วิกฤตการเงินโรงพยาบาลรัฐ ความท้าทายของระบบสุขภาพไทย กับความหวังที่ต้องเร่งฟื้นฟู
จากข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 พบว่า โรงพยาบาลในสังกัด สป.สธ. จำนวน 901 แห่ง มีเงินบำรุงสุทธิหลังหักภาระผูกพันคงเหลืออยู่ที่ 51,375 ล้านบาท แม้ในภาพรวมจะยังมีเงินสะสมอยู่ แต่ในรายละเอียดกลับพบความแตกต่างชัดเจนระหว่างโรงพยาบาลที่มีฐานะการเงินมั่นคงกับกลุ่มที่กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก โดยมีโรงพยาบาลถึง 183 แห่ง ที่มีเงินบำรุงติดลบรวมกันถึง -4,380.9 ล้านบาท ขณะที่อีก 718 แห่งมีเงินบำรุงเป็นบวกรวม 55,755.9 ล้านบาท
ความรุนแรงของสถานการณ์ยังสะท้อนผ่านการจัดระดับวิกฤตทางการเงิน ซึ่งในปีงบประมาณ 2568 โรงพยาบาลที่อยู่ในระดับวิกฤตขั้นสูงสุด หรือ “ระดับ 7 (สีแดง)” มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 2 แห่งในปีก่อนหน้า เป็น 5 แห่งในปีนี้ ขณะที่ระดับ 6 (สีส้ม) ซึ่งเป็นระดับที่ยังพอแก้ไขได้กลับไม่มีเลยในปี 2568 จากที่เคยมีอยู่ 3 แห่งในปี 2567 ซึ่งอาจหมายถึงว่า สถานการณ์บางแห่งแย่ลงจนขยับขึ้นเป็นระดับสีแดง หรืออาจได้รับการเยียวยาจนหลุดพ้นระดับวิกฤตนี้แล้ว
สาเหตุของวิกฤตนี้ไม่ได้มาเพียงเพราะการบริหารจัดการภายในเท่านั้น แต่ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของรัฐ โดยรายได้หลักของโรงพยาบาลรัฐส่วนใหญ่ในประเทศไทย มาจากการเบิกค่ารักษาพยาบาลจากกองทุนสุขภาพต่าง ๆ โดยเฉพาะกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ซึ่งเป็นหัวใจของการเข้าถึงการรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม รายได้ที่โรงพยาบาลได้รับจากการเบิกจ่ายกลับยังต่ำกว่าต้นทุนจริงของการให้บริการอยู่มาก อีกทั้งยังมีรายได้บางส่วนที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้เต็มจำนวน ทำให้เกิดการสะสมของปัญหาทางการเงินที่กัดกร่อนศักยภาพของโรงพยาบาลโดยรวม
สิ่งที่น่าจับตามองคือ แม้สถานการณ์ทางการเงินจะวิกฤต แต่ความต้องการของประชาชนกลับไม่ลดลง ตรงกันข้าม ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2567) จำนวนผู้ป่วยในเพิ่มขึ้นถึง 13.84% หรือเฉลี่ยปีละ 4.42% ส่วนตัวชี้วัดด้านความซับซ้อนของโรคที่โรงพยาบาลรักษา (SumAdjRW) ก็เพิ่มขึ้นจาก 7.8 ล้าน เป็น 9.7 ล้าน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 24.53% สะท้อนถึงภาระงานที่เพิ่มขึ้นควบคู่กับการรักษาที่ซับซ้อนขึ้น นอกจากนี้ การให้บริการผู้ป่วยนอกก็เพิ่มขึ้นกว่า 5.58% ภายในเพียงหนึ่งปี จาก 149 ล้านรายเป็นกว่า 158 ล้านรายในปี 2567
4 ปัจจัยทำไมโรงพยาบาลรัฐถึงติดลบ?
