ในสังคมไทย คำว่า “ความกตัญญู” เป็นค่านิยมที่ได้รับการยกย่องมาอย่างยาวนาน ลูกที่เลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่าถูกมองว่าเป็นลูกที่ดีและมีคุณธรรม แต่เมื่อค่านิยมนี้ต้องมาเผชิญกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจในยุคใหม่ ภาระดังกล่าวได้กลายเป็นสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “หนี้กตัญญู” หนี้นี้ต่างจากหนี้สินทั่วไป หนี้กตัญญูไม่มีสัญญาหรือดอกเบี้ย หากแต่เป็นภาระที่สังคมคาดหวังให้ลูกหลานต้องแบกรับ โดยเฉพาะ ชนชั้นกลาง ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด พวกเขามีรายได้มากพอที่จะถูกคาดหวังว่าจะดูแลพ่อแม่ได้ แต่ในความเป็นจริง รายได้เหล่านั้นต้องถูกใช้ไปกับค่าครองชีพ การผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และการลงทุนเพื่ออนาคต ทำให้คนกลุ่มนี้ตกอยู่ในสถานะ Sandwich Generation คือถูกบีบทั้งจากภาระเลี้ยงดูพ่อแม่ที่อายุมากขึ้น และการดูแลลูกที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันค่านิยมเรื่อง “ลูกต้องเลี้ยงดูพ่อแม่” เริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเลือกที่จะครองโสด หรือถึงจะแต่งงานก็ไม่ได้ต้องการมีบุตรเหมือนในอดีต คำถามเชิงสังคมที่มักได้ยินอย่าง “เมื่อไหร่จะมีลูก” หรือ “มีลูกไว้ให้เลี้ยงดูตอนแก่” จึงสะท้อนแรงกดดันที่ไม่สอดคล้องกับความจริงทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ต้นทุนการเลี้ยงดูบุตรที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ผนวกกับภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวชนชั้นกลางและชนชั้นล่างที่ต้องดูแลทั้งลูกและพ่อแม่พร้อมกัน ทำให้การฝากความหวังไว้กับลูกเพียงอย่างเดียวไม่อาจถือเป็นหลักประกันที่มั่นคงได้อีกต่อไป
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้รุนแรงขึ้น คือโครงสร้างประชากรไทยที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปจะมีสัดส่วนถึงเกือบ 30% ของประชากรทั้งหมด ครอบครัวไทยในอดีตมีลูกหลายคนช่วยกันดูแลพ่อแม่ แต่ปัจจุบันครอบครัวมีขนาดเล็กลง ภาระทั้งหมดจึงมักตกอยู่กับลูกเพียงคนหรือสองคน ในขณะเดียวกัน คนรุ่นพ่อแม่หรือที่เรียกว่า Baby Boomer, Gen X ในกลุ่มรายได้ปานกลางถึงต่ำส่วนใหญ่ไม่ได้มีการเตรียมการทางการเงินเพื่อวัยเกษียณมากพอ ขาดทั้งความรู้ด้านการเงินและโอกาสในการลงทุน ทั้งนี้ยังไม่รวมในส่วนของหนี้สินต่างๆที่ได้มีการก่อไว้ทั้งในด้านของผู้ถูกเลี้ยงดู และผู้ที่จะต้องเลี้ยงดูที่จะต้องแบกรับภาระในส่วนนี้เช่นกัน เมื่อเข้าสู่วัยชราพวกเขาจึงต้องพึ่งพาลูกหลานเป็นหลัก โดยมีความเชื่อฝังแน่นว่าลูกต้องตอบแทนบุญคุณด้วยการดูแลตลอดชีวิต
