ทำไมโคราช ถึงถูกเสนอให้เป็น เมืองหลวงแห่งที่ 2 ในวันที่ กรุงเทพฯ อาจจมบาดาล

โคราช ถูกเสนอเป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 🌇หลังถูกพูดถึงอีกครั้ง💬 ในการประชุมแก้ปัญหาวิกฤต กทม. เมืองหลวงที่กำลังจะจมน้ำจากภาวะโลกร้อน🌏

หลังจากมีข่าว กระทรวงมหาดไทย ได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และ

สรุปผลการพิจารณาข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ แยกเป็นประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

  1. ในส่วนของแผนการจัดน้ำที่ดี กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการจัดหาพื้นที่รองรับน้ำและกักเก็บน้ำเพิ่มเติมสำหรับแผนการจัดการน้ำในระยะกลางแล้ว และได้ดำเนินการก่อสร้างระบบระบายน้ำ ซึ่งเป็นอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่แล้ว 4 แห่ง อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 4 แห่ง และมีแผนสร้างคันกั้นน้ำด้านตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเพื่อการจัดการน้ำในระยะยาวอีกด้วย
  2. ในส่วนของโครงสร้างการป้องกันชายฝั่งกรุงเทพมหานคร ได้จัดทำโครงสร้างแบบแข็ง (เขื่อนกันคลื่น/กำแพงกันคลื่น) และแบบอ่อน (เนินทราย/ป่าชายเลน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดสมุทรสาคร และกระทรวงคมนาคม ได้ร่วมมือกับรัฐบาลออสเตรเลียทางด้านวิชาการด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัย โดยเฉพาะระบบระบายน้ำ
  3. การย้ายเมืองหลวง จากกรุงเทพมหานครไป จังหวัดนครราชสีมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่า การการย้ายเมืองหลวงจะต้องมีการทำประชามติ และประเมินผลกระทบ ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจการของผู้ประกอบการและการจ้างงาน และกระทบต่อวิถีชีวิต และขนบธรรมเนียมประเพณีของประชาชน
    ดังนั้น การสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานครและปริมณฑล หรือดำเนินการเพิ่มเมืองศูนย์กลาง ระดับภาคและศูนย์กลางรองระดับภาคเพื่อสร้างสมดุลให้แก่ระบบเมืองของประเทศ น่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่า
  4. ความเหมาะสมของจังหวัดนครราชสีมา ที่จะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศไทย โดยปัจจุบันกรมโยธาธิการและผังเมือง และกระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการศึกษาและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานแล้ว เช่น โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง โครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่
    ทั้งนี้ ควรมีการศึกษาด้านทรัพยากรน้ำในทุกมิติให้เกิดความมั่นคงและความสมดุลกับความต้องการน้ำในอนาคต และศึกษาแนวทางการย้ายเมืองหลวงของประเทศอื่นเป็นแนวทางและเทียบเคียงด้วย
  5. การศึกษาในเรื่องน้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเกิดจากภาวะโลกร้อน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการศึกษา เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น เช่น การจัดทำ Sea barrier ได้แก่ การพัฒนาเขื่อน ประตูกั้นปากแม่น้ำ ประตูระบายน้ำ คันกั้นน้ำทะเล
    รวมทั้งการขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการศึกษาแนวทางการป้องกันการรุกตัวของน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา และการศึกษาการคาดการณ์อนาคต ระดับน้ำที่สูงขึ้นในแต่ละช่วงปี เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาให้เกิดความครอบคลุมและควรศึกษาพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและปัญหาอย่างต่อเนื่อง
  6. การศึกษาผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่า ควรมีการจัดทำฉากทัศน์ เพื่อเปรียบเทียบ สถานการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางเลือกและผลได้ผลเสียเปรียบเทียบ และควรศึกษาผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นให้รอบคอบเพื่อกำหนดแผนป้องกัน แก้ไข และการจัดการแบบปรับตัว (Adaptive Management) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
  7. การสนับสนุนการวิจัยพัฒนาในการออกแบบอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่า ควรมีการศึกษาการออกแบบอาคารใหม่ และการปรับปรุงอาคารที่มีอยู่เดิมแบ่งตามประเภทอาคารที่ใช้งานรวมถึงขนาดและความสูงของอาคาร ควรมีการปรับปรุง Rule Curve ของแต่ละอาคารบังคับน้ำและอ่างเก็บน้ำให้สอดคล้องกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
    รวมทั้งควรเตรียมการด้านกฎหมายและการสร้างความตระหนักให้หน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนและประชาชน ควบคู่กันไป และควรมีการปรับกฎหมายสิ่งก่อสร้างให้สอดรับกับการปรับโครงสร้างอาคารสถานที่
    อย่างไรก็ตามหลังจากที่ประชุมครม.ได้มีมติรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง ญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนจากนี้จะแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบตามขั้นตอนต่อไป

