Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

รู้จักกับ “หมากเม่า” ทองคำสีดำเทือกเขาภูพาน ผลไม้สร้างมูลค่าที่น่าจับตามอง

“หมากเม่า” พืชท้องถิ่นที่พบได้ทุกภาคในประเทศไทย แต่พบได้มากในภาคอีสาน โดยเฉพาะแถบเทือกเขาภูพาน จ.สกลนคร ที่ได้รับการรับรองว่าเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI (Geographical Indication) เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่ง ซึ่งใช้กับแหล่งกำเนิดของสินค้าที่มีความเชื่อมโยงกับภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีมายาวนาน เช่น น้ำหมากเม่าสกลนคร ส้มโอขาวใหญ่สมุทรสาคร ผ้าไหมยกดอกลำพูน เป็นต้น . ชาวบ้านในพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปลูกหมากเม่าเพิ่มขึ้น จากการส่งเสริมของผู้นำชุมชนและทางจังหวัด ในด้านงบประมาณพร้อมผลักดันให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น จนสามารถสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจให้ชุมชน โดยมีเครือข่ายหมากเม่าประมาณ 400 ครอบครัว มีไร่หมากเม่ากว่า 1,900 ไร่ และมีโรงงานแปรรูปอีก 15 โรงงาน . ในอนาคตทิศทางของหมากเม่ามีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้น จากเดิมที่ชาวบ้านนิยมกินผลสดและนำไปใส่ส้มตำ ปัจจุบันหมากเม่าถูกนำไปแปรรูปสารพัด เช่น นอกจากเครื่องดื่ม ยังมีแยมหมากเม่า คุกกี้ไส้หมากเม่า ชาใบเม่า น้ำใบเม่า สบู่และเครื่องสำอางประทินผิวน้ำหมากเม่า เป็นต้น . ทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เนื่องจากมีสรรพคุณมาก ผลหมากเม่าสุก มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย และช่วยชะลอความแก่ชราได้ รสฝาดของผลมะเม่าสุก มีสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ช่วยยับยั้งไม่ให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมหรือเปราะง่าย และรสขมของมะเม่า มีสารแทนนิน (Tannin) ช่วยทำให้เกล็ดเลือดจับตัวกันน้อยลง จึงมีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจล้มเหลวได้ . ที่ผ่านมา ด้านสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสกลนคร ก็ได้มีการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการสร้างเครือข่ายการตลาดสินค้าเกษตรมาตรฐานให้กับกลุ่มเกษตรกรผู้ประกอบการสินค้าเกษตร สินค้า GI ที่มีศักยภาพในจังหวัดสกลนคร ในหัวข้อ “พิชิตตลาดสินค้า GI วิถีใหม่ สู่โลกออนไลน์” . เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการ ผลิตภัณฑ์จากหมากเม่า ตลอดจนเกษตรกรผู้ปลูก ในการประชาสัมพันธ์สินค้าผ่านทางสื่อออนไลน์ อย่างมีประสิทธิภาพ และน่าสนใจ เปิดช่องทางการตลาดให้เข้าถึงประชาชนได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น เพื่อปรับให้สอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ (New Norma) . . ที่มา: BEDO, Herbs Starter, Medthai และสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสกลนคร

ปีทองของการส่งออก ‘มันสำปะหลัง’ ไทย ดันราคาขายผลผลิตให้เกษตรกรอีสาน

ปี 2564 ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง 10.4 ล้านตัน (+46%) คิดเป็นมูลค่ากว่า 123,357 ล้านบาท (+48%) ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี นับตั้งแต่ปี 2550 . ประเทศที่ส่งออกไปมากที่สุด คือ จีน คิดเป็นมูลค่า 85,471 ล้านบาท รองลงมาเป็น ญี่ปุ่น 9,214 ล้านบาท, ไต้หวัน 4,861 ล้านบาท, สหรัฐอเมริกา 3,158 ล้านบาท และอินโดนีเซีย 3,125 ล้านบาท . ส่วนสาเหตุที่ทำให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น เป็นผลมาจากจีน (ตลาดหลัก) ต้องการนำมันสำปะหลังไปเป็นวัตถุดิบแทนข้าวโพดเพื่อผลิตแอลกอฮอล์ในช่วงการระบาดของ COVID-19 รวมถึงการผลิตอาหารสัตว์ เนื่องจากปริมาณสต๊อกข้าวโพดในประเทศจีนลดลง และมีราคาสูงขึ้น (แพงกว่ามันเส้น) จึงพยายามนำเข้ามันสำปะหลังซึ่งเป็นสินค้าทดแทนการผลิต จากไทยอีกทาง . ประกอบกับภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็น 0% ภายใต้ FTA อาเซียน-จีน ยิ่งสนับสนุนให้มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ที่จีนนำเข้ามากที่สุด ได้แก่ มันเส้น และแป้งมันสำปะหลัง . ทั้งนี้ ปริมาณและมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาหัวมันสำปะหลังสดในประเทศ ปีการผลิตปี 2564/65 มีเสถียรภาพ ปัจจุบันราคาเฉลี่ย 2.55 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจมาก . สำหรับปี 2565 นี้ ภาครัฐก็ได้เร่งดำเนินงานตามพันธกิจด้านการตลาดต่างประเทศ ในการส่งเสริมการส่งออก เช่น การจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรแปรรูปและนวัตกรรมจากมันสำปะหลังเพื่อสร้างการรับรู้ให้กลุ่มผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ประชุมเจรจาขยายตลาดผ่านระบบออนไลน์ร่วมกับผู้ส่งออกและผู้ซื้อมันสำปะหลังในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง . และที่น่าจับตามอง อย่างการส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากมันสำปะหลังนำร่อง ได้แก่ พลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) และแป้งฟลาวมันสำปะหลังไปตลาดต่างประเทศ เช่น สหภาพยุโรป สหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น ผ่านกิจกรรมส่งเสริมช่องทางการตลาดและประชาสัมพันธ์ การจับคู่ธุรกิจในรูปแบบออนไลน์ (OBM) และสื่อประชาสัมพันธ์โฆษณา (Advertorial) ตลอดจนการเชื่อมโยงงานวิจัยระหว่างผู้ประกอบการและหน่วยงานวิจัย เพื่อพัฒนาต่อยอดให้เกิดมูลค่าเพิ่มอย่างเป็นรูปธรรม . สุดท้าย การขยายตลาด และพัฒนาผลิตภัณฑ์จะไม่ใช่เพียงผู้ส่งออกที่ได้ประโยชน์ แต่เกษตรกรก็พลอยจะขายได้ราคาดีตามไปด้วย โดยเฉพาะในภาคอีสานที่มีครัวเรือนเกษตรกรที่เพาะปลูกมันสำปะหลังมากที่สุดในประเทศ . . อ้างอิงจาก https://www.ditp.go.th/ditp_web61/article_sub_view.php?filename=contents_attach/761552/761552.pdf&title=761552&cate=1469&d=0 https://www.ditp.go.th/ditp_web61/article_sub_view.php?filename=contents_attach/753899/753899.pdf&title=753899&cate=1469&d=0 https://www.oae.go.th/view/1/ตารางแสดงรายละเอียดมันสำปะหลัง/TH-TH https://www.prachachat.net/economy/news-873583 https://mgronline.com/business/detail/9640000014819

สถานการณ์ขยะมูลฝอยของไทย เมื่อรัฐเล็งยกเลิกใช้กล่องโฟม แก้ว-หลอดพลาสติก ภายในปี 65