ปัญหานี้ไม่ได้มีเพียงมิติทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีรากทางวัฒนธรรม “ความกตัญญู” ในอดีตหมายถึงการเคารพและดูแลพ่อแม่ทั้งด้านจิตใจและการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ในปัจจุบันค่านิยมนี้ถูกตีค่าในเชิงการเงินมากขึ้น การให้เงิน ซื้อของแพง หรือพาไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย กลายเป็นสัญลักษณ์ของความกตัญญู ขณะที่ลูกที่ไม่สามารถทำได้อาจถูกมองว่า “อกตัญญู” แม้จะดูแลพ่อแม่ในรูปแบบอื่นแล้วก็ตาม แรงกดดันนี้ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวตึงเครียด และทำให้หลายคนรู้สึกหมดหวังเพราะไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังทางสังคมได้
หากมองถึงต้นตอของปัญหา จะบอกว่า “ความกตัญญู” ที่ทำให้ลูกต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ แม้ตัวเองยังต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพจนแทบไม่พอกิน เป็นสิ่งที่ “ผิด” ก็คงไม่ถูกนัก ในขณะเดียวกัน หากจะชี้ว่าเป็นความผิดของพ่อแม่ที่ทำงานมาทั้งชีวิตแต่กลับไม่มีเงินเก็บไว้ใช้ยามชรา ต้องหันมาพึ่งพาลูกหลานเพียงอย่างเดียว ก็ดูจะไม่ยุติธรรมเช่นกัน หากมองให้ลึกลงไป ปัญหาแท้จริงอาจอยู่ที่ “รายได้” ของครัวเรือนที่ไม่เติบโตสอดคล้องกับ “รายจ่าย” ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่า และ “ปัญหาด้านรัฐสวัสดิการ” ที่มีให้ในปัจจุบันนั้นไม่สามารถช่วยเหลือ หรือแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ได้ เมื่อมองในมิติแบบนี้ อาจช่วยให้เราเห็นภาพและหาข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นว่า เรื่องนี้เป็นผลสะสมจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจ มากกว่าจะเป็นความผิดของใครโดยตรง
ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในตะวันตกอย่างยุโรปและอเมริกา การดูแลผู้สูงอายุถือเป็นหน้าที่ของรัฐที่จัดสวัสดิการด้านบำนาญและการรักษาพยาบาลอย่างครอบคลุม เมื่อลูกเติบโตขึ้นก็มักแยกออกไปสร้างชีวิตของตนเองตามแนวคิดครอบครัวที่เน้นความเป็นอิสระ ภาระการดูแลผู้สูงอายุจึงไม่ได้ตกอยู่กับลูกหลานโดยตรง แต่ถูกแบกรับผ่านระบบรัฐสวัสดิการที่ช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวได้มาก
ตรงกันข้าม ในหลายประเทศเอเชีย เช่น ไทย จีน และเกาหลี ค่านิยมที่ “ลูกต้องดูแลพ่อแม่” ฝังลึกจนกลายเป็นบรรทัดฐานทางสังคม การพึ่งพาลูกหลานจึงกลายเป็นกลไกหลักในการดูแลผู้สูงอายุ ยิ่งในบริบทของประเทศไทยที่ระบบสวัสดิการยังมีข้อจำกัด เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเริ่มต้นเพียง 600 บาทต่อเดือน หรือบำนาญจากประกันสังคมที่ไม่สูงพอเมื่อเทียบกับค่าครองชีพจริง (โดยเฉพาะในเขตเมืองที่ค่าใช้จ่ายเกิน 7,000 บาทต่อเดือน) ช่องว่างนี้ยิ่งทำให้ครอบครัวต้องรับภาระเพิ่มขึ้น ลูกหลานจึงกลายเป็น “กองทุนบำนาญส่วนตัว” ของพ่อแม่โดยไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า ซึ่งเมื่อครอบครัวมีขนาดเล็กลงและค่าครองชีพสูงขึ้น ภาระดังกล่าวยิ่งตกหนักที่ลูกเพียงไม่กี่คน
ข้อมูลรายได้ และรายจ่ายต่อครัวเรือนจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจะพบว่าภาตครัวเรือนอีสานโดยค่าเฉลี่ยนั้นมีรายได้ที่สูงกว่ารายจ่าย และเมื่อพิจารณาจากช่องว่างที่เหลือระหว่างรายได้กับรายจ่ายนั้นสามารถอนุมานได้ว่าเงินที่เหลือในส่วนนี้นั้นสามารถนำไปเป็นเงินเก็บหรือเงินในการลงทุนต่อได้
