Infographic

พามาเบิ่ง  สินค้าเกษตรที่ได้รับมาตรฐานมากที่สุด ในแต่ละจังหวัด

พามาเบิ่ง  สินค้าเกษตรที่ได้รับมาตรฐานมากที่สุด ในแต่ละจังหวัด   สำหรับเกษตรกรที่ทำธุรกิจเกษตรมาระยะหนึ่งอาจเริ่มหาช่องทางการผลิตสินค้าให้ได้ มาตรฐานสินค้าเกษตร เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตร ส่งจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ส่งออกไปยังต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งการขอรับรองมาตรฐานมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้สินค้านั้นมีคุณภาพเหมาะสมกับการความต้องการ ตามข้อกำหนดในมาตรฐานเดียวกัน . มาตรฐาน GAP (Good Agriculture Practices) เป็นแนวทางในการทำการเกษตรเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีตรงตามมาตรฐานที่กำหนด ได้ผลผลิตสูงคุ้มค่าการลงทุนและขบวนการผลิตจะต้องปลอดภัยต่อเกษตรและผู้บริโภค มีการใช้ทรัพยากรที่เกิดประโยชน์สูงสุด เกิดความยั่งยืนและไม่ทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยหลักการนี้ได้รับการกำหนดโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)   มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เป็นมาตรฐานรับรองแหล่งผลิตพืชที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี นอกจากไม่ใช้สารเคมีแล้ว เมล็ดพันธุ์ต้องไม่มีการคลุกสารเคมี หรือมาจากกระบวนการปลูกที่ใช้สารเคมี และมีระยะปรับเปลี่ยนจากการปลูกแบบใช้สารเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้สารเคมีในแปลงปลูกสลายตัวไปในระดับที่ปลอดภัย จึงจะได้รับการรับรอง   มาตรฐานการเกษตรของสินค้าเกษตรในอีสานยังมีจำนวนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานทั้งมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ หรือ มาตรฐาน GAP อยู่น้อยเมื่อเทียบกับทั้งประเทศ โดยอันดับ 1 ภาคเหนือ (37.1%) อันดับที่ 2 ภาคกลาง (26.2%) อันดับที่ 3 ภาคอีสาน (17.3%) และอันดับที่ 4 ภาคใต้ 16.4% ซึ่งหากมีการส่งเสริมอย่างจริงจังจะเป็นจุดแข็งรายพื้นที่ ที่สามารถยกระดับภาคเกษตรของพื้นที่ได้   อ้างอิงจาก:  สํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ https://actorganic-cert.or.th/th/manual-th/organicstandard-th/ https://www.baanlaesuan.com/233023/garden-farm/farm-guru/gapthai #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #สินค้าเกษตร

ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 16 อาชีพ กันยายน 2565

กันยายน 2565 ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 16 อาชีพ 400-650 บาทต่อวัน   วันที่ 13 มิถุนายน 2565 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน ตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน ให้ได้รับค่าจ้างที่เหมาะสมตามกระทรวงแรงงานเสนอ โดยใช้มาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นเกณฑ์วัดค่าทักษะฝีมือ ความรู้ ความสามารถ ทางเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่องอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 11) ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2565   ซึ่งจะมีผลบังคับใช้เมื่อ “พ้นกำหนด 90 วัน” นับตั้งแต่วันออกประกาศ (วันที่ 9 กันยายน 2565) และเมื่อนายจ้างได้รับหนังสือรับรองตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้จ่ายค่าจ้างตามอัตราในประกาศนี้ให้แก่ลูกจ้างนับแต่วันที่ได้หนังสือรับรองเป็นต้นไป โดยการปรับขึ้นค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานแบ่งเป็น 3 กลุ่ม 16 อาชีพ     อ้างอิงจาก:  https://www.prachachat.net/csr-hr/news-953264  https://www.mol.go.th/wp-content/uploads/sites/2/2022/06/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%8911.pdf    #ISANInsightAndOutlook #ค่าจ้างขั้นต่ำ #แรงงาน #อีสาน

