พามาเบิ่ง อีสาน…วิกฤตหนี้ เงินกู้มากกว่าเงินฝาก 10 จังหวัดน่าห่วง

(1) ข้อมูลสะสมตั้งแต่เดือนมกราคม 2556 ถึงมีนาคม 2568 พบว่า ธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศมีเงินฝากรวมทั้งสิ้น 17,479,803 ล้านบาท ขณะที่ยอดสินเชื่อ (เงินกู้) อยู่ที่ 17,997,436 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนเงินกู้ต่อเงินฝากอยู่ที่ 103% สะท้อนภาพชัดเจนว่า ประเทศไทยมีภาระหนี้สินสูงกว่าเงินฝาก หรือพูดง่ายๆ ก็คือ “หนี้ท่วมเงินฝาก”

 

อีกทั้งยังพบว่า ในประเทศไทยมีจังหวัดที่ “หนี้ท่วมเงินฝาก” อยู่ทั้งหมด 13 จังหวัด แต่ที่น่าตกใจคือมีจังหวัดในภาคอีสานปาไปกว่า 10 จังหวัด ได้แก่ 

– ร้อยเอ็ด 140%

– อุบลราชธานี 115%

– บึงกาฬ 113%

– สกลนคร 110%

– อำนาจเจริญ 109%

– ยโสธร 109%

– ขอนแก่น 105%

– ศรีสะเกษ 104%

– กาฬสินธุ์ 103%

– สุรินทร์ 100%

 

ภาคอีสานมีเงินฝากรวมทั้งสิ้น 962,035 ล้านบาท ขณะที่ยอดสินเชื่อ (เงินกู้) อยู่ที่ 936,284 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนเงินกู้ต่อเงินฝากอยู่ที่ 97% แม้ยอดเงินกู้จะยังไม่สูงเกินเงินฝาก แต่ตัวเลขที่ใกล้เคียงกันนี้ถือเป็นสัญญาณที่น่าจับตาและอาจสร้างความกังวลในระยะยาว

 

 

(2) อีสาน…ดินแดน “หนี้ท่วมฝาก” วิกฤตเงียบที่รอวันปะทุ

ภาคอีสานกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ จาก 13 จังหวัดทั่วประเทศไทยที่สัดส่วนเงินกู้สูงกว่าเงินฝากอย่างน่าตกใจ กลับมีจังหวัดในอีสานด้วยจำนวนถึง 10 จังหวัดที่กำลังเจอสถานการณ์ “หนี้ท่วมฝาก” โดยมี “ร้อยเอ็ด” ที่มีสัดส่วนเงินกู้ต่อเงินฝากที่พุ่งสูงถึง 140% สูงสุดในประเทศ นี่อาจไม่ใช่เพียงตัวเลขที่น่าตกใจ แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจระดับครัวเรือนและภูมิภาค 

 

การที่ “ร้อยเอ็ด” กลายเป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนเงินกู้ต่อเงินฝากสูงที่สุดในประเทศนั้น อาจจะเป็นผลมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน ฐานเศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งมีความผันผวนสูงตามฤดูกาลและราคาผลผลิต ทำให้รายได้ของครัวเรือนไม่แน่นอน และอาจต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบหรือสถาบันการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน แม้จะมีสถาบันการเงินให้บริการ แต่เงื่อนไขการเข้าถึงสินเชื่อสำหรับกลุ่มเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยอาจไม่เอื้ออำนวย ทำให้ต้องกู้ยืมด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และภาระหนี้สินที่หนักอึ้งตามมา หรือแม้กระทั่งการบริโภคสินค้าที่อาจเกินกำลังทรัพย์ หรือการเข้าถึงสินค้าและบริการที่ง่ายขึ้นผ่านสินเชื่อต่างๆ อาจกระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้โดยไม่ทันได้วางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ การขาดความรู้และทักษะในการบริหารจัดการเงินส่วนบุคคลที่จำกัด อาจทำให้ประชากรตกเป็นเหยื่อของวงจรหนี้สินได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจบางประเภทที่เน้นการบริโภคผ่านสินเชื่อ อาจส่งผลให้ประชาชนก่อหนี้เพิ่มขึ้นโดยไม่ได้สร้างรายได้ที่ยั่งยืนนั่นเอง

 

(3) “หนี้ท่วมฝาก” ที่เกิดขึ้นในภาคอีสาน ไม่ใช่เพียงปัญหาเฉพาะบุคคล แต่เป็นปัญหาใหญ่ที่พร้อมจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค เมื่อครัวเรือนมีภาระหนี้สินสูง ย่อมมีเงินเหลือสำหรับการบริโภคสินค้าและบริการลดลง ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่สูงขึ้น ย่อมเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของสถาบันการเงิน และอาจนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเงินในที่สุด ภาวะหนี้สินที่สูงอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นในการลงทุน และทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ความเครียดและปัญหาทางสังคมที่เกิดจากภาระหนี้สิน อาจนำไปสู่ปัญหาอาชญากรรมและความไม่มั่นคงในสังคมตามมานั่นเอง

 

ดังนั้น สถานการณ์ “หนี้ท่วมฝาก” ในภาคอีสานเป็นประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและรอบด้าน การมองข้ามปัญหานี้อาจนำไปสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่รุนแรงในอนาคต การดำเนินมาตรการที่มุ่งเน้นการสร้างรายได้ที่ยั่งยืน การส่งเสริมความรู้ทางการเงิน การควบคุมการเข้าถึงสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ และการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง คือแนวทางในการ “ปลดล็อก” วิกฤตหนี้สินและสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับผืนดินแห่งนี้ ก่อนที่ความหวังจะถูกกลืนกินด้วยเงาแห่งหนี้สินที่ทอดยาว

 

 

อ้างอิงจาก:

– ธนาคารแห่งประเทศไทย

 

พาส่องเบิ่ง ในปี 2566  ครัวเรือนอีสานกว่า 3.6 ล้านครัวเรือนเป็นหนี้ โดยแต่ละครัวเรือเป็นหนี้เฉลี่ย 200,540 บาท

ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่

https://linktr.ee/isan.insight

 

#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #บัญชีเงินฝาก #บัญชีธนาคาร #เงินฝาก #บัญชีเงินกู้ #เงินสินเชื่อ #เงินสินเชื่อ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top