📰ล่าสุด 4/2/2568 : ครม.รับฟังข้อเสนอ เมืองหลวงแห่งที่ 2 หนีวิกฤตกรุงเทพฯ จมน้ำ

ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รัฐบาลได้มีการพิจารณาหาทางออกอย่างเป็นรูปธรรม หนึ่งในแนวคิดที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การย้ายเมืองหลวงไปที่จังหวัดนครราชสีมา หรือที่หลายคนเรียกกันว่า “โคราช” ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหลังจากที่กระทรวงมหาดไทยรวบรวมความคิดเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ และเสนอให้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2 หรือ การสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ 2568 ครม. ได้มีมติรับทราบผลการพิจารณา และกำลังเดินหน้าตามขั้นตอนต่อไป

กรุงเทพฯ เสี่ยงจมน้ำ แค่แก้ไขหรือย้ายไปเลย?

กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญปัญหาน้ำท่วมจากหลายปัจจัย ทั้ง ภาวะโลกร้อนที่ทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น, ปัญหาการทรุดตัวของแผ่นดิน, ระบบระบายน้ำที่ไม่เพียงพอ, และ น้ำหลากจากภาคเหนือ ในระยะยาว หากไม่มีการรับมือที่ดี เมืองหลวงของไทยอาจเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่

วิจัยก่อนหน้านี้ของ Climate Central คาดการณ์ว่าหลายเมืองในเอเชีย รวมถึงกรุงเทพมหานครจะได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น

แต่ทว่าจากการคำนวณใหม่โดยได้อาศัยวิธีการที่แม่นยำมากขึ้นจากภาพถ่ายดาวเทียมตามระดับความสูงของที่ดิน ซึ่งจากภาพถ่ายดาวเทียมก่อนหน้านี้ผู้วิจัยพบปัญหาที่ไม่สามารถแยกความสูงของตึกอาคารกับต้นไม้จากความสูงของระดับพื้นดินได้ จึงอาศัยเทคโนโลยีใหม่และนำปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบกับวิธีใหม่ในการประเมินผลกระทบของการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลในพื้นที่ขนาดใหญ่และพบว่าตัวเลขที่คาดคะเนไว้ในวิจัยก่อนหน้านี้อยู่ในแง่ดีเกินไป

วิจัยใหม่พบ กรุงเทพฯไม่จมทะเลแค่รอบนอก แต่จะจมเกือบทั้งเมืองใน 31 ปีข้างหน้า

ภาพ : New York Times

จากข้อมูลใหม่พบว่าตัวเลขผลกระทบของผู้คนตามเมืองใหญ่นั้นจะเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า หากเทียบกับวิจัยก่อนหน้า ภายในปี 2050 หรือในพ.ศ. 2593

หลายเมืองในพื้นที่ทางใต้ของเวียดนามเกือบจะหายไปจากแผนที่ รวมถึงนครโฮจิมินห์ ศูนย์กลางทางการเงินและเศรษฐกิจของเวียดนามจะได้รับผลกระทบเกือบครึ่งเมือง ประเมินว่าผู้คนราว 20 ล้านคน หรือเกือบ 1 ใน 4 ของประชากรเวียดนามที่อาศัยอยู่บนบกในขณะนี้ เสี่ยงสูงที่จะถูกน้ำท่วมในอนาคต

งานวิจัยดังกล่าวประเมินแค่ปัจจัยผลกระทบการเพิ่มสูงของระดับน้ำทะเลเท่านั้น ยังไม่ได้นำปัจจัยเสริมด้านการเติบโตของประชากรในอนาคต หรือการสูญเสียพื้นที่ชายฝั่งจากการกัดเซาะของทะเลมารวมในวิจัยครั้งนี้ด้วย นั้นหมายความว่าในความเป็นจริง อาจเลวร้ายกว่าในรายงานฉบับนี้ระบุ

วิจัยใหม่พบ กรุงเทพฯไม่จมทะเลแค่รอบนอก แต่จะจมเกือบทั้งเมืองใน 31 ปีข้างหน้าภาพ : New York Times

สำหรับประเทศไทย พื้นที่เกือบทั้งหมดของกรุงเทพมหานคร หรือคิดเป็นพลเมืองมากกว่า 10 % ที่อาศัยบนพื้นดินใกล้ชายฝั่ง รวมถึงในกรุงเทพมหานครเสี่ยงได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลสูง หรือเผชิญกับอุทกภัย ภายในปี พ.ศ. 2593 เทียบกับผลวิจัยก่อนหน้าที่คาดว่าจะกระทบต่อประชาชนเพียง 1 % ของกรุงเทพฯเท่านั้น หรือเลวร้ายจากการประเมินครั้งก่อนถึง 12 เท่า