ในช่วงครึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ปัญหาขยะพลาสติกกำลังถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง และผู้คนทั่วโลกต่างให้ความสนใจ โดยปี 2562 ประเทศไทยได้ทำการแบนพลาสติกไปแล้ว 3 ชนิด ได้แก่ พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม, ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีส่วนผสมของสารประเภทอ๊อกโซ่ และไมโครบีดจากพลาสติก . และภายในปี 2565 ไทยก็จะแบนพลาสติกอีก 4 ชนิด ได้แก่ ถุงพลาสติกหูหิ้ว (ความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน), กล่องโฟมบรรจุอาหาร, แก้วพลาสติก (ความหนาน้อยกว่า 100 ไมครอน) และหลอดพลาสติก . รวมไปถึง เรื่องของการนำพลาสติกเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ให้ได้ไม่น้อยกว่า 50% ของกลุ่มถุงพลาสติกหูหิ้ว, บรรจุภัณฑ์ฟิล์มพลาสติกชั้นเดียว, ขวดพลาสติกทุกชนิด, ฝาขวด, แก้วพลาสติก, ถาด/กล่องอาหาร และช้อน ส้อม มีดพลาสติก . ในระยะเวลาอีกไม่ถึงปีนี้ อีสานอินไซต์จึงอยากพาทุกคนไปดูว่า ที่ผ่านมามาตรการลดและเลิกใช้พลาสติกของภาครัฐได้ผลมากน้อยแค่ไหน จากเป้าที่ว่า จะลดปริมาณขยะพลาสติกลง 0.78 ล้านตันต่อปี . โดยเทียบเคียงจากข้อมูลปริมาณขยะมูลฝอย (ไม่ใช่ขยะพลาสติกทั้งหมด) ซึ่งปี 2562 ปริมาณขยะมูลฝอยทั้งประเทศ 28.71 ล้านตัน (+0.78 ล้านตัน) ส่วนปี 2563 ปริมาณขยะมูลฝอยทั้งประเทศ 25.37 ล้านตัน (-3.34 ล้านตัน) ที่แม้จะต้องใช้เวลาอีก 1 ปีให้หลังจึงเห็นผลแต่ก็ถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี เพราะในจำนวนนี้เป็นขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ 33% ของปริมาณขยะที่ก่อ อีกทั้งสถานที่กำจัดขยะที่ไม่ถูกต้องยังลดลงจากปี 2562 จำนวน 366 แห่ง . เช่นเดียวกับภาคอีสาน ที่ปี 2562 ปริมาณขยะมูลฝอย 7.82 ล้านตัน (+0.04 ล้านตัน) ส่วนปี 2563 ปริมาณขยะมูลฝอย 6.49 ล้านตัน (-1.33 ล้านตัน) ซึ่งในจำนวนนี้เป็นขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้มากถึง 46.5% ของปริมาณขยะที่ก่อ ถือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าทุกภูมิภาค รวมถึงสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยที่ไม่ถูกต้องก็ลดลงเช่นกัน โดยลดจากปี 2562 ประมาณ 205 แห่ง . อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขดังกล่าวจะไม่สามารถสะท้อนผลของนโยบายได้ชัดเจน แต่การแบนพลาสติกบางประเภท ก็เพื่อเปิดโอกาสให้วัสดุทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าได้เข้ามาแทนที่ และส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ให้หันมาพกอุปกรณ์ส่วนตัวที่ใช้ซ้ำกันมากขึ้น . แน่นอนว่าเป็นโอกาสของภาคธุรกิจให้รีบปรับตัว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมพลาสติกที่ช่วงแรกต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงกว่าปกติ ดังนั้นภาครัฐอาจต้องเข้ามาช่วงผลักดันอีกแรง เช่น การมี Roadmap ที่ชัดเจนว่าจะสนับสนุนการผลิตบรรจุภัณฑ์จากวัสดุทางเลือกอย่างไร จะมีมาตรการทางภาษีมาช่วยหรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องมีรายละเอียดเพื่อให้การแบนมีผลจริงในทางปฏิบัติยิ่งขึ้น ส่วนธุรกิจอื่น ๆ เช่น จัดจำหน่ายถุงผ้า แก้วน้ำ-กล่องอาหารแบบใช้ซ้ำ ก็คงต้องมาแข่งขันกันอีกว่า …

สถานการณ์ขยะมูลฝอยของไทย เมื่อรัฐเล็งยกเลิกใช้กล่องโฟม แก้ว-หลอดพลาสติก ภายในปี 65 อ่านเพิ่มเติม »

