December 2024

อุดรธานี กับบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน

อุดรธานี กับบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน สงครามเย็น (พ.ศ. 2490-2534) เป็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกา (นำโดยฝ่ายประชาธิปไตยและทุนนิยม) และสหภาพโซเวียต (นำโดยฝ่ายคอมมิวนิสต์) เป็นการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ การเมือง และการแย่งชิงอิทธิพลในระดับโลก โดยประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะพันธมิตรของสหรัฐฯ และพื้นที่ยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จังหวัดอุดรธานี มีความสำคัญมากในช่วงสงครามเย็นและสงครามเวียดนาม เนื่องจากเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศซึ่งสหรัฐฯ ใช้เป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติการทางทหารในอินโดจีน โดยสามารถสรุปเหตุการณ์สำคัญช่วงสงครามเย็นในอุดรธานี ได้ดังต่อไปนี้ พ.ศ. 2488-2489 : การอพยพครั้งใหญ่ของชาวเวียดนาม หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสและเวียดนามภายใต้การนำของโฮจิมินท์ประทุขึ้น คนเวียดนามหลายชีวิต หลบหนีการปราบจากฝรั่งเศส ข้ามฝั่งมายังชายแดนฝั่งโขงของไทย ในพื้นที่ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร(ในขณะนั้นยังคงเป็นอำเภอ) และขยายถิ่นฐานมาตั้งรกรากยังอุดรธานีและขอนแก่น พ.ศ. 2497 : การเข้ามามีบทบาทของสหรัฐฯ ในอีสาน สหรัฐฯ ภายใต้การนำของปธน. จอห์น เอฟ เคนเนดี เริ่มเข้ามามีบทบาทในการป้องกันการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งเป็นการเปิดฉากสงครามเวียดนาม ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าประเทศไทยเป็น “แนวหน้า” ของการต่อสู้กับการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายพื้นที่ในอีสาน รวมถึงอุดรธานี กลายเป็นพื้นที่สำคัญแก่กองทัพสหรัฐฯ ในการตั้งฐานทัพ พ.ศ. 2497-2505: เศรษฐกิจอุดรฯ ถูกพลิกโฉม สหรัฐฯ ได้มีการสนับสนุนงบประมาณ ในการก่อสร้างถนนมิตรภาพที่ตัดผ่านใจกลางเมืองอุดรจนแล้วเสร็จ รวมไปถึงเส้นทางรถไฟ และขยายถนนในแถบอีสานตอนบน ซึ่งวลีที่ว่า “ถนนไปที่ไหน ความเจริญไปที่นั่น” คงชัดเจนในกรณีของอุดรฯ ซึ่งเมืองอุดรในช่วงสงครามเวียดนามได้กลายเป็นศูนย์กลางการซื้อขายพืชเศรษฐกิจ การค้า การบริการ มีคนจีนอพยพเข้ามาค้าขายมาก ส่งผลเศรษฐกิจของอุดรธานีได้เจริญเติบโตในช่วงนี้ พ.ศ. 2507: กำเนิด “ค่ายรามสูร” เมืองอุดร ถูกเลือกเป็น 1 ใน 9 ที่ตั้งฐานทัพสหรัฐฯ ในไทยเพื่อการสนับสนุนกำลังรบ และได้สร้าง “ค่ายรามสูร” เพื่อเป็นสถานีตรวจจับสัญญาณวิทยุ ฐานทัพมีทหารประจำการกว่า 8,500 คน ก่อให้เกิดการจ้างงานคนท้องที่กว่า 10,000 คนเพื่อเป็นลูกจ้างและเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ คนอุดรฯ มีการค้าขายและให้บริการกับทหารสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้เศรษฐกิจอุดรธานี ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พ.ศ. 2519: สิ้นสุดสงคราม อุดรซบเซา หลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม กองทัพสหรัฐเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และได้ถอนกำลังทหารออกจากไทย รวมถึงในอุดรฯ ส่งผลคนท้องที่สูญเสียแหล่งรายได้จากการจ้างงานและการค้าขายกับทหารสหรัฐฯ เศรษฐกิจของจังหวัดจึงได้ซบเซาลงอย่างรวดเร็ว เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี พ.ศ. 2531: จาก “ฐานทัพ” สู่ “ศูนย์กลางการค้าแห่งอีสาน” เศรษฐกิจจังหวัดอุดรธานีได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง ในยุคสมัยของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ที่ได้ประกาศนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ส่งผลให้อุดรฯ ที่ใกล้กับเวียงจันทร์ กลับมาเป็นศูนย์กลางการค้าของอีสานและได้พัฒนามาจวบจนปัจจุบัน ผลจากช่วงสงครามเย็นต่อเมืองอุดรฯในปัจุบัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างพื้นฐานหลายแห่งในอุดรธานียังคงเป็นมรดกจากช่วงสงครามเย็น ยกตัวอย่างที่สำคัญ …

