ภาพรวมไทยค้าขายกับประเทศ GMS ไปแล้วเท่าไหร่ในรอบ 7 เดือน ของปี 2568

ภาพรวมการค้าไทยกับกลุ่มประเทศ GMS และประเทศคู่ค้าหลักในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ทั้ง 5 ประเทศ (ไม่รวมไทย) พบว่า ไทยเกินดุลการค้ากับ 4 ประเทศ หมายความว่า ไทยส่งออกสินค้ามากกว่าที่นำเข้า มีเพียงประเทศเดียวที่ไทยขาดดุลการค้า และยังเป็นประเทศที่ไทยขาดดุลมากที่สุดต่อเนื่องมาหลายปี นั่นคือ ประเทศจีน โดยไทยส่งออกสินค้าไปจีนมูลค่าประมาณ 31.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่มีการนำเข้าจากจีนสูงถึง 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราวสองเท่าของมูลค่าส่งออก ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

เมื่อพิจารณาในภาพรวมของการค้าระหว่างประเทศทั้งหมด ไทยยังคงอยู่ในภาวะขาดดุลการค้าราว -2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสินค้าส่งออกหลักของไทยส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในหมวด อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม หากมองในด้านประเทศที่ไทยเกินดุลการค้ามากที่สุดยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา ซึ่งในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ถึง 27.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ภาพรวมการนำเข้าและส่งออกของไทยยังถือว่าอยู่ในภาวะปกติ เมื่อเทียบกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ทั้งนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ไทยยังไม่เผชิญผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างเต็มรูปแบบ โดยได้รับผลกระทบเพียงอัตราภาษีที่ปรับเพิ่มขึ้นราว 10% เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกเท่านั้น อีกทั้งในช่วงนั้น ไทยยังไม่ประสบปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชาจนถึงขั้นต้องปิดด่านการค้า

หากพิจารณาปัญหาต่างๆ ที่เผชิญอยู่ในปัจจุบันจะพบว่า สถานการณ์การค้าของประเทศไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนจากหลายปัจจัย ทั้งแรงกดดันจากภายนอก เช่น การบังคับใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ และความเสี่ยงจากอุปทานส่วนเกินของจีน รวมถึงปัญหาภายในประเทศที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้าชายแดน

ภาพรวมการค้าชายแดนและผลกระทบจากข้อพิพาทไทย-กัมพูชา

ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–สิงหาคม) การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทยมีมูลค่ารวม 1.34 ล้านล้านบาท ขยายตัว 9.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการค้าผ่านแดนไปยังประเทศที่สาม เช่น จีน สิงคโปร์ และเวียดนาม ซึ่งยังคงเติบโตได้ดีที่ 20.9% ในเดือนสิงหาคม 2568

อย่างไรก็ตาม การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศกลับชะลอตัวลงอย่างมาก โดยในเดือนสิงหาคมมีมูลค่ารวมเพียง 63,938 ล้านบาท หดตัวถึง 23.6% ขณะที่การส่งออกลดลงแรงถึง 30.1% สาเหตุสำคัญมาจากปัญหาข้อพิพาทบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการค้าและธุรกิจ โดยเฉพาะการค้าชายแดนกับ กัมพูชา ที่ในเดือนสิงหาคม 2568 มีมูลค่าเพียง 10 ล้านบาท ลดลงถึง 99.9% และถือเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง เนื่องจากการ ปิดด่านการค้า จากสถานการณ์ดังกล่าว

การปิดด่านชายแดนได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาคการค้าและธุรกิจ โดยเฉพาะการส่งออกไปยังกัมพูชา ซึ่งในเดือนสิงหาคม 2568 มีมูลค่าการส่งออกเหลือเพียง 7 ล้านบาทเท่านั้น หากสถานการณ์การปิดด่านยังคงยืดเยื้อต่อไป คาดว่าภาคธุรกิจที่พึ่งพาการค้าชายแดนจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี

ด้านมาตรการช่วยเหลือ กรมการค้าต่างประเทศได้เร่งสำรวจผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบราว 100 ราย ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจในกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค และชิ้นส่วนยานยนต์ พร้อมเตรียมให้สิทธิผู้ประกอบการเหล่านี้เข้าร่วม “งานมหกรรมการค้าชายแดน” และกิจกรรม “จับคู่ธุรกิจกับผู้ซื้อจากตลาดอื่น” เพื่อช่วยขยายโอกาสทางการค้าและลดผลกระทบจากการปิดด่าน

สำหรับแนวโน้มในอนาคต แม้ว่ายอดรวมการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทยตลอดทั้งปี 2568 ยังมีแนวโน้มทำได้ตามเป้าหมายที่ 1.81–1.85 ล้านล้านบาท จากแรงหนุนของการค้าผ่านแดนที่ขยายตัวดี แต่การค้าชายแดนกับกัมพูชาจะหดตัวลงอย่างแน่นอน ทั้งนี้ เป้าหมายการค้าชายแดนมูลค่า 2 ล้านล้านบาทภายในปี 2570 อาจจำเป็นต้องมีการทบทวนและปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ใหม่.

ผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อการค้าไทย

การบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรต่างตอบแทนของสหรัฐฯ (ภาษีทรัมป์) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม 2568 ในอัตราร้อยละ 19% ได้เริ่มส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างชัดเจน

แม้ว่าภาพรวมการส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคม 2568 จะยังคงขยายตัวได้ 5.8% และการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นถึง 12.8% แต่ก็ถือเป็น “สัญญาณชะลอตัว” อย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่ตลาดสหรัฐฯ เคยเติบโตในอัตราสูงมาก เช่น เดือนมีนาคม 34% และกรกฎาคม 31.4% การขยายตัวในเดือนสิงหาคมส่วนหนึ่งมาจากการเร่งนำเข้าสินค้าของผู้นำเข้าสหรัฐฯ เพื่อเก็บสต็อกและหลีกเลี่ยงภาษีก่อนที่มาตรการใหม่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 สิงหาคม 2568

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น หอการค้าไทยประเมินว่า การส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะเริ่มลดลงอย่างชัดเจนในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี (กันยายน–ธันวาคม) เนื่องจากผู้นำเข้าชะลอคำสั่งซื้อ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการส่งออกของไทย โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักที่มีสัดส่วนสูงถึง 18% ของการส่งออกทั้งหมด แต่ถึงกระนั้น ยังมีแนวโน้มว่าการส่งออกทั้งปี 2568 จะสามารถขยายตัวได้ในกรอบ 2–4%

ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดย “ทีมไทยแลนด์” ได้เดินหน้าเจรจาทางเทคนิคกับสหรัฐฯ เพื่อผลักดันให้การเจรจาความตกลงว่าด้วยภาษีตอบโต้ระหว่างไทย–สหรัฐฯ เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2568 พร้อมทั้งมีการลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยกเว้นภาษีตอบโต้สำหรับสินค้า 4 กลุ่มสำคัญ ได้แก่ ยางแผ่นรมควันและผลิตภัณฑ์ยางบางรายการ, เนื้อปลาทูน่าแช่แข็ง, มะพร้าวสด, สับปะรดสด/อบแห้ง และทุเรียนสด ซึ่งเป็นสินค้าที่สหรัฐฯ ปลูกไม่ได้หรือผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ถือเป็น “โอกาสสำคัญ” ที่อาจช่วยประคองและสร้างแนวโน้มบวกต่อการค้าระหว่างสองประเทศในระยะต่อไป

ผลกระทบของสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาไทย

การทวีความรุนแรงของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่จะขึ้นภาษีจีนอีก 100% ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงที่สินค้าจีนจะไหลทะลัก (Influx) เข้ามาในตลาดอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทยมากขึ้น

สาเหตุหลักที่ทำให้สินค้าจีนไหลเข้ามาในตลาดต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทย เป็นผลมาจากโครงสร้างการผลิตของจีนที่มีขนาดใหญ่และมีข้อได้เปรียบด้าน “การประหยัดต่อขนาด” (Economies of Scale) ซึ่งช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยลงได้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อจีนถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ และยุโรปผ่านกำแพงภาษี ทำให้เกิดภาวะการผลิตล้นเกิน (oversupply) จีนจึงต้องเร่งระบายสินค้าไปยังตลาดอื่น โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทย ขณะเดียวกัน การเติบโตของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce Platform) ก็ยิ่งช่วยให้ผู้ประกอบการจีนสามารถเข้าถึงผู้บริโภคในไทยได้ง่าย รวดเร็ว และต้นทุนต่ำกว่าช่องทางการค้าปกติ

ผลกระทบต่อธุรกิจไทย

  • การแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง: สินค้าจีนมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า ทำให้ธุรกิจไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านราคาและกำไรที่ลดลง โดยเฉพาะในตลาดสินค้าทั่วไปที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับราคามากกว่าคุณภาพหรือแบรนด์
  • ผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs): ผู้ประกอบการไทยที่มีสายป่านสั้น ไม่สามารถลดราคาแข่งขันได้ ต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนและการปิดกิจการเพิ่มขึ้น สะท้อนผ่านสถิติการปิดโรงงานขนาดเล็กที่มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง
  • อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรง: ภาคการผลิตที่แข่งขันกับจีนโดยตรง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV), เหล็ก, อะลูมิเนียม, พลาสติก, ปิโตรเคมี และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก กำลังเผชิญแรงกดดันจากสินค้าจีนที่มีราคาต่ำและเทคโนโลยีใกล้เคียงกัน
  • ปัญหาการขาดดุลการค้า: ไทยขาดดุลการค้ากับจีนอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ไทยขาดดุลกว่า 40,824 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2566 ไทยขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 36,600 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงความไม่สมดุลของการค้าระหว่างสองประเทศ
  • ความเสี่ยงด้านการสวมสิทธิ์และการรั่วไหลของเม็ดเงิน: มีแนวโน้มเกิดธุรกิจนอมินีที่จดทะเบียนในนามคนไทย แต่ดำเนินกิจการโดยทุนจีน เพื่อใช้ไทยเป็นฐาน “Re-export” ส่งสินค้าต่อไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งอาจนำไปสู่การรั่วไหลของเม็ดเงินและกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ทิศทางในอนาคตและการปรับตัว

การส่งออกของไทยในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2568 ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอลง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าในปี 2569 ไทยอาจต้องเผชิญ “ความเสี่ยงการส่งออกติดลบ” จากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่จะมีผลเต็มปี ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ยังอยู่ในช่วงชะลอตัว ซึ่งองค์การการค้าโลก (WTO) คาดว่าปริมาณการค้าสินค้าทั่วโลกจะเติบโตเพียง 0.5% ในปี 2569 ถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายปี
ภาคการส่งออกของไทยยังคงเผชิญความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่

  • ความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มการชะลอตัวของประเทศคู่ค้า
  • ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ เช่น สงครามรัสเซีย–ยูเครน และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
  • นโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจเข้มงวดมากขึ้นหลังการเลือกตั้ง
  • การแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งลดทอนความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก
  • ปัญหาอุปทานส่วนเกิน (oversupply) และการแข่งขันด้านราคา โดยเฉพาะในสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมพื้นฐานบางประเภท

กลยุทธ์การปรับตัวและการรับมือ

ภาครัฐควรเร่งผลักดันการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น ไทย–เกาหลีใต้ และเร่งการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอลดอัตราภาษีให้ต่ำกว่า 19% พร้อมใช้มาตรการเชิงรุกในการขยายตลาดใหม่ เช่น เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เพื่อกระจายความเสี่ยงจากตลาดเดิม

ขณะที่ภาคธุรกิจไทยเองก็ต้องเร่งปรับตัวเช่นกัน โดย ดร.กิริฎา เภาพิจิตร จากสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (TDRI) แนะนำว่า ธุรกิจไทยไม่ควรมุ่งแข่งขันกับจีนโดยตรงในสินค้าที่มีต้นทุนต่ำ แต่ควรเน้น การเพิ่มมูลค่า (Value Add) และ การสร้างความแตกต่างของสินค้าและบริการ เช่น การให้บริการออกแบบเฉพาะ (tailor-made) หรือผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากชิ้นส่วนราคาถูกจากจีนเพื่อลดต้นทุนการผลิตในประเทศ และต่อยอดสู่สินค้าที่มีคุณค่าทางนวัตกรรมสูงขึ้น

ดร.กิริฎายังเน้นว่า ภาคธุรกิจไม่ควรพึ่งพาความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่ควรมุ่งพัฒนาขีดความสามารถด้วยตนเอง ขณะเดียวกัน ภาครัฐควรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่นำเข้า และเร่งปราบปรามธุรกิจนอมินีที่แฝงตัวเข้ามาเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีหรือใช้ไทยเป็นฐานส่งออกไปประเทศที่สาม

 

อ้างอิง

Bangkokbiznews, ThaiPBS, ThaiPublica, Thairath, Trade Map, BBC, Krungsri Research, Bangkok Bank SME, ฐานเศรษฐกิจ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top