เปิดรายชื่อ 18 สินค้า ห้ามขึ้นราคา! กรมการค้าภายในขอให้ตรึงราคาต่อ

ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการ/ผู้ผลิตสินค้าหลายชนิด จ่อ “ขึ้นราคาสินค้า” ภายในเมษายน 2565 โดยกลุ่มสินค้าที่จะปรับขึ้นราคา ได้แก่ . ไข่ไก่ ปรับราคาขึ้น 9 บาทต่อแผง น้ำมันปาล์ม ปรับราคาขึ้น 3 บาทต่อขวด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปรับราคาขึ้น 25 สตางค์ต่อซอง นมข้นหวาน ปรับราคาขึ้น 2 บาทต่อกระป๋อง มะนาว ปรับราคาขึ้น 5-7 บาทต่อลูก . อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศตรึงราคาสินค้าจำเป็น 18 หมวด มาตั้งแต่ช่วงกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยห้ามขึ้นราคาสินค้าโดยไม่จำเป็นทุกชนิด หวังจะช่วยบรรเทาสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศได้มากที่สุด . รายชื่อสินค้าจำเป็น 18 รายการ ที่ยังไม่ให้ขึ้นราคา มีดังนี้ . 1. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2. หมวดอาหารสด (ไข่ไก่ เนื้อสัตว์) 3. อาหารกระป๋อง 4. ข้าวสารถุง 5. ซอสปรุงรส 6. น้ำมันพืช 7. น้ำอัดลม 8. นมและผลิตภัณฑ์จากนม 9. เครื่องใช้ไฟฟ้า 10. ผลิตภัณฑ์ซักล้าง 11. ปุ๋ย 12. ยาฆ่าแมลง 13. อาหารสัตว์ 14. เหล็ก 15. ปูนซีเมนต์ 16. กระดาษ 17. ยา เวชภัณฑ์และบริการทางการแพทย์ 18. บริการผ่านห้าง ค้าปลีก-ส่ง . ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการ/ผู้ผลิต จะขอปรับขึ้นราคาขายสินค้า เพราะต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น ต้องทำเรื่องมาที่กรมการค้าภายในเพื่อขออนุญาต และจะดำเนินการพิจารณาเป็นราย ๆ ไป . สุดท้ายนี้ ถ้าประชาชนท่านใดพบเห็นการขายสินค้าเกินราคากว่าความเป็นจริง สามารถโทรศัพท์แจ้งโดยติดต่อมาที่ โทร.1569 สายด่วนกรมการค้าภายใน (ร้องเรียนสินค้าจำหน่ายเกินราคา) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการทางกฎหมายกับร้านค้าดังกล่าวได้ . . ที่มา: กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ และกรุงเทพธุรกิจ

เกิดอะไรขึ้น อีสานถึงมีแรงงานนอกระบบมากที่สุด

ผลสำรวจแรงงานนอกระบบ ปี 2564 จากจำนวนผู้มีงานทำทั้งประเทศ 37.7 ล้านคน เป็นแรงงานนอกระบบ 19.6 ล้านคน (52%) . หากเปรียบเทียบแรงงานนอกระบบจากจำนวนผู้มีงานทำในภูมิภาค จะพบว่า ภาคอีสาน มีแรงงานนอกระบบมากที่สุด (75.2%) รองลงมาเป็นภาคเหนือ (68.5%) ภาคใต้ (52.3%) ภาคกลาง (37.7%) และกรุงเทพมหานคร (21.9%) . เมื่อมาดูกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แรงงานนอกระบบของประเทศส่วนใหญ่ทํางานอยู่ในภาคเกษตร (58%) รองลงมา เป็นภาคการบริการและการค้า (32.2%) และภาคการผลิต (9.8%) . ทั้งนี้ แบบสำรวจภาวะการทำงานของประชากร ปี 2563 พบว่า อีสานมีแรงงานในภาคเกษตร 6.5 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 53% ของผู้มีงานทำในภูมิภาค ดังนั้น สัดส่วนแรงงานเกษตรที่มากจึงสะท้อนแรงงานนอกระบบที่มากไปด้วย . โดยสิ่งหนึ่งที่แรงงานนอกระบบจะต้องเผชิญ คือ ถ้าไม่ได้สมัครเข้าประกันสังคม ก็จะไม่มีสวัสดิการคุ้มครองครอบคลุมในหลายกรณีเหมือนกับแรงงานในระบบ ซึ่งที่ผ่านมา แรงงานเกษตรในอีสานได้ค่าตอบแทนเฉลี่ยเพียง 34 บาท/ชั่วโมง น้อยกว่าสาขาอื่น ๆ เป็นเท่าตัว การจะให้มาจ่ายเงินเพื่อซื้อสวัสดิการเหมือนแรงงานในระบบจึงเป็นเรื่องยาก . ยิ่งปัญหาของแรงงานนอกระบบ ปี 2564 ที่ส่วนใหญ่มีปัญหาจากการทำงาน (31.8%) โดยสิ่งที่พวกเขาต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุด คือ เรื่องของค่าตอบแทน จึงอาจกล่าวได้ว่า “จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่าแรงงานนอกระบบโดยเฉพาะในภาคเกษตร ไม่อยากจ่ายเงินเพื่อซื้อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่พวกเขาไม่มีให้จ่ายต่างหาก” เงินที่ได้เมื่อหักค่ากินค่าอยู่ก็แทบไม่เหลือ ไหนจะความไม่แน่นอนของรายได้ รวมไปถึงปัญหาหนี้สิน ที่ทำให้ไม่สามารถจ่ายได้ต่อเนื่อง . ซึ่งถ้าถามเหตุผลที่ยังทำเกษตรอยู่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเข้าสู่วัยสูงอายุของแรงงาน และจำนวนมากก็มีการศึกษาอยู่ระดับมัธยมศึกษาหรือต่ำกว่า ทำให้การปรับเปลี่ยนอาชีพทำได้ยาก . ดังนั้น ภาครัฐอาจต้องหาวิธีให้แรงงานในภาคเกษตรได้พัฒนาต่อยอดจากสิ่งที่ทำอยู่ เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าแบบที่ไม่ยากหรือเป็นภาระพวกเขาเกินไป โดยมีผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นตัวชี้วัด ควบคู่ไปกับการดึงคนรุ่นใหม่ที่สนใจและอยากพัฒนาการเกษตรของภูมิภาคและประเทศมาเป็นกำลังเสริมให้มากขึ้น ก่อนที่แรงงานเกษตร ซึ่งเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของชาติ และเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนในสังคมไทยจะหายไปหมด . . ที่มา: รายงาน การสำรวจแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2564 จัดทำโดย สำนักงานสถิติแห่งชาติ และแบบสำรวจภาวะการทำงานของประชากร จัดทำโดยสำนักเศรษฐกิจภูมิภาค ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย

เรื่องของ “วัวเนื้อ” กับข้อได้เปรียบจากการเลี้ยงเพื่อการส่งออกของอีสาน

 จำนวนโคเนื้อ . ในปี 2564 ประเทศไทยมีโคเนื้อกว่า 7.58 ล้านตัว โดยภูมิภาคที่เลี้ยงโคเนื้อมากที่สุด คือ ภาคอีสาน 3.97 ล้านตัว (52.32%) รองลงมาเป็น ภาคกลาง 1.31 ล้านตัว (17.26%) ภาคเหนือ 1.21 ล้านตัว (15.97%) และภาคใต้ 1.10 ล้านตัว (14.45%) ส่วนจังหวัดที่เลี้ยงโคเนื้อมากที่สุดในประเทศ ได้แก่ สุรินทร์ นครราชสีมา อุบลราชธานี บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ .  สถานการณ์การนำเข้า-ส่งออกโคเนื้อ . ก่อนอื่นต้องรู้ว่า การนำเข้า-ส่งออก สินค้าที่เกี่ยวข้องกับโคเนื้อ จะแบ่งเป็น 3 หมวดใหญ่ ดังนี้ . 1. โคเนื้อมีชีวิต ประกอบด้วย โคมีชีวิตสำหรับทำพันธุ์ และโคมีชีวิตอื่น ๆ . 2. เนื้อโคและส่วนอื่นที่กินได้ ประกอบด้วย เนื้อโคสดแช่เย็น เนื้อโคสดแช่แข็ง และเครื่องในโคเนื้อและส่วนอื่นที่บริโภคได้ . 3. ผลิตภัณฑ์เนื้อโค เช่น เนื้อโคแปรรูป .  สำหรับการนำเข้า ปี 2564 ไทยนำเข้าเนื้อโคและผลิตภัณฑ์มากที่สุด (93.82%) เป็นจำนวน 48,678 ตัน มูลค่า 5,628.40 ล้านบาท โดยประเทศที่ไทยนำเข้ามากที่สุด ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่น .  ส่วนการส่งออก ปี 2564 ไทยส่งออกโคเนื้อมีชีวิตมากที่สุด (99.43%) เป็นจำนวน 198,134 ตัว มูลค่า 3,527.24 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโคเนื้อมีชีวิตสำหรับทำพันธุ์ จำนวน 40,178 ตัว มูลค่า 621.95 ล้านบาท โดยประเทศที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่ สปป. ลาว เวียดนาม และมาเลเซีย . ทั้งนี้ การส่งออกโคเนื้อมีชีวิตไป สปป. ลาว จะเป็นการส่งออกไปจีนผ่าน สปป.ลาว เป็นหลัก เนื่องจากต้องถูกกักเพื่อตรวจสอบโรค โดยเฉพาะโรคปากและเท้าเปื่อย และลัมปีสกิน ที่กำลังระบาดในประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ไม่มีตัวเลขการส่งออกไปจีนที่เป็นตลาดใหญ่ของไทย . โดยจีนกำหนดคุณสมบัติโคที่จะรับซื้อว่า จะต้องเป็นลูกผสมอเมริกันบราห์มัน หรือลูกผสมยุโรปทุกสายพันธุ์ น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 350 – 400 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 100 บาท ส่งออกวันละ …