การแก้ปัญหานี้มีอยู่ 2 แนวทางหลัก ได้แก่

  1. การสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมถาวร เช่น อุโมงค์ระบายน้ำ คันกั้นน้ำ และเขื่อนป้องกันน้ำทะเล
  2. การกระจายศูนย์กลางการปกครอง หรือการย้ายเมืองหลวงไปที่ใหม่ โดยมีนครราชสีมาเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญ
รัฐบาลไทยจึงต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง การลงทุนมหาศาลเพื่อป้องกันน้ำท่วม กับ การพัฒนาเมืองศูนย์กลางแห่งใหม่เพื่อลดความแออัดของกรุงเทพฯ

ทำไมโคราช ถึงถูกเสนอให้ทำการศึกษา เมืองหลวงแห่งที่ 2 ในครั้งนี้?

ทำไมต้องเป็นโคราช?
นครราชสีมา หรือ “โคราช” ถูกพิจารณาให้เป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 เนื่องจากมีข้อได้เปรียบหลายด้าน ได้แก่
✅ ที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางประเทศ เชื่อมโยงภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง
✅ มีพื้นที่กว้างขวางรองรับการขยายตัว
✅ โครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับการพัฒนา มีมอเตอร์เวย์ รถไฟความเร็วสูง และรถไฟทางคู่
✅ อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเล ลดความเสี่ยงจากปัญหาน้ำทะเลหนุนและภัยธรรมชาติ
แม้จะมีข้อดี แต่การย้ายเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องพิจารณาผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงต้นทุนที่สูงมาก
รัฐบาลเตรียมแนวป้องกันน้ำท่วมกทม. ควบคู่การพัฒนาเมืองสำรอง
นอกจากแนวคิดเรื่องการย้ายเมืองหลวง รัฐบาลยังเดินหน้าโครงการป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ อย่างจริงจัง ได้แก่
✔️ การสร้างอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ ปัจจุบันมี 4 แห่ง และกำลังก่อสร้างเพิ่มอีก 4 แห่ง
✔️ การสร้างแนวคันกั้นน้ำทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา
✔️ การป้องกันน้ำทะเลรุกล้ำ โดยศึกษาโครงการ Sea Barrier เช่น ประตูน้ำและเขื่อนกั้นทะเล
ขณะเดียวกัน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังได้ศึกษาแนวทางรับมือ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ซึ่งเกิดจากภาวะโลกร้อน โดยพิจารณาเทคโนโลยีและโครงสร้างป้องกันจากต่างประเทศมาใช้ในไทย
ย้ายเมืองหลวง จำเป็นแค่ไหน?
หลายประเทศเคยย้ายเมืองหลวงเพื่อลดปัญหาการกระจุกตัวของประชากรและแก้ปัญหาภัยพิบัติ เช่น
🏙️ อินโดนีเซีย ย้ายเมืองหลวงจากจาการ์ตาไป “นูซันตารา” เพราะปัญหาน้ำท่วมและแผ่นดินทรุด
🏙️ บราซิล ย้ายจาก “รีโอเดจาเนโร” ไป “บราซิเลีย” เพื่อลดความแออัดและกระจายการพัฒนา
🏙️ เมียนมา ย้ายจาก “ย่างกุ้ง” ไป “เนปิดอว์” ด้วยเหตุผลด้านยุทธศาสตร์และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ในกรณีของไทย หากจะย้ายเมืองหลวงไปโคราช คงต้องมีการทำ ประชามติ และศึกษาเชิงลึกก่อนตัดสินใจ เพราะอาจกระทบต่อธุรกิจ เศรษฐกิจ และการใช้ชีวิตของประชาชนจำนวนมาก
อนาคตของกรุงเทพฯ และเมืองหลวงแห่งที่ 2
แม้จะยังไม่มีข้อสรุปว่าประเทศไทยจะย้ายเมืองหลวงหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ กรุงเทพฯ จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพ
📌 หากโครงการแนวป้องกันน้ำท่วมสำเร็จ กรุงเทพฯ อาจสามารถรับมือกับปัญหาน้ำท่วมได้ในระยะยาว
📌 หากปัญหาน้ำท่วมยังไม่คลี่คลาย และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น แนวคิด การพัฒนาเมืองหลวงแห่งที่ 2 อาจกลายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
สุดท้ายแล้ว คำถามสำคัญคือ เราควรลงทุนไปกับการป้องกันกรุงเทพฯ หรือเตรียมพร้อมสำหรับการสร้างเมืองหลวงใหม่กันแน่?

ที่มา:

  • Climate Central
  • “คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของประเทศไทย” กระทรวงมหาดไทย

Leave a Comment

Your email address will not be published.

Scroll to Top