ภาพที่ 1 รายได้ และรายจ่ายเฉลี่ยต่อครัวเรือนในภาคอีสาน
ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ
เมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคลจากข้อมูลของสำนักงานประกันสังคมจะพบว่า ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งส่วนใหญ่คือแรงงานในระบบเอกชน มีจำนวนกว่า 12.1 ล้านคน พบว่า แรงงานจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเงินเดือน 9,001-11,000 บาทต่อเดือน มากถึง 2.8 ล้านคน หรือคิดเป็น 23% ของทั้งหมด รองลงมาคือกลุ่มที่มีรายได้ 13,001-15,000 บาท จำนวนกว่า 1.7 ล้านคน หรือ 14.07% และกลุ่ม 11,001-13,000 บาท กว่า 12.3% สะท้อนให้เห็นว่าแรงงานไทยกว่า 7.8 ล้านคนยังคงมีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งก็ถือว่าเป็นฐานค่าจ้างขั้นต่ำถึงระดับปานกลางที่ยังไม่สูงเมื่อเทียบกับค่าครองชีพปัจจุบัน
ภาพที่ 2 รายได้ของผู้ประกันตนในไทย
ที่มา: สำนักงานประกันสังคม
จะเห็นว่า รายได้ที่แท้จริงของแรงงานส่วนใหญ่อาจไม่สูงพอเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ ทำให้แม้ครัวเรือนบางกลุ่มอาจดูเหมือนมีเงินเหลือ แต่ในความเป็นจริง เงินจำนวนนี้มักไม่เพียงพอสำหรับภาระซ้อนทับ เช่น การผ่อนบ้าน เลี้ยงดูลูก และดูแลพ่อแม่สูงวัย ข้อสังเกตนี้ย้ำให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เอกสารกล่าวถึงว่า ชนชั้นกลางและแรงงานในระบบถูกกดทับด้วยค่าใช้จ่ายจนไม่สามารถสร้างหลักประกันทางการเงินในระยะยาวได้จริง
ปัญหาด้านรายได้นี้ไม่เพียงแต่กัดกร่อนคุณภาพชีวิตของคนรุ่นปัจจุบัน แต่ยังส่งผลต่ออนาคตของประเทศอย่างชัดเจน หลายคู่รักตัดสินใจไม่แต่งงานหรือไม่อยากมีลูก เพราะมองว่าตนเองยังไม่พร้อม และปัจจัยหลายอย่างไม่ดีพอ โดยเฉพาะในมุมมองของคนรายได้ปานกลาง การจะมองว่าไม่อยากมีลูกเพราะไม่อยากสร้างภาระเพิ่ม และไม่ต้องการให้ลูกทีเกิดมานั้นลำบากก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร รวมไปถึงการอยากให้ลูกได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระไม่ต้องมาดูแลตนเองตอนแก่เฒ่าเช่นกัน ส่งผลให้จำนวนเด็กเกิดใหม่ของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันอัตราการเกิดต่ำกว่าการตายแล้ว
ภาพที่ 3 จำนวนการเกิด และเสียชีวิตของประชากรทั่วประเทศ พ.ศ. 2558 – 2567
ที่มา: กรมการปกครอง
เมื่อประชากรวัยแรงงานลดลง แต่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ประเทศจะต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เศรษฐกิจชะลอตัว และภาระทางการคลังที่หนักขึ้น ปัญหาหนี้กตัญญูจึงไม่ใช่เพียงเรื่องครอบครัว แต่คือ “ระเบิดเวลาทางสังคม” ที่จะส่งผลต่อทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ
อ้างอิง
- Beartai, BBC, 101Pub, สำนักงานสถิติแห่งชาติ, สำนักงานประกันสังคม, กรมการปกครอง