เรื่องของ “วัวเนื้อ” กับข้อได้เปรียบจากการเลี้ยงเพื่อการส่งออกของอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ไม้เศรษฐกิจที่น่าสนใจแต่ละภาค มีอิหยังแหน่?

ไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ คือไม้ยืนต้นทุกชนิดที่ปลูกหรือเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติรวมถึงไผ่ ซึ่งอยู่นอกเขตป่าอนุรักษ์ที่มีการใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้ ในการสร้างมูลค่าให้กับผู้ปลูก ทั้งขายโดยตรงและแปรรูป นอกจากนี้ยังสามารถนำมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ด้วย . การส่งเสริมให้ประชาชนปลูกไม้ยืนต้นนั้น มีความจำเป็นที่ต้องสร้างแรงจูงใจและต้องการกลไกทางการเงินเข้ามาช่วยสนับสนุน รวมทั้งการปลดล็อกข้อจำกัดด้านกฎหมายให้การปลูกไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสามารถตัด จำหน่าย ทำไม้ได้อย่างสะดวก การให้องค์ความรู้ทางวิชาการในเรื่องการปลูก การเลือกพันธุ์ไม้ และพื้นที่ปลูกก็ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญ . ภาคเหนือ ไม้เศรษฐกิจที่น่าสนใจ ได้แก่ สัก ประดู่ป่า พะยูง แดง และยางนา . ภาคอีสาน ไม้เศรษฐกิจที่น่าสนใจ ได้แก่ ประดู่ป่า พะยูง ยางนา และสัก . ภาคใต้ ไม้เศรษฐกิจที่น่าสนใจ ได้แก่ ไม้วงศ์ยาง จำปาป่า หลุมพอ สะเดาเทียม และกันเกรา . ภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก ไม้เศรษฐกิจที่น่าสนใจ ได้แก่ ยางนา ประดู่ป่า พะยอม สักและกฤษณา . และไม้เศรษฐกิจที่สามารถปลูกได้ทุกภาค ได้แก่ ตะเคียนทอง ไผ่ ยูคาลิปตัส และกระถินเทพา . . การแยกประเภทไม้ตามประเภทการเจริญเติบโต โดยวัดจากเส้นผ่านศูนย์กลางและรอบตัดฟัน สามารถแยกได้ทั้งหมด 3 กลุ่ม ดังนี้ . กลุ่มที่ 1 ไม้โตไว เป็นไม้ที่มีอัตราการเจริญเติบของเส้นผ่านศูนย์กลางโตไวเฉลี่ย 1.5 – 2 เซนติเมตร/ปี หลังจากนั้นอัตราการหยุดเจริญเติบโตจะหยุดอย่างรวดเร็ว รอบตัดฟันไม้ยู่จึงที่ 5 – 15 ปี เช่น สะเดาเทียม กระถินเทพา กระถินณรงค์ ยูคาลิปตัส เลี่ยน สะเดา ขี้เหล็ก โกงกาง สนทะเล สนประดิพัทธ์ รวมถึงไผ่ ชนิดต่าง ๆ เป็นต้น ไม้ประเภทนี้เนื้องานจึงเหมาะกับการใช้สร้างบ้านเรือน หรืองานก่อสร้างต่าง ๆ เครื่องเรือนท้องถิ่น หรือในอุตสาหกรรมเยื่อไม้ ชิ้นไม้สับ ราคาเฉลี่ยที่ 80 – 360 บาท/ต้น ขึ้นอยู่กับอายุของไม้ . กลุ่มที่ 2 ไม้โตปานกลาง เป็นไม้ที่มีอัตราการเจริญเติบของเส้นผ่านศูนย์กลางโตไวเฉลี่ย 0.8 – 1.5 เซนติเมตร/ปี ซึ่งโตช้ากว่ากลุ่มที่ 1 แต่มีระยะการเจริญเติบโตนาน รอบตัดฟันไม้อยู่ที่ 15-20 ปี เช่น สัก ประดู่ ยางนา แดง สะตอ เป็นต้น …

