรุนแรงในระยะสั้น

ทองโลกขยับ ร้านทองยิ้มหวาน คนไทยแห่ซื้อไม่พัก อ่านเพิ่มเติม »

ภาพรวมไทยค้าขายกับประเทศ GMS ไปแล้วเท่าไหร่ในรอบ 7 เดือน ของปี 2568

ภาพรวมการค้าไทยกับกลุ่มประเทศ GMS และประเทศคู่ค้าหลักในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ทั้ง 5 ประเทศ (ไม่รวมไทย) พบว่า ไทยเกินดุลการค้ากับ 4 ประเทศ หมายความว่า ไทยส่งออกสินค้ามากกว่าที่นำเข้า มีเพียงประเทศเดียวที่ไทยขาดดุลการค้า และยังเป็นประเทศที่ไทยขาดดุลมากที่สุดต่อเนื่องมาหลายปี นั่นคือ ประเทศจีน โดยไทยส่งออกสินค้าไปจีนมูลค่าประมาณ 31.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่มีการนำเข้าจากจีนสูงถึง 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราวสองเท่าของมูลค่าส่งออก ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาในภาพรวมของการค้าระหว่างประเทศทั้งหมด ไทยยังคงอยู่ในภาวะขาดดุลการค้าราว -2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสินค้าส่งออกหลักของไทยส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในหมวด อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม หากมองในด้านประเทศที่ไทยเกินดุลการค้ามากที่สุดยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา ซึ่งในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ถึง 27.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ภาพรวมการนำเข้าและส่งออกของไทยยังถือว่าอยู่ในภาวะปกติ เมื่อเทียบกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ทั้งนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ไทยยังไม่เผชิญผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างเต็มรูปแบบ โดยได้รับผลกระทบเพียงอัตราภาษีที่ปรับเพิ่มขึ้นราว 10% เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกเท่านั้น อีกทั้งในช่วงนั้น ไทยยังไม่ประสบปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชาจนถึงขั้นต้องปิดด่านการค้า หากพิจารณาปัญหาต่างๆ ที่เผชิญอยู่ในปัจจุบันจะพบว่า สถานการณ์การค้าของประเทศไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนจากหลายปัจจัย ทั้งแรงกดดันจากภายนอก เช่น การบังคับใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ และความเสี่ยงจากอุปทานส่วนเกินของจีน รวมถึงปัญหาภายในประเทศที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้าชายแดน ภาพรวมการค้าชายแดนและผลกระทบจากข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–สิงหาคม) การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทยมีมูลค่ารวม 1.34 ล้านล้านบาท ขยายตัว 9.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการค้าผ่านแดนไปยังประเทศที่สาม เช่น จีน สิงคโปร์ และเวียดนาม ซึ่งยังคงเติบโตได้ดีที่ 20.9% ในเดือนสิงหาคม 2568 อย่างไรก็ตาม การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศกลับชะลอตัวลงอย่างมาก โดยในเดือนสิงหาคมมีมูลค่ารวมเพียง 63,938 ล้านบาท หดตัวถึง 23.6% ขณะที่การส่งออกลดลงแรงถึง 30.1% สาเหตุสำคัญมาจากปัญหาข้อพิพาทบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการค้าและธุรกิจ โดยเฉพาะการค้าชายแดนกับ กัมพูชา ที่ในเดือนสิงหาคม 2568 มีมูลค่าเพียง 10 ล้านบาท ลดลงถึง 99.9% และถือเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง เนื่องจากการ ปิดด่านการค้า จากสถานการณ์ดังกล่าว การปิดด่านชายแดนได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาคการค้าและธุรกิจ โดยเฉพาะการส่งออกไปยังกัมพูชา ซึ่งในเดือนสิงหาคม 2568 มีมูลค่าการส่งออกเหลือเพียง 7 ล้านบาทเท่านั้น หากสถานการณ์การปิดด่านยังคงยืดเยื้อต่อไป คาดว่าภาคธุรกิจที่พึ่งพาการค้าชายแดนจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี ด้านมาตรการช่วยเหลือ กรมการค้าต่างประเทศได้เร่งสำรวจผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบราว

ภาพรวมไทยค้าขายกับประเทศ GMS ไปแล้วเท่าไหร่ในรอบ 7 เดือน ของปี 2568 อ่านเพิ่มเติม »

แบงค์ลดคน–ลดสาขา–ลดต้นทุน หายไปเกือบ 200 สาขาภายใน 1 ปี

แบงค์ลดสาขาลดคน แนวโน้มทั่วประเทศหายเกือบ 200 สาขา ธนาคารพาณิชย์ไทยเผชิญรายได้โตช้า สินเชื่อหด เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ธนาคารใหญ่ทั้ง กสิกรฯ กรุงเทพ ไทยพาณิชย์ ทีทีบี เดินแผน ลดคน–ลดสาขา–ลดต้นทุนพร้อม โดยตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้วถึงปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์ปิดตัวไปแล้ว 192 สาขา ภาคอีสาน: ปิดตัว 24 สาขา ภาคกลาง: ปิดตัว 66 สาขา ภาคเหนือ: ปิดตัว 22 สาขา ภาคใต้: ปิดตัว 25 สาขา กรุงเทพฯ: ปิดตัว 55 สาขา โดยปัจจัยหลักมาจาก: สินเชื่อติดลบ – รายได้ดอกเบี้ยไม่โต เศรษฐกิจชะลอ AI และเทคโนโลยีเข้ามาแทนแรงงาน ต้องลดต้นทุนเพื่อให้ Cost-to-Income Ratio ต่ำกว่า 40% ซึ่งอนาคตของภาคการเงินการธนาคารนั้ จะใช้เทคโนโลยี AI และดิจิทัล แทนแรงงานมนุษย์บางส่วน และแนวโน้มจ้าง Outsource / ฟรีแลนซ์ เพิ่มขึ้น ซึ่งแนวคิด “Lean Bank” กำลังจะกลายเป็นรูปแบบใหม่ของธนาคารพาณิชย์ในอนาคต ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย, ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

แบงค์ลดคน–ลดสาขา–ลดต้นทุน หายไปเกือบ 200 สาขาภายใน 1 ปี อ่านเพิ่มเติม »