อุดรธานี กับบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง 3 ร้านอาหารดัง ที่ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงในท้องถิ่น แต่ยังทำรายได้ทะลุ 100 ล้าน

วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพาทุกท่านมาเบิ่ง 3 ร้านอาหารดัง ที่ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงในท้องถิ่น แต่ยังทำรายได้ทะลุ 100 ล้าน แต่ละร้านมีจุดเด่นและเคล็ดลับความสำเร็จที่น่าสนใจจนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่ามาดูกัน   ตำกระเทย หรือ ตำกระเทย สาเกต ร้านส้มตำแสนแซ่บจากแดนอีสาน โดยมีจุดเริ่มต้นจากคุณจิรเดช เนตรวงค์ จากอดีตพนักงานขายวัสดุก่อสร้างและพนักงานรับจ้างทั่วไป จนถึงพ่อค้าคนกลางและพนักงานขายตรง เขาได้พลิกบทบาทมาสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร พร้อมสร้างแบรนด์น้ำปลาร้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของร้าน คนอีสานกับส้มตำและน้ำปลาร้านั้นเป็นของคู่บ้านคู่เมืองกัน และหากถูกปรุงด้วยฝีมืออันจัดจ้าน ย่อมทำให้รสชาติแซ่บ นัว และถูกปากจนสามารถครองใจลูกค้าได้ไม่ยาก สิ่งนี้กลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้ร้านตำกระเทยได้รับความนิยม แม้ตลาดส้มตำจะดูเหมือนง่ายต่อการเข้าถึง แต่ก็เต็มไปด้วยคู่แข่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งรายเล็กที่มัดใจลูกค้าด้วยรสชาติที่กินอยู่ประจำ คู่แข่งขนาดกลางที่มีจุดขายในตัวเลือกที่หลากหลายและลูกเล่นต่างๆที่เพิ่มขึ้น ไปจนถึงคู่แข่งรายใหญ่ที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ร้านตำกระเทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างจุดยืนของตัวเอง หากไม่สามารถรักษาความแตกต่างและเอกลักษณ์ไว้ได้ ก็อาจทำให้เสียเปรียบได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม จากรายได้จะพบว่าร้านตำกระเทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี แม้อาจมีความผันผวนจากต้นทุนวัตถุดิบ แต่ธุรกิจก็ยังคงเดินหน้าได้อย่างมั่นคง นอกจากนี้ ร้านยังได้ขยายธุรกิจด้วยการเปิดตัวแบรนด์น้ำปลาร้าที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง โดยเน้นจุดขายเรื่องรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ทำให้ลูกค้าสามารถนำไปใช้ทำส้มตำที่บ้านได้เหมือนทานที่ร้าน ความสำเร็จของตำกระเทยไม่ได้มาจากเพียงแค่รสชาติที่แซ่บถึงใจ แต่ยังรวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาด และการสร้างแบรนด์ที่มีตัวตนชัดเจน   วี ที แหนมเนือง ร้านอาหารเวียดนามชื่อดังจากอุดรธานีที่ครองใจผู้บริโภคมายาวนาน มีจุดเริ่มต้นจากคุณทอง กุลธัญวัฒน์ ลูกชายคนที่สามของครอบครัวที่สืบทอดสูตรอาหารต้นตำรับจากบรรพบุรุษ คุณทองได้เริ่มกิจการที่จังหวัดอุดรธานีในปี พ.