ฮู้บ่ว่า? นอกจากสินค้าจากจีนที่ทะลักมาไทยแล้ว จีนยังเริ่มย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยมากขึ้น โดยในปีล่าสุดมีโรงงานตั้งใหม่กว่า 179 แห่งที่มีการลงทุนจากจีน
.
หลังจากการเกิดสงครามทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาในปี 2560 ส่งผลให้จีนได้เริ่มมีการมองหาตลาดใหม่ๆ ในการขายสินค้าที่ผลิตออกมามหาศาลในประเทศ ทำให้สินค้าจีนมีแนวโน้มที่จะทะลักมายังประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีประเทศใน GMS รวมถึงไทยเป็นเป้าหมายด้วยเช่นกัน
.
การทะลักของสินค้าจากจีน สามารถส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในไทยได้ในหลายมิติ ในด้านหนึ่งผู้ประกอบการบางส่วนก็ได้รับอานิสงค์จากการนำเข้าสินค้าจากจีนที่เพิ่มขึ้น จากสินค้าที่มีราคาถูกลง มีความหลากหลาย หรือแม้กระทั่งการนำเข้าจากจีนเพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในภาคการผลิต กำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากการแข่งขันภายในประเทศที่เข้มข้น ตลอดจนความยากลำบากในการแข่งขันด้านต้นทุนให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งจากต่างประเทศได้ ผลกระทบดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการในภาคการผลิต โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ต้องเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ ทำให้ผู้ประกอบการบางรายไม่สามารถรับมือกับปัญหาการทะลักของสินค้าจีนได้ จนนำไปสู่การปิดโรงงานหรือยุติการดำเนินกิจการในที่สุด
.
นอกจากการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนแล้ว จีนยังเริ่มขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทยมากขึ้น ผ่านการจัดตั้งหรือร่วมลงทุนในโรงงานภายในประเทศ ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดแนวโน้มนี้คือสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งทำให้จีนสามารถใช้ไทยเป็นฐานการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการเก็บภาษีสินค้าจีนที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่สมัยที่โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก
นอกจากนี้ ตลาดภายในประเทศไทยเองยังมีความต้องการสินค้าจากจีนสูง ทำให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนชาวจีนมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ ส่งผลให้การย้ายฐานการผลิตมายังไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รูปภาพ 1 : มูลค่าการลงทุนโดยตรงในภาคการผลิตจากประเทศจีน
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย
รูปภาพ 2 : จำนวนและมูลค่าการลงทุนของโครงการจากจีน ที่ได้รับการอนุมัติจาก BOI
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
.
มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคการผลิตของไทยเติบโตกว่า 6 เท่า ภายในระยะเวลาเพียง 7 ปี โดยเพิ่มขึ้นจาก 5,547 ล้านบาท ก่อนสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ เป็น 38,401 ล้านบาท ในปี 2566 สะท้อนให้เห็นว่าไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะจุดยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับการขยายฐานการผลิตของจีน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่จีนมีความได้เปรียบ เช่น พลาสติก โลหะ อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องจักร ยานยนต์ และเคมีภัณฑ์ ที่ไทยมีการพึ่งพาจากจีนสูง รวมถึงกลยุทธ์การย้ายฐานการผลิตของจีนเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของชาติตะวันตกและสิทธิประโยชน์จาก BOI ยังผลักดันให้จีนขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
รูปภาพ 3 : จำนวนการตั้งโรงงานในปี 2567 โดยจำแนกตามสัญชาติที่มีการลงทุน
ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมโรงงานอุตสาหกรรม
รูปภาพ 4 : มูลค่าการลงทุนในบริษัทของโรงงานตั้งใหม่ที่มีการลงทุนจากจีน
ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมโรงงานอุตสาหกรรม
.
ในปี 2567 มีการตั้งโรงงานที่ได้รับการลงทุนจากจีนกว่า 179 แห่ง และเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนการตั้งโรงงานในช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหน้าจะพบว่ามีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนการตั้งโรงงานที่มีจีนลงทุนมากถึง 164% ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับโรงงานอื่นๆที่ไม่มีการลงทุนจากจีน รวมถึงเม็ดเงินการลงทุนในโรงงานจากจีนที่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 11,387 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่จีนให้ความสำคัญกับตลาดไทยมากขึ้นทั้งในด้านการรองรับสินค้านำเข้าจากจีนและโอกาสที่จะเติบโตในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสำหรับการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ
รูปภาพ 5 : ประเภทของโรงงานตั้งใหม่ที่มีการลงทุนจากจีน จำแนกตามขนาดของโรงงาน
ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมโรงงานอุตสาหกรรม
.
การลงทุนจากจีนในโรงงานของไทยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมที่จีนได้เปรียบและไทยมีการพึ่งพาสินค้าจากจีนสูง ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากจีนและข้อมูลการอนุมัติส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของไทยที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตทั้งในแง่มูลค่าการลงทุนและจำนวนโครงการ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตพลาสติก และโลหะที่มีจำนวนการตั้งใหม่ของโรงงานที่มีการลงทุนจากจีนมากที่สุด รวมถึงการผลิตสินค้าประเภทเครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า ยานยนต์ และเคมีภัณฑ์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีโอกาสสูงที่จะเป็นสินค้าทะลักจากประเทศจีน
.
การย้ายฐานการผลิตจากจีน สามารถส่งผลกระทบต่อผูประกอบการในประเทศไทยได้ในหลายแง่มุม ในด้านหนึ่ง อาจเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจไทยจากการไหลเข้าของเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ตลอดจนการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและการลดต้นทุน แต่ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการในไทยก็ต้องแบกรับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากผู้เล่นในรายใหม่จากต่างประเทศ รวมถึงแรงกดดันด้านราคาที่อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการบบางรายแบกรับไม่ไหว ไม่นับรวมไปถึงโอกาสที่สินค้าไทยจะถูกมองเป็นสินค้าที่มีความเชื่อมโยงกับสินค้าที่ผลิตโดยจีนมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเอง ด้วยผลกระทบเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องที่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญและร่วมมือกันหาแนวทางป้องกันหรือแก้ไขอย่างจริงจัง รวมถึงการกำหนดมาตรการที่เหมาะสมจากภาครัฐ เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศ