กว่า 3 ทศวรรษแล้ว ทำไมกัมพูชาเก็บกู้ทุ่นระเบิดยังไม่หมดและอะไรคือข้อจำกัด?

ข้อมูลที่คุณมีว่าเก็บกู้ได้เพียง 10% อาจเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างเก่า หากอ้างอิงจากข้อมูลล่าสุดของ องค์กรปฏิบัติการทุ่นระเบิดและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแห่งกัมพูชา (CMAA)

กัมพูชาได้เก็บกู้และเคลียร์พื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดตกค้างจากสงครามไปได้แล้วเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ แต่ยังคงเหลือพื้นที่ที่ปนเปื้อนอยู่อีกมาก

 

ภาพรวมสถานการณ์ล่าสุด

  • ความคืบหน้า: นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ถึงปัจจุบัน กัมพูชาได้เคลียร์พื้นที่ที่ปนเปื้อนกับระเบิดไปแล้วกว่า 2,794 ตารางกิโลเมตร และทำลายทุ่นระเบิดและยุทโธปกรณ์ที่ยังไม่ระเบิด (UXO) ไปแล้วหลายล้านชิ้น ทำให้พื้นที่ดังกล่าวปลอดภัยและสามารถนำกลับมาใช้เพื่อการเกษตรและพัฒนาชุมชนได้
  • เป้าหมาย: รัฐบาลกัมพูชามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศ ปลอดทุ่นระเบิดภายในปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025)
  • พื้นที่ที่ยังคงมีความเสี่ยง: แม้จะมีความคืบหน้าไปมาก แต่คาดว่ายังคงมีพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดเหลืออยู่อีกประมาณ 538 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่ปนเปื้อนวัตถุระเบิดอื่น ๆ (ที่ไม่ใช่ทุ่นระเบิด) อีกประมาณ 1,323 ตารางกิโลเมตร

 

เหตุผลหลักที่ทำให้การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในกัมพูชาเป็นไปอย่างยากลำบากและใช้เวลานาน

แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากนานาชาติและการลงนามในสนธิสัญญาต่างๆ แต่ความท้าทายในการเก็บกู้ระเบิดในกัมพูชามีความซับซ้อนหลายมิติ ดังนี้ครับ

 

1. ขนาดและความหนาแน่นของการปนเปื้อนที่มหาศาล

  • มรดกจากสงครามหลายทศวรรษ: กัมพูชาต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองและความขัดแย้งภายในประเทศมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 ทำให้มีการใช้ทุ่นระเบิดและระเบิดพวง (Cluster Munitions) อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ
  • แนวรบ K-5: ในช่วงทศวรรษ 1980 มีการวางทุ่นระเบิดจำนวนมหาศาลตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เรียกว่า “แนวรบ K-5” ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดหนาแน่นที่สุดในโลก ทำให้การเก็บกู้ทำได้ยากและอันตรายอย่างยิ่ง
  • ไม่มีแผนที่ที่ชัดเจน: ทุ่นระเบิดส่วนใหญ่ถูกวางโดยไม่มีการบันทึกตำแหน่งที่แม่นยำ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้วิธีการสำรวจและเก็บกู้แบบ “ปูพรม” ซึ่งต้องใช้เวลาและทรัพยากรมหาศาล

 

2. ความซับซ้อนทางเทคนิคและภูมิประเทศ

  • สภาพแวดล้อมที่ท้าทาย: พื้นที่ที่ปนเปื้อนจำนวนมากอยู่ในป่าทึบ ภูเขา และพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ในการเก็บกู้
  • ชนิดของระเบิดที่หลากหลาย: มีการใช้ทุ่นระเบิดหลายชนิด ทั้งทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและทุ่นระเบิดต่อสู้รถถัง บางชนิดทำจากพลาสติกซึ่งยากต่อการตรวจจับด้วยเครื่องมือโลหะ
  • การเสื่อมสภาพของวัตถุระเบิด: วัตถุระเบิดที่ฝังอยู่ใต้ดินเป็นเวลานานอาจเสื่อมสภาพและมีความไวต่อการระเบิดมากขึ้น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงให้กับเจ้าหน้าที่เก็บกู้

 

3. ข้อจำกัดด้านเงินทุนและทรัพยากร

  • ค่าใช้จ่ายที่สูงมาก: การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นภารกิจที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ตั้งแต่ค่าจ้างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ ค่าอุปกรณ์ป้องกัน อุปกรณ์ตรวจจับ ไปจนถึงค่าดำเนินการในพื้นที่
  • ความไม่แน่นอนของเงินทุนสนับสนุน: แม้จะได้รับเงินสนับสนุนจากนานาชาติ (เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป) แต่เงินทุนเหล่านี้อาจมีความไม่แน่นอนและไม่ต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและนโยบายของผู้บริจาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวางแผนระยะยาว

 

4. ผลกระทบจากการลงนามในอนุสัญญาออตตาวา

  • ด้านบวก: การลงนามใน อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และว่าด้วยการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ในปี พ.ศ. 2540 เป็นการแสดงเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจนของกัมพูชา และช่วยระดมการสนับสนุนจากนานาชาติได้เป็นอย่างดี
  • ข้อจำกัด: อนุสัญญาฯ เน้นไปที่ “ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” เป็นหลัก แต่ในกัมพูชายังมีปัญหาจาก “วัตถุระเบิดตกค้างจากสงคราม (ERW)” อื่นๆ เช่น ระเบิดพวง และทุ่นระเบิดต่อสู้รถถัง ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้อนุสัญญาฯ นี้โดยตรง ทำให้การจัดการต้องอาศัยกรอบความร่วมมืออื่นเพิ่มเติม

 

 

 

ข้อมูลการสำรวจพื้นฐานนี้แสดงข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งการปนเปื้อนของวัตถุระเบิดตกค้างจากสงคราม (ERW) และทุ่นระเบิด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 ถึง พ.ศ. 2557

แหล่งข้อมูลนี้มาจากสำนักงานปฏิบัติการและช่วยเหลือเหยื่อทุ่นระเบิดแห่งกัมพูชา (CMAA) และข้อมูลจากสำนักงานประสานงานกิจการด้านมนุษยธรรม (OCHA) ส่งต่อไปยังศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านมนุษยธรรม (HDX) ทีมแผนที่และข้อมูลของ ODC ได้รวบรวมข้อมูลในรูปแบบไฟล์รูปร่างจากเว็บไซต์ HDX และเผยแพร่ซ้ำบนเว็บไซต์ของ ODC เพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์เท่านั้น

 

ภาพรวมการเปรียบเทียบการปฏิบัติการทุ่นระเบิด: กัมพูชา vs. ไทย

 

ประเด็นเปรียบเทียบ กัมพูชา (ข้อมูลโดย CMAC และหน่วยงานอื่นๆ) ประเทศไทย (ข้อมูลโดย TMAC)
ขนาดของปัญหาดั้งเดิม มหาศาลและซับซ้อน: เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดตกค้าง (ERW) รุนแรงที่สุดในโลก พื้นที่ปนเปื้อนกระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นผลจากสงครามกลางเมืองหลายทศวรรษ รุนแรงแต่จำกัดพื้นที่: ปัญหาการปนเปื้อนส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ตามแนวชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นผลพวงจากความขัดแย้งในอดีต
หน่วยงานหลัก CMAC เป็นหน่วยงานปฏิบัติการหลักของรัฐบาล นอกจากนี้ยังมีองค์กรระหว่างประเทศ เช่น HALO Trust และ Mines Advisory Group (MAG) ร่วมปฏิบัติการด้วย TMAC (ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ) เป็นหน่วยงานหลักในการวางแผนและกำกับดูแล โดยมีหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม (HMAU) เป็นผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่
พื้นที่ปนเปื้อนที่เหลืออยู่ (ข้อมูลล่าสุด) ณ ต้นปี พ.ศ. 2568 คาดว่ายังคงมีพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดเหลืออยู่ประมาณ 538 ตร.กม. และพื้นที่ปนเปื้อนจาก ERW อื่นๆ อีกประมาณ 1,323 ตร.กม. ณ ต้นปี พ.ศ. 2567 (ตามรายงานปี 2024) ประเทศไทยมีพื้นที่ต้องสงสัยและยืนยันว่าปนเปื้อนทุ่นระเบิดเหลืออยู่ประมาณ 21.78 ตร.กม.
ความคืบหน้าในการเก็บกู้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เคลียร์พื้นที่ไปแล้วกว่า 2,794 ตร.กม. และทำลายทุ่นระเบิด/ERW ไปแล้วหลายล้านชิ้น เฉพาะในปี พ.ศ. 2565 ปีเดียว CMAC เคลียร์พื้นที่ได้ถึง 194 ตร.กม. ในปี พ.ศ. 2566 (รายงาน ณ สิ้นปี) สามารถจัดการพื้นที่ปนเปื้อน (Land Release) ไปได้ 5.22 ตร.กม. โดยหลายจังหวัด เช่น จันทบุรี ชุมพร เชียงใหม่ ได้รับการประกาศเป็นพื้นที่ปลอดทุ่นระเบิดแล้ว
เป้าหมายชาติ “กัมพูชาปลอดทุ่นระเบิดภายในปี พ.ศ. 2568 (Mine-Free Cambodia 2025)” และจัดการ ERW ทั้งหมดในภายหลัง “ประเทศไทยปลอดทุ่นระเบิดภายในปี พ.ศ. 2569 (Mine-Free Thailand 2026)” ตามพันธกรณีของอนุสัญญาออตตาวา
ความท้าทายหลัก 1. ขนาดพื้นที่ปนเปื้อนที่ใหญ่มาก <br>2. ไม่มีแผนที่การวางทุ่นระเบิด ทำให้ต้องสำรวจใหม่ทั้งหมด <br>3. ความหลากหลายของวัตถุระเบิด ทั้งทุ่นระเบิดและระเบิดพวง <br>4. ต้องพึ่งพางบประมาณจากต่างประเทศ ซึ่งมีความไม่แน่นอน 1. สภาพภูมิประเทศ ที่เป็นป่าและภูเขาสูงชันตามแนวชายแดน ทำให้เข้าถึงได้ยาก <br>2. การเปลี่ยนแปลงสภาพของดินและวัตถุระเบิด ที่ฝังมานานทำให้ตรวจจับยาก <br>3. ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน บริเวณพื้นที่ชายแดนที่ยังมีความละเอียดอ่อน

ความร่วมมือระหว่างประเทศ: ทั้ง CMAC และ TMAC มีโครงการความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนร่วมกัน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและแก้ไขปัญหาร่วมกันในระดับภูมิภาค แต่จากเหตุการณ์การปะทะชายแดนระหว่าง ไทย-กัมพูชา อาจทำให้ความร่วมนี้อาจถึงจุดสิ้นสุด

สรุปทำไมข้อมูลของไทยจึงมีจุดปนเปื้อนบริเวณชายแดนกัมพูชา?

สาเหตุที่ข้อมูลการปนเปื้อนของไทยส่วนใหญ่ อยู่บริเวณชายแดนกัมพูชา ก็เนื่องมาจากผลกระทบของสงครามกลางเมืองในกัมพูชาและความขัดแย้งตามแนวชายแดนในอดีต ทำให้มีการวางทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดจำนวนมากในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบมาถึงดินแดนฝั่งไทยด้วย

ดังนั้น คำอธิบายที่ได้ให้ไว้ในครั้งแรก เกี่ยวกับสาเหตุที่การเก็บกู้ระเบิดใน “กัมพูชา” มีความท้าทายและใช้เวลานาน จึงยังคงเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและตรงกับสถานการณ์จริงของประเทศกัมพูชาครับ แม้ว่าลิงก์ที่คุณอ้างอิงจะเป็นข้อมูลในฝั่งไทย แต่ประเด็นคำถามของคุณเกี่ยวกับสถานการณ์ในกัมพูชานั้น คำตอบยังคงเป็นเช่นเดิม คือ:

  1. ขนาดของปัญหาที่ใหญ่เกินจินตนาการ จากสงครามที่ยาวนาน
  2. ความซับซ้อนของพื้นที่และชนิดของระเบิด
  3. ค่าใช้จ่ายที่สูงและข้อจำกัดด้านงบประมาณ แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากต่างชาติ


ภาพ ทูตทหารสังเกตการณ์ระเบิดที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นมาจากการทิ้งระเบิดของเครื่องบินของไทย

เมื่อกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดมกที่สุด กำลังใช้ ทุ่นระเบิด จุดชนวนความขัดแย้ง

ที่ผ่านมาตลอดประวัติศาสตร์ชาติกัมพูชาเป็น 1 ในชาติที่เผชิญกับทั้งสงครามเย็น สงครามภายใน ที่ทิ้งระเบิดไว้โดยมีการคาดการณ์ว่าอาจมีระเบิดตกค้างมากกว่า 10 ล้านลูก

อนุสัญญาออตตาวา มีขึ้นเพื่อยุติการใช้ “ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” (Anti-Personnel Landmines) ทั่วโลก โดยมีเป้าหมายหลักคือเพื่อปกป้องพลเรือนและยุติความทุกข์ทรมานที่เกิดจากอาวุธชนิดนี้ ซึ่งมักจะก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมต่อไปอีกนานแม้สงครามจะจบสิ้นลงแล้วก็ตาม

อนุสัญญานี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และว่าด้วยการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” ถือเป็นสนธิสัญญาด้านมนุษยธรรมและการลดอาวุธที่สำคัญฉบับหนึ่งของโลก

โดยสรุปสาระสำคัญได้ 4 ข้อหลัก ดังนี้ครับ

  1. การห้ามโดยสมบูรณ์ (Total Ban) 🚫
    • ห้ามใช้: ห้ามนำทุ่นระเบิดสังหารบุคคลมาใช้ในทุกสถานการณ์
    • ห้ามผลิต: ห้ามพัฒนาและผลิตทุ่นระเบิดสังหารบุคคลขึ้นมาใหม่
    • ห้ามสะสม: ห้ามเก็บสะสมทุ่นระเบิดสังหารบุคคลไว้ในคลังอาวุธ
    • ห้ามโอน: ห้ามซื้อขาย แจกจ่าย หรือส่งมอบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้แก่ผู้ใด
  2. การทำลายทุ่นระเบิดในคลัง (Stockpile Destruction) 🔥
    • รัฐภาคีมีข้อผูกพันที่จะต้องทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ตนมีอยู่ในคลังแสงทั้งหมด ภายใน 4 ปี หลังจากที่อนุสัญญามีผลบังคับใช้กับประเทศของตน
  3. การเก็บกู้และกวาดล้าง (Mine Clearance) 💣
    • รัฐภาคีจะต้องเก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งหมดที่ถูกฝังอยู่ในพื้นที่ภายใต้อาณัติของตนให้เสร็จสิ้น ภายใน 10 ปี (สามารถขอขยายเวลาได้หากมีเหตุผลอันสมควร)
  4. การช่วยเหลือผู้ประสบภัย (Victim Assistance) ❤️‍🩹
    • รัฐภาคีมีพันธกรณีในการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของทุ่นระเบิด ทั้งในด้านการรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายและใจ รวมถึงการช่วยเหลือให้พวกเขาสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อีกครั้ง

อนุสัญญาออตตาวาสร้างขึ้นเพื่อสร้างบรรทัดฐานระหว่างประเทศว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเป็นอาวุธที่ไร้มนุษยธรรมและยอมรับไม่ได้ โดยไม่เพียงแต่ห้ามใช้อาวุธชนิดนี้ แต่ยังกำหนดให้รัฐต้องรับผิดชอบในการเก็บกู้ของเก่า ทำลายของที่มีอยู่ และดูแลเหยื่อที่ได้รับผลกระทบ เพื่อสร้างโลกที่ปลอดภัยจากอันตรายของทุ่นระเบิดสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจุดจบระหว่าง ไทย-กัมพูชา จะเป็นเช่นไร คนที่เจ็บช้ำที่สุด คือ ประชาชน และ ทหาร แนวหน้าที่ต้องสูญสิ้นชีวิตหรือสูญเสียขากลายเป็นผู้พิการไปตลอดชีวิต

 

 

 

 

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top