ศ. 2540 โดยใช้ชื่อร้านว่า “วี ที แหนมเนือง” ซึ่งชื่อร้านมีความหมายลึกซึ้ง “วี” มาจากชื่อคุณย่าวี และ “ที” มาจากชื่อคุณปู่ตวน คุณทองยังมีพี่สาวคือคุณแดง วิภาดา จิตนันทกุล ผู้ที่สืบทอดกิจการร้านแดงแหนมเนืองจากคุณแม่ที่จังหวัดหนองคายจนประสบความสำเร็จ และร้านแดงแหนมเนืองยังได้รับการยกย่องให้เป็น “ห้องรับแขกประจำจังหวัดหนองคาย” ส่วน วี ที แหนมเนืองนั้น ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากผู้บริโภค ด้วยความสดใหม่ของวัตถุดิบ รสชาติที่อร่อยคงที่ และการบริการที่ใส่ใจลูกค้า ทำให้ลูกค้ากลับมาทานซ้ำไม่ว่าจะเป็นครั้งไหนก็ยังคงประทับใจเหมือนครั้งแรก แม้ว่าจะมีการขยายสาขาไปทั่วประเทศจนกลายเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดแหนมเนือง แต่ผลประกอบการในปี พ.ศ. 2566 พบว่ารายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 257 ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนขายสูงถึง 265 ล้านบาท รวมกับค่าใช้จ่ายในการบริหารและการขายอีก 19 ล้านบาท ทำให้ในปีนั้นบริษัทขาดทุนสุทธิ -42 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ธุรกิจร้านอาหารมักมีเงินสดหมุนเวียนในระบบทุกวัน และการใช้เครดิตเทอมสำหรับค่าใช้จ่ายบางส่วนช่วยสร้างสภาพคล่องแก่ธุรกิจได้ นอกจากนี้ การลงทุนเพื่อขยายกิจการหรือเพิ่มศักยภาพในระยะยาวอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตัวเลขกำไรในระยะสั้น สำหรับการแข่งขันในตลาดอาหารเวียดนามที่เน้น “แหนมเนือง” แม้คู่แข่งรายใหญ่จะมีไม่มาก แต่ในพื้นที่ต้นตำรับอย่างอุดรธานีและหนองคาย กลับมีร้านแหนมเนืองหลากหลายที่ต่างชูเอกลักษณ์เฉพาะตัว สิ่งที่ร้านส่วนใหญ่มีเหมือนกันคือการใส่ใจในความสดสะอาดของผัก ซึ่งมักเป็นปัจจัยแรกที่ลูกค้าใช้ตัดสินใจเลือกซื้อ สิ่งที่ทำให้ วี ที แหนมเนือง โดดเด่นคือการยึดมั่นในคุณภาพของวัตถุดิบ หากผักไม่สดสมบูรณ์ 100% ทางร้านจะกำจัดทิ้งทันทีแม้ต้องเสียต้นทุนเพิ่ม เพราะร้านให้ความสำคัญกับความเชื่อมั่นของลูกค้ามากกว่าผลกำไรในระยะสั้น ความใส่ใจในรายละเอียดเช่นนี้ทำให้ วี ที แหนมเนือง ยังคงเป็นชื่อที่ลูกค้าไว้วางใจเสมอเมื่อนึกถึงอาหารเวียดนามคุณภาพดีที่มีมาตรฐานระดับประเทศ   โชคชัยสเต็กเฮ้าส์ …

พามาเบิ่ง 3 ร้านอาหารดัง ที่ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงในท้องถิ่น แต่ยังทำรายได้ทะลุ 100 ล้าน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง อัตราการว่างงานในภาคอีสานในไตรมาส 3 ปี 2567 เป็นจังใด๋แหน่