ไม้เศรษฐกิจที่น่าสนใจแต่ละภาค มีอิหยังแหน่? อ่านเพิ่มเติม »

สถานการณ์ ‘เงินเฟ้อ’ ภาคอีสานเป็นยังไง เมื่อของไทย เดือน ก.พ. 65 สูงสุดในรอบ 13 ปี

อัตราเงินเฟ้อของภาคอีสาน เดือน กุมภาพันธ์ 2565 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้น 4.55% (YoY) เป็นการขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนมกราคมที่สูงขึ้น 2.89% (YoY) . สาเหตุหลักยังคงมาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และค่ากระแสไฟฟ้าผันแปร (Ft) จากฐานในปีที่ผ่านมาต่ำ (มีมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพด้านสาธารณูปโภค) รวมไปถึงราคาเนื้อสุกร ที่สูงขึ้นเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด . สำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อทั่วไป เดือนมีนาคม 2565 ยังคงอยู่ในระดับสูงตามราคาพลังงานที่ยังสูง (น้ำมันเชื้อเพลิง ค่ากระแสไฟฟ้า) เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งถือเป็นต้นทุนการผลิตที่ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม สินค้าที่เริ่มปรับตัวลดลง เช่น ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว กลุ่มอาหารสด โดยเฉพาะเนื้อสุกร ผักสด (พริกสด ขิง) และผลไม้ (ส้มเขียวหวาน มะม่วง) . . ที่มา: กระทรวงพาณิชย์