โรงพยาบาลรัฐในประเทศไทยประสบปัญหาหนี้สะสมและขาดทุนจากหลายสาเหตุที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน โดยหลักๆ มาจากความไม่สมดุลระหว่างรายรับและรายจ่าย รวมถึงโครงสร้างระบบสาธารณสุขในปัจจุบัน ปัจจัยสำคัญมีดังนี้:
1. รายรับไม่เพียงพอต่อต้นทุนที่แท้จริง:
- งบเหมาจ่ายรายหัว (บัตรทอง/หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า) ต่ำกว่าต้นทุน: ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีการจัดสรรงบประมาณแบบเหมาจ่ายรายหัวให้กับโรงพยาบาล ซึ่งมักจะต่ำกว่าต้นทุนจริงในการให้บริการ โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลที่ซับซ้อนหรือโรคเรื้อรัง ทำให้โรงพยาบาลขาดทุนจากการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้
- การหักเงินเดือนบุคลากรจากงบเหมาจ่าย: เดิมมีการหักเงินเดือนบุคลากรจากงบเหมาจ่ายรายหัวที่จัดสรรให้โรงพยาบาล ซึ่งทำให้โรงพยาบาลมีเงินเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ลดลง โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่มีบุคลากรจำนวนมาก
- การเคลมค่าบริการต่ำกว่าความเป็นจริง: บางครั้งการเคลมค่าบริการจากหน่วยงานที่รับผิดชอบการจ่ายเงิน (เช่น สปสช.) ไม่ครอบคลุมต้นทุนทั้งหมด หรือมีการจ่ายล่าช้า ทำให้โรงพยาบาลต้องแบกรับภาระทางการเงิน
- การรักษาผู้ป่วยต่างด้าว: โรงพยาบาลรัฐจำนวนมากต้องให้การรักษาผู้ป่วยต่างด้าวโดยไม่ได้มีการชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพียงพอ ทำให้เกิดหนี้ค้างชำระ
2. ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น:
- ค่าวัสดุทางการแพทย์และค่ายาที่เพิ่มขึ้น: ราคาของยาและเวชภัณฑ์ รวมถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลมีต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่ค่าชดเชยที่ได้รับอาจไม่ปรับเพิ่มตาม
- การรักษาที่ซับซ้อนและทันสมัยขึ้น: เมื่อวิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าขึ้น การวินิจฉัยและการรักษามีความซับซ้อนและใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น
- ค่าตอบแทนบุคลากรที่ไม่สอดคล้อง: แม้บุคลากรทางการแพทย์จะทำงานหนัก แต่ค่าตอบแทนอาจไม่จูงใจเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับภาระงานและความรับผิดชอบ ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนบุคลากรและอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาว
- ภาระงานที่หนักเกินไป: จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลรัฐมีภาระงานล้นมือ ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนแฝง เช่น ค่าล่วงเวลา หรือการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ
3. ปัญหาเชิงโครงสร้างและการบริหารจัดการ:
- ข้อจำกัดด้านงบประมาณภาครัฐ: รัฐบาลมีงบประมาณจำกัดในการจัดสรรให้กับระบบสาธารณสุข ทำให้โรงพยาบาลไม่ได้รับงบประมาณที่เพียงพอต่อการดำเนินงานและพัฒนา
- การบริหารจัดการที่ไม่ยืดหยุ่น: โรงพยาบาลรัฐบางแห่งอาจมีข้อจำกัดในการบริหารจัดการงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้าง ทำให้ไม่สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
- การขาดประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้: โรงพยาบาลอาจมีปัญหาในการจัดเก็บรายได้จากผู้ป่วยบางกลุ่ม หรือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4. ผลกระทบที่ตามมา:
- โรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง: เมื่อรายจ่ายสูงกว่ารายรับต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลขาดสภาพคล่องทางการเงิน ไม่มีเงินเพียงพอในการชำระหนี้ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ หรือค่าสาธารณูปโภค
- คุณภาพบริการอาจได้รับผลกระทบ: เมื่อโรงพยาบาลประสบปัญหาการเงิน อาจส่งผลต่อการจัดซื้อยาและอุปกรณ์ที่จำเป็น หรือการพัฒนาบุคลากร ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพการรักษาพยาบาล
- บุคลากรหมดกำลังใจ: การทำงานภายใต้ภาวะขาดแคลนทรัพยากรและภาระงานที่หนัก อาจทำให้บุคลากรทางการแพทย์เกิดภาวะหมดกำลังใจและลาออก
โดยสรุปแล้ว ปัญหาหนี้สะสมและการขาดทุนของโรงพยาบาลรัฐเป็นผลมาจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งเรื่องของโครงสร้างการจัดสรรงบประมาณ ต้นทุนที่สูงขึ้น และการบริหารจัดการ ซึ่งต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาเชิงระบบจากภาครัฐอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
โรงพยาบาลขอนแก่น เงินบำรุงติดลบมากที่สุดในประเทศ ถึง -1,010 ล้านบาท
ปัญหาหลักเกิดจากต้นทุนค่าบุคลากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากการจ้างลูกจ้างเพิ่มขึ้นกว่า 22% ภายในเวลาเพียง 3 ปี แม้โรงพยาบาลจะมีศักยภาพในการให้บริการขั้นสูง และได้พยายามเพิ่มรายได้ผ่านคลินิกเฉพาะทาง รวมถึงปรับปรุงระบบการเบิกจ่ายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แต่ความรุนแรงของภาระขาดสภาพคล่องสะสมยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ในการดำเนินงาน
วาง 6 แนวทางแก้ปัญหารพ.ขอนแก่น
นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 7 เป็นหัวหน้าคณะทำงานเพื่อวางแนวทางแก้ไขภายใต้หลักการ “ใช้งบอย่างคุ้มค่า – บริการดี – ระบบโปร่งใส” ดำเนินมาตรการต่างๆ ไปพร้อมกัน ได้แก่
- ใช้ศักยภาพที่มีเพิ่มรายได้เข้าโรงพยาบาล ด้วยการเปิดบริการเฉพาะทางคุณภาพสูงในราคาภาครัฐ เช่น ตรวจสุขภาพ/คลินิกพิเศษเฉพาะทาง ซึ่งจะไม่ให้กระทบกับการบริการปกติ
- การเบิกจ่ายต้องรวดเร็ว แม่นยำ ครบถ้วน และถูกระเบียบ โดยเชื่อมระบบข้อมูลบริการของโรงพยาบาลกับระบบศูนย์กลางข้อมูลด้านการเงิน (FDH) ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการเบิกจ่ายถูกตีกลับ และตั้งทีมตรวจสอบติดตามรายได้ที่ตกค้าง
- ปรับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดความซ้ำซ้อน/สิ้นเปลือง เช่น การรวมคลังยา/เวชภัณฑ์ย่อย ลดการตรวจแล็บและเอกซเรย์ซ้ำโดยไม่จำเป็น
- ทบทวนการจ่ายค่าตอบแทนตามภาระงาน (P4P) ให้เป็นธรรม เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสและให้ทุกหน่วยงานมีส่วนร่วม โดยผูกการจ่ายกับผลลัพธ์การดำเนินงาน เช่น รายรับที่สร้างเข้าโรงพยาบาล ความพึงพอใจผู้ป่วย เป็นต้น
- สื่อสารกับบุคลากรทุกระดับอย่างตรงไปตรงมา ให้ทราบสถานการณ์ที่แท้จริงและมีส่วนร่วมกันในการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา รวมทั้งเปิดเผยข้อมูลต่อประชาชนอย่างสม่ำเสมอ
- ติดตามประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ โดยมีทีมกำกับติดตาม Dashboard รายไตรมาส เพื่อปรับเปลี่ยนมาตรการต่างๆ ให้เหมาะสม
คาด 1-3 ปี ลดหนี้สะสมรพ.ขอนแก่น 30-50 %
คาดว่า หากมาตรการต่าง ๆ ดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง จะเห็นผลชัดเจนในระยะเวลา 3–6 เดือนแรก โดยระบบการเงินของโรงพยาบาลจะเริ่มคล่องตัวมากขึ้น มีการเบิกเงินจากกองทุนที่มีประสิทธิภาพขึ้น ส่วนในระยะกลาง 6–12 เดือน อาจเห็นรายได้เพิ่มขึ้นจากบริการเฉพาะทาง และภายใน 1–3 ปีข้างหน้า โรงพยาบาลขอนแก่นอาจสามารถลดภาระหนี้สะสมได้ถึง 30–50%
ท่ามกลางความท้าทายครั้งใหญ่ของระบบโรงพยาบาลรัฐ สัญญาณเตือนที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียง “ปัญหาการเงิน” แต่สะท้อนความจำเป็นในการทบทวนโครงสร้างงบประมาณด้านสุขภาพของประเทศทั้งระบบ การฟื้นฟูสถานะทางการเงินของโรงพยาบาลจึงไม่ใช่แค่การ “เอาตัวรอด” ของหน่วยบริการแต่ละแห่งเท่านั้น หากแต่คือความอยู่รอดของระบบสุขภาพถ้วนหน้า ที่ประชาชนทุกคนพึ่งพาในทุกช่วงวัยและทุกภาวะวิกฤต
อ้างอิงจาก:
– Hfocus.org เจาะลึกระบบสุขภาพ
– TheCoverage
– กรุงเทพธุรกิจ
ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่
https://linktr.ee/isan.insight
#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #ขาดสภาพคล่อง #รพ.สธ. #วิกฤติการเงิน #รพ.ขอนแก่น #รพขาดสภาพคล่อง #เงินบำรุงติดลบ #รพเงินบำรุงติดลบ #โรงพยาบาลเงินบำรุงติดลบ