ส่องรายได้ธุรกิจ…ในกลุ่ม ‘สบายดี’ ว่ามีอีหยังน่าสนใจบ้าง

กลุ่มจังหวัด “สบายดี” หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย และหนองคาย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงกันทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม โดยเฉพาะการเป็นประตูเศรษฐกิจสำคัญของไทยที่เชื่อมต่อกับประเทศลาวและเวียดนาม ในพื้นที่ 5 จังหวัดของกลุ่มจังหวัดสบายดี มีอยู่ 2 จังหวัดที่มีสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเชื่อมต่อกับ สปป.ลาว โดยตรง ได้แก่ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 เชื่อมจาก จังหวัดหนองคาย ไปยัง นครหลวงเวียงจันทน์ เปิดใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 เชื่อมจาก จังหวัดบึงกาฬ ไปยัง เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้ใช้บริการได้ภายใน สิ้นปี พ.ศ. 2568 ด้วยทำเลที่ได้เปรียบดังกล่าว ทำให้กลุ่มจังหวัดนี้มีการค้าชายแดนระหว่างไทย–ลาวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นเส้นทางหลักที่นักท่องเที่ยวจาก ลาว เวียดนาม และจีน เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ส่งผลให้กลุ่มจังหวัดสบายดีได้รับอานิสงส์ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจากการอยู่ติดชายแดนเป็นอย่างมาก นอกจากความโดดเด่นในด้านพื้นที่ชายแดนแล้ว กลุ่มจังหวัดสบายดี ยังมีความได้เปรียบด้าน การเกษตร ที่ไม่แพ้กัน หากพิจารณาพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะพบว่า ยางพาราและอ้อย เป็นพืชหลักที่มีการเพาะปลูกอย่างกว้างขวางในพื้นที่นี้ โดยเฉพาะ ยางพารา ซึ่งพื้นที่ปลูกส่วนใหญ่ของภาคอีสานกว่า 2.6 ล้านไร่ อยู่ในกลุ่มจังหวัดสบายดี คิดเป็นเกือบ ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ปลูกยางพาราทั้งหมดของภาค ส่วนในด้าน อ้อย กลุ่มจังหวัดนี้ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน โดยมีปริมาณผลผลิตคิดเป็นประมาณ 28% ของผลผลิตอ้อยทั้งภาคอีสาน เมื่อพิจารณาภาพรวมธุรกิจในกลุ่มจังหวัดสบายดี จะพบว่าธุรกิจหลักในพื้นที่ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ การเกษตร การค้าชายแดน และพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นโรงน้ำตาล โรงงานยางพารา หรือกิจการค้าปลีกค้าส่งที่เติบโตตามเมืองศูนย์กลางอย่างอุดรธานีและหนองคาย อีกทั้งการคมนาคมที่เชื่อมโยงระหว่างประเทศก็ยิ่งช่วยผลักดันให้ภาคธุรกิจในพื้นที่นี้มีความคึกคักขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลังโควิด-19 ปัจจัยดังกล่าวสอดคล้องกับการเติบโตของภาคธุรกิจในพื้นที่ โดยมีบริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวเนื่องกับผลผลิตทางการเกษตร เช่น บริษัท น้ำตาล เอราวัณ จำกัด บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด และ บริษัท กว๋างเขิ่น รับเบอร์ (แม่น้ำโขง) จำกัด ธุรกิจเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากการมีแหล่งวัตถุดิบอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตบางส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรวมแล้ว กลุ่มจังหวัดสบายดีถือเป็นพื้นที่ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจากฐานการเกษตรและการค้าชายแดน แม้จะยังไม่มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ระดับประเทศเข้ามามากนัก แต่ศักยภาพของทำเล การคมนาคม และทรัพยากรในพื้นที่ ทำให้ภูมิภาคนี้ยังมีช่องทางขยายตัวในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจเกษตรแปรรูปและโลจิสติกส์ข้ามแดน   อ้างอิง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ส่องรายได้ธุรกิจ…ในกลุ่ม ‘สบายดี’ ว่ามีอีหยังน่าสนใจบ้าง อ่านเพิ่มเติม »

2 โครงการใหญ่ในอีสาน ที่หลายคนสงสัยว่าได้ไปต่อหรือไม่?

  ปัจจุบันภาคอีสานในหลายๆ พื้นที่ กำลังจะมีโครงการใหญ่ๆ ที่หลายคนเฝ้ารอ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ สะพาน สนามบิน และอื่นๆ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ยังมีบางโครงการที่ได้มีการประกาศว่าจะเกิดขึ้น แต่ในปัจจุบันกลับเงียบหาย ทิ้งไว้เพียงความสงสัยให้กับคนพื้นที่ว่า ‘สรุปโครงการนี้จะเอายังไงกันแน่’ เราขอหยิบยกมานำเสนอ 2 โครงการ ได้แก่… ศูนย์การแพทย์ สถาบันพระบรมราชชนก วิทยาเขตอุดรธานี🏥 : หลายคนคงเคยได้ยินว่า อุดรฯ กำลังจะมีโรงเรียนเพื่อพัฒนาบุคลากรแพทย์ รวมไปถึงเป็นโรงพยาบาล ภายใต้งบประมาณกว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งตามกำหนดการจะใช้เวลาก่อสร้างในช่วง 2565 – 2567 แต่ดูเหมือนว่าจะเกิดข้อพิพาทเรื่องที่ดินกับชาวบ้านในเขต ต.สามพร้าว ขึ้น ทำใหโครงการหยุดชะงัก ซึ่งปัจจุบันตัวก็ยังไม่มีการอัพเดตใดๆ จนคนอุดรหลายคนสงสัยไปตามๆ กันว่าศูนย์การแพทย์แห่งนี้จะได้ไปต่อหรือไม่🤔 ท่าอากาศยานมุกดาหาร ✈️: สนามบินมุกดาหาร เป็นโครงการที่ไม่เชิงว่าเงียบไป แต่ทำให้คนมุกนั้นสับสนกันพอสมควร ซึ่งตามแผนเดิมนั้นจะมีการก่อสร้างและเปิดใช้งานในปี 2571 แต่ในช่วงปลายเดือน เม.ย. 68 รมว.คมนาคม ในขณะนั้น รายงานว่ายังไม่มีนโยบายก่อสร้างสนามบินมุกดาหาร เนื่องจากหลายอย่างยังไม่พร้อม และอาจไม่คุ้มค่าทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันต่อมา ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ได้ออกมายืนยันว่าการก่อสร้างสนามบินมุกดาหารจะเดินหน้าต่อแน่นอน เพียงแต่ต้องทบทวนความพร้อมหลายๆ อย่างก่อน   ใครที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียง หรือติดตามเรื่องนี้อยู่ หรือมีโครงการอื่นๆ ของภาคอีสานในลักษณะที่ไม่รู้ว่าจะไปได้ต่อหรือไม่ มาแสดงความเห็นกันได้นะคะ ✍️ ที่มา: ศูนย์อนามัยที่ 8 อุดรธานี, สำนักข่าวชายขอบ, เดลินิวส์, สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดมุกดาหาร

2 โครงการใหญ่ในอีสาน ที่หลายคนสงสัยว่าได้ไปต่อหรือไม่? อ่านเพิ่มเติม »

เศรษฐกิจอีสานไตรมาส 3/68 ระส่ำ ปัญหายังไม่คลี่คลาย ถึงเวลา ‘คนละครึ่ง’ จริงหรือ?

บทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ไตรมาส 3/2568 เศรษฐกิจอีสานไตรมาส 3/2568 กำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งภาษีสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้น ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาที่กระทบการค้า ไปจนถึงการเมืองในประเทศที่ยังไม่มั่นคง ส่งผลให้การจับจ่ายซบเซาและการลงทุนชะลอตัว ท่ามกลางวิกฤต รัฐบาลใหม่ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เสนอ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อพยุงกำลังซื้อ แต่ก็เกิดคำถามตามมาว่า มาตรการนี้ยังเหมาะสมจริงหรือไม่? “เบิ่งเศรษฐกิจอีสานผ่าน 9 ช่อง” เศรษฐกิจอีสานกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ไตรมาส 3/2568 หนักหน่วงกว่าสองไตรมาสที่ผ่านมา เศรษฐกิจซบเซา ประชาชนไม่กล้าจับจ่าย ธุรกิจเจอทั้งกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้น และปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาที่ทำให้ต้องปิดด่าน กระทบต่อการค้าชายแดนโดยตรง ซ้ำเติมด้วยการเมืองไทยที่ยังไม่มั่นคง ทำให้การลงทุนในภาคอีสานชะลอตัวลง ท่ามกลางวิกฤต รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เสนอ “โครงการคนละครึ่งพลัส” เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย คล้ายกับมาตรการ “คนละครึ่ง” ที่เคยใช้ช่วงโควิด-19 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันก่อให้เกิดคำถามว่า มาตรการลักษณะนี้ยังเหมาะสมและจำเป็นจริงหรือไม่? “บริโภคเอกชนซบเซาสุดในไตรมาส 3 สะท้อนวิกฤตเศรษฐกิจ–ชายแดนป่วน” การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในภาคอีสานไตรมาส 3 หดตัวแรงกว่าภูมิภาคอื่น สะท้อนผ่านดัชนีการบริโภคที่ลดลงชัดเจน โดยเฉพาะสินค้าไม่คงทนและกึ่งคงทน สะท้อนพฤติกรรมคนอีสานที่ต้องประหยัด ตัดค่าใช้จ่ายในสินค้าที่ไม่จำเป็นออกไป ปัจจัยหลักมาจากปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังที่ยังไร้ทางออก ทั้งราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ปัญหาชายแดนที่ยืดเยื้อ และบรรยากาศเศรษฐกิจโดยรวมที่กดดันให้ประชาชนต้องรัดเข็มขัดอย่างเข้มงวด “ราคาเกษตรตกต่ำ ค่าครองชีพพุ่ง ปล่อยสินเชื่อหด กดดันกำลังซื้ออีสาน” สาเหตุหลักที่กดดันการบริโภคในภาคอีสานยังคงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรังและไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรสำคัญอย่างข้าวและมันสำปะหลังที่ลดลงจากแนวโน้มความต้องการโลกที่เปลี่ยนไป ส่งผลโดยตรงต่อรายได้เกษตรกรซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งของประชากรอีสาน ขณะเดียวกัน ค่าครองชีพที่สูงขึ้นและมาตรการสินเชื่อที่เข้มงวดจากสถาบันการเงิน ยิ่งซ้ำเติมกำลังซื้อ โดยเฉพาะการใช้จ่ายสินค้าคงทนและการลงทุนของครัวเรือนที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ไตรมาส 3 ปีนี้ สถานการณ์เลวร้ายลงจาก “วิกฤตความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา” ที่กระทบโดยตรงต่อพื้นที่อีสานใต้ ได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ความไม่มั่นคงด้านความปลอดภัยทำให้นักท่องเที่ยวหดตัวรุนแรง ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อรายได้ในภาคบริการ การค้า และการบริโภคภายในท้องถิ่น “เร่งปั๊มหัวใจการบริโภคอีสานภายในสิ้นปี พร้อมวางรากใหม่” การบริโภคของอีสานกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเปราะบาง จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเยียวยาระยะสั้นเพื่อพยุงการจับจ่าย และการแก้ไขเชิงโครงสร้างในระยะยาว ดังนี้ ปัญหากำลังซื้ออ่อนแรง ระยะสั้น: ตามที่รัฐบาลประกาศว่าจะดำเนินโครงการ “คนละครึ่ง” เฟสใหม่ ซึ่งควรออกแบบให้ใช้จ่ายเพื่อลดค่าครองชีพจริงๆ ลดการรั่วไหลผ่านการแลกเป็นเงินสด และสร้างผลทวีต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ระยะยาว: ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมมูลค่าสูงในอีสาน เช่น เศรษฐกิจชีวภาพ และการแปรรูปเกษตร เพื่อเพิ่มการจ้างงานและสร้างกำลังซื้อที่ยั่งยืน ปัญหารายได้เกษตรกรหดตัว ระยะสั้น: เร่งจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาพืชหลักที่ตกต่ำ ระยะยาว: ภาครัฐควรที่จะมีแบบแผนการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการทำการเกษตรอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI เพื่อเป็นการทุ่นแรงและเสริมสร้างผลิตภาพ และควรส่งเสริมการปลูกพืชผสมผสาน หรือพืชที่ตลาดโลกต้องการ ลดการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้มั่นคง ปัญหาการท่องเที่ยวชะลอตัว ระยะสั้น: เร่งหาข้อยุติความขัดแย้งชายแดน ลดภาพความไม่ปลอดภัย พร้อมเดินหน้าประชาสัมพันธ์โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เชิงรุกมากขึ้น ระยะยาว: แต่ละจังหวัดควรสร้าง “หมุดหมายการท่องเที่ยว” ที่ชัดเจนและแตกต่าง

เศรษฐกิจอีสานไตรมาส 3/68 ระส่ำ ปัญหายังไม่คลี่คลาย ถึงเวลา ‘คนละครึ่ง’ จริงหรือ? อ่านเพิ่มเติม »

อาณาจักรพันล้านของ เจ๊เกียว เชิดชัย “เจ้าแม่รถทัวร์เมืองไทย”

