โลกกำลังเดือด‼️ พาย้อนเบิ่ง ไทม์ไลน์ 10 ปี เมื่อ “ความอดทนหมดลง”… ก่อเกิดการจลาจลไปทั่วโลก‼️

โลกเดือด เมื่อความอดทนหมดลง – การประท้วงในฐานะภาพสะท้อนเศรษฐกิจและความมั่นคงโลก

ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โลกเผชิญคลื่นการประท้วงที่ปะทุขึ้นในหลายภูมิภาค ตั้งแต่ลาตินอเมริกา ยุโรป ไปจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ความเหลื่อมล้ำ และความล้มเหลวของภาครัฐ ในการตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งนำไปสู่คำถามใหญ่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศและการเชื่อมโยงต่อเศรษฐกิจโลกในภาพรวมนั่นเอง

เวเนซุเอลา (2017–2019) เศรษฐกิจล่มสลายและการเมืองล้มเหลว

เวเนซุเอลาเป็นกรณีศึกษาชัดเจนของรัฐที่พึ่งพาน้ำมันมากเกินไป เมื่อราคาน้ำมันตกต่ำ เศรษฐกิจพังทลาย ประชาชนขาดแคลนอาหารและยา รัฐบาลมาดูโรถูกกดดันจากทั้งภายในและภายนอก ผลที่ตามมาคือการอพยพครั้งใหญ่สู่ประเทศเพื่อนบ้าน ก่อให้เกิดภาระทางสังคมและเศรษฐกิจระดับภูมิภาค

ชิลี (2019) ความเหลื่อมล้ำในประเทศที่เติบโต

การขึ้นค่าโดยสารรถไฟใต้ดินในชิลีเป็นเพียง “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่จุดชนวนความไม่พอใจที่สะสมมาอย่างยาวนาน ประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจตกอยู่ในมือชนชั้นนำไม่กี่กลุ่ม จึงทำให้เกิดการประท้วง ซึ่งการประท้วงครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแรงไม่ได้การันตีเสถียรภาพทางสังคม หากความเหลื่อมล้ำยังคงสูง ผลกระทบเชื่อมโยงถึงตลาดลงทุน เพราะชิลีคือผู้ส่งออกทองแดงรายใหญ่ที่สุดของโลก ความไม่สงบจึงสั่นสะเทือนห่วงโซ่อุปทานโลหะอุตสาหกรรมระดับโลกนั่นเอง

ฮ่องกง (2019) ความมั่นคงทางการเมืองและการเงินโลก

การต่อต้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนสะท้อนความกังวลเรื่องอิทธิพลของจีน และนำไปสู่การเรียกร้องประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการเงินโลกถูกสั่นคลอน ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้ นักลงทุนต่างชาติทบทวนความเชื่อมั่น ในฐานะประตูการเงินสู่จีน และส่งผลต่อการจัดทัพทุนของบริษัทข้ามชาตินั่นเอง

สหรัฐอเมริกา (2020): Black Lives Matter และความเหลื่อมล้ำเชิงสังคม

การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ จุดประกายการประท้วง Black Lives Matter ที่สะท้อนทั้งความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ขบวนการดังกล่าวไม่ได้เพียงเขย่าสังคมอเมริกันเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อแบรนด์ระดับโลก หลายแห่งที่ต้องปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อสะท้อนความรับผิดชอบทางสังคม และทำให้ความยุติธรรมทางเชื้อชาติกลายเป็นแรงกดดันใหม่ในระบบทุนนิยมโลก

คาซัคสถาน (2022): ราคาพลังงานกับการเมืองเผด็จการ

การขึ้นราคาก๊าซเชื้อเพลิงเป็นตัวเร่งให้เกิดการลุกฮือทั่วประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำ แต่ยังแสดงให้เห็นว่า ราคาพลังงานคือจุดเปราะบางของความมั่นคงของภาครัฐ ความไม่สงบในคาซัคสถานซึ่งเป็นผู้ส่งออกพลังงานสำคัญ ทำให้ตลาดพลังงานโลกผันผวน และตอกย้ำความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่างการปกครองแบบเผด็จการกับการจัดการทรัพยากร

ฝรั่งเศส (2023): ความรุนแรงของตำรวจและสังคมพหุวัฒนธรรม

การเสียชีวิตของวัยรุ่นฝรั่งเศสที่ถูกตำรวจยิง จุดชนวนให้เกิดการประท้วงใหญ่ในชุมชนผู้อพยพ เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาการบูรณาการทางสังคม และสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป ความไม่สงบส่งผลต่อ เสถียรภาพการลงทุนในยุโรป และกระทบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักนั่นเอง

 

ในปี 2025 ความปั่นป่วนรอบใหม่ในหลายประเทศด้วยกัน

สหราชอาณาจักร

คลื่นต่อต้านผู้อพยพสะท้อนความตึงเครียดทางสังคมจากกระแสชาตินิยม ผลทางเศรษฐกิจคือแรงงานขาดแคลน โดยเฉพาะในภาคบริการและเกษตรกรรม

เนปาล

คนรุ่นใหม่ (Gen Z) ลุกฮือเพื่อต่อต้านการแบนโซเชียลมีเดียและคอร์รัปชัน สะท้อนความเปราะบางของรัฐเล็กในเอเชียใต้ที่ต้องพึ่งพาแรงงานส่งออกและเงินโอนจากต่างประเทศ

สหรัฐอเมริกา

“Million March” ต่อต้านทรัมป์ แสดงให้เห็นการแบ่งขั้วการเมืองที่ลึกขึ้นในมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งอาจกระทบเสถียรภาพนโยบายการคลังและการค้าระหว่างประเทศ

อินโดนีเซีย

การประท้วงปากท้องจากค่าครองชีพสูงและความไม่พอใจการเมือง เป็นสัญญาณเตือนว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (emerging market) ก็เผชิญแรงกดดันจากความเหลื่อมล้ำและต้นทุนชีวิต

 

การประท้วงคือสัญญาณเศรษฐกิจโลกที่เชื่อมโยงกัน

การประท้วงในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นความมั่นคงภายในประเทศที่ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะของการเมืองท้องถิ่นเท่านั้น แต่คือเครือข่ายที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกอีกด้วย เมื่อรัฐไม่สามารถตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน ความไม่พอใจจะแปรเปลี่ยนเป็นแรงสั่นสะเทือนต่อการค้า การลงทุน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ

อีกทั้งการประท้วงทำให้เกิดต้นทุนแฝง ทั้งการชะงักของซัพพลายเชน การลดลงของการท่องเที่ยว การหนีทุน และความผันผวนของตลาดการเงิน และยังเป็นการท้าทายสัญญาประชาคมที่รัฐบาลมีไว้กับประชาชน หากรัฐไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและสร้างระบบที่โปร่งใส การประท้วงก็จะปะทุซ้ำเป็นวัฏจักรอีกครั้ง

 

อ้างอิงจาก:

– THE STANDARD

– TNN

– Human Rights Watch (HRW)

– Britannica

– The Guardian

– CBS News

– ThaiPublica

– ประชาไท

 

ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่

https://linktr.ee/isan.insight

 

#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #การประท้วง #ประท้วง #เศรษฐกิจโลก 

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top