ฮู้บ่ว่า ภาคอีสานมีอัตราการว่างงานสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 แต่เมื่อเปรียบเทียบรายไตรมาสภายในปีนี้ พบว่าอัตราการว่างงานมีแนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากการเข้าสู่ฤดูกาลเกษตรกรรมและการปรับตัวดีขึ้นของภาคอุตสาหกรรมในอีสาน   ISAN Insight สิพามาเบิ่ง อัตราการว่างงานในภาคอีสานในไตรมาส 3 ปี 2567 เป็นจังใด๋แหน่ . อัตราการว่างงาน สะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่นั้นๆที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างแรงงาน นโยบายของภาครัฐ การปรับตัวของภาคการค้า อุตสาหกรรม และภาคการเกษตร รวมไปถึง การย้ายถิ่นฐานและการปรับตัวของแรงงาน ซึ่งสามารถส่งผลให้จำนวนผู้ว่างงานในแต่ละพื้นที่เปลี่ยนแปลงไป . การเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานในภาคอีสานเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566  เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า ภาคอีสานมีอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นมาก และหากเทียบรายไตรมาสจะพบว่า ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 มีการเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานที่สูง จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งนับว่าสูงมาก และคาดว่าเป็นผลมาจาก การชะลอตัวของการลงทุนในภาคเอกชน ผลกระทบต่อ SME จากการนำเข้าสินค้าจีน รวมไปถึงราคาน้ำมันโลกที่สูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้เริ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2566 สืบเนื่องไปถึงช่วงต้นปี 2567 ส่งผลให้อัตราการว่างงานในภาคอีสานมีการปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 ทำให้แม้ว่าอัตราการว่างงานในไตรมาสที่ 3 ของภาคอีสานจะมีการปรับตัวลดลงจากช่วงต้นปีนี้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า จะพบว่า อัตราการว่างงานไตรมาส 3 ของภาคอีสาน ยังคงสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว   . การลดลงของอัตราการว่างงานในภาคอีสานเมื่อเปรียบเทียบรายไตรมาสในปี 2567 อัตราการว่างงานของภาคอีสานในไตรมาสที่ 3 ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจากต้นปี เป็นผลมาจากการเข้าสู่ฤดูกาลเกษตรกรรมและการปรับตัวดีขึ้นของภาคอุตสาหกรรมในภาคอีสาน เป็นผลให้ความต้องการแรงงานสูงขึ้นและมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งถูกผลักดันด้วยการปรับตัวที่ดีขึ้นของการบริโภคในภาคเอกชนและการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวในภาคอีสาน ทำให้เมื่อเปรียบเทียบอัตราการว่างงานในภาคอีสานรายไตรมาสในปี 2567 จะพบว่า อัตราการว่างงานในไตรมาส 3 ของภาคอีสานมีการปรับตัวลดลงจากช่วงต้นปี   . จังหวัดในภาคอีสานที่มีจำนวนผู้ว่างงานมากที่สุดได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ในภาคอีสาน โดยมีอัตราการว่างงาน 1.4% ซึ่งค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับภาคอีสานทั้งหมด และจังหวัดที่มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดคือ จังหวัดหนองบัวลำภู ที่มีอัตราการว่างงานสูงมากถึง 2.9% . หมายเหตุ : การว่างงานหมายถึง บุคคลที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป และในสัปดาห์แห่งการสำรวจ มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้  ไม่ได้มีงานและงานประจำ แต่ได้หางาน สมัครงานหรือรอการบรรจุในระหว่าง 30 วันก่อนวันสัมภาษณ์ ไม่ได้มีงานและงานประจำ และไม่ได้หางานทำในระหว่าง 30 วันก่อนวันสัมภาษณ์ แต่พร้อมจะทำงาน ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาตื  

ไทยครองอันดับ 2 ประเทศที่มีแนวโน้มการผูกขาดในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุด จากทุกประเทศในแถบลุ่มแม่น้ำโขง (GMS)

  ฮู้บ่ว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มการผูกขาดในตลาดแอลกอฮอล์มากที่สุดเป็นอันดับ 2 จากประเทศทั้งหมดในแถบลุ่มแม่น้ำโขง   . การกระจุกตัวของผู้เล่นในตลาดที่สูง สามารถบ่งบอกถึงแนวโน้มด้านการแข่งขันในตลาดที่น้อย และบ่งบอกถึงอำนาจของบริษัทเจ้าใหญ่ที่มีต่อตลาด อีกทั้งความเข้มข้นของแข่งขันในตลาดที่น้อยสามารถส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในด้านคุณภาพ ความหลากหลาย และราคาของสินค้านั้นๆ    . โดยค่าดัชนีการกระจุกตัวของตลาด(HHI) สามารถบ่งบอกถึงแนวโน้มของการผุกขาดและความเข้มข้นของการแข่งขันภายในตลาดนั้นๆได้ ค่า HHI ที่สูงกว่า 2,500 หมายความว่าตลาดมีการแข่งขันน้อยและมีการกระจุกตัวของผู้เล่นสูง ค่า HHI อยู่ระหว่าง 2500 ถึง 1500 หมายความว่าตลาดมีการแข่งขันและการกระจุกตัวปานกลาง และค่า HHI ที่น้อยกว่า 1500 หมายความว่าตลาดมีความเข้มข้นในการแข่งขันสูง มีการกระจุกตัวของผู้เล่นต่ำ ในขณะเดียวกัน ค่า HHI ก็ไม่สามารถบ่งบอกได้อย่างแน่ชัดว่า ตลาดนั้นๆเป็นตลาดที่ถูกผูกขาดหรือไม่ เนื่องจากยังมีปัจจัยในด้านอื่นๆ เช่น  พฤติกรรมของผู้เล่นในตลาด โครงสร้างอุตสาหกรรม และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ที่สามารถส่งผลต่ออำนาจการผูกขาดของผู้เล่นในตลาดนั้นๆ ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นค่า HHI จึงสามารถบ่งบอกได้เพียงแนวโน้มของการผูกขาดและความเข้มข้นของการแข่งขันในตลาดเท่านั้น    . ตลาดสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในแต่ละประเทศในแถบลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) มีความแตกต่างกันในแง่ของความเข้มข้นของการแข่งขันเป็นอย่างมาก และบริษัทภายในประเทศไทยเองก็มีบทบาทสำคัญในตลาดต่างประเทศอีกด้วย เช่น บริษัทไทยเบฟเวอเรจ ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดติดอันดับสูงในตลาดของประเทศ GMS อาธิ ส่วนแบ่งการตลาด 45.1%.ในไทย, 33.5% ในเวียดนาม และ 15.3% ในเมียนมา ซึ่งแสดงถึงศักยภาพสินค้าไทยที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างชัดเจน    . กลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการผูกขาดในตลาดสูง    ไทย มีแนวโน้มการผูกขาดที่สูงเป็นอันดับ 2 รองจากลาว และมีเจ้าใหญ่ในตลาด 2 รายคือ ไทยเบฟเวอเรจและบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ส่งผลให้เรามักจะเห็นสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในตลาดของไทยไม่หลากหลายมากนัก โดยที่สองบริษัทนี้มีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันอยู่ที่ 86.5% อีกทั้งสินค้าของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ยังมีศักยภาพด้านการแข่งขันในตลาดต่างประเทศที่สูง จากการเข้าครองส่วนแบ่งการตลาดในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย   ลาว มีแนวโน้มการผูกขาดที่สูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศใน GMS เนื่องจากมีเจ้าใหญ่เพียงเจ้าเดียวคือ คาร์ลสเบิร์ก เอ/เอส ที่กินส่วนแบ่งการตลาดไปมากถึง 83.7% ทำให้ความเข้มข้นของการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มแอลลกอฮอล์ในลาวมีน้อยและนับได้ว่ามีโอกาศเกิดการผูกขาดในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงมาก    เวียดนาม มาเป็นอันดับ 3 ของการมีแนวโน้มการผูกขาดสูง ที่มีเจ้าใหญ่ในตลาด 2 รายคือไฮเนเก้น เอ็นวี และ ไทยเบฟเวอเรจที่เป็นบริษัทของไทยนี่เอง โดยมีส่วนแบ่งการตลาดของ 2 เจ้าใหญ่รวมกันอยู่ที่ 75.9%   . กลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการผูกขาดในตลาดปานกลางประกอบด้วย กัมพูชา และเมียนมา ส่วนของประเทศที่มีแนวโน้มการผูกขาดน้อยที่สุดคือ จีนที่เป็นประเทศที่มีความเข้มข้นของการแข่งขันในตลาดมากที่สุด เนื่องจากมีบริษัทที่เป็นอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายเจ้า และผู้เล่นรายใหญ่ไม่ได้ครองส่วนแบ่งการตลาดในสัดส่วนที่สูงมากนัก ทำให้สินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศจีนมีความหลากหลาย ส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านคุณภาพและราคาที่เข้มข้น ซึ่งส่งผลดีให้กับผู้บริโภคภายในประเทศโดยตรง  

พามาเบิ่ง 👀✋ เช็กจำนวนล่ามภาษามือในอีสาน อยู่จังหวัดไหนกันบ้าง ?

ฮู้บ่ว่าล่ามภาษามือทั่วไทยเหลือเพียง 202 คน เท่านั้น และในภาคอีสานก็มีล่ามเพียง 17 คนเท่านั้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการของสังคม . ISAN Insight and Outlook พามาเบิ่ง เช็กจำนวนล่ามภาษามือในอีสาน อยู่จังหวัดไหนกันบ้าง ?..#ล่ามภาษามือ ในไทย พบว่ามีจำนวนไม่สัมพันธ์กันกับคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อสารความหมาย จากเดิมที่มีการจดแจ้งไว้กับกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เมื่อปี 2552 – 2560 จำนวน 659 คน แต่ปัจจุบันมีเพียง 202 คน เท่านั้น* แบ่งเป็นล่ามภาษามือหูดี 186 คน, ล่ามภาษามือหูหนวก 14 คน และล่ามภาษามือหูตึง 2 คน.นอกจากนี้ ยังพบว่าจังหวัดที่มีล่ามภาษามือคอยให้บริการประชาชนมีเพียง 44 จังหวัด (จากทั้งหมด 77 จังหวัด) ส่วนใหญ่กระจุกตัวในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจังหวัดที่มีล่ามภาษามือมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ (75 คน) , นครปฐม (21 คน) และนนทบุรี (17 คน).ประเทศไทยมีคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อสารความหมาย ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ ทั้งหมด 423,973 คน จากฐานข้อมูลทะเบียนกลาง ของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 67 โดยภูมิภาคที่มีคนพิการทางการได้ยินมากที่สุดคือภาคอีสาน (162,456 คน) รองลงมาคือ ภาคกลางและตะวันออก (84,350 คน) ภาคใต้ (55,020 คน) และ กทม. (22,884 คน).อย่างไรก็ตามทางสมาคมล่ามภาษามือแห่งประเทศไทย เคยวิเคราะห์ข้อมูลเฉลี่ยความสามารถในการให้บริการด้านภาษามือชุมชน ไว้ว่าคนหูหนวก 10 คนต่อล่ามภาษามือ 1 คน ดังนั้น ประเทศไทยควรมีล่ามภาษามือในสัดส่วนที่เหมาะสม ประมาณ 42,000 คน..อ้างอิงจาก:กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ข้อมูล ณ วันที่ 20 ส.ค. 2567.ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่https://linktr.ee/isan.insight.#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ล่ามภาษามือ #ล่ามภาษามืออีสาน

Scroll to Top