ใช้ประโยชน์จาก FTA บุกตลาดโลก

แนะผู้ประกอบการกาแฟ-ไม้ประดับ เมืองเลย
ใช้ประโยชน์จาก FTA บุกตลาดโลก
.
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้ลงพื้นที่พบปะกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการสินค้าเกษตรจังหวัดเลย เพื่อหารือเรื่องโอกาสและช่องทางการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสินค้าเกษตรของไทย
.
โดยกลุ่มแรก เป็นกลุ่มไม้ดอกไม้ประดับ ซึ่งปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออก อันดับที่ 1 ในอาเซียน และอันดับที่ 16 ของโลก มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 124.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4 พันล้านบาท) โดยมีสหรัฐอเมริกา อาเซียน (ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สปป.ลาว) ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ และจีน เป็นตลาดส่งออกหลัก
.
แม้ปัจจุบันจะเน้นการขายไม้ดอกไม้ประดับในประเทศ แต่ทางเกษตรกรก็มีความสนใจที่จะขยายกำลังการผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งจะสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ได้ ซึ่งมี 17 ประเทศที่ได้ยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรกับไม้ดอกไม้ประดับส่งออกจากไทย แต่ยังมีอินเดียที่เก็บภาษีศุลกากรกับไม้ดอกที่ร้อยละ 60 และไม้ประดับที่ร้อยละ 30
.
🔎 มองความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก
.
ผู้บริโภคไม้ดอกไม้ประดับ มักจะให้ความนิยมพันธุ์ใหม่ ๆ ไม้ดอกที่มีสีสันที่โดดเด่นสวยงาม หลากหลาย ไม้ใบที่ทรงสวย ลำต้นที่แข็งแรง และต้านทานโรคได้ดี เป็นต้น
.
การได้รับการสนับสนุนด้านการวิจัยเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพื่อการขยายพันธุ์ต้นกล้าที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค จึงเป็นสิ่งสำคัญและได้รับความสนใจจากเกษตรกร ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีหน่วยงานที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยเข้าไปให้คำแนะนำแล้ว
.
ทั้งยังได้พบปะเกษตรกรกลุ่มผู้ปลูกกาแฟในจังหวัดเลย โดยในปี 2564 ไทยส่งออกกาแฟดิบ กาแฟคั่ว และกาแฟสำเร็จรูปไปตลาดโลกรวมมูลค่า 103.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.35 พันล้านบาท) โดยมีกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์ เป็นตลาดสำคัญ
.
ปัจจุบันมี 14 ประเทศคู่ FTA ของไทย คือ อาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง ชิลี ที่ไม่เก็บภาษีศุลกากรกับเมล็ดกาแฟที่ส่งออกจากไทยทุกรายการ
.
ขณะที่ 4 ประเทศ ยังเก็บภาษีศุลกากรอยู่ คือ ญี่ปุ่น จีน เปรู และอินเดีย โดยญี่ปุ่นได้ตกลงลดภาษีศุลกากรกับสินค้ากาแฟคั่วส่งออกจากไทย ภายใต้กรอบความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) โดยจะทยอยลดภาษีให้เหลือร้อยละ 0 ในปี 2580
.
👆 เพิ่มมูลค่าให้กาแฟไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
.
โดยทางหอหารค้าไทย ได้แนะนำให้ผู้เข้าร่วมสัมมนารู้จักกับน่านโมเดล นำผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย วิทยาเขตกำแพงแสน มาช่วยพัฒนาคุณภาพ ส่งเสริมการตลาด สร้างตรารับรองต่าง ๆ เช่น ตรา GAP ตราฮาลาล
.
พร้อมแนะนำเรื่องการปลูก การทดสอบดิน การให้น้ำ ให้ปุ๋ย ตัดแต่งใบ กำจัดโรคและแมลง เป็นต้น ที่ทำให้ได้ผลผลิตกาแฟสูงถึง 3 ตันต่อไร่ (จากปกติประมาณ 1 ตันต่อไร่) รวมมูลค่า ประมาณ 6 หมื่นบาท ซึ่งช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับเกษตรกรได้ในระยะยาว
.
การพัฒนากาแฟไทยให้ได้คุณภาพ สามารถสร้างจุดแข็งจากอัตลักษณ์ ความพิเศษของกาแฟไทยจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กาแฟไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งผู้ประกอบการยังสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA ขยายกาแฟไทยสู่ตลาดโลกได้อีกด้วย
.
.
เรียบเรียงจาก: https://www.thansettakij.com/economy/513711
.
#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ไม้ประดับ #กาแฟ

Leave a Comment

Your email address will not be published.

Scroll to Top