4 Megatrends กำหนดทิศทางการพัฒนาทักษะแรงงาน

กระแส Megatrends ในโลกยุคใหม่ ที่จะมากำหนดทิศทางการพัฒนาทักษะของแรงงาน ซึ่งภาคธุรกิจควรให้ความสำคัญ ได้แก่ 1. การปรับใช้เทคโนโลยีในธุรกิจ จากการสำรวจผู้ประกอบการท่ัวโลกโดย World Economic Forum (WEF) พบว่า เทคโนโลยีที่กิจการคาดว่าจะนำมาปรับใช้มากที่สุด (เกิน 80%) ในปี 2568 คือ Cloud Computing, Big Data และ Internet of things และจากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ทำให้องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางไซเบอร์มากข้ึน จึงคาดว่า ในอนาคตจะเกิดการเร่งตัวของการใช้เทคโนโลยี Encryption and cybersecurity 2. Green Economy หนุนการโตของ Green Jobs หากทั่วโลกหันมาใช้ ‘พลังงานทางเลือก’ ที่สามารถผลิตและหมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแพร่หลาย จะผลักดันให้เกิดการจ้างงานในกลุ่มอาชีพ เช่น Green Marketers, Innovation Manager และ Solar / Wind Energy Technician มากขึ้น ในทางกลับกัน ตำแหน่งงานในภาคธุรกิจที่ไม่สอดรับกับหลักการ Green Economy จะเป็นที่ต้องการลดลง 3. ESG กับการพัฒนาทุนมนุษย์ กระแสความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, and Governance : ESG) จะผลักดันให้องค์กรต่าง ๆ ต้องเตรียมพร้อมในการพัฒนาทุนมนุษย์ (Human capital) สำหรับมาตรวัด (Metrics) ที่องค์กรควรให้ความสำคัญ เช่น การเข้าถึงการพัฒนาอย่างเท่าเทียม มีเครื่องมือรองรับสำหรับพนักงานที่มีศักยภาพสูง สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และการเปิดรับคำติชมจากพนักงาน 4. Multistage Life อายุยืนขึ้น ยิ่งต้องรู้หลายทักษะ ค่าเฉลี่ยอายุขัยประชากรโลกที่เพิ่มข้ึนจาก 72.8 ปี (ในปี 2563) เป็น 77 ปี (ในปี 2593) ทำให้เส้นแบ่งการเรียน-ทำงาน-เกษียณไม่ชัดเจน ยิ่งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงขององค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดอาชีพ และทักษะใหม่ ๆ รวมไปถึงการที่หลายประเทศเริ่มมีนโยบายส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ ผู้อยู่ในกำลังแรงงานจึงควรพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง โอกาสของธุรกิจ Corporate Training ● Customise โปรแกรมฝึกอบรมตามความต้องการของลูกค้า: โดยเน้นหลักสูตรที่ใช่ ในรูปแบบที่ชอบ เจาะกลุ่มทักษะที่สอดคล้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ● เสริมพลังการให้บริการด้วย Partnership: โดยผนึกกำลังความเชี่ยวชาญกับพันธมิตรกลุ่มต่าง ๆ เพื่อยกระดับการฝึกอบรมให้ตรงใจลูกค้ามากที่สุด ● ต่อยอดธุรกิจกระจายกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย: …

4 Megatrends กำหนดทิศทางการพัฒนาทักษะแรงงาน อ่านเพิ่มเติม »

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่เผชิญกับผลกระทบจากอุบัติเหตุบนท้องถนนย่างหนัก

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่เผชิญกับผลกระทบจากอุบัติเหตุบนท้องถนนย่างหนัก ปีงบฯ 64 (ต.ค. 63 – ก.ย. 64) ประเทศไทยเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน จํานวน 70,056 ครั้ง มีผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ 59,909 ราย เมื่อจำแนกเป็นรายภาคพบว่า เป็นส่วนกลาง (กรุงเทพฯ) 15,615 ราย (26.06%) และส่วนภูมิภาค 44,294 ราย (73.94%) ซึ่งในส่วนภูมิภาคพบว่า ภาคอีสานมีผู้ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุมากที่สุด คือ 19,469 ราย เมื่อดูเฉพาะข้อมูลผู้เสียชีวิต จังหวัดนครราชสีมามีผู้เสียชีวิตมากที่สุด 305 ราย โดย 1 ใน 3 เป็นอุบัติเหตุที่เกิดโดยรถจักรยานยนต์ ซึ่งน่าสนใจว่า Top 3 จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตที่เกิดโดยรถจักรยานยนต์อยู่ในภาคอีสานทั้งหมด ได้แก่ นครราชสีมา มหาสารคาม และร้อยเอ็ด ตามลำดับ เมื่อลองมาดูตัวเลขรถจักรยานยนต์ที่ออกใหม่ (ป้ายแดง) ในภาคอีสาน ปีงบฯ 64 พบว่า สูงถึง 405,666 คัน หรือคิดเป็น 25.75% ของทั้งประเทศ จากจำนวนผู้ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนที่เพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกับจำนวนรถออกใหม่ โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ หน่วยงานประจำท้องที่อาจต้องมีการรณรงค์ในเรื่องของกฎจราจรควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้น ทั้งนี้หากมีการร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เช่น มหาวิทยาลัย ในการศึกษาถึงรูปแบบการรณรงค์ที่จะได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ก็จะยิ่งช่วยให้เกิดความคุ้มค่าของงบประมาณด้วย ที่มา: กองแผนงาน กรมการขนส่งทางบก

Scroll to Top