พามาเบิ่ง จังหวัดใด๋ มีจำนวนผู้ว่างงานหลายกว่าหมู่

ตัวเลขการว่างงาน ถือเป็นดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจได้อย่างหนึ่ง ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ชัดเจนการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น เมื่อตัวเลขการว่างงานลดลง ทำให้สามารถคาดการณ์ถึงตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น การใช้จ่ายของแรงงานที่เพิ่มขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น ประเทศไทยกำลังจะผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ที่สร้างผลกระทบกับเศรษฐกิจมายาวนานกว่า 2 ปี สถานการณ์การจ้างงานในไทยในขณะนี้หากดูในเบื้องต้นจะพบว่ามีแนวโน้มที่ “ดีขึ้น” กว่าช่วงที่เผชิญกับโควิด-19 อย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 การเปิดเมืองรับการท่องเที่ยว โดยสถานการณ์การว่างงานภาคอีสาน ในไตรมาส 1/2565 (มกราคา – มีนาคม) มีผู้ว่างงานจำนวนทั้งสิ้น 115,978 คน ลดลงจากปีก่อนหน้า 37,572 คน (ลดลง 24.5%) ซึ่งว่างงานเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ จังหวัดที่มีการว่างงานเยอะที่สุด อันดับที่ 1 บุรีรัมย์ 20,514 คน อันดับที่ 2 นครราชสีมา 13,463 คน อันดับที่ 3 ขอนแก่น 12,208 คน อันดับที่ 4 กาฬสินธุ์ 12,085 คน อันดับที่ 5 สุรินทร์ 10,630 คน จะเห็นได้ว่า จังหวัดบุรีรัมย์ มีการว่างงานสูงกว่าทุกจังหวัด ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ธุรกิจพยายามประคับประคองธุรกิจให้สามารถดำเนินต่อไปได้ โดยใช้วิธีลดจำนวนแรงงานลงเช่นเดียวกับหลายๆจังหวัด และหากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้า จนส่งผลให้หลายธุรกิจต้องปิดตัวลง จะทำให้กลุ่มคนที่ว่างงานก็จะมีจำนวนเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาตําแหน่งงานว่าง จําแนกตามประเภทอาชีพ พบว่า อาชีพพื้นฐาน มีตําแหน่งงานว่างมากที่สุด จํานวน 207 อัตรา (45.80%) รองลงมา คือ พนักงานบริการ พนักงานขายในร้านค้าและตลาด จํานวน 76 อัตรา (16.81%) ผู้ประกอบวิชาชีพต่างๆ จํานวน 52 อัตรา (11.50%) คนส่วนใหญ่มีความรู้และความสามารถไม่ถึงเกณฑ์กับตำแหน่งงานที่ว่าง จึงทำให้จำนวนการว่างงานสูงกว่าทุกจังหวัดในภาคอีสาน ดังนั้น ควรมีการเพิ่มโอกาสให้คนในพื้นที่ได้มีการศึกษาหาความรู้และเพิ่มทักษะ เกี่ยวกับด้านนี้เพื่อให้มีงานทำและสามารถทำให้จำนวนการว่างงานลดลง อ้างอิงจาก: https://www.doe.go.th/…/faab7ed29afe1e9746cf039d43dbe0d… https://www.bangkokbiznews.com/business/1006626 http://statbbi.nso.go.th/staticreport/page/sector/th/02.aspx https://buriram.mol.go.th/news/รายงานสถานการณ์แรงงานจังหวัดบุรีรัมย์-ไตรมาส-1-ปี-2565-มกราคม-มีนาคม-2565 #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #การว่างงาน#บุรีรัมย์

พามาเบิ่ง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำต่อวัน ของภาคอีสาน

พามาเบิ่ง  อัตราค่าจ้างขั้นต่ำต่อวัน ของภาคอีสาน ภาคอีสานมี ค่าเฉลี่ยของค่าแรงอยู่ที่อันดับที่ 4 ของประเทศ อัตราค่าจ้างของกรุงเทพฯถ้าเทียบกับต่างจังหวัดแล้ว อัตราค่าจ้าง และสวัสดิการของงานต่างๆสูงกว่าค่อนข้างมาก จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนต่างจังหวัดหลายคนจึงเลือกเข้าทำงานในกรุงเทพฯ เพื่อรายได้และสวัสดิการอื่นๆที่เพิ่มขึ้น แต่ถึงแม้รายได้จะสูง ค่าครองชีพในกรุงเทพฯ ก็สูงไม่ต่างกัน     อ้างอิงจาก: https://www.mol.go.th/wp-content/uploads/sites/2/2020/01/Prakadwage10-6Jan2020.pdf  https://www.amarintv.com/spotlight/economy/detail/23019    #ISANInsightAndOutlook #ค่าจ้างขั้นต่ำ #แรงงาน #อีสาน

