September 2022

ชวนเบิ่ง ธุรกิจสินเชื่อน้องใหม่มาแรง “เงินเทอร์โบ” ขวัญใจคนอีสาน

“เงินเทอร์โบ” ผู้เล่นตลาดสินเชื่อรายย่อย ที่ตัดสินใจกระโดดเข้ามาท้าชิงส่วนแบ่ง ‘เค้กก้อนโต’ จากคู่แข่งในสนามเดียวกัน เพราะเชื่อในการทำธุรกิจที่นึกถึงเบื้องลึกคนรากหญ้า การพัฒนาบุคลากร และตั้งใจคิดค้นผลิตภัณฑ์เพื่อแก้ปัญหาโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง บริษัท เงินเทอร์โบ เผยผลประกอบการ 3 ปี โตเกินเท่าตัวทุกปี ชูจุดเด่นเข้าใจความต้องการของลูกค้า สร้างกระแสการแนะนำปากต่อปาก เล็งเข้าตลาดหุ้นกลางปี 65 เสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ ขยายบริการครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อแตะหมื่นล้านภายในปีหน้าเปิดครบ 3,000 สาขา ภายในปี 68 คุณสุธัช เรืองสุทธิภาพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด ผู้ให้บริการทางการเงินภายใต้แบรนด์ “เงินเทอร์โบ ” เปิดเผยว่า บริษัทมีอัตราการเติบโตที่ดีมาก ทั้งรายได้ รวมถึงฐานลูกค้า และจำนวนสาขามาอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยปี 63 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้โตขึ้น 3 เท่าจากปี 62 ส่วนปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้โตเกือบเท่าตัวจากปีก่อน ขณะที่ปี 65 น่าจะมีรายได้โตอีกเกือบเท่าตัว ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทถือว่ามีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด จากปัจจัยสำคัญในเรื่องของการให้บริการที่มีความรวดเร็ว จริงใจ ให้เกียรติ ตรงไปตรงมา สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด สามารถรับเงินได้ทันที ซึ่งมีผลทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม จากรูปแบบการให้บริการดังกล่าวได้กลายเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญของบริษัท เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ที่เพิ่มมากขึ้นมาจากการแนะนำกันแบบปากต่อปากของลูกค้าที่เคยใช้บริการสินเชื่อของบริษัท โดยบริษัทจะปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรให้กับพนักงาน ซึ่งจะมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นลำดับแรก อีกทั้งยังมีความเข้าใจสภาพคล่องทางการเงินของลูกค้าที่อาจจะไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเมื่อลูกค้ามีปัญหาก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ ทำให้เกิดความผูกพันระหว่างบริษัทกับลูกค้า คุณสุธัช กล่าวต่อไปว่า บริษัทมีแผนที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ช่วงปี 65 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินมาใช้ในการขยายธุรกิจ ซึ่งบริษัทมีแผนจะขยายสาขาให้ได้ 3,000 สาขาในปี 68 เพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้ครอบคลุมทั่วประเทศ จากปัจจุบันที่บริษัทมีสาขาเปิดให้บริการอยู่กว่า 550 สาขา โดยที่สิ้นปีนี้จะเปิดให้บริการเพิ่มเป็น 650 สาขา รวมถึงการนำเงินไปลงทุนขยายทีมเทคโนโลยี ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำธุรกิจในอนาคต อ้างอิงจาก: https://data.creden.co/company/general/0125560019860 https://www.prachachat.net/public-relations/news-736935 https://www.bangkokbiznews.com/pr-news/biz2u/279348 https://thestandard.co/podcast/thesecretsauce511/ #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ธุรกิจสินเชื่อ #สินเชื่อ #เงินเทอร์โบ

“เทศกาลกินเจ”  ผัก-วัตถุดิบแพงขึ้นเท่าตัว 

“เทศกาลกินเจ”  ผัก-วัตถุดิบแพงขึ้นเท่าตัว    #เทศกาลกินเจ หรือประเพณีถือศีลกินผัก โดยปีนี้ตรงกับวันที่ 26 ก.ย. ถึง 4 ต.ค. 2565 โดยเทศกาลกินเจจะเป็นเทศกาลที่คนจีนหรือคนไทยเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยจะงดรับประทานเนื้อสัตว์และหันมาทานผักเพื่อเป็นการทำบุญในรอบปี   ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สำรวจความเห็นประชาชนในช่วงเทศกาลกินเจปี 2565 กลุ่มตัวอย่างมากกว่าร้อยละ 60 มองว่าราคาอาหารและวัตถุดิบปรุงอาหารเจแพงขึ้น   ขณะที่ความคึกคักของเทศกาลกินเจปี 2565 เทียบกับปี 2564 เกินครึ่งคิดว่าไม่เปลี่ยนแปลง แต่อีกร้อยละ 26.2 คิดว่าจะคึกคักน้อยลง จากปัญหาค่าครองชีพสูง, เศรษฐกิจไม่ดี, รายได้ลด, ของแพง ส่วนค่าใช้จ่ายโดยรวมช่วงเทศกาลกินเจปี 2565 จะมีมูลค่า 42,235 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.2   แต่จากบรรยากาศเทศกาลกินเจ ที่ทางเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ด้านแม่ค้าขายอาหารเจกล่าวว่า เทศกาลกินเจปีนี้เป็นปีที่สองที่งดนั่งรับประทานที่ร้านตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ในตอนแรกคาดว่าจะเงียบเหงาเพราะไม่ให้นั่งรับประทาน แต่พอเปิดขายวันแรกกลับมีประชาชนมาเข้าคิวรอ ซึ่งเกินที่คาดการณ์ไว้ ทำให้พ่อค้าแม่ค้าต่างดีใจ    ในด้านวัตถุดิบ ต้นทุนปีนี้จะเห็นได้ว่า ราคาพืชผักบางชนิด รวมถึงวัตถุดิบอย่างอื่น และเครื่องปรุงรสต่างๆ ที่ใช้ในการประกอบอาหารเจปรุงสุกขายก็มีราคาแพงขึ้นเท่าตัว   สาเหตุเนื่องจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ประกอบกับแหล่งเพาะปลูกพืชผักหลายจังหวัดเกิดน้ำท่วม ทางพ่อค้าแม่ค้าจึงจำเป็นต้องปรับราคาขายขึ้นด้วยเช่นกัน จากก่อนหน้านี้ขายถุงละ 30 บาท ปรับเพิ่มเป็น 40 บาท ซึ่งลูกค้าก็เข้าใจในภาวะที่เกิดขึ้นและยังอุดหนุนกันคึกคัก   อ้างอิงจาก : https://news.thaipbs.or.th/content/319853  https://mgronline.com/local/detail/9650000092305    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #เทศกาลกินเจ #กินเจ

อีสาน เตรียมรับมือ ‘พายุโนรู’

อีสาน เตรียมรับมือ ‘พายุโนรู’ กรมอุตุนิยมวิทยา เตือน พายุไต้ฝุ่น “โนรู” ได้เคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเมืองฮอยอัน ประเทศเวียดนามแล้ว และจะเข้าสู่ประเทศไทยประมาณช่วงค่ำวันที่ 28-29 ก.ย.65 บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจะส่งผลให้หลายพื้นที่ของประเทศไทย มีฝนตกมาก โดยพายุนี้จะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน และหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงตามลำดับ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ส่งผลทำให้มีฝนตกหนักหลายพื้นที่ สำหรับการเคลื่อนตัวของพายุโนรูในครั้งนี้ คาดว่าพื้นที่น่าเป็นห่วงคือภาคอีสาน โดยเฉพาะ ขอนแก่น, ร้อยเอ็ด, อุบลราชธานี, ศรีสะเกษ และอีกหลายพื้นที่บริเวณลุ่มน้ำชีและมูล เพราะปริมาณน้ำในลำน้ำขณะนี้หลายจุดเกินความจุ จนส่งผลให้บางพื้นที่มีน้ำท่วม และหากมีฝนจากพายุเข้ามาอีกจะทำให้มีพื้นที่ถูกน้ำท่วมเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก ขนาดกลางในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนนี้ ส่วนใหญ่มีน้ำมากเกือบเต็มความจุที่แล้ว ขณะนี้มีพื้นที่เกษตรกรรมบริเวณลุ่มน้ำชีและมูล ได้รับผลกระทบแล้วประมาณ 3 แสนไร่ คาดว่าเมื่อพายุโนรู เคลื่อนตัวเข้ามาจะทำให้มีปริมาณฝนเพิ่มขึ้น จนทำให้มีพื้นที่ได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แต่ละพื้นที่ในภาคอีสาน ได้เตรียมเครื่องสูบน้ำมากกว่า 10 ตัว เพื่อเร่งระบายน้ำในแต่ลงที่ลงสู่แม่น้ำชีและมูล ผลกระทบของพายุโนรู ส่งผลให้พื้นที่เกษตรกรรมของชาวอีสานเสียหายอย่างมาก อาจส่งผลต่อราคาสินค้าเกษตรที่อาจเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบอย่างมากในการใช้ชีวิต และการทำงานเพื่อหารายได้ อ้างอิงจาก : ศูนย์พัฒนาการสื่อสารด้านภัยพิบัติ https://www.dailynews.co.th/news/1518335/ https://www.thaipost.net/general-news/230844/ #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #พายุโนรู #พายุไต้ฝุ่นโนรู #น้ำท่วมอีสาน

พาซอมเบิ่ง เส้นทาง “ห้างทวีกิจซุปเปอร์เซ็นเตอร์”

หลายบริษัทที่มีมูลค่าหลักหมื่นล้านบาท มักมีจุดเริ่มต้นจากกรุงเทพฯ แล้วขยายออกสู่ต่างจังหวัด แต่ไม่ใช่ “ทวีกิจซุปเปอร์เซ็นเตอร์” ซึ่งมีผู้ก่อตั้งธุรกิจที่เป็นคนภาคอีสาน ​​สำหรับคนบุรีรัมย์และชาวอีสานใต้คงคุ้นหูกับชื่อ “ห้างทวีกิจ” ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ที่อยู่คู่เมืองบุรีรัมย์มายาวนานกว่า 45 ปี ทวีกิจ เริ่มต้นมาจากร้านขายของชำเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง จนก้าวขึ้นมาเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของจังหวัด ขยายกิจการใหญ่โต และที่สำคัญเส้นทางของทวีกิจกว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ธรรมดาเพราะต้องฝ่าฟันวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ชนิดแทบเอาตัวไม่รอดด้วยพลังของผู้ชายหัวใจสิงห์ที่ชื่อ “คุณทวี โรจนสินวิไล” ผู้ก่อตั้ง กับคุณปราณี โรจนสินวิไล ภรรยาและลูก ๆ จนสามารถกลับมาเริ่มต้นธุรกิจได้อีกครั้งในปี 2545 ภายใต้ชื่อ “ทวีกิจ ซุปเปอร์เซ็นเตอร์” นอกจากห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ คือ ทวีกิจ พลาซ่า, ทวีกิจ ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ ในจังหวัดบุรีรัมย์ และทวีกิจคอมเพล็กซ์ จังหวัดสระบุรีแล้ว ยังมีร้านค้าสาขาในอาณาจักรทวีกิจอีก 166 สาขา กระจายอยู่ในพื้นที่อีสานใต้ อาทิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม นครราชสีมา สระแก้ว และอุบลราชธานี คุณทวี เพลิดเพลินกับการขยายสาขาและการลงทุนแบบไม่ทันยั้งคิดว่า มรสุมก้อนใหญ่กำลังเคลื่อนเข้ามาแค่เอื้อม วีมาร์ท เปิดเมื่อประมาณวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2540 ช่วงนั้นธุรกิจค้าปลีกประเภทซูเปอร์เซ็นเตอร์กำลังมาแรง คุณทวีได้ไอเดียมาจากห้าง Wall Mart ที่อเมริกา เมื่อเขามีวอล์ลมาร์ท เราก็มีวีมาร์ท โดยที่ไม่ทันฉุกคิดว่าจะเจอวิกฤตต้มยำกุ้งที่ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งด้วยความที่หอบเงินลงทุนก้อนโตลุยขยายกิจการ เมื่อภัยต้มยำกุ้งมาเยือน ทำให้คุณทวีและครอบครัวประสบปัญหาหนักที่สุดในชีวิต เกิดหนี้สินล้นพ้นตัวเพราะกู้เงินมาขยายสาขา หมุนเงินไม่ทัน จำต้องปิดสาขาวีมาร์ททั้ง 2 สาขา เพื่อห้ามเลือดให้หยุดไหล เหลือเพียงทวีกิจพลาซ่าหน้าอำเภอ และทวีกิจคอมเพล็กซ์สระบุรี “วีมาร์ท” จึงถูกปิดตัวลงเมื่อววันที่ 13 เดือนเมษายน พ.ศ.2541 หลังจากเปิดบริการได้เพียง 6 เดือนเท่านั้นด้วยหัวใจที่ปวดร้าวแต่ในใจของทวีคิดแต่เพียงว่าเขาจะต้องเปิดห้างนี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้งให้ได้ วันนี้ ทวีกิจ ขยายสาขาไปตามอำเภอ และตำบลต่าง ๆ ทั้งในจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดใกล้เคียง รวมแล้ว 166 สาขา และจะขยายสาขาต่อไปอย่างน้อยปีละ 10 สาขา โดยเน้นนโยบายทำเลจากใกล้ไปไกล ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปแและยังยืนยันที่จะลงทุนเองทั้งหมด ยังไม่มีแผนขายแฟรนไชส์แต่อย่างใด ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจดังเดิม ที่ว่า “ทวีกิจนำความประหยัดและความสุขไปสู่ชุมชน” ที่สำคัญ ทวีกิจทุกสาขา ไม่ขายเหล้า เบียร์ บุหรี่ แม้ว่าจะมียอดขายและกำไรที่ดีมากก็ตาม ตามสโลแกนที่ว่า ทวีกิจไม่ขายเหล้าเบียร์ บุหรี่ เพราะเราห่วงใยคุณและทุกคนในครอบครัว ปัจจุบัน ทวีกิจ บริหารงานโดยทายาทรุ่นที่ 2 ที่ยอมรับว่า การเปิดตัวของโมเดิร์นเทรดในจังหวัดบุรีรัมย์ทำให้ทวีกิจได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยมองว่าคู่แข่งที่เข้ามาทำให้ทวีกิจได้พัฒนาห้างอย่างก้าวกระโดดเพื่อสามารถแข่งขันและรองรับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้อย่างเต็มที่ สุดท้ายนี้ “คุณดรุณี – คุณศิรินันท์ โรจนสินวิไล” บอกว่า …

พาซอมเบิ่ง เส้นทาง “ห้างทวีกิจซุปเปอร์เซ็นเตอร์” อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ครึ่งปีแรก จังหวัดใด๋ ? มีการจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ หลายที่สุด

พามาเบิ่ง  ครึ่งปีแรก จังหวัดใด๋ ?  มีการจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ หลายที่สุด    การจดนิติบุคคล คือ การจดทะเบียนการดำเนินกิจการรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจากการดำเนินกิจการในลักษณะบุคคลธรรมดา กลายมาเป็นการดำเนินการในรูปแบบที่มีการจดทะเบียน ซึ่งสามารถจดทะเบียนนิติบุคคลได้ทั้งห้างหุ้นส่วนหรือจะเป็นบริษัทจำกัด โดยการจดนิติบุคคลในรูปแบบบริษัทจำกัดเป็นรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก   5 อันดับจังหวัดที่มีนิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่สูงสุด อันดับที่ 1    นครราชสีมา       923 ราย     ทุนจดทะเบียน 1,385   ล้านบาท อันดับที่ 2    ขอนแก่น             683 ราย     ทุนจดทะเบียน 1,091   ล้านบาท อันดับที่ 3    อุดรธานี              480 ราย     ทุนจดทะเบียน 771      ล้านบาท อันดับที่ 4    อุบลราชธานี       449 ราย     ทุนจดทะเบียน 713      ล้านบาท  อันดับที่ 5    บุรีรัมย์                283 ราย     ทุนจดทะเบียน 6,594   ล้านบาท   อ้างอิงจาก :  กรมพัฒนาธุรกิจการค้า   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #นิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่

อินเดียระงับส่งออกข้าว ไทยอีสาน ได้ประโยชน์

อินเดียระงับส่งออกข้าว ไทยอีสาน ได้ประโยชน์   รัฐบาลอินเดียตัดสินใจระงับการส่งออกข้าวหักและเก็บภาษีส่งออกข้าวหลายประเภทถึง 20% เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมา เพื่อควบคุมราคาข้าว การตัดสินใจระงับการส่งออกเป็นสินค้าที่เรียกว่า “ข้าวหัก” ซึ่งเป็นเมล็ดข้าวที่มีความยาวน้อยกว่า 3 ใน 4 ของความยาวโดยเฉลี่ยของเมล็ดข้าวในล็อตเดียวกัน รวมถึงเมล็ดข้าวที่หักและเหลือไม่ถึง 80% ของเมล็ด   เว็บไซต์ข่าวซีเอ็นบีซี นำเสนอรายงานเกี่ยวกับการประกาศใช้มาตรการห้ามส่งออกข้าวของรัฐบาลอินเดียว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาข้าวในตลาดโลก โดยเฉพาะส่งผลกระทบต่อตลาดข้าวในภูมิภาคเอเชีย   ในปีนี้ ข้าวยังคงมีราคาสูง เนื่องจากราคาขายปลีกในตลาดเพิ่มขึ้น 9.3% เมื่อเทียบเดือน ก.ค. ปีก่อนและดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของราคาข้าวทะยาน 3.6% เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.ค. ปีก่อน 0.5%   ในบางประเทศอาจจะก่อให้เกิดปัญหาเนื่องจากบางประเทศจำเป็นต้องนำเข้าข้าว จึงมีความเสี่ยงที่ราคาข้าวจะแพงมากขึ้น    ซึ่งในทางกลับกันบางประเทศ อาจพลิกวิกฤตนี้เป็นโอกาสให้ประเทศได้รับประโยชน์ โดยประเทศไทยและเวียดนามจะเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์ จากการงดส่งข้าวของอินเดียในครั้งนี้ เนื่องจากเวียดนามเป็นประเทศส่งออกข้าวอันดับที่ 2 และไทยเป็นประเทศส่งออกข้าวอันดับที่ 3 ทำให้ทั้งสองประเทศเป็นทางเลือกใหม่ของบรรดาประเทศผู้นำเข้าข้าว เพื่อเติมเต็มปริมาณข้าวให้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ   อ้างอิงจาก : กรุงเทพธุรกิจ   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ข้าว #ส่งออกข้าว 

ความคืบหน้า โครงการก่อสร้างศูนย์แพทย์ฯ สถาบันพระบรมราชชนก จ.อุดรธานี

ความคืบหน้า  โครงการก่อสร้างศูนย์แพทย์ฯ  สถาบันพระบรมราชชนก  จ.อุดรธานี   โครงการก่อสร้างศูนย์แพทย์เพื่อการเรียนการสอน วิทยาลัยแพทยศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก วิทยาเขตอุดรธานี เพื่อผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว รวมทั้งเป็น รพ.ขนาด 300 เตียง    นายแพทย์ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ ได้มีแผนการพัฒนา Medical Hub ด้านระบบบริการ มีเป้าหมายให้จังหวัดอุดรธานีเป็นเมืองศูนย์กลางการแพทย์ บริการสุขภาพลุ่มน้ำโขง    ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในเดือนกรกฎาคม 2565 โดยจะเป็นโรงพยาบาลขนาด 300 เตียง ให้บริการดูแล รักษาประชาชนทั้งในพื้นที่ จังหวัดใกล้เคียง และจากประเทศเพื่อนบ้าน   วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ได้จัดให้มีพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างโรงพยาบาล และศูนย์การแพทย์ โดยได้รับเมตตาจากพระราชภาวนาวชิรากร (หลวงพ่ออินถวาย สันตุสโก) เจ้าอาวาสวัดป่านาคำน้อย อำเภอนายูง องค์อุปถัมภ์ สร้างโรงพยาบาล และศูนย์การแพทย์ เป็นประธานสงฆ์ เจิมแผ่นศิลาฤกษ์และเจิมแบบแปลน   สำหรับศูนย์แพทย์ฯ แห่งนี้เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาในจังหวัดอุดรธานี และได้รับความเมตตาจาก พระราชภาวนาวชิรากร (หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก) วัดป่านาคำน้อย เป็นองค์อุปถัมภ์ในการก่อสร้าง ได้รับการสนับสนุนที่ดินจากกรมธนารักษ์จำนวน 500 ไร่    ในระยะที่ 1 จะเป็นโรงพยาบาลขนาด 300 เตียง, โรงเรียนแพทย์ฯ-แพทย์ทางเลือก, ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ, อาคารที่พักเจ้าหน้าที่, อาคารบริการ, ลานจอดรถ, ถนน และสิ่งสาธารณูปโภคเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ระบบบำบัดน้ำเสีย-พลังงานสะอาด-รีไซด์เคิล    ใช้เวลาในการก่อสร้าง 3 ปี (2565-2567) วงเงิน 1,200 ล้านบาท โดยปีแรก 2565 จะเป็นการปรับพื้นที่ ในส่วนของโรงพยาบาล จะแล้วเสร็จในปี 2568 และศูนย์แพทย์ฯ จะแล้วเสร็จในปี 2575   อ้างอิงจาก :  สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ (NNT) รัฐบาลไทย (Thaigov)   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อุดรธานี #ศูนย์แพทย์ #MedicalHub  

พาส่องเบิ่ง ธุรกิจผับรายใหญ่ ในภาคอีสาน

การทำธุรกิจต้องมีการจัดการความเสี่ยงให้เหมาะสม ซึ่งต้องทําการศึกษาและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการลงทุน โดยพิจารณาพื้นที่ที่มีศักยภาพในเชิงเศรษฐกิจที่เหมาะสมและสอดคล้องกับธุรกิจ พร้อมสํารวจพฤติกรรมและความต้องการสินค้าของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในพื้นที่จังหวัดนั้น ๆ ก่อน ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต อ้างอิงจาก: https://data.creden.co/company/general/0343547001053 https://www.awaygpub.com/u-bar-%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8…/ #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ธุรกิจผับ #ยูบาร์ #Ubar #อุบลราชธานี

ชวนเบิ่ง “ข้าวไดโนเสาร์” สุดยอดแบรนด์ข้าวหอมมะลิของคนอีสาน

“ข้าวไดโนเสาร์” เป็นชื่อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดบนโลกโซเชียลในขณะนี้ ซึ่งหาไม่ได้ง่าย ๆ ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพามาดูจุดเริ่มต้นและความลับของข้าวไดโนเสาร์ว่ามีอะไรบ้าง?? จุดเริ่มต้นของ “ข้าวไดโนเสาร์” คุณจำนงค์ รุ่งโรจน์นิมิตชัย เล่าว่า “สมัยก่อนคุณพ่อเคยเป็นหลงจู๊หรือเป็นผู้จัดการโรงสีให้คนอื่นเขา ตั้งแต่เด็กๆ เราก็ได้ช่วยงานพ่อ เป็นเสมียนคอยดูข้าว ชั่งข้าว ทำให้เราซึมซับมาเรื่อย ๆ และกลายเป็นงานที่เราถนัด จนกระทั่งเรียนจบ เราก็มาซื้อโรงสีเก่าขนาดเล็กๆ ต่อจากเค้า แล้วก็ปรับปรุงมาเรื่อย ๆ จากโรงสีขนาดเล็กก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาทีละนิด จนตอนนี้ก็ทำมา 30 ปีแล้วครับ” จากโรงสีเก่าขนาดเล็กในอำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ก็ค่อย ๆ เติบโตและกลายเป็นโรงสีพงษ์ชัยธัญญาพืช ต้นกำเนิดข้าวไดโนเสาร์” ซึ่ง “ข้าวไดโนเสาร์” จะใช้ข้าวหอมมะลิเป็นหลัก ชื่อเต็มของข้าวหอมมะลิคือข้าวขาวดอกมะลิ ปลูกในนาปี คือปลูกได้เฉพาะฤดูฝนเพราะเป็นพันธุ์ข้าวที่ไวต่อแสง ข้าวนาปีต้องปลูกให้ตรงตามฤดูถึงจะได้คุณภาพ พอเข้าสู่ฤดูหนาวที่ช่วงแสงสั้นลง ข้าวมันจะรู้เองอัตโนมัติว่าถึงเวลาต้องออกรวงแล้ว แม้จะปลูกต่างกัน 10 วัน ก็เกี่ยวพร้อมกัน ซึ่งโดยปกติข้าวหอมมะลิจะใช้เวลา 170-175 วัน โดยจะแตกต่างจากข้าวนาปรังที่ปลูกได้ทั้งปี ครบ 90-100 วันแล้วก็เกี่ยว คุณจำนงค์ยังเล่าด้วยว่า เรื่องของดินก็มีผลต่อข้าวเหมือนกัน “ข้าวหอมมะลิจะปลูกดีในนาทราย อย่างข้าวที่ปลูกในนาทรายแถบภาคอีสานเม็ดจะเรียวและขาวใสกว่า จะไม่อ้วนเท่ากับข้าวหอมมะลิที่ปลูกทางภาคกลางซึ่งเป็นนาดินเหนียว แต่ว่าความหอมเนี่ยจะขึ้นอยู่กับอายุของข้าว ถ้าเก็บเกี่ยวในช่วงที่เหมาะสมตามฤดูกาล ในขณะที่ข้าวไม่สุกจนเกินไป ก็จะได้ความหอมขึ้นมา รวงของเขาจะเป็นสีเหลืองพลับพลึง เหลืองเหมือนกล้วยอมเขียวนิด ๆ แสดงว่าเริ่มเกี่ยวได้แล้ว ถ้าปล่อยให้ข้าวกลายเป็นสีเหลืองน้ำตาลมันจะสุกเกินไป แต่ชาวบ้านหลายคนเกี่ยวในช่วงนี้เพราะจะได้ปริมาณแป้งและได้น้ำหนักที่มากขึ้น” สิ่งที่ทำให้ข้าวไดโนเสาร์พิเศษกว่าข้าวอื่น ๆ คือ กระบวนการคัดเลือกวัตถุดิบคุณภาพดีอย่างพิถีพิถัน โดยเริ่มจากวัตถุดิบที่ดีก่อน เวลาชาวบ้านขายข้าวเปลือกมาให้ สิ่งแรกที่ต้องดูคือเป็นข้าวหอมมะลิแท้หรือไม่ มีข้าวพันธุ์อื่นปนมามั้ย จากนั้นก็จะทำการคัดเกรดข้าว โดยคุณสมบัติ 2 ข้อที่ขาดไม่ได้คือความหอมและความนุ่ม โดยใช้หม้อหุงข้าวเล็ก ๆ หุงชิมตรงนั้นเลย ชิมเองบ้าง เสมียนชิมบ้าง แม่บ้านชิมบ้าง เพราะในสายพันธุ์ข้าวหอมไม่ได้มีแค่ข้าวหอมมะลิ ข้าวปทุมก็หอม ข้าวกข79 ก็หอม ทุกสายพันธุ์จะมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ทีมงานจะจำรสชาติข้าวหอมมะลิได้เพราะชิมทุกวัน ชิมแล้วรู้เลยว่าตัวนี้ผ่านหรือไม่ผ่าน พอคัดข้าวเปลือกดีแล้ว อีกขั้นตอนที่สำคัญก็คือการจัดเก็บ โดยจะนำข้าวเปลือกไปเก็บไว้ในถังไซโลแล้วอัดอากาศเย็นและแห้งขึ้นไปจากด้านล่าง เพื่อรักษาอุณหภูมิให้ต่ำกว่า 25-28 องศา ให้ข้าวคงความหอมนุ่ม พอมีออเดอร์มาแล้ว จะมีการปล่อยข้าวจากถังไซโลออกมาสี ซึ่งจะไม่สีแล้วกองทิ้งไว้ เพราะการเก็บเป็นข้าวเปลือกจะคงคุณภาพได้ดีกว่า พอสีเสร็จแล้วก็แพ็กขายย่อยทุกวัน วันละ 1-2 คันรถเท่านั้น เหตุผลที่ไม่มีขายในห้าง จนกลายเป็น Rare item หลายคนพยายามเสิร์ชหาในกูเกิลว่าข้าวไดโนเสาร์ซื้อได้ที่ไหน เพราะมันไม่ได้วางขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป ซึ่งจะเกี่ยวกับปริมาณวัตถุดิบที่ปีนึงโรงสีจะซื้อข้าวคุณภาพดีมาได้เท่านี้ มีห้างมาชวนหลายเจ้า แต่ด้วยปริมาณของของโรงสีมีจำกัด โดยในขณะนี้ก็ยังคงขายอยู่ในร้านค้าแบบดั้งเดิม บางร้านก็นำไปขายบนออนไลน์อย่าง Shopee หรือ LAZADA ซึ่งก็สะดวกกับผู้บริโภค …

ชวนเบิ่ง “ข้าวไดโนเสาร์” สุดยอดแบรนด์ข้าวหอมมะลิของคนอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พามาฮู้จัก BWILD Isan พื้นที่รวมนักออกแบบความเป็นอีสาน

การทำ BWILD Isan ไม่ได้มุ่งหากำไรอย่างเดียว แต่นึกถึงผู้คนและสังคม จึงเกิดคอมมูนิตี้ที่รวบรวมนักออกแบบและช่างฝีมือในท้องถิ่น อยากให้พื้นที่นี้เป็นเวทีสำหรับคนรุ่นใหม่ในอีสาน ได้ทำสิ่งที่ตัวเองถนัด ได้อยู่กับครอบครัว จนเกิดความภูมิใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง   หน้าที่สำคัญ คือ การออกแบบ แต่ต้องไม่กำหนดวิธีการทำงานของช่างฝีมือ โดย ไม่มีกรอบ ไม่มีถูก และไม่มีผิด ไม่ว่าจะถัก ทอ หรือย้อมสีผ้า เป็นตัวเองได้เต็มที่   ‘ Wild in The City ’ เป็นคอลเลกชันแรกที่ปรับตัวเรียนรู้ ทดลอง และสร้างงานร่วมกัน โดยมีแรงบันดาลใจหลัก คือ ความมุ่งมั่น ความกล้า ความเชื่อ ความศรัทธา และการปกป้อง สิ่งเหล่านั้นถูกนำมาเป็นธีมหลักในการออกแบบ จนกลายเป็นลายผ้าไหมมัดหมี่ เสื้อผ้า ภาพวาดบนผ้า พันคอ น้ำหอม กระเป๋าและเซรามิก ซึ่งได้รับรางวัล Best Collection Award จาก Qurated Fashion Incubation Project 2020   ต่อด้วยคอลเลกชันที่สอง ‘Ant Colony’ พูดถึงความงามของอีสานหน้าร้อน นั่นคือ ดอกจาน (ทองกวาว) และการแหย่ไข่มดแดง ที่นำมาปรุงให้เป็นอาหารรสแซ่บ และออกแบบเป็นผ้าไหมมัดหมี่ลายใบตองกุงและผ้าพันคอลายไข่มดแดงและแม่เป้ง (มดแดงนางพญา) จนได้รับรางวัลชนะเลิศจาก Thai Designer Academy 2021   จนสุดท้ายเกิดเป็นกระเป๋าไก่บ้าน (Kai Baan Bag) ออกนอกกรอบ สนุก และสะท้อนคุณค่าของชีวิตคนท้องถิ่นจริง ๆ ซึ่งใช้แรงบันดาลใจใกล้ตัว ความบ้าน ๆ ต่างจังหวัด ที่ตื่นมาก็เห็นคนอุ้มไก่ อาบน้ำไก่ ชนไก่ ตีไก่ จนเป็นสินค้าที่ทำให้คนรู้จักแบรนด์นี้มากยิ่งขึ้น   อ้างอิงจาก : เว็บไซต์บริษัท, Readthecloud   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #กระเป๋าไก่บ้าน #BWILDIsan #KaiBaanBag  

Scroll to Top