สุจินดา เชิดชัย หรือ “เจ๊เกียว” เดิมชื่อ “คาเกียว” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเมื่ออายุ 9 ขวบ เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2480 ที่จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรคนที่ 6 ของครอบครัว แม้จะเป็นเด็กเรียนดี สอบได้ที่ 1 แต่กลับต้องหยุดเรียนเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพราะมารดาไม่อนุญาตให้เรียนต่อ หลังจบการศึกษา เจ๊เกียวเริ่มต้นชีวิตการทำงานจากการเป็นแม่ค้าขายของตามสถานีรถไฟ ก่อนต่อยอดด้วยการเรียนตัดเสื้อ และเปิดโรงเรียนสอนตัดเย็บเสื้อผ้า กระทั่งได้แต่งงานกับ นายวิชัย เชิดชัย (เฮียไช) เจ้าของอู่ต่อรถบรรทุก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ธุรกิจเดินรถโดยสาร จากจุดเล็ก ๆ นั้น เจ๊เกียวได้ขยายกิจการจนกลายเป็น เจ้าของสัมปทานรถโดยสารรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ภายใต้ชื่อ “เชิดชัยทัวร์” ที่ดำเนินธุรกิจรถร่วม บขส. มานานกว่า 65 ปี มีรถกว่า 200 คัน วิ่งให้บริการครอบคลุมทั้งภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ นอกจากบทบาทนักธุรกิจ เจ๊เกียวยังดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมผู้ประกอบการรถร่วม บขส. และเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ปรับขึ้นค่าโดยสารในช่วงราคาน้ำมันพุ่งสูง อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 เจ๊เกียวเคยจะประกาศเตรียมเลิกกิจการรถทัวร์ และขายบริษัทเชิดชัยทัวร์ออกไป โดยให้เหตุผลว่าได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ราคาน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้น และพฤติกรรมผู้โดยสารที่เปลี่ยนไป หลายคนหันมาขับรถส่วนตัว หรือเลือกใช้สายการบินโลว์คอสต์แทน เนื่องจากค่าโดยสารใกล้เคียงกันแต่ใช้เวลาเดินทางสั้นกว่า ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2562 บริษัทประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา “รถโดยสารระหว่างจังหวัด” เคยเป็นเส้นเลือดหลักของระบบคมนาคมไทย เชื่อมต่อเมืองใหญ่กับต่างจังหวัดทั่วประเทศ แต่เมื่อพฤติกรรมการเดินทางของผู้คนเริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะหลังการมาของ สายการบินต้นทุนต่ำ (Low-Cost Airline) และการที่ประชาชนหันมาใช้ รถยนต์ส่วนตัว กันมากขึ้น ธุรกิจเดินรถบัสสาธารณะจึงเผชิญความท้าทายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การเข้ามาของสายการบินต้นทุนต่ำ เช่น แอร์เอเชีย นกแอร์ ไทยไลอ้อนแอร์ หรือไทยเวียดเจ็ท ทำให้การเดินทางทางอากาศไม่ใช่เรื่องของคนมีฐานะอีกต่อไป ราคาตั๋วเครื่องบินที่เคยอยู่หลักพันปลาย กลับลดลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับรถโดยสารวีไอพี โดยเฉพาะเมื่อมีโปรโมชั่น “บินถูกหลักร้อย” ออกมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้โดยสารจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ นักท่องเที่ยว และพนักงานบริษัท ที่ต้องการประหยัดเวลาในการเดินทาง เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ที่เครื่องบินใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง แต่รถบัสต้องใช้เวลากว่า 8 – 10 ชั่วโมง เมื่อเวลามีค่ามากขึ้น การจ่ายเพิ่มอีกเล็กน้อยเพื่อแลกกับความรวดเร็วและความสะดวกสบายจึงกลายเป็นทางเลือกที่ “คุ้มค่า” สำหรับหลายคน ผลที่ตามมาคือ เส้นทางระยะไกลหลายสายของผู้ประกอบการเดินรถเริ่มมีผู้โดยสารลดลงอย่างต่อเนื่อง จนต้องลดจำนวนเที่ยวหรือยกเลิกบางเส้นทาง เนื่องจากไม่คุ้มค่าต่อการดำเนินการ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่กดดันธุรกิจรถบัสคือ การใช้รถยนต์ส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จากความสะดวกในการผ่อนรถ ราคาน้ำมันที่ทรงตัว และถนนที่เชื่อมต่อทั่วถึงมากขึ้น ผู้บริโภคจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวหรือเพื่อนร่วมทาง มองว่าการขับรถเอง