โรงงานน้ำตาลแห่งใหญ่ในภาคอีสาน ที่อยู่ในตลาดหุ้น

ประเทศไทยผลิตน้ำตาลทรายได้มากเป็นอันดับ 5 ของโลก และส่งออกมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากบราซิล ปัจจุบันโรงงานน้ำตาลมีทั้งหมด 58 โรงงาน ซึ่งกระจายอยู่ตามแหล่งเพราะปลูกอ้อยที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะในภาคอีสาน มีจำนวนมากที่สุด เนื่องจากภาคอีสานมีพื้นที่ในการปลูกอ้อยมากที่สุด ทำให้ผู้ผลิตน้ำตาลทรายรายใหญ่ได้ย้ายฐานการผลิตจากภาคกลางมายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนในการผลิต วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพามาดูเส้นทางของโรงงานน้ำตาลแห่งใหญ่ที่ก่อตั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอยู่ในตลาดหุ้น ว่ามีความเป็นมาอย่างไร? บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) (“BRR”) เดิมชื่อ บริษัท โรงงานน้ำตาลสหไทยรุ่งเรือง (2506) จำกัด (ได้รับโอนกิจการมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงงานน้ำตาลสหไทยรุ่งเรือง) จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2506 ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจโรงงานน้ำตาลทรายแดง ที่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเป็นหนึ่งในบรรดาผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมน้ำตาลของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีคุณวิเชียร ตั้งตรงเวชกิจ ผู้ริเริ่มปลูกอ้อยและส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกอ้อยในจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวสีรำ และน้ำตาลทรายดิบทั้งในและต่างประเทศ นานกว่า 5 ทศวรรษ รวมถึงการนำผลพลอยได้ที่ได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาล เช่น กากอ้อย กากหม้อกรอง และกากน้ำตาล ต่อยอดธุรกิจอย่างครบวงจร ประกอบด้วยธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล ธุรกิจผลิตและจำหน่ายปุ๋ย และธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาอ้อย และธุรกิจให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นธุรกิจสนับสนุน อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ของกลุ่มบริษัทน้ำตาลบุรีรัมย์ คือ มุ่งมั่นในการสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกันก็มุ่งที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มขีดความ สามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ที่มีการทำเกษตรกรรมเป็นหลักให้มีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย มาประยุกต์ใช้ในการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ให้เป็น ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ในขณะที่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) คุณชวน ชินธรรมมิตร์ ชักชวน 2 ครอบครัวนักธุรกิจ คือ ครอบครัวโตการัณยเศรษฐ์ และครอบครัวโรจนสเถียร ร่วมกันก่อตั้งโรงงานน้ำตาลแห่งแรกในปี 2488 คือ “โรงงานน้ำตาลกว้างสุ้นหลี” ตั้งอยู่ที่ถนนพระราม 1 กรุงเทพมหานคร และมีการก่อตั้งโรงงานน้ำตาลขึ้นเป็น 6 โรงงาน แต่เมื่อปี 2517 เมื่อกลุ่มผู้ถือหุ้นมีการปรับโครงสร้างการบริหาร โดยมี คุณนันทา ชินธรรมมิตร์ เป็นประธาน มีการปรับโครงสร้างธุรกิจโดยคงไว้ซึ่งโรงงานน้ำตาลเดิม 3 แห่ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2519 ได้มีการขยายและจัดตั้งบริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด โดยลงทุนสร้างโรงงานน้ำตาลใหม่ขึ้นที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น คณะผู้บริหารกลุ่ม KSL เล็งเห็นศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจน้ำตาล ประกอบกับเพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าน้ำตาลในตลาดที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องจึงแปรสภาพ “บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด” เป็น “บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน)” ซึ่งถือเป็นบริษัทน้ำตาลแห่งแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ …

โรงงานน้ำตาลแห่งใหญ่ในภาคอีสาน ที่อยู่ในตลาดหุ้น อ่านเพิ่มเติม »

เกษตรกรเตรียมรับราคาปุ๋ยแพง หลังกระทรวงพาณิชย์ไฟเขียวขึ้นราคา

เกษตรกรเตรียมรับราคาปุ๋ยแพง หลังกระทรวงพาณิชย์ไฟเขียวขึ้นราคา   การนำเข้าปุ๋ยเคมีของไทย มีประมาณ ปีละ 5 ล้านตัน เป็นการนำเข้าจาก จีน ซาอุดิอาระเบีย รัสเซีย-เบลารุส แคนาดา เยอรมนี เบลารุส รัสเซีย ตะวันออกกลาง ยูเออี เป็นต้น  ราคาปุ๋ยในตลาดโลกปรับสูงขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว จนถึงต้นปี 2565 ที่รัสเซียประกาศยึดยูเครนและค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง ยิ่งทำให้ราคาปุ๋ยปรับเพิ่มสูงขึ้นอีกเท่าตัว    ซึ่งประเทศไทยพึ่งพาการนำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศเกือบ 100%  โดยในช่วงที่ผ่านมาผู้ค้าปุ๋ยเคมีบางราย มีการชะลอนำเข้าเนื่องจากประสบปัญหาการขาดทุนเนื่องจากไม่สามารถปรับราคาได้เพราะปุ๋ยเป็นสินค้าควบคุม ทางผู้ค้าปุ๋ยได้มีการยื่นเรื่องของปรับราคาปุ๋ยมาเป็นระยะๆแล้ว สุดท้ายกรมการค้าภายในก็ไฟเขียวให้ปรับราคาปุ๋ยหน้าโรงงานหลายสูตรตามที่ผู้ผลิต ผู้นำเข้าเสนอมา   ทั้งนี้ก่อนหน้าเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านทางกลุ่มผู้ค้าและผู้ผลิตปุ๋ยไทย ระบุว่า  กรมการค้าภายในได้อนุญาตให้ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายปุ๋ยเคมี ทยอยปรับขึ้นราคาหน้าโรงงานแล้ว ตามต้นทุนแม่ปุ๋ย และค่าขนส่งปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี  ซึ่งจะทำให้ราคาจำหน่ายปุ๋ยเคมีในฤดูกาลเพาะปลูกใหม่ ที่กำลังมาถึงนี้มีราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20-30% จากต้นปี   จากข้อมูลเว็ปไซต์สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รายงานราคาปุ๋ยเคมีสูตรสำคัญ ตั้งแต่ ม.ค.-พ.ค. พบว่า  ราคาปุ๋ยเคมีสูตรสำคัญมีการปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาขายปลีกท้องถิ่นของเดือนพ.ค.  ปุ๋ยยูเรียสูตร 46-0-0 ราคา  27,200  บาทต่อตัน แม่ปุ๋ยสูตร 18-46-0 ราคา 25,204 บาทต่อตัน ปุ๋ยสูตร  16-20-0 ราคา 20,313 บาทต่อตัน   ส่งผลให้เกษตรกรต้องมีต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้ต้องปรับราคาของผลผลิตที่ได้สูงขึ้น ผู้บริโภคคนไทยต้องเตรียมรับมือสินค้าเกษตรแพงและการขาดแคลนตลาดอีกด้วย     อ้างอิงจาก : สำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร https://www.bangkokbiznews.com/business/1012009  https://www.bangkokbiznews.com/news/1006058  https://www.thansettakij.com/economy/519298    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์ #น้ำตาล #ปุ๋ยแพง #ราคาปุ๋ย #ปุ๋ยเคมี

ชวนเบิ่ง จังหวัดใด๋มีการจดนิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่ ในปี 2564 หลายกว่าหมู่

ชวนเบิ่ง จังหวัดใด๋มีการจดนิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่ ในปี 2564 หลายกว่าหมู่   ก่อนอื่น ISAN Insight & Outlook จะพามาดูธุรกิจ “แบบนิติบุคคล” ว่าคืออะไร   การจดนิติบุคคล คือ การจดทะเบียนการดำเนินกิจการรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจากการดำเนินกิจการในลักษณะบุคคลธรรมดา กลายมาเป็นการดำเนินการในรูปแบบที่มีการจดทะเบียน ซึ่งสามารถจดทะเบียนนิติบุคคลได้ทั้งห้างหุ้นส่วนหรือจะเป็นบริษัทจำกัด โดยการจดนิติบุคคลในรูปแบบบริษัทจำกัดเป็นรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก   การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจของภาคอีสานในปี 2564 มีจำนวน 11,857 ราย เพิ่มขึ้น 50.80% จากปี 2563 เนื่องจากมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของภาครัฐ เช่น โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน รวมทั้งการระดม ฉีดวัคซีนให้กับประชาชน และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการ มีความเชื่อมั่นในการดําเนินธุรกิจมากขึ้น    โดยภาคอีสานยังเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ และธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่อันแรก คือ ก่อสร้างอาคารทั่วไป รองลงมา คือ ขนส่งและขนถ่ายสินค้า(รวมถึงคนโดยสาร) และการปลูกข้าว  5 อันดับจังหวัดที่มีนิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่สูงสุด อันดับที่ 1 นครราชสีมา 1,814 ราย อันดับที่ 2 ขอนแก่น 1,698 ราย อันดับที่ 3 อุบลราชธานี 982 ราย อันดับที่ 4 อุดรธานี 908 ราย อันดับที่ 5 บุรีรัมย์ 680 ราย   นครราชสีมา เป็นจังหวัดที่มีการจัดตั้งนิติบุคคลสูงสุด เนื่องจากเป็นจังหวัดสำคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจ โดยเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทั้งด้านเทคโนโลยี เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว และการคมนาคม ส่งผลให้ภาพรวมของผลประกอบมีแนวโน้มเติบโตและมีทิศทางที่ดี   และอีกหนึ่งสาเหตุ คือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ประกอบการทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของจังหวัด และสร้างความคึกคักให้แก่เมืองโคราช ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่จะทำให้เมืองโคราชสามารถเดินหน้าต่อไปได้ด้วยความแข็งแกร่ง    ทั้งนี้ผู้ประกอบการหลายธุรกิจได้ปรับตัวให้เข้ากับการดําเนินชีวิตวิถีใหม่ (New normal) และการทํางานจากที่บ้าน (Work from home) มีธุรกิจบางประเภทที่ได้รับประโยชน์ จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้จำนวนการจดทะเบียนในปี 2564 เพิ่มขึ้น   อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปี 2564 สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและของโลกยังคง ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สายพันธุ์โอมิครอนที่ส่งผลต่อการจํากัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ และการค้าระหว่างประเทศ    แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2565  สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้คาดการณ์การขยายตัว ทางเศรษฐกิจของไทยไว้ที่ 3.5 – 4.5 % โดยคาดว่าการบริโภคภายในประเทศจะเป็นตัวสนับสนุนที่สําคัญ ในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จากมาตรการการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาล ในขณะที่ภาคบริการจะได้รับแรงสนับสนุนที่สําาคัญจากการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่นวต่างชาติ ประมาณ …

ชวนเบิ่ง จังหวัดใด๋มีการจดนิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่ ในปี 2564 หลายกว่าหมู่ อ่านเพิ่มเติม »

จังหวัดที่มีรายได้ จากการผลิตน้ำตาลบริสุทธิ์ มากที่สุดในอีสาน (ข้อมูลปี 2563)

จังหวัดที่มีรายได้ จากการผลิตน้ำตาลบริสุทธิ์  มากที่สุดในอีสาน (ข้อมูลปี 2563)  หมายเหตุ: เป็นรายได้รวมของนิติบุคคลที่ส่งงบการเงิน ปี 2563   น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ (Refined Sugar) คือ น้ำตาลทรายที่ถูกนำมาผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ และกระบวนการต่างๆ เช่นเดียวกับน้ำตาลทรายขาว แต่ใช้น้ำเชื่อมบริสุทธิ์ขั้นต้น ในการเคี่ยวตกผลึก จึงทำให้ผลึกมีสีขาวใส เหมาะกับการนำไปใช้ในอุตสาหกรรม ที่ต้องการวัตถุดิบที่มีความบริสุทธิ์เป็นพิเศษ เช่น อุตสาหกรรมเครื่องดื่มบำรุงกำลัง และผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นต้องเก็บไว้เป็นระยะเวลานาน   ภาคอีสานเป็นภาคที่มีพื้นที่ในการปลูกอ้อยมากที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังมีปริมาณอ้อยที่ส่งให้โรงงานมากที่สุดอีกด้วย โดยจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกอ้อยมากที่สุด 3 จังหวัดแรก ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี นครราชสีมา และขอนแก่น ตามลําดับ อีกทั้งยังสามารถผลิตน้ำตาลทรายได้มากที่สุดในประเทศ จึงส่งผลให้มีการก่อตั้งโรงงานน้ำตาลในภาคอีสานเป็นจำนวนมาก ทำให้มีรายได้จากการผลิตอ้อย และน้ำตาลเป็นอย่างมาก   ในปัจจุบันอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของประเทศไทยมีแนวโน้มขยายตัวไปได้อีกไกล เนื่องจาก มีการขอตั้ง และขยายโรงงานนํ้าตาลทรายเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นจํานวนมาก และสืบเนื่องจากรัฐบาลผลักดันนโยบายบริหารพื้นที่เกษตรกรรมของพืช (Zoning) โดยเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวที่อยูในพื้นที่ไม่เหมาะสมไปสู่การปลูกอ้อยโรงงาน มันสําปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ส่งผลให้พื้นที่ปลูกอ้อยของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้การผลิตอ้อยและนํ้าตาลทรายของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง   อ้างอิงจาก :  กรมพัฒนาธุรกิจการค้า  สํานักงานคณะกรรมการออยและน้ําตาลทราย  http://www.ocsb.go.th/upload/journal/fileupload/923-1854.pdf    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์ #น้ำตาล #โคราช #หนองบัวลำภู #บุรีรัมย์ #มุกดาหาร #กาฬสินธุ์ 

ชวนเบิ่ง ราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ปรับสูงขึ้น ในเดือนพฤษภาคม

ชวนเบิ่ง ราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ปรับสูงขึ้น ในเดือนพฤษภาคม    สินค้าเกษตรมีการปรับราคาสูงขึ้น เนื่องจากภาวะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน และมาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลทำให้ราคาสินค้าเกษตรส่วนใหญ่ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น   โดยสินค้าเกษตรที่มีราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ 1.ข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ ราคาที่เกษตรกรขายได้ 12,832 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 9%  เนื่องจากมีความต้องการข้าวจากภูมิภาคตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น (อิรัก อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย) โดยเฉพาะประเทศอิรักซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของประเทศไทยได้กลับมาซื้อข้าวไทยมากขึ้น หลังจากหยุดนำเข้าข้าวจากไทยหลายปี   2. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาที่เกษตรกรขายได้ 10.3 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 6.2% เนื่องจากความต้องการใช้เพื่อผลิตอาหารสัตว์ยังคงเพิ่มขึ้นจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิดอื่นมีราคาสูง แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่ปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนําออกสู่ตลาดในเดือนเมษายน- พฤษภาคมและอนุญาตให้นําเข้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้กรอบข้อตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ   3. มันสำปะหลัง ราคาที่เกษตรกรขายได้ 2.5 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน  4.6% เนื่องจากปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ในขณะที่ความต้องการใช้มันสำปะหลังในประเทศและส่งออกยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้สินค้าธัญพืชขาดแคลน ทำให้มีความต้องการ ใช้มันสำปะหลังเพื่อเป็นสินค้าทดแทนเพิ่มขึ้น   4. ปาล์มน้ำมัน ราคาที่เกษตรกรขายได้ 10.1 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.8% เนื่องจากปริมาณการส่งออกน้ำมันปาล์มของโลกลดลง และความต้องการน้ำมันปาล์มของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่น้ำเข้าน้ำมันพืชรายใหญ่ที่สุดของโลกเพิ่มขึ้น   5. สุกร ราคาที่เกษตรกรขายได้อยู่ที่ 97.3 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 7.4% เนื่องจาก ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูงขึ้นจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทําให้เกิดภาวะขาดแคลนวัตถุดิบอาหารสัตว์ในตลาดโลก และต้นทุน ป้องกันโรคระบาดอหิวาต์แอฟริกาในสุกร เกษตรกรผู้เลียงสุกรต้องลงทุน ในการพัฒนาระบบป้องกันโรคระบาดในฟาร์มอย่างเข้มงวด ทำให้ต้นทุนในการเลี้ยงสูงขึ้น   6. โคเนื้อ ราคาที่เกษตรกรขายได้ เท่ากับ 35,089 บาท/ตัว เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.4% เนื่องจาก ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 (ศบค.) ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ห้างสรรพสินค้า และร้านอาหาร ทยอยกลับมาเปิดให้บริการ รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศ ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร และธุรกิจเกี่ยวเนื่องสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ ทำให้ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์รวมทั้งเนื้อโคเพิ่มขึ้น     แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรหลังจากนี้ ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. เผย “ราคาสินค้าเกษตร” หลังจากนี้ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมาตรการเปิดประเทศ เปิดสถานบันเทิง และค่าเงินบาทอ่อนค่าลงส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ น้ำตาลทรายดิบ ปาล์มน้ำมัน สุกร โคเนื้อ และกุ้งขาว แวนนาไม ยกเว้นมันสำปะหลัง และยางพาราดิบที่มีแนวโน้มราคาปรับลดลง     …

ชวนเบิ่ง ราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ปรับสูงขึ้น ในเดือนพฤษภาคม อ่านเพิ่มเติม »

ธุรกิจรถมือสองรายใหญ่ของภาคอีสาน ตีตลาดออนไลน์ ยอดขายพุ่ง 15% 

ธุรกิจรถมือสองรายใหญ่ของภาคอีสาน ตีตลาดออนไลน์ ยอดขายพุ่ง 15%    จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้บางธุรกิจปิดตัวลง แต่ก็มีหลายธุรกิจที่ยังสามารถดำเนินการต่อได้ เนื่องจากมีการปรับตัวตามสถานการ์เศรษฐกิจ และมีการปรับกลยุทธ์ต่างๆ    เต็นท์รถรายใหญ่ในภาคอีสานก็เช่นกัน มีการปรับเปลี่ยนวิธีการต่างๆ จนทำให้มียอดขายพุ่ง โดยธุรกิจรถมือสองรายใหญ่ภาคอีสาน คือ ประเสริฐผลยูสคาร์ ได้ทำการตลาดออนไลน์ 14 จังหวัด ทำให้มียอดขายเติบโต 15%    “ประเสริฐผลยูสคาร์” มีโชว์รูมของบริษัททั้งหมด 14 สาขาที่กระจายตัวอยู่ในภาคอีสาน ประกอบด้วยจังหวัดเลย หนองบัวลำภู ขอนแก่น ยโสธร ร้อยเอ็ด มุกดาหาร บึงกาฬ อุดรธานี และนครพนม มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะการทำตลาดออนไลน์ตั้งแต่ช่วงเกิดโควิด-19 ที่ผ่านมาถึงปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าออนไลน์ 60% และเดินเข้ามาดูรถที่โชว์รูมด้วยตัวเองอีก 40% ซึ่งลูกค้าที่เข้ามาดูรถเหล่านี้ส่วนใหญ่ดูผ่านออนไลน์มาแล้ว   ทั้งนี้ ปี 2564 บริษัทมีอัตราการเติบโตประมาณ 30% มียอดขายรถเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 1,900 คัน ในปี 2563 เพิ่มเป็น 2,500 คัน    ตั้งเป้าปี 2565 จะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 30% คาดว่ายอดขายเฉลี่ยจะเพิ่มจาก 2,500 คัน ในปีก่อน เป็น 3,000 คัน ในปีนี้ โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า หรือคนที่หารถคันแรก ประเภทรถที่ขายดีเป็นรถอีโคคาร์หรือรถเก๋งเล็ก และรถกระบะ ราคาอยู่ระหว่าง 250,000-400,000 บาท/คัน   จะเห็นได้ว่า ธุรกิจรถมือสอง ทำการตลาดออนไลน์มียอดขายพุ่งขึ้นมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ระลอกแรกที่คนไม่ออกจากบ้าน เนื่องจากพฤติกรรมคนเปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะน้อยลง และหันมาใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น ซึ่งการเลือกรถมือสอง เหมาะกับการผลิตรถใหม่ทำได้ไม่ตามเป้า ยอดขายรถมือสองจึงเติบโตขึ้น   ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ว่า แนวโน้มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองในระบบธนาคารพาณิชย์ ปี 2565 มีโอกาสขยายตัวเป็นบวกต่อจากปีก่อน ยอดขายในตลาดรถยนต์มือสองปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ในช่วง 3-5% หรือคิดเป็นปริมาณการซื้อขายรถยนต์มือสองราว 6-7 แสนคัน ทำให้ยอดคงค้างสินเชื่อรถยนต์มือสองมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ ประมาณ 5-7%   อ้างอิงจาก: https://www.prachachat.net/local-economy/news-957863 https://data.creden.co/company/general/0485548000108 #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ธุรกิจรถมือสอง

Scroll to Top