Infographic

ศึกธุรกิจวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ ในภาคอีสาน

ศึกธุรกิจวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ ในภาคอีสาน   หลายคนอาจจะเริ่มเห็นร้านขายวัสดุก่อสร้างและของแต่งบ้านเปิดใหม่ขึ้นมากมาย และมีการแข่งขันอย่างดุเดือดของธุรกิจนี้ โดยที่มีเจ้าใหญ่ไม่ว่าจะเป็นไทวัสดุ โกลบอลเฮ้าส์ โฮมโปร และดูโฮม ธุรกิจไทยหลายบริษัทที่มีมูลค่าหลักหมื่นล้านบาท มักมีจุดเริ่มต้นจากกรุงเทพฯ แล้วขยายออกสู่ต่างจังหวัด แต่ไม่ใช่ “โกลบอลเฮ้าส์” และ “ดูโฮม” บริษัททั้ง 2 มีผู้ก่อตั้งธุรกิจที่เป็นคนภาคอีสาน โดยประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าโดยเน้นวัสดุก่อสร้าง วัสดุตกแต่ง เครื่องมือ อุปกรณ์ ที่ใช้ในงานก่อสร้าง ต่อเติม ตกแต่ง บ้านและสวน เป็นต้น   เส้นทางของอาณาจักรค้าวัสดุก่อสร้างแต่ละรายนี้ เป็นมาอย่างไร?  จุดเริ่มต้นของ “โกลบอลเฮ้าส์” มาจากคุณวิทูร สุริยวนากุล ผู้ก่อตั้งบริษัท ที่เกิดและเติบโตในจังหวัดร้อยเอ็ด หลังจากจบปริญญาตรีวิศวกรรมโยธาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น คุณวิทูร ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอยู่ไม่นานก็ขยับขยายมาเปิดร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ชื่อว่า ร้อยเอ็ดฟาร์มโดยได้นำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ มีการทำระบบบาร์โคด คุมสต็อกสินค้าด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือว่าทันสมัยมาก    หลังจากร้อยเอ็ดฟาร์มเติบโตมาเกือบ 10 ปี ก็กลายมาเป็น “โกลบอลเฮ้าส์” ในปี พ.ศ. 2540 โกลบอลเฮ้าส์ตั้งสาขาแรกที่จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีรูปแบบเป็น Warehouse Store ที่มีพื้นที่คลังสินค้าขนาดใหญ่ ที่รวบรวมสินค้าวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านครบวงจร    อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของโกลบอลเฮ้าส์ คือ มีสินค้ามากกว่า 130,000 รายการ และมีพื้นที่แต่ละสาขากว้างถึง 18,000-32,000 ตารางเมตร มีศูนย์กระจายสินค้าที่ใช้ระบบหุ่นยนต์หยิบและเก็บของภายในคลังสินค้าสูง 11 ชั้น เพื่อให้การควบคุมศูนย์กระจายสินค้ามีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ในแต่ละสาขายังมีบริการ Drive-Thru ให้ลูกค้าสามารถขับรถมารับสินค้าจากหลังร้านได้ทันทีที่ซื้อ   ในขณะที่ “ดูโฮม” เริ่มต้นจากการเป็นร้านค้าวัสดุก่อสร้างเล็ก ๆ ในจังหวัดอุบลราชธานี จนตอนนี้ได้ก้าวมาเป็นแนวหน้าของผู้ค้าวัสดุก่อสร้างในไทยและมีมูลค่าบริษัทมากกว่า 6 หมื่นล้านบาท โดยคุณอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา และคุณนาตยา ตั้งมิตรประชา ได้ก่อตั้งร้านขายปลีกวัสดุก่อสร้าง จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด “ศ. อุบลวัสดุ” ในจังหวัดอุบลราชธานี  โดยมีการปรับรูปแบบร้านค้าให้เป็นโกดังขายสินค้าขนาดใหญ่ และมีการนำเทคโนโลยีจัดการคลังสินค้าและจัดการการขาย ในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนเป็น “ดูโฮม” ภายใต้ชื่อว่า บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ที่ ดูโฮม ผลักดันเพื่อให้อัตราการทำกำไรของบริษัทสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ การเพิ่มยอดขายสินค้าที่เป็นแบรนด์ของตัวเอง (House Brands) คือบริษัทไปสั่งผลิตจากผู้ผลิตที่มีคุณภาพน่าเชื่อถือ ทำให้บริษัทได้อัตรากำไรที่ดีกว่าการรับสินค้าของแบรนด์อื่นมาขาย    จุดเริ่มต้นของโกลบอลเฮ้าส์และดูโฮม ให้แง่คิดหลายอย่างในการทำธุรกิจ ทำให้รู้ว่า การทำธุรกิจแต่ในต่างจังหวัดก็สร้างรายได้มหาศาลได้ ถ้ามีการจัดการอย่างเป็นระบบ เหมือนกับทั้ง 2 บริษัทก็สามารถยิ่งใหญ่ได้ โดยที่ไม่ต้องมีจุดเริ่มต้นจากกรุงเทพ  นอกจากนี้ การทำธุรกิจต้องมีการจัดการความเสี่ยงให้เหมาะสม ซึ่งต้องทําการศึกษาและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการลงทุน โดยพิจารณาพื้นที่ที่มีศักยภาพในเชิงเศรษฐกิจที่เหมาะสมและสอดคล้องกับธุรกิจ พร้อมสํารวจพฤติกรรมและความต้องการสินค้าของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในพื้นที่จังหวัดนั้น …

ศึกธุรกิจวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ ในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

บริษัทใหญ่ ภาคอีสาน ที่สามารถเข้าตลาดหุ้นได้ มีอิหยังแหน่ ?

บริษัทใหญ่ ภาคอีสาน ที่สามารถเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ มีอิหยังแหน่?   10 บริษัทภาคอีสานในตลาดหลักทรัพย์ อ้างอิงจากจังหวัดที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทนั้นๆ IPO (Initial Public Offering) คือ การนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น เป็นการนำหุ้นของบริษัทเสนอขายในตลาดหลักทรัพย์ให้กับคนทั่วไปเป็นครั้งแรก โดยมีจุดประสงค์ระดมเงินทุนเพิ่มเติม การที่จะเข้าในตลาดหุ้นได้คุณสมบัติ คือ บริษัทจะต้องเป็น บริษัทมหาชน จำกัด จากนั้นบริษัทต้องมีผลประกอบการตามเกณฑ์ที่กำหนด    สำหรับ SET บริษัทจะต้องมีกำไร 2-3 ปีล่าสุดรวมกันแล้วมากกว่า 50 ล้านบาท ในปีล่าสุดต้องมีกำไรสุทธิมากกว่า 30 ล้านบาท มีกำไรสุทธิในงวดสะสมล่าสุดเป็นบวก และทุนชำระแล้วหลัง IPO ต้องมากกว่า 300 ล้านบาท   สำหรับ MAI เป็นตลาดหุ้นขนาดรองของประเทศไทย กำหนดว่าบริษัทต้องมีกำไรสุทธิในปีล่าสุดมากกว่า 10 ล้านบาท มีกำไรสุทธิในงวดสะสมล่าสุดเป็นบวก และทุนชำระแล้วหลัง IPO ต้องมากกว่า 50 ล้านบาท   อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในข้อกำหนดของการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น ยังมีเงื่อนไขอีกจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น งบการเงิน การบริหารงานที่เป็นระบบ การกำกับดูแลกิจการ และการควบคุมภายใน   จะเห็นได้ว่าคนภาคอีสานนั้นก็มีความสามารถอย่างมากที่พาธุรกิจของตนเองเข้าสู่ตลาดใหญ่ได้ และเมื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แล้วยังต้องมีการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในธุรกิจและเพิ่มมูลค่าให้บริษัทมากขึ้น   อ้างอิงจาก : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย https://www2.set.or.th/th/regulations/simplified_regulations/common_shares_p1.html    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์ #หุ้น #หุ้นอีสาน #หุ้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

รายได้จากการท่องเที่ยวในภาคอีสาน เป็นจั่งใด๋ ?

ปี 2565 (มกราคม-เมษายน) ภาคอีสานมีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 10 ล้านคน และมีรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 15,762 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.57% จากปี 2564 (มกราคม-เมษายน) ที่มีรายได้ 11,800 ล้านบาท โดยรายได้หลักยังคงมาจากคนในประเทศ    5 จังหวัดภาคอีสาน ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุด ปี 2565 เทียบกับ ปี 2564 อันดับ 1. นครราชสีมา 2,991 ล้านบาท | 3,150 ล้านบาท อันดับ 2. ขอนแก่น 2,574 ล้านบาท | 1,577 ล้านบาท อันดับ 3. อุดรธานี 1,694 ล้านบาท | 1,296 ล้านบาท อันดับ 4. บุรีรัมย์ 1,673 ล้านบาท | 914 ล้านบาท อันดับ 5. เลย 941 ล้านบาท | 531 ล้านบาท จะเห็นว่า ปี 2565 การท่องเที่ยวในภาคอีสานมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากรัฐบาลเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศที่แนวโน้มดีขึ้น   อีกทั้ง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แถลงข่าวเปิดตัวเส้นทางท่องเที่ยว ” Unseen New Series” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ 25 Unseen New Series โดยคัดเลือกแหล่งท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ จำนวน 25 แหล่งจากทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น   สำหรับแหล่งท่องเที่ยว Unseen New Series ในภาคอีสาน ประกอบไปด้วย 5 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา จ.นครราชสีมา , พญานาค 3 พิภพ จ.มุกดาหาร , ภูพระ จ.เลย , หอโหวด จ.ร้อยเอ็ด และโลกของช้าง จ.สุรินทร์   อย่างไรก็ตาม ภาครัฐยังมีมาตรการที่ขับเคลื่อนนโยบายเปิดประเทศ เพื่อส่งเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทย เช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกัน รวมถึงการเน้นย้ำให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้รายได้ของภาคอีสานเพิ่มขึ้นจากปี 2564 …

รายได้จากการท่องเที่ยวในภาคอีสาน เป็นจั่งใด๋ ? อ่านเพิ่มเติม »

แดงกับวีที พี่น้องตระกูลแหนมเนือง ธุรกิจร้านอาหารเจ้าใหญ่ ในภาคอีสาน

แดงกับวีที พี่น้องตระกูลแหนมเนือง   เมื่อนึกถึงแหนมเนืองอีสาน หลายคนคงนึกถึง “แดง แหนมเนือง” และ “วีที แหนมเนือง”  แต่รู้หรือไม่? แดงกับวีที เป็นพี่น้องกันที่ขายแหนมเนืองในจังหวัดหนองคายและอุดรธานี   “แดง แหนมเนือง” กับ “วีที แหนมเนือง” เป็น 2 ใน 8 พี่น้องของคุณพ่อตวน โฮวัน และคุณแม่วี แซ่เรือง สองสามี-ภรรยา ที่อพยพสงครามอินโดจีนเข้ามาตั้งรกรากในจังหวัดหนองคาย คุณแม่วีจึงลองนำความรู้ที่ติดตัวมาปรุงรสเป็นแหนมเนืองที่มีรสชาติถูกปากคนไทยมากขึ้น ใส่หาบเร่ขายในจังหวัดหนองคาย เมื่อมีเงินเก็บได้จำนวนหนึ่งจึงเช่าร้าน 1 คูหาในตัวเมืองจังหวัดหนองคายในปี 2511 เพื่อเปิดร้านแหนมเนืองร้านแรกในจังหวัดหนองคาย   คุณแม่วีได้ตั้งชื่อร้านว่า “แหนมเนือง” เมื่อหลังจากคุณแม่วีได้เปิดร้านแหนมเนืองได้ไม่กี่ปี ทางการไทยมีการกวดขันชาวเวียดนามอพยพเป็นพิเศษ ทำให้คุณแม่วีเปลี่ยนชื่อเป็น “แดง แหนมเนือง” จากชื่อของแดง–วิภาดา จิตนันทกุล ลูกคนที่สองของแม่วี (ลูกสาวคนโต) ผู้ที่ช่วยงานแม่วีทำแหนมเนืองขายมาตลอด และได้เข้ามาสานต่อกิจการ เนื่องจากผู้เป็นแม่ล้มป่วยด้วยโรคหัวใจไม่สามารถทำงานหนักได้   อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของแม่วีเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีลูกมากถึง 8 คนคุณ ทอง กุลธัญวัฒน์ ลูกคนที่ 5 จึงขอแยกตัวเองออกมาทำงานนอกบ้านในหลากหลายอาชีพ จนมาถึงปี 2540 ได้เปลี่ยนอาชีพมาทำแหนมเนืองจากสูตรของคุณแม่วี ที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อไม่ให้เป็นคู่แข่งกับธุรกิจแดง แหนมเนืองของพี่สาว พร้อมตั้งชื่อร้านแหนมเนืองว่า “วีที แหนมเนือง” เป็นชื่อที่มาจากตัวย่อภาษาอังกฤษของชื่อแม่วี และพ่อต่วน มีรูปหมวกเวียดนามกำกับบนโลโก้ เพื่อสื่อสัญลักษณ์ของชาวเวียดนาม   นี่คือจุดกำเนิดของ “แดง แหนมเนือง” และ “วีที แหนมเนือง” ของลูกแม่วี และพ่อต่วน ที่ได้ชื่อว่า ผู้บุกเบิกอาหารแหนมเนืองในประเทศไทย  และเมื่อปลายปี 2560 ที่ผ่านมา แวดวงคนทำธุรกิจร้านอาหารและลูกค้าจำนวนมาก ต่างตกใจกับการจากไปในวัย 63 ปี ของคุณแดง วิภาดา จิตนันทกุล ซึ่งในปัจจุบัน คุณณัฐ ศัตภัทร สหัชพงษ์  น้องชายของคุณแดง วิภาดา  เป็นผู้จัดการร้านแดงแหนมเนือง จังหวัดหนองคาย   สิ่งสำคัญของการทำธุรกิจร้านอาหาร หรืองานบริการอะไรก็ตาม ควรยึดหลักทำด้วยใจรัก และเอาใจใส่ โดยต้องทำให้เกิดคุณภาพของงานนั้นๆ เช่น การทำร้านอาหารต้องใส่ใจเรื่องรสชาติ ความสดของวัตถุดิบ ความตั้งใจในงานบริการนั้น เป็นที่มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งทางร้านจึงไม่เลือกปฎิบัติเฉพาะกลุ่มลูกค้า  แต่ต้องทำให้ลูกค้าทุกคนมีพึงพอใจ ขณะที่ราคาสินค้าก็ต้องการให้ตลาดกลางและตลาดล่างสามารถเข้าถึงได้ . อ้างอิงจาก: https://marketeeronline.co/archives/112086 https://www.sentangsedtee.com/exclusive/article_82012 https://www.kasikornbank.com/th/business/sme/ksmeknowledge/article/smestory/pages/success-vt.aspx    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #แหนมเนือง #แดงแหนมเนือง #หนองคาย #วีทีแหนมเนือง #อุดรธานี 

5 อันดับ สินค้ายอดฮิตนำเข้าและส่งออกชายแดนไทย – สปป.ลาว ปี 2565 (มกราคม – เมษายน)

5 อันดับ สินค้ายอดฮิตนำเข้าและส่งออกชายแดนไทย – สปป.ลาว ปี 2565 (มกราคม – เมษายน) มูลค่าการส่งออกไทยสู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) ในปี 2565 ที่ผ่านมามีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 50,993 ล้านบาท และยังคงมีแนวโน้มที่ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในปีนี้ ซึ่งพบว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564 ( ม.ค. – เม.ย. )  มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 43,247  ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้ามากถึง 7,746 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 17.9   อย่างไรก็ตาม มูลค่าการนำเข้ายังคงมีแนวโน้มที่ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าการนำเข้าไทยจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) ในปี 2565 ที่ผ่านมามีมูลค่าการนำเข้า 33,544 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2564 พบว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปี ( ม.ค. – เม.ย. )  มีมูลค่าการนำเข้า 27,863  ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้ามากถึง 5,681 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 20.4   สินค้าที่ไทยส่งออกให้สปป.ลาวมากที่สุดคือน้ำมันดีเซล เนื่องจากลาวเผชิญปัญหาขาดแคลนน้ำมัน ลาวต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากไทยมากถึง 90% หรือต้องการน้ำมันประมาณ 120 ล้านลิตรต่อเดือน เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน    แต่ปัจจุบันลาวสามารถซื้อได้เพียงแค่ 20 ล้านลิตรต่อเดือน คิดเป็นเพียง 1 ใน 6 ของความต้องการเท่านั้น เนื่องจากสปป.ลาวมีดุลการค้าและบริการที่ติดลบมานาน ส่งผลให้ค่าเงินลาวจึงอ่อนมาก และอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงมาก (เดือนเมษายนที่ผ่านมา สูงถึง 9.9%) . อ้างอิง: กรมการค้าต่างประเทศ https://www.prachachat.net/local-economy/news-939185 https://www.longtunman.com/38342   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #สินค้านำเข้า #สินค้าส่งออก #ลาว #ไทยลาว

ภาคอีสาน มีผลผลิตทางการเกษตรอิหยัง หลายที่สุด ผลผลิตทางการเกษตร ปี 2564

พามาเบิ่ง 5 อันดับผลผลิตทางการเกษตรของภาคอีสานที่มากสุด มีอิหยังแหน่ . ผลผลิตทางการเกษตรของภาคอีสาน ในปี 2564 มีจำนวน 20.9 ล้านตัน ซึ่งลดลงจากปี 2563 มากกว่า 13.4 ล้านตัน  ผลผลิตลดลง เนื่องจากปัญหาด้านสภาพอากาศและการเกิดอุทกภัยในแหล่งผลิตสำคัญในช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน 2564 ส่งผลให้ผลผลิตที่ต้องเก็บเกี่ยวในช่วงไตรมาสนี้บางส่วนได้รับความเสียหาย . ในปี 2564 ผลผลิตทางการเกษตรของภาคอีสาน 5 อันดับ มีดังนี้ มันสำปะหลังโรงงาน มีผลิตทั้งหมด 19.9 ล้านตัน ซึ่งมีผลผลิตเพิ่มขึ้น 3.6 ล้านตัน (22.2%) โดยมีปัจจัยที่ทำให้เพิ่มขึ้น คือ การขยายพื้นที่เพาะปลูก โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรประเมินพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังที่ให้ผลผลิตในปี 2564 อยู่ที่ 9.16 ล้านไร่ เพิ่มขึ้น 2.8% จากปี 2563 เนื่องจากเกษตรกรได้รับแรงจูงใจจากการปรับขึ้นของราคามันสำปะหลังตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี 2563 และโครงการสนับสนุนภาคเกษตรจากรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการประกันรายได้ และอีกหนึ่งปัจจัย คือ ปริมาณฝน และน้ำในเขื่อนที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก  ข้าวนาปรัง มีผลิตทั้งหมด 1.07 ล้านตัน ซึ่งมีผลผลิตเพิ่มขึ้น 353,800 ตัน (49.6%) เนื่องจากข้าวนาปรัง เป็นนาข้าวที่ทำนอกฤดูทำนา ปลูกง่าย ไวต่อแสง เป็นข้าวที่มีผลผลิตค่อนข้างแน่นอน เพราะสามารถนับอายุการปลูกข้าวได้ตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้นจนถึงการเก็บเกี่ยว และมีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำที่สำคัญและแหล่งน้ำตามธรรมชาติมีมากขึ้น เกษตรกรจึงขยายการเพาะปลูกในพื้นที่นาปรังเดิมที่เคยปล่อยว่าง มันฝรั่งโรงงาน มีผลิตทั้งหมด 7,791 ตัน  ซึ่งมีผลผลิตเพิ่มขึ้น 453 ตัน (6.2%) โดยตั้งแต่ปี 2559 – 2563 ความต้องการใช้มันฝรั่งภายในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก ผู้ประกอบการแปรรูปมันฝรั่งมีแผนการขยายการผลิตมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ปี 2564 มีผลผลิตที่มากขึ้น และการปลูกมันฝรั่งของภาคอีสานมักปลูกทดแทนการปลูกข้าวนาปรังหลังจากฤดูทำนา โดยปลูกเฉพาะมันฝรั่งพันธุ์โรงงาน (สำหรับแปรรูป) ลิ้นจี่ มีผลิตทั้งหมด 1,580 ตัน ซึ่งมีผลผลิตเพิ่มขึ้น 335 ตัน (26.9%) โดยจังหวัดที่มีผลผลิตมากที่สุดคือจังหวัดนครพนม พบว่า เกษตรกรนิยมลิ้นจี่พันธุ์นครพนม 1 หรือ นพ.1 เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI ตั้งแต่ปี 2560 จึงมีเกษตรกรเริ่มหันมาสนใจเพาะปลูกเพิ่มมากขึ้น กระเทียม มีผลิตทั้งหมด 911 ตัน ซึ่งมีผลผลิตเพิ่มขึ้น 125 ตัน (15.9%) จากการประกาศขึ้นทะเบียนกระเทียม GI กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้มีการส่งเสริมการจัดทำระบบการตรวจสอบควบคุมคุณภาพสินค้า การเพิ่มมูลค่าสินค้า และสนับสนุนช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ เป็นปัจจัยทำให้จังหวัดศรีสะเกษมีการเพาะปลูกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 2565 …

ภาคอีสาน มีผลผลิตทางการเกษตรอิหยัง หลายที่สุด ผลผลิตทางการเกษตร ปี 2564 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ดัชนีราคาผู้บริโภค ภาคอีสาน เดือนพฤษภาคม 2565

ดัชนีราคาผู้บริโภค  เป็นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการ  โดยเฉลี่ยที่ผู้บริโภคจ่ายไป   สำหรับกลุ่มสินค้าและบริการที่กำหนด . ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทยเดือนพฤษภาคม 2565 เท่ากับ 106.62 สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไป เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้น 7.1% (YoY) โดยในเดือนเมษายน 2565 สูงขึ้น 4.65% . ปัจจัยหลักยังคงเป็นราคาพลังงานและอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยสินค้ากลุ่มพลังงาน ทั้งราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ปรับตัวสูงขึ้น การยกเลิกการตรึงราคาก๊าซหุงต้ม และการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร  . นอกจากนี้ ฐานราคาในเดือนเดียวกันของปีก่อนค่อนข้างต่ำ จึงมีส่วนทำให้เงินเฟ้อในเดือนนี้อยู่ที่ 7.1%อย่างไรก็ตาม ข้าวสาร เครื่องนุ่งห่ม ค่าเช่าบ้าน การศึกษา ราคายังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออกแล้ว เงินเฟ้อพื้นฐาน อยู่ที่ 2.28% (YoY) . เมื่อจำแนกดัชนีราคาผู้บริโภครายภาค พบว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคในทุกภาคเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ขยายตัวในอัตราที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอัตราเงินเฟ้อของภาคใต้สูงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ โดยสูงขึ้น 7.95% รองลงมาได้แก่ ภาคกลาง ภาคเหนือ และกรุงเทพฯและปริมณฑล สูงขึ้น 7.46%,  6.98% และ 6.85% ตามลำดับ ในขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สูงขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ที่ 6.53% . พิจารณาเป็นรายสินค้า พบว่า สินค้าสำคัญที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นในทุกภาค ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้า น้้ามันเชื้อเพลิง อาหาร สำเร็จรูป เนื้อสุกร และน้ำมันพืช สำหรับสินค้าสำคัญที่ราคาลดลงในทุกภาค ได้แก่ ข้าวสารเจ้า ผักสด เช่น ขิง ผักกาดขาว ถั่วฝักยาว เป็นต้น . อัตราการเปลี่ยนแปลงสำคัญของภาคอีสาน ที่ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าภูมิภาคอื่น หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร  สูงขึ้น 12.54% โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้นถึง 34.22% ปรับสูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก หมวดเคหสถาน  สูงขึ้น 5.85% ค่ากระแสไฟฟ้าสูงขึ้น 45.44% ตามการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ในรอบเดือนพฤษภาคม–สิงหาคม 2565 และราคาก๊าซหุงต้มสูงขึ้น 5.16% จากการทยอยปรับเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได ตั้งแต่เดือนเมษายนไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2565 หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 5.41% ในด้านกลุ่มอาหารสด เช่น เนื้อสุกร ไก่สด ไข่ไก่  ราคาเปลี่ยนแปลงตามต้นทุนการเลี้ยง ผักสดราคาเปลี่ยนแปลงตามปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาด ส่วนเครื่องประกอบอาหาร อาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ราคาปรับขึ้นตามต้นทุน . แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อเดือนมิถุนายน 2565  . มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระดับสูง …

พามาเบิ่ง ดัชนีราคาผู้บริโภค ภาคอีสาน เดือนพฤษภาคม 2565 อ่านเพิ่มเติม »

ชวนเบิ่ง ปัญหาหนี้ครัวเรือนของภาคอีสานที่ต้องจัดการ

จากข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยในปี 2564 ขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 14.58 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 3.9% ใกล้เคียงกับการเติบโตของยอดคงค้างหนี้ในปี 2563 ที่ 4% แต่เมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจที่ยังเติบโตช้า ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงขึ้นมาที่ระดับ 90.1% ในปี 2564 จากระดับ 89.7% ในปี 2563 . อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่อยู่กับเศรษฐกิจมานาน และมีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ในรอบนี้ เมื่อครัวเรือนมีรายได้จากการทำงานก็ต้องนำรายได้นั้นไปใช้คืนหนี้ เหลือใช้จ่ายน้อยลงทำให้การบริโภคลดลง จนส่งผลให้บั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาว ทำให้การดำเนินนโยบายการเงินการคลังของรัฐไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่ . อันดับภาคที่มีหนี้ครัวเรือนสูงที่สุด (หน่วย : บาท) 1. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 217,802 2. ภาคเหนือ 206,544 3. ภาคกลาง 200,744 4. ภาคใต้ 181,449 . เมื่อเปรียบเทียบเป็นรายภาค ภาคใต้มีหนี้ครัวเรือนน้อยที่สุด ในขณะที่ภาคอีสาน มีหนี้ครัวเรือนสูงสุดกว่าทุกภาค โดยคนภาคอีสานแบกรับภาระหนี้ครัวเรือนเฉลี่ย 217,802 บาท . ครัวเรือนที่มีหนี้ในภาคอีสานส่วนใหญ่ คือ ครัวเรือนที่มีรายได้จากการเกษตร (ที่ต้องพึ่งพาสภาพดิน ฟ้า อากาศ) เงินโอนจากสมาชิกครอบครัว หรือเงินโอนภาครัฐ เป็นสัดส่วนสูงเกือบ 30% ของรายได้ทั้งหมด ทำให้มีภาวะเสี่ยงขาดสภาพคล่อง เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดไม่ว่าจะเป็น ถูกให้ออกจากงาน หรือการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุในการก่อหนี้เพิ่มมากขึ้น โดยหนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะสั้นเพื่อใช้อุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นการก่อหนี้ที่ไม่สร้างผลตอบแทนในอนาคต . เมื่อขาดสภาพคล่องทางการเงิน ครัวเรือนจำนวนมากต้องไปกู้ยืมเงินนอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง มีการพึ่งพาบริการสินเชื่อที่ไม่ต้องใช้หลักประกันในการกู้ยืม ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและแก้ไขปัญหารายได้ที่ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ซึ่งทิศทางดอกเบี้ยที่อาจเริ่มขยับขึ้นในอนาคต จนอาจทำให้ไม่สามารถชำระหนี้สินไหว และนำไปสู่ปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมา . ดังนั้น อาจแก้ได้ด้วย การเพิ่มโอกาสให้แต่ละครัวเรือนมีการพัฒนาทักษะแรงงานเสริม เพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดแรงงาน มีการปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย โดยตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น สร้างแรงจูงใจให้คนเพิ่มการเก็บออม และวางแผนทางการเงินเพื่อการใช้จ่ายในอนาคต เพื่อลดความเสี่ยงในวัยเกษียณ . . ที่มา : https://www.thansettakij.com/insights/499067 https://www.thansettakij.com/money_market/519845 http://statbbi.nso.go.th/staticreport/page/sector/th/08.aspx https://www.bot.or.th/…/Doc…/X-ray%20Regional%20Debt.pdf https://www.kasikornresearch.com/…/Household-Debt-FB-11… #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #หนี้ครัวเรือน

สถานการณ์ตลาดแรงงานอีสาน ปี 64

ปี 2564 มีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานจำนวนทั้งสิ้น 9.58 ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ 9.30 ล้านคน (ลดลง 0.64% จากปี 2563) ผู้ว่างงาน 1.45 แสนคน (เพิ่มขึ้น 9.95%) และผู้รอฤดูกาล 1.34 แสนคน (เพิ่มขึ้น 14.32) ส่วนผู้ไม่อยู่ในกำลังแรงงาน 5.42 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 0.52%) . เมื่อพิจารณาผู้มีงานทำ จำแนกตามภาคอุตสาหกรรม พบว่า ภาคเกษตรกรรม มีจำนวน 4.92 ล้านคน คิดเป็น 52.90% ของจำนวนผู้มีงานทำทั้งหมด ภาคบริการและการค้า จำนวน 3.13 ล้านคน คิดเป็น 33.67% และภาคการผลิต จำนวน 1.25 ล้านคน คิดเป็น 13.43% . ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่า ภาคเกษตรกรรม ลดลง 0.94% ภาคบริการและการค้า ลดลง 0.14% และภาคการผลิต ลดลง 0.70% . เมื่อพิจารณาผู้มีงานทำ จำแนกตามสถานภาพการทำงาน พบว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ทำงานส่วนตัว 43.46% ของจำนวนผู้มีงานทำทั้งหมด รองลงมาเป็นลูกจ้าง 30.10% ช่วยธุรกิจครัวเรือน 24.96% นายจ้าง 1.11% และการรวมกลุ่ม 0.37% . เมื่อพิจารณาผู้มีงานทำ จำแนกตามระดับการศึกษา พบว่า ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับประถมศึกษา 28.21% รองลงมาคือไม่มีการศึกษา/ต่ำกว่าประถมศึกษา 23.86% ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 16.81% ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 16.49% ระดับอุดมศึกษา 14.60% และอื่นๆ/ไม่ทราบ 0.03% . . ที่มา: https://kku.world/7hx6r https://kku.world/h25uj . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #สถานการณ์ตลาดแรงงาน

สำรวจดัชนีความเสี่ยงทางธุรกิจที่สูงสุดในแต่ละจังหวัด ภาคอีสาน

เว็บไซต์ DBD DataWarehouse+ ซึ่งรวบรวมข้อมูลนิติบุคคลที่มีการจดทะเบียนตามกฎหมายกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้เปิดเผยดัชนีความเสี่ยงหรือคะแนนที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงของประเภทธุรกิจ . โดยค่าดัชนีจะอยู่ในช่วง 0-1 (คะแนนสูง = มีความเสี่ยงทางธุรกิจมาก) พิจารณาจาก 4 ปัจจัย ประกอบด้วย 1. FS Score หรือคะแนนความเสียงที่บริษัทจะเกิดวิกฤตทางการเงิน 2. ความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก 3. ต้นทุนทางการเงิน และ 4. อัตราการคงอยู่ของธุรกิจ . 5 อันดับ จังหวัดในภาคอีสานที่มีดัชนีความเสี่ยงของประเภทธุรกิจสูงสุด . 1. อุบลราชธานี ค่าดัชนี 0.69 ในธุรกิจประเภท การขายส่งสัตว์มีชีวิต 2. นครราชสีมา ค่าดัชนี 0.68 ในธุรกิจประเภท การขายส่งสินค้าเฉพาะอย่างอื่น ๆ 3. หนองบัวลำภู ค่าดัชนี 0.68 ในธุรกิจประเภท การขายส่งเครื่องแต่งกาย และของใช้ในครัวเรือน 4. อำนาจเจริญ ค่าดัชนี 0.67 ในธุรกิจประเภท การขายส่งข้าวเปลือก และธัญพืช 5. สกลนคร ค่าดัชนี 0.67 ในธุรกิจประเภท ร้านขายปลีกอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับให้แสงสว่าง . อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันว่าภาคอีสานมีประชากรหรือผู้มีงานทำที่อยู่ในภาคเกษตรมากที่สุด และเป็นภูมิภาคที่มีการปลูกข้าวสูงที่สุด แต่ที่น่าสนใจ คือ 4 จาก 20 จังหวัดของภาค ได้แก่ อำนาจเจริญ นครพนม อุดรธานี และบุรีรัมย์ กลับมีความเสี่ยงในธุรกิจประเภท ‘การขายส่งข้าวเปลือก และธัญพืช’ สูงที่สุด . ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจดังกล่าวมีการแข่งขันในจังหวัดน้อย ทำให้ผู้ผลิตไม่ค่อยปรับปรุงหรือพัฒนาสินค้าของตนเพื่อแข่งขันกับผู้ผลิตรายอื่น โดยเฉพาะจังหวัดใกล้เคียง เพราะอย่าลืมว่า ‘ข้าว’ เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ในประเทศรับประทาน และทุกจังหวัดในภาคอีสานปลูก ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่การแข่งขันในจังหวัด แต่เป็นการแข่งขันในภาคและประเทศ . ประกอบกับปัจจุบัน ช่องทางออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญทั้งด้านการสั่งซื้อและขนส่ง ทำให้ร้านค้าหรือแบรนด์ที่ให้คุณภาพสินค้าและบริการที่ดีกว่า ทำการตลาดได้ตรงความต้องการมากกว่า สามารถดึงกลุ่มลูกค้าไปได้โดยง่าย . ทั้งนี้ ธุรกิจที่มีดัชนีความเสี่ยงสูงก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นธุรกิจที่ไม่น่าลงทุนเสมอไป หากเรารู้ปัญหาและสามารถทำลายข้อจำกัดต่าง ๆ เหล่านั้นได้ ก็อาจเป็นโอกาสในการทำธุรกิจในจังหวัดนั้นด้วย . ยกตัวอย่าง จังหวัดนครพนม หากลองไปดูเนื้อที่เก็บเกี่ยวและผลผลิตข้าวนาปี (ปีเพาะปลูก 2563/64) พบว่า มีเนื้อที่เก็บเกี่ยว 1.44 ล้านไร่ ให้ผลผลิต 5.04 แสนตัน หรือคิดเป็นผลผลิตที่เก็บได้ต่อไร่เท่ากับ 350 กก./ไร่ ซึ่งถือว่าสูงกว่าหลายจังหวัดในภูมิภาค และจะช่วยเรื่องความได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคา เนื่องจากประหยัดต่อขนาด (มีวัตถุดิบผลิตสินค้าจำนวนมากพอจนได้ต้นทุนที่ต่ำ) อีกทั้งพันธุ์ข้าวที่ผลิตส่วนใหญ่ก็เป็นข้าวเจ้าหอมมะลิ และข้าวเหนียว ที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว . …

สำรวจดัชนีความเสี่ยงทางธุรกิจที่สูงสุดในแต่ละจังหวัด ภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top