อาณาจักรพันล้านของ เจ๊เกียว เชิดชัย “เจ้าแม่รถทัวร์เมืองไทย” อ่านเพิ่มเติม »

จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน

ฮู้บ่ว่า จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน นโยบายการค้าที่แข็งกร้าวของสหรัฐฯ ภายใต้แนวคิด “ทรัมป์ 2.0” ซึ่งส่งสัญญาณชัดเจนถึงการตั้งกำแพงภาษีในอัตราสูงต่อสินค้าจากจีน ได้ส่งผลให้จีนต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การส่งออกครั้งสำคัญ โดยข้อมูลล่าสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจและมีนัยสำคัญต่อพลวัตของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค โดยจีนที่มีการเร่งการส่งออกเข้าสู่สหรัฐฯต้นปี เริ่มชะลอตัวและหันมาส่งออกสู่ตลาดอาเซียนมากขึ้น ซึ่งมูลค่าการส่งออกโดยตรงจากจีนไปยังสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 215,909 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงถึง 10.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (241,587 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) การหดตัวนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการจีนและผู้นำเข้าในสหรัฐฯ เริ่มได้รับผลกระทบรุนแรงจากต้นทุนทางภาษีที่เพิ่มขึ้น และลดการค้าโดยตรงเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและต้นทุนจากกำแพงภาษีที่สูงขึ้น ยุทธศาสตร์ตอบโต้ของจีน: ใช้ “อาเซียน” เป็นฐานทัพใหม่ เมื่อประตูการค้าสู่สหรัฐฯ แคบลง จีนไม่ได้ยอมจำนน แต่เลือกใช้กลยุทธ์ “เบนเข็ม” โดยมีเป้าหมายหลักคือกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ซึ่งมีพรมแดนติดกันและมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจสูง การเปลี่ยนแปลงนี้เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกของจีนมายังภูมิภาคนี้ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด: ภาพรวมอาเซียน: การส่งออกของจีนมายังอาเซียน เติบโตขึ้น 12.2% กัมพูชา: เติบโตสูงสุดถึง +24.0% ไทย: เติบโต +20.2% เวียดนาม: เติบโต +20.0% ซึ่งนัยนึงอาจบ่งชี้ถึงแนวโน้มการทะลักของสินค้าจีนระลอกใหม่ ในขณะเดียวกันก็ยังสะท้อนถึง “ทางเลี่ยง” ในการส่งออกสินค้าสู่สหรัฐฯ เนื่องจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ไม่ได้หมายความว่าสินค้าจีนทั้งหมดจะถูกบริโภคภายในอาเซียนเท่านั้น แต่มีนัยสำคัญเชิงลึกที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์นี้ คือ “การใช้ประเทศที่สามในการสวมสิทธิสินค้า กระบวนการนี้ทำงานได้จากการ ส่งชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูป (Semi-finished goods) หรือวัตถุดิบมายังโรงงานในประเทศอาเซียน เช่น ไทย หรือ เวียดนาม และถูกนำมาผ่านกระบวนการผลิตขั้นสุดท้ายที่มีนัยสำคัญเพียงพอที่จะเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า ให้กลายเป็น “Made in Thailand” หรือ “Made in Vietnam” สรุป: แนวโน้มที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่การย้ายตลาด แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก” ครั้งใหญ่ โดยมีสงครามการค้าเป็นตัวเร่ง ประเทศไทยและอาเซียนกำลังอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ได้รับทั้งโอกาสและความท้าทาย การวางนโยบายเพื่อดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างสมดุล จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับภูมิทัศน์การค้าโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้

จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน อ่านเพิ่มเติม »

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568 สรุปประเด็นหลัก #KeyInsights ผลพวงสงครามการค้า ดันสินค้าจีนทะลักเข้าไทย พุ่งจากปีก่อนหน้ากว่า 23% ผลักสัดส่วนต่อการนำเข้าจากจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดของไทย เพิ่มขึ้นกว่า 5% มูลค่าการนำเข้าจากจีน ผ่านสปป.ลาว ในปี 2568 (ม.ค. – ก.ค.) มีมูลค่ากว่า 156,247 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 24.2 % #สินค้าจีนทะลัก #ISANxGMS #เศรษฐกิจอีสาน ใช่ครับ ข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือยืนยันว่า **สินค้าจีนทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ** โดยเป็นผลพวงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่เพื่อระบายสินค้า . ฮู้บ่ว่า? ปี 2568 มีแนวโน้มการทะลักของสินค้าจีนระลอกใหม่เข้ามาในไทยมาขึ้น แม้ปีก่อนหน้าจะมีกระแสการทะลักเข้ามาอยู่ก่อนแล้ว สะท้อนคลื่นสินค้าที่อาจเข้าระลอกใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมจากผลของนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่อาจบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศ การทะลักของสินค้าจีน 3.0 ข้อมูล 7 เดือนล่าสุดของปี 2568  (มกราคม ถึง กรกฎาคม) ชี้ให้เห็นการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากจีนที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 23.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และโดยที่คิดเป็นสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดของไทยที่สูงถึง 30.3% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของการนำเข้าทั้งหมดของไทย   ปัญหาการสวมสิทธิสินค้า แนวทางการเร่งการส่งออกมายังไทย และประเทศในแถบอาเซียนของจีน สะท้อนให้เห็นแนวโน้มของการใช้ประเทศเหล่านี้เป็นฐานในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี จากข้อมูลของ Trad Map การส่งออก 2 ไตรมาสแรกจากจีนไปยังกลุ่มประเทศในอาเซียนเพิ่มสูงขึ้นกว่า 12.2% โดยมีอัตราการเติบโตมากสุดในการส่งออกไปยัง กัมพูชา(24.2%) ไทย(20.2%) และเวียดนาม(20%)   ทะลักเข้าแดนอีสานโดยตรง “เส้นทางบกสายใหม่” ที่สินค้าจีนไม่ได้มาแค่ทางเรืออีกต่อไป แต่ยังทะลักผ่านลาวเข้าชายสู่ชายแดนฝั่งภาคอีสานโดยตรง ซึ่งมีอัตราการเติบโตของการนำเข้าสินค้าจีนผ่านแดนสปป.ลาว สูงขึ้นถึง 24.2% จากข้อได้เปรียบด้านการขนส่งผ่านรถไฟลาวจีนที่ทำให้ต้นทุนการขนส่งถูกขึ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ตัวเลขการขาดดุลการค้า แต่อาจสะท้อนถึงความเปราะบางของผู้ประกอบการและ SME ไทย ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากสินค้าต้นทุนต่ำกว่า การทะลักเข้ามาของสินค้าผ่านช่องทางใหม่นี้ยังเป็นการท้าทายศักยภาพการแข่งขันของผู้ค้ารายย่อยในระดับภูมิภาคโดยตรง รวมถึงปัญหาการสวมสิทธิของสินค้าที่อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ไทยโดยตรง จึงอาจต้องมีการเข้ามาจัดการปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อกำหนดระเบียบและมาตรฐานของสินค้านำเข้า สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมผู้ประกอบการในประเทศ   สถิติการนำเข้าล่าสุด (ปี 2568 เทียบ ปี 2567) ตัวเลขการนำเข้า: ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 การนำเข้าสินค้าจากจีนมายังไทย เพิ่มขึ้นสูงสุดในอาเซียนที่ 27.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า [1] ขาดดุลการค้า: จากตัวเลขการนำเข้าที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ประเทศไทย ขาดดุลการค้ากับจีนหนักขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ไทยขาดดุลการค้ากับจีนกว่า 2.2 แสนล้านบาท [2] สินค้าที่ทะลักเข้ามา: สินค้าที่คาดว่าจะทะลักเข้ามามากที่สุดส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องใช้สำหรับโทรคมนาคมและอุปกรณ์เครือข